ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหาจักรพรรดิมนต์ตราศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #3 : พรแห่งปัญญา

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 61


        หลังจากใช้เวลาไม่นานฉางเชิงก็มาถึงหอคำภีร์เวทย์มนต์ที่ถูกสร้างด้วยก้อนอิฐขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 6 ชั้นได้พอได้เดินเข้าไปฉางเชิงก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นภายในหอเวทย์มนต์ทีเต็มไปด้วยชั้นหนั้งสือมากมายและในแต่ละชั้นยังอัดแน่นไปด้วยคำภีร์เวทย์มนต์ ตำราหลอมโอสถและศิลปะการต่อสู้ขนาดเป็นเพียงชั้นที่1แล้วชั้นอื่นไม่มากมายกว่านี้หรือ ในขณะที่มัวตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นนั้นได้มีชายชราคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ฉางเชิงกว่าจะรู้ตัวชายชราก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วพร้อมกับตั้งคำถาม

    "เด็กน้อยเจ้าจะมายืนอ้าปากขวางทางเข้าหาคำภีร์อีกนานหรือไม่"

    เมื่อได้ยินเสียงก็ทำให้เขาได้สติทันทีพร้อมกล่าวคำขอโทษแก่ชายชรา

    "เจ้ามาอ่านคำภีร์เวทย์หรือแค่มาจ้องมองพวกมันแล้วก็ไปเฉกเช่นผู้อื่นกันเด็กน้อย"

    "ข้ามาอ่านคำภีร์"

    เมื่อชายชราได้ยินคำตอบก็บอกกับเด็กน้อยว่า

    "งั้นเจ้าก็ไปอ่านมันสิจะมายืนตรงนี้ทำไม่คำภีร์มันไม่ลอยมาหาเจ้าหลอกนะถึงคำภีร์จะเลือกผู้ที่จะอ่านมันก็ตาม"

    เมื่อได้ยินคำกล่าวของชายชราทำให้เขาเกิดข้อสงสัยในคำกล่าวที่ว่าคำภีร์เลือกผู้ที่จะอ่านมัน

    "ทำไมมันถึงเลือกผู้อ่านได้ละมันไม่ใช่เหมือนกับหนังสือปกติหรือ"

    ชายชรามองเด็กน้อยด้วยความสงสัยว่าเรื่องที่ผู้คนปกติรู้เด็กตรงหน้ากลับไม่รู้แต่ก็ได้เพียงตอบคำถาม

    "เจ้าไม่รู้หรืออย่างไงว่าคำภีร์เวทย์มนต์มันเลือกผู้ที่จะอ่านมันด้วยตัวมันเองไม่ใช่แค่เจ้าอยากจะอ่านก็อ่านได้"

    "อ้าวแล้วข้าจะมีสิทธิอ่านมันไหมเนี่ย"(ฉางเชิงก็ต้องคิดมากนึกว่าแค่มาเปิดอ่านแล้วก็จำก็จบ)"

    "ถ้าเจ้ามีสติปัญญาที่มากพอคำภีร์และตำราต่างๆในหอเวทย์มนต์นี้เจ้าก็มีสิทธิอ่านทั้งหมดไม่มีใครห้ามเจ้าได้เพราะคำภีร์เหล่านี้มันเลือกผู้ที่มีปัญญาศึกษามันเท่านั้นที่มีสิทธิอ่าน"

    "หวังว่าพรแห่งปัญญาจะช่วยได้นะ"

    "เจ้าพูดอะไรนะข้าฟังไม่ถนัด"ชายชราถามเด็กน้อยหลังจากได้ยินคำกล่าวแปลกๆ"

    "ไม่มีอะไรครับข้าแค่บ่นไปเรื่อย  "หลังก็หันหลังกำลังเดินจากไปที่ตนลุกมาแต่ก็ได้ยินเสียงหยุดเขาไว้ก่อน 

     "ท่านเป็นใครหรอคุยตั้งนานข้าน้อยไม่รู้จักท่านเลย"เมื่อได้ยินดังนั้น

    "ข้าคือผู้ดูแลหอคำภีร์เวทย์มนต์แห่งนี้มีอะไรจะถามอีกมั้ย"

    " เอ่อข้าน้อยอยากถามว่าถ้าอยากอ่านเกี่ยวกับคำภีร์การบ่มเพราะพลังเวทย์ข้าควรหาอ่านตรงไหนคือมันเยอะมากข้าไม่รู้จะเริ่มส่วนใดดี" 

    "ตรงชั้นที่40ด้านปลีกซ้ายของตึกเจ้าไปหาอ่านเอาละกันถ้ามีปัญญาพออ่ะนพ555"หลังตอบเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่สนใจเขาอีกเลย


      "เฮ้อลองดูละกันว่าพรแห่งปัญญาของข้าจะมีปัญญาจะศึกษาคำภีร์และตำราในหอคำภีร์เวทย์มนต์หรือไม่ แต่ผู้ดูและนี่ก็เน้นจังคำก็ปัญญา 2 คำก็ปัญญาคอยจะอ่านให้หมดหอเลย หึ" 

    จากนั้นฉางเชิงก็ไปตามคำกล่าวของผู้ดูแลแล้วก็เลือกหยิบคำภีร์เวทย์มนต์การบ่มเพราะพลังเวทย์ทั่วไป แต่สิ่งที่ต้องทำให้เขาตกใจไม่ใส่ว่าอ่านมันไม่ได้แต่เป็นเพราะความรู้เกี่ยวกับการบ่มเพราะพลังเวทย์ได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวเขาอย่างรวดเร็วพอเปิดคำภีร์ดูก็ได้รู้ว่ามันคำเนื้อหาทั้งหมดในคำภีร์ที่เข้าหยิบขึ้นมาเขาเอามือหยิบเล่มที่2ก็เป็นเช่นเดียวกันจากการสังเกตเพียงแค่มือเขาสัมผัสคำภีร์เขาก็จะได้รู้ทุกสิ่งที่เขียนอยู่ข้างในทั้งหมดโดยมันใช้เวลาไม่ถึง10วินาทีด้วยซ้ำต่อเล่มนี่สินะความสามารถของพรแห่งปัญญา เมื่อรู้ดังนั้นฉางเชิงก็ได้เดินเอามือสำผัสคำภีร์และตำราโดยไม่สนว่าเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นเวทมนต์หรือตำราหลอมโอสถ ศิลปะการต่อสู้ไม่นาทีสิ่งที่เขาต้องการคือความรู้ของหอคำภีร์ทั้งหมด

    **ถ้าผู้ดูแลหรือใครรู้คงว่าเด็กน้อยบ้าแน่ที่มีความคิดแบบนั้นเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำให้คำภีร์และตำราต่างยอมรับในตัวเองไปทั้งหมดแม้แต่ผู้พิทักษ์ของแต่ละอาณาจักรยังไม่สามารถทำได้เลยถึงแม้แต่ละคนจะแข็งแกร่งและมีสิติปัญาที่สูงส่งเป็นถึงเซียนจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปก็ตาม**


      ด้านผู้ดูแลหอคำภีร์ภาพที่เขาเห็นคือเด็กน้อยเดินเอามือสัมผัสหนังสือเล่นไปมาจนทั่วชั้น 1 และก็ขึ้นไปชั้นต่างๆของหอคำภีร์เหมือนกับกำลังหาบางอย่างเท่านั้น


      ในส่วนของฉางเชิงเมื่อเขาจดจำความรู้ทั้งหมดของหอคำภีร์แล้วก็พึ่งรู้ตัวว่าเขาใช้เวลาไปมากที่เดียวเพราะจากตอนเย็นของเมื่อวานก็มาถึงเช้าของอีกวันแล้วหลังจากนั้นเขาก็ออกไปหาอะไรกินในเมืองจากนั้นก็มุ่งหน้าออกนอกเมืองไปยังผืนป่าอสูรเพื่อที่จะหาสถานที่ซ่อนตัวเพื่อที่จะเรียบเรียงความรู้ที่ได้มาแต่แล้วด้วยความไม่ทันระวัง

    "โอ้ย"เสียงใครสักคน

    พอหันไปมองก็พบว่าเขาได้ชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพงและด้านหลังยังมีผู้ชายอีก 3 คนยืนอยู่ที่น่าจะเป็นคนติดตาม

    "เดินไม่ดูเลยหรืออย่างหะไอ้เด็กบ้า"คนที่ถูกชนล้มตะโกนออกมาพร้อมกับสีหน้าอันบูดเบียวด้วยความโกรธ

    "ข้าขอโทษด้วยครับเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ"แล้วฉางเชิงกำลังจะเดินเข้าไปดูว่าคนที่ถูกชนก็ถูกขวางด้วย1ในสามคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง

    "อย่าได้เอามือสกปรกของเจ้ามาจับตัวนายน้อยของข้า"ฉางเชิงแทบหยุดเดินไม่ทัน

    "ข้าแค่จะดูว่าเขาอะไรหรือเปล่า"

    "นายน้อยหวังเฟยไม่เป็นไรมีแต่เจ้าที่ต้องชดใช้ที่บังอาจชนนายน้อย"

    "เอ่อท่านจะให้ข้าน้อยชดใช้สิ่งใดหรือ"

    "ขาของเจ้า"

            เสียงนี้มาจากนายน้อยหวังเฟยหลังจากที่ลุกขึ้นมา   ผู้คนที่ได้ยินทำได้เพียงสงสารเด็กน้อยที่ดันพลาดไปวิ่งไปชนเข้ากับใครไม่ชนดันไปชนนายน้อยตระกูลหวังที่เป็น1ใน3ตระกูลใหญ่ของเมืองนี้และนายน้อยผู้นี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องรังแกผู้ที่ต้อยต่ำกว่าคนอื่นเสมอ   ส่วนทางด้านฉางเชิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าแค่วิ่งชนจะต้องเสียขาและมันยังเป็นคำกล่าวของเด็กน่าจะอายุมากเขาไม่เกิน 3-4 ปีเท่านั้น


    "ถ้าข้าไม่มีขาแล้วจะเดินได้เช่นไรเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่"


    ถึงจะตกใจแต่ด้วยสติปัญญาฉางเชิงพยามรวบรวมสติแล้วกล่าวออกไป


    "เดินได้หรือไม่ได้ไม่เกี่ยวกับข้าแต่เจ้าบังอาจวิ่งชนข้าขานั้นมันก็ไม่จำเป็นต่อเจ้าอีกแต่ถ้าอยากเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ขอชีวิตเจ้าละกัน"


    เมื่อหวังเฟยพูดจบคนติดตามทั้งสามคนก็เดินเข้าหาฉางเฟิงเพื่อที่ทำตามคำพูดของนายตนทันที  


    ฉางเชิงคิดในใจตายหลังเกิดมาได้ 2 วันดีจริงจะหนีก็ไม่มีกำลังเพราะถึงจะมีปัญญาแต่ยังไม่ๆได้ศึกษาแต่ละอย่างจริงจังเลยและในตอนนั้นเอง


    "นายน้อยหวังเฟยจะฆ่าแกงเด็กน้อยคนนี้เพราะแค่วิ่งชนเองน่ะหรือ"


    เสียงที่ช่วยฉางเชิงไว้เป็นชายแก่ที่มีออร่าของความสุขุมและแข็งแกร่งเขาคือเจ้าสำนักต้นหลิวซึ่งเป็น1ใน5สำนักใหญ่ในเมืองนี้ถึงจะอยู่อันดับสุดท้ายก็ตามที


    "ท่านเจ้าสำนักชุนจะมายุ่งอันใดด้วย"ผู้ติดตาม


    "ข้าแค่เห็นว่ามันไม่เป็นธรรมเท่ารัยที่เด็กน้อยคนนี้จะมาตายเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เลยยืนมือเข้ามาช่วยหวังว่านายน้อยตระกูลหวังจะเห็นแก่ข้าปล่อยเด็กคนนี้ไปสักครั้ง"


    "ได้ไงเด็กนี่ต้องชดใช้ที่มันบังอาจวิ่งชนนายน้อย"


    "เฮ้อ งั้นเอาอย่างนี้ละกันข้าจะชดเชยให้เอาเป็นผลึกอสูรเวทย์ระดับราชันย์ปัฐพีขั้นกลางก้อนนี้เป็นไง  ความบริสุทธิ์ของธาตุขั้น7เลยนะพอจะแรกชีวิตเด็กน้อยคนนี้ได้หรือไม่"


    "ถ้าท่านพูดขนาดนั้นข้าในฐานะนายน้อยตระกูลหวังก็จะให้อภัยสักครั้งก็แล้วกัน"


    หวังเฟยรีบกล่าวออกมาเมื่อมันเห็นผลึกอสูรเวทย์ระดับราชันย์ปัฐพีขั้นกลางถึงมันจะไม่ใช่ผลึกอสูรที่หายากแต่ความบริสุทธิ์ของมันนับว่าน่าสนใจกว่าชีวิตของเด็กน้อยนัก

      หลังจากนั้นผู้คนก็แยกย้ายกันเพราะเจ้าสำนักชุนมักจะช่วยคนแบบนี้เสมอเลยไม่ได้ให้ความสนใจกับคนที่ถูกช่วยอีก


    "ขอบคุณท่านเจ้าสำนักชุน"ฉางเชิงรีบกล่าวขอบคุณทันทีที่เหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไป


    "ไม่เป็นไรข้าแค่อยากจะช่วย"

    "ท่านช่วยคนแบบนี้บ่อยหรอครับ"

    "ข้านั้นถือเรื่องคุณธรรมมาก่อนชีวิตและทรัพย์สินเสมอเด็กน้อย"


    สิ่งที่เจ้าสำนักชุนกล่าวมาฉางเชิงเจ้าใจความหมายมันดี


    "ครับไว้มีโอกาศข้าน้อยจะตอบแทนท่านแน่นอน"

    "แล้วเจ้าชื่ออะไรข้าจะได้รอรับการตอบแทนถูก555"

    "ข้าน้อยชื่อฉางเชิง"

    "อืม ฉางเชิงสินะ"หลังจากกล่าวเสร็จเจ้าสำนักชุนก็เหอะกับสำนักไปทันที ทิ้งฉางเชิงไว้ตรงนั้นคนเดียวเลย

      











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×