ตอนที่ 6 : เลี้ยงกระต่าย》วันที่ 5《
เลี้ยงกระต่าย》วันที่ 5《
“งี๊ด” เสียงเล็กๆ ของกระต่ายสีเทาเข้มสายพันธุ์ฮอลแลนด์ลอปนามว่าจื่อจื่อดังขึ้น เรียกดวงตาสีเทาของผมที่กำลังไล่อ่านข้อมูลในแฟ้มเอกสารให้เงยขึ้นมา
ภาพตรงหน้าเป็นภาพที่ค่อนข้างตลก ลูกน้องผมเจียเจียงฮุยและซางไป๋หยางนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นพรมโดยมีกระต่ายตัวน้อยอยู่ตรงกลาง ในมือของไป๋หยางมีของเล่นที่ทำจากขนอะไรสักอย่างไล้ไปตามหน้าท้องของจื่อจื่อซึ่งนอนหงายใช้ขาทั้งสี่พยายามจับของเล่นตรงหน้าไว้พร้อมกับเสียงครางคล้ายกำลังสนุก
คงเป็นภาพที่น่าเอ็นดูไม่น้อยถ้าลูกน้องผมทั้งสองคนไม่ใช่มาเฟียและกระต่ายตัวนั้นเป็นกระต่ายธรรมาดา การที่ทั้งสองคนมาเป็นมาเฟียลูกน้องคนสนิทของผมนั้นเป็นเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเท่ากระต่ายที่ร้องงี๊ดๆ อยู่ตรงนั้นเคยเป็นมนุษย์มาก่อน
เอาเข้าไปสิ คิดว่าเรื่องหลอกเด็กแบบนั้นใครจะไปเชื่อ
ผมก็ไม่เชื่อจนกระทั่งได้ยินเสียงพูดจากกระต่ายตัวนั้นจริงๆ พูดคล่องปรื๋อเหมือนฝึกมานับสิบปี ไม่ว่าใครก็ต้องระแวงซึ่งผมก็เช่นกัน
ตอนแรกกะว่าจะเอาไปปล่อยแต่เจ้าตัวดันบอกให้เปิดประตูให้ก็พอจะเป็นฝ่ายออกไปเอง
สภาพของกระต่ายตัวจ้อยที่ทำหน้าหงอยกระโดดบันไดลงไปทีละขั้นทำเอาผมถึงกับทนไม่ไหวคว้าตัวอีกฝ่ายกลับขึ้นมาตามเดิม ความผูกพันธ์รวมไปถึงสายสัมพันธ์ที่มีทำให้ผมที่ไม่เชื่อใจใครง่ายๆ รู้สึกอยากจะเชื่อขึ้นมา เพราะแบบนั้นจึงยอมรับเลี้ยงกระต่ายประหลาดตัวนั้นแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดได้ก็ตาม
พอรู้ความจริงว่าอีกฝ่ายเคยเป็นมนุษย์มาก่อนหลายๆ อย่างที่ผมตั้งข้อสงสัยก็คลี่คลายไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เจอกันอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีกลัวผมเหมือนอย่างสัตว์ตัวอื่นที่แทบจะมุดหนี กล้าที่จะจ้องมองสบตากับผมตรงๆ จนเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมา ไหนจะเรื่องความฉลาดและเรียนรู้ไวนั่นอีก
ไม่มีทางที่จะเป็นกระต่ายปกติธรรมดาไปได้
ผมเองก็น่าจะเอะใจ แต่อย่างว่าเรื่องแฟนตาซีเหนือจินตนาการแบบนี้หากไม่ใช่ในนิยายก็คงจะเป็นหนังสักเรื่อง ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ในชีวิตจริง
น่าแปลกที่พอหายจากอาการสับสนผมกลับยอมรับได้อย่างน่าประหลาด ยอมให้กระต่ายพูดได้ตัวหนึ่งเข้ามามีอิทธิพลกับตัวเองมากขึ้นทุกที จากที่ซื้อแค่อาหาร เตียงนอนก็เริ่มมีทั้งขนม ของเล่นหรือแม้แต่เสื้อผ้ามาไม่หยุด แต่ละอย่างมีจำนวนมากพอจะใช้สลับกันได้หลายอาทิตย์โดยไม่ซ้ำกัน
จะให้เรียกอะไรถ้าไม่ใช่ทาสกระต่าย ไม่สิ ถ้าคิดดูดีๆ กับกระต่ายตัวอื่นผมไม่ได้รู้สึกอยากซื้อ อยากเปย์หรืออยากดูแลแต่อย่างใด มีแค่จื่อจื่อที่ทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูได้ขนาดนี้
ไม่ใช่ทาสกระต่ายแต่เป็นทาสจื่อจื่อสินะ
น่าขำ!
ไม่มีทางให้เจ้าตัวรู้โดยเด็ดขาดไม่งั้นผมได้โดนล้อไปอีกนานแน่
จื่อจื่อชอบบอกว่าผมขี้แกล้ง ทำเหมือนกับตัวเองไม่แกล้งผม ความจริงผมก็แค่หมันเขี้ยวเลยอาจทำอะไรรุนแรงไปสักหน่อยทว่าอีกฝ่ายก็หาทางเอาคืนผมตลอด
คนที่รู้ว่าผมคือไห่หลานเยี่ยนแล้วยังกล้ามาแกล้งหรือเอาคืนผมแบบต่อหน้าไม่เคยมีมาก่อน ต่อให้เป็นคนในตระกูลเดียวกันอย่างพวกญาติพี่น้องที่เหลืออยู่ไม่มากก็ยังต้องมีเกรงใจกันอยู่หลายส่วน
อาจเพราะแบบนั้นเลยทำให้ผมรู้สึกสนิทใจกับจื่อจื่อได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำหรือประจบเอาใจ ทุกอย่างที่แสดงออกคือตัวตนของเขาจริงๆ
เป็นคนนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเป็นมนุษย์เลยสินะ
คนเราคงไม่เปลี่ยนนิสัยกันได้ง่ายๆ เพราะวิญญาณมาอยู่ในร่างของกระต่ายหรอกมั้ง
อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายตอนเป็นมนุษย์จะเป็นยังไง รูปร่างหน้าตาแบบไหน ทำงานอะไร อายุเท่าไหร่ จะว่าไปผมไม่เคยถามเขาแม้แต่ชื่อตอนยังเป็นคนด้วยซ้ำ
ผมมองจื่อจื่อที่พลิกตัวจากที่นอนหงายมาเป็นนอนคว่ำด้วยสายตาอ่อนโยนจนตัวเองยังแทบไม่อยากเชื่อว่าจะสามารถใช้สายตาแบบนี้ได้ ตั้งแต่รู้จักกับจื่อจื่อทำให้ผมเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์หลายๆ อย่างที่อยู่ภายในออกมา อย่างการแกล้งหรือเย้าแหย่ก็ไม่ใช่นิสัยปกติที่ผมแสดงออก ยิ่งการยิ้มหรือหัวเราะยิ่งไม่ใช่ทว่าหลายเดือนมานี้ผมกลับหัวเราะมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา
รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายที่จะได้อยู่กับกระต่ายตัวนี้ที่ทำให้ผมเป็นตัวผมได้จริงๆ
“จื่อจื่ออยากเล่นอันนี้ไหม” เจียงฮุยโชว์วัตถุทรงกลมที่ทำจากพลาสติก ตรงกลางกลวงและมีกระดิ่งอันเล็กใส่อยู่ตรงกลาง เวลาขยับจะมีเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง
“งี๊ด” กระต่ายตัวจ้อยตาลุกวาวกับของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่งมาส่งเมื่อกลางวัน
“อยากเล่นเนอะ”
“งี๊ด” จื่อจื่อพยักหน้ารัวๆ เรียกรอยยิ้มจากลูกน้องทั้งสองคนของผมได้ทันที
“ผมจะโยนไป จื่อจื่อต้องไปเก็บแล้วเอามาให้ผมเข้าใจรึเปล่า” เจียงฮุยอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังเหมือนคุณครูกำลังสอนเด็กในห้องเรียน
“งี๊ด” ถ้าเป็นกระต่ายปกติแน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเข้าใจแต่นี่เป็นกระต่ายประหลาด ดังนั้นแค่พูดครั้งเดียวก็รู้เรื่องแล้ว
“ไปเอามา” เจียงฮุยกลิ้งของเล่นออกไปโดยมีจื่อจื่อวิ่งไล่ตาม ความเร็วของกระต่ายมีมากกว่าที่ผมคิดไว้ เพียงไม่นานก็สามารถนำของเล่นกลับมาให้เจียงฮุยได้แล้ว
“ฉลาดที่สุดเลยจื่อจื่อ” ไป๋หยางเอื้อมมือมาลูบหัวของจื่อจื่อที่ส่งสายตาอ้อนๆ ให้เจียงฮุยคล้ายจะบอกว่าอยากเล่นอีก
ว่ากันตามจริงห้องผมไม่ใช่ห้องที่พวกเขาจะมานั่งเล่นอะไรแบบนี้ได้ ในขณะที่พวกเขานั่งเล่นผมต้องนั่งจัดการงานที่เกือบจะกองทั่วหัวเนี่ยนะ แค่เสียงกระดิ่งก็ทำลายสมาธิไปหลายส่วนแล้ว
แต่จะว่าก็ไม่ได้เพราะคนที่บอกให้เล่นในห้องนี้ได้ก็คือผมเอง ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยคุยกับผมเรื่องนี้มาก่อนว่า...
‘บอส พวกเราไม่อยากกวนสมาธิบอสแต่อยากเล่นกับจื่อจื่อ’ ไป๋หยางเกริ่นประโยคแรกขึ้นมาหลังวางแฟ้มบนโต๊ะทำงาน
‘ผมด้วยๆ เพราะงั้นพวกเราเลยอยากขอพาจื่อจื่อไปเล่นข้านอกได้ไหมครับท่านหลานเยี่ยน’ เจียงฮุยพูดต่อจากไป๋หยางก่อนทั้งคู่จะก้มมองจื่อจื่อที่นอนหลับอยู่บนตักผม
เวลาที่เจอกับปัญหาหรือเครียดกับงานผมมักจะอุ้มจื่อจื่อให้มานอนบนตักแล้วลูบไปมาอยู่เป็นชั่วโมง เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้ผมผ่อนคลายได้แล้ว
‘ไม่ได้’ ผมตอบทั้งคู่แทบจะทันที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดใดๆ ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยให้จื่อจื่อหายไปอยู่นอกสายตาต่อให้เจียงฮุยกับไป๋หยางจะเป็นคนสนิทที่ผมไว้ใจก็ตาม
‘ถ้าแบบนั้น...’
‘อยากมาเล่นก็เล่นที่นี่’
เพราะประโยคนั้นที่ลั่นออกไปทำให้ผมต้องทำใจก้มหน้าทำงานต่อท่ามกลางเสียงพูดคุยระหว่างสองมนุษย์และหนึ่งกระต่าย
เอาตามตรงผมค่อนข้างแปลกใจที่จื่อจื่อเป็นที่รักของเจียงฮุยกับไป๋หยางขนาดนี้ ก็รู้ว่าเจ้าตัวเล็กๆ ขนปุกปุยที่ตอนนี้เพิ่มความน่ารักด้วยการใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวลายดาวสีเทานั่นจะยิ่งทำให้คนที่เห็นใจสั่นแต่ก็ไม่คิดว่าทั้งคู่จะชอบจื่อจื่อถึงกับหาเวลามาเล่นด้วยบ่อยๆ อย่างมากสุดก็วันละสองครั้ง
ส่วนเจ้าตัวหรือจื่อจื่อที่มีคนมาเล่นด้วยก็ยิ่งดีใจที่ไม่ต้องนั่งๆ นอนๆ รอเวลากลับบ้านก็ยิ่งทำตัวออดอ้อนจนคนสนิทผมแปรพรรคไปอยู่ฝ่ายกระต่ายกันหมดแล้ว
ดูอย่างตอนนี้สิ...
“งี๊ดด~” เสียงออดอ้อนเล็กๆ ที่ครางยาวนั่นดึงความสนใจของทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง จื่อจื่อยกตัวขึ้นยืดด้วยเท้าหลังใช้ดวงตากลมโตสีดำสนิทจ้องมองไปยังเจียงฮุยด้วยสายตาออดอ้อนเต็มพิกัด
“อยากเล่นสินะ มาเล่นกันอีกรอบเนอะ” เจียงฮุยที่กำลังจะเก็บของเล่นถูกจื่อจื่ออ้อนจนไปไม่เป็น ยอมกลิ้งของเล่นนั้นอีกรอบ
“น่ารักเกินไปแล้ว” ไป๋หยางที่มองอยู่เอ่ยชมไม่หยุด
“นั่นสิ ขี้อ้อนสุดๆ” ผมแอบพยักหน้าเห็นด้วยกับทั้งคู่ บทจื่อจื่อจะดื้อก็ดื้อมากแต่บทจะอ้อนก็บอกเลยว่าตายกันเรียบ ขนาดผมที่พยายามไม่แสดงออกยังมีแต่ของกระต่ายส่งมาทุกวี่วัน
“อยากกอดแน่นๆ สักครั้ง”
กึก!
คำพูดของไป๋หยางทำเอาผมเผลอกำด้ามปากกาแน่นขึ้น อยู่ๆ ความรู้สึกไม่พอใจก็ประดังเข้ามาราวกับผมไม่อยากให้จื่อจื่อถูกใครกอด...นอกจากตัวเอง
จื่อจื่อเคยบอกว่าชอบเวลาถูกผมอุ้มไว้ในวงแขน ไออุ่นที่ได้รับทำให้รู้สึกดีและอยากนอน ผมเป็นคนเดียวที่ได้สัมผัสจื่อจื่อต่างจากอีกสองคนที่จะใช้เวลาส่วนมากไปกับเล่น มีบ้างที่ลูบขนหรือเกาพุงแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอุ้มแนบอกเหมือนอย่างผม
ความจริงการแสดงออกว่าสนิทสนมของจื่อจื่อกับลูกน้องทั้งสองคนของผมก็มีหลายครั้งที่ผมเกิดความรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ และมีความกลัวอยู่หน่อยๆ กลัวว่าจื่อจื่อจะสนิทหรืออยากอยู่กับคนอื่นมากกว่าตัวเอง
ผมไม่มีเวลามาเล่นด้วยมากมาย ระหว่างทำงานผมมีสมาธิอยู่แต่กับตัวอักษรบนหน้ากระดาษแต่ผมก็มั่นใจว่าทุกครั้งที่มีเวลาสิ่งแรกที่ผมให้ความสนใจก็คือจื่อจื่อ
ผมบอกตัวเองว่าความรู้สึกนั้นเป็นเพราะผมเป็นเจ้าของจื่อจื่อ เป็นเจ้าของกระต่ายตัวนั้น...ผมจึงไม่ชอบเวลามีใครมายุ่งกับของของตัวเองมากเกินไป
“ถ้านายกอดจื่อจื่อสลบแน่” เจียงฮุยหันไปบอกไป๋หยางที่คิดจะกอดจื่อจื่อ
“ก็จริง ตัวเล็กขนาดนี้นี่นะ” สายตาของไป๋หยางดูเสียดายที่ไม่สามารถกอดจื่อจื่อได้
“อืม มาแล้วเหรอจื่อจื่อ โอ๊ะ...ท่านหลานเยี่ยน?” เจียงฮุยกับไป๋หยางถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นผมเดินไปนั่งพื้นอีกคน
“จื่อจื่อ เอามานี่” ผมเอ่ยเรียกกระต่ายตัวจ้อยที่กำลังนำของเล่นกลับมา
“งี๊ด!” เจ้าของชื่อได้ยินและเข้าใจในทันทีจึงเปลี่ยนทิศจากที่วิ่งไปหาเจียงฮุยมาเป็นกระโดดขึ้นตักผมแทน
พอได้รับความสนใจผมก็รู้สึกดีขึ้นทั้งที่เมื่อครู่ยังรู้สึกแย่ที่ลูกน้องอาจสนิทกับจื่อจื่อมากกว่า
“เล่นพอรึยัง” ผมถามพลางช้อนตัวจื่อจื่อขึ้นแนบอก
“งื๊ด~” อีกฝ่ายทำตาแป๋วส่งมาคล้ายจะบอกว่าพอก็ได้แต่ก็อยากเล่นอีกสักครั้ง
“อีกครั้งเดียวพอ” ถ้าจื่อจื่อเล่นเยอะเขาจะเหนื่อยและง่วงเร็ว มีหลายวันที่พอถึงห้องเขาหลับสนิทไปจึงเช้าทำให้คืนนั้นผมไม่ได้คุยเล่นอะไรเลย
เมื่อได้รับการพยักตอบกลับมาผมจึงยอมกลิ้งของเล่นออกไป จื่อจื่อเด้งตัวขึ้นกระโดดออกจากแขนแล้วไล่ตามของเล่นชิ้นนั้น
“พูดครั้งเดียวก็เข้าใจ ผมไม่เคยเจอกระต่ายที่ฉลาดขนาดนี้มาก่อน” เจียงฮุยพูด
“ผมด้วย” ไป๋หยางเสริม
“ฉันก็คิดแบบนั้น” ไม่มีกระต่ายตัวไหนฉลาดไปกว่าจื่อจื่อหรอก
“บอสดูรักจื่อจื่อมาก”
“...ไม่ขนาดนั้น” ผมเอ็นดูมากก็จริงแต่ถึงขั้นรักไหม...คงยัง แต่คิดว่าอีกไม่นานคงใช้คำนั้นได้
สิ่งที่ผมจะใช้คำว่ารักด้วยจนถึงตอนนี้มีเพียงไม่กี่อย่าง ถ้ามีจื่อจื่อเพิ่มเข้ามา...ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร
“พวกเรามองอยู่ตลอด ท่านหลานเยี่ยนมีความสุขขึ้นมากตั้งแต่มีจื่อจื่อ” เจียงฮุยพูดเสริม สีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายจะยินดี
“ก็ไม่ผิด” ชีวิตที่วันอยู่แต่กับการทำงาน งานสังสรรค์และก็ห้องนอนมันช่างน่าเบื่อและไร้ซึ่งความสุข แต่เนื่องจากเป็นหน้าที่ที่ได้รับสืบทอดผมจึงต้องรับมาและทำให้ดีที่สุด
จื่อจื่อเข้ามาทำให้วัฏจักรเหล่านั้นมีสีสัน การทำงานบนโต๊ะเดิมๆ ไม่ได้น่าเบื่ออีกต่อไปเมื่อมีก้อนกลมๆ นอนหลับสนิทหายใจสม่ำเสมออยู่บนตัก ทุกๆ ช่วงเวลาเริ่มมีสีสัน...สีของจื่อจื่อ
“งี๊ด” จื่อจื่อวิ่งเตาะแตะวางของเล่นลงบนมือผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบสายตา คอที่เอียงน้อยๆ ราวกับรอคอยคำชมน่าเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวเบาๆ
“ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงจะลงไป เตรียมรถให้พร้อม” ผมหันไปบอกกับลูกน้องคนสนิททั้งสองคนขณะลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมอุ้มจื่อจื่อขึ้นแนบอกเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะทำงานตัวเดิม
“รับทราบครับ” ทั้งคู่ขานรับแล้วพากันออกจากห้องไป
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงสองชีวิตความเงียบก็เข้าปกคลุม ทั้งผมและจื่อจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ผมตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยมืออีกข้างลูบไปทั่วตัวจื่อจื่อที่นอนนิ่งปล่อยให้ผมลูบตามใจ แม้จะเงียบสงัดทว่าเป็นความเงียบที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากให้เวลาเดินหน้า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ในตอนนี้
งานที่เหลืออยู่มีไม่กี่งานที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จในวันนี้ ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีก็เสร็จทั้งหมดผมจึงสามารถละสายตาจากหน้ากระดาษมาเป็นกระต่ายสีเทาที่เหมือนจะผล๋อยหลับไป
“เหนื่อยสินะ หลับปุ๋ยเลย” ผมเปลี่ยนมาใช้มือขวาลูบบ้าง
“...ยังไม่หลับ” เสียงจากกระต่ายด้านล่างดังขึ้นโดยดวงตาทั้งสองข้างยังไม่ยอมลืม
“นึกว่าสลบไปแล้ว”
“ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น แค่พอโดนคุณลูบมันเลยรู้สึกเคลิ้มขึ้นมา”
“นอนไปก่อนก็ได้ ถึงบ้านแล้วจะปลุก” ให้หลับตอนนี้ยังดีกว่าให้อีกฝ่ายหลับยาว
“ไม่ล่ะ ผมตื่นแล้ว” ดวงตาสีดำลืมขึ้นพร้อมกับร่างขนาดเล็กที่ลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนตูดโด่ง
“ตูด” ผมคว้าหมับเข้ายังหางกลมๆ ของจื่อจื่อจนอีกฝ่ายสะดุ้ง
“ทำอะไรน่ะหลานเยี่ยน ตกใจหมด” จื่อจื่อหันมามองค้อน
“ตูดโด่งน่าจับ”
“คุณเป็นโรคจิตเหรอ”
“หึ” ผมไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธเพราะตูดกลมๆ นั่นน่าจับ น่าขย้ำจริงๆ
“นี่หลานเยี่ยน” อีกฝ่ายเรียกเสียงเบา
“ฮืม?”
“ช่วงนี้ไม่ออกไปไหนเลยเหรอ”
“หมายถึงออกไปไหนล่ะ” ถ้าหมายถึงพวกงานเลี้ยง ปาร์ตี้หรือพวกงานสังสรรค์ผมแทบจะไม่ได้ไปเลย จะเสียเวลาไปกับสิ่งไร้ประโยชน์ที่หาความสุขไม่ได้ไปทำไม
ไม่จำเป็นเป็นสักนิดที่ต้องแสดงตัวให้คนอื่นรู้ว่าเรารวยหรือมีฐานะอะไร เพราะงั้นผมถึงไม่ชอบออกงาน พวกงานทวงหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าด้วยตัวเอง หากเมื่อไหร่ที่ผมลงมือเองนั่นแปลว่าอีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์แม้จะร้องขอชีวิต เพราะงั้นเอาเวลาพวกนั้นมานั่งแกล้งจื่อจื่อยังมีความสุขมากกว่า
“ก็อย่าง...ออกไปเดินตรวจตราในตลาดเหมือนอย่างวันที่ไปซื้อผม”
“ไม่บ่อยที่จะไป” ถ้าไปเดินตามพื้นที่ให้เช่านานๆ ทีผมจะไปเดินสักครั้งเพื่อดูว่าพื้นที่จริงมีปัญหาอะไรที่ต้องจัดการรึเปล่า ไม่ใช่แค่ตลาดที่ผมไปบางครั้งยังมีพวกห้าง ผับหรือแม้แต่คาสิโน
“งั้นเหรอ...เตรียมตัวกลับกันเถอะ” จื่อจื่อรีบเปลี่ยนเรื่อง ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถปกปิดน้ำเสียงที่คล้ายจะผิดหวังได้
“มีอะไรรึเปล่า” ผมถามย้ำ
“ไม่มี” อีกฝ่ายส่ายหัวน้อยๆ
“แต่ฉันว่ามี”
“...” ความเงียบนั่นเป็นคำตอบว่าผมคิดถูก
“จื่อจื่อ” ผมกดดันผ่านทางน้ำเสียงและสายตาเพื่อให้เขาพูดสิ่งที่ปกปิดไว้ออกมา
“...เรื่องเล็กน้อย อย่าใส่ใจเลย กลับกันเถอะได้เวลาแล้วนี่”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“หลานเยี่ยน...”
“บอกฉันมาจื่อจื่อ” จะให้ปล่อยผ่านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมทำไม่ได้ ยิ่งอีกฝ่ายพยายามปกปิดผมก็ยิ่งอยากกระชากมันออกมา
“ผมก็แค่...อยากไปเดินข้างนอกบ้าง” พอเห็นว่าผมเอาจริงจื่อจื่อก็ยอมสารภาพ
“หมายถึงอยากให้พาไปเดินตลาด”
“อืม ตั้งแต่อยู่ในร่างกระต่ายผมอยู่แค่ที่นี่กับคฤหาสน์เลยอยากลองออกไปที่อื่นบ้าง แต่ถ้าคุณไม่มีแพลนจะไปก็ไม่ต้องหรอก ไว้รอคุณไปผมค่อยไปด้วย” จื่อจื่อพูดต่อ
“ตลาดคนเยอะ เชื้อโรคก็เยอะ นายอาจป่วยได้” ไม่เกี่ยวว่าตลาดนั้นจะได้รับการดูแลหรือทำความสะอาดดียังไง บนตัวของมนุษย์มีเชื้อโรคติดมาได้ง่ายๆ ผมไม่อยากเสี่ยงพาจื่อจื่อไปเดินตลาดที่คนแออัดแบบนั้น แต่ถ้าเป็นสถานที่อื่นที่ปลอดภัยกว่าก็ใช่ว่าจะพาไปไม่ได้
“เข้าใจแล้ว ไม่ไปก็ได้” จื่อจื่อยอมตัดใจโดยดีแม้สายตานั้นจะดูอยากไปมากก็ตาม
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่พาไป”
“หมายถึงคุณจะพาผมไปเหรอ” ดวงตากลมโตขยายใหญ่ขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของผม
“ใช่”
“ไปไหนล่ะ คุณบอกว่าไปตลาดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
“ไปห้างได้” ถึงห้างจะเป็นสถานที่ปิดทว่าปัจจุบันมีกฏหมายด้านความปลอดภัยมากขึ้นส่งผลให้แทบทุกห้างมีการติดตั้งเครื่องกรองเชื้อโรค ปลอดภัยกว่าเดินตลาดที่คนแออัด
“ห้าง? เขาจะให้เอาสัตว์เข้าได้เหรอ” จื่อจื่อถามอีก
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นใครเอาเข้าไป” ถ้าเป็นคนปกติหากยามเจอก็กักไว้ตั้งแต่หน้าประตูแล้ว แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นโดยเฉพาะกับผมไห่หลานเยี่ยน
“...ผมลืมได้ไงว่าคุณเป็นใคร ไห่หลานเยี่ยนที่ครองพื้นที่กว่าครึ่งของเมืองS พ่อครับขอผมติดตามไปตลอดชีวิตเลยนะ” จื่อจื่อซุกหน้าลงกับพุงผมระหว่างพูด
“หึ...เว่อร์”
“พูดจริงหรอก”
“ก็ไม่ได้ห้ามนี่” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าสำหรับใส่กระต่ายขึ้นมาแล้วยัดจื่อจื่อเข้าไปด้านในเตรียมออกจากห้อง
“เดี๋ยวสิ ผมยังงงอยู่เลย คุณหมายถึงอะไรน่ะ” กระต่ายในกระเป๋าขยับตัวไปมา
“ลองคิดเอาเองสิ” ผมจบการสนทนาลงทั้งๆ แบบนั้น
พูดเองแท้ๆ ว่าขอติดตามผมไปตลอดชีวิต
ก็ตอบแล้วไงว่าไม่ได้ห้าม
อยากอยู่ตลอดชีวิตก็อยู่เลย...ผมจะดูแลเอง
เดินลงมาจนถึงชั้นล่างมีรถยนต์คันสีดำจอดรออยู่หน้าประตูเรียบร้อย เมื่อผมเดินไปถึงเจียงฮุยก็รีบเปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งด้านในทันที กระเป๋าใส่กระต่ายวางอยู่ด้านข้างติดกับตัวผม
จื่อจื่อเดินไปมาสลับกับเงยหน้ามองผมผ่านหน้าต่าง สายตานั้นคล้ายจะย้ำเตือนให้รู้ว่าจุดหมายของวันนี้ไม่ใช่คฤหาสน์เหมือนอย่างทุกวัน
“ไปห้างHY” ผมบอกชื่อห้างที่จะไปให้ไป๋หยางที่เป็นคนขับได้ยิน
“บอสจะไปห้างเหรอครับ” อีกฝ่ายถามกลับคล้ายจะไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินนัก ทั้งเจียงฮุยและไป๋หยางรู้ดีว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบเดินห้างหรือออกไปไหน ด้วยฐานะที่มีการไปสถานที่พวกนั้นอาจทำให้เกิดอันตรายตามมาได้
“อืม” ครั้งนี้ผมยอมไปเพราะจื่อจื่อ น่าแปลกที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้อ้อนหรือร้องขอ ประโยคที่ได้ยินออกแนวเข้าใจด้วยซ้ำแต่เพราะน้ำเสียงกับใบหน้าหงอยๆ นั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบ
“รับทราบครับ”
รถยนต์คันสีดำแล่นไปตามถนนสายหลักซึ่งเป็นเส้นที่การจราจรค่อนข้างติดขัดในช่วงเย็น ไป๋หยางจึงเปลี่ยนเส้นทางขับไปตามซอยจนทะลุกับทางเข้าห้างที่มีถึงสามทิศ
ระหว่างรถกำลังเคลื่อนที่ผมแอบมองกระต่ายในกระเป๋าตลอด ก่อนหน้านี้ยังง่วงอยู่แท้ๆ พอรู้ว่าจะได้ไปเที่ยวตื่นเต้นไม่หยุดเชียว
กลับไปคงได้สลบยาวจนถึงเช้าอีกตามเคย
เอาเถอะ แค่อีกฝ่ายมีความสุขก็คุ้มแล้ว
เมื่อรถแล่นเข้าไปด้านในไป๋หยางสามารถขับเข้าไปยังที่จอดรถโซนวีไอพีได้โดยไม่ต้องลดกระจกด้วยซ้ำ ถึงผมจะไม่ค่อยมาแต่พวกเขาก็รู้ดีว่าผมเป็นใคร แทบทุกสถานที่ที่ผมเป็นเจ้าของพื่นที่จะมีการเว้นที่จอดรถไว้ให้เพื่ออำนวยความสะดวก
ผมเปิดประตูลงจากรถโดยในมือถือกระเป๋าซึ่งมีจื่อจื่อที่พยายามชโงกดูสิ่งรอบตัวด้วยความตื่นเต้น
“ยังไม่ทันเข้าเลย ตื่นเต้นอะไร” ผมยกกระเป๋านั้นขึ้นมาขณะพูด
“งี๊ดด~” เพราะมีพวกเจียงฮุยกับบอดี้การ์ดด้านหลังอยู่จื่อจื่อจึงใช้การครางและการพยักหน้าเพื่อบอกความตื่นเต้น
“จะพาออกมา อย่าดื้อล่ะ” ผมรูดซิปกระเป๋าออกจับตัวจื่อจื่อมาไว้บนท่อนแขน เจ้าตัวยกส่วนหัวขึ้นใช้ดวงตากลมโตสีดำสนิทมองดูรอบๆ หากหูนั้นสามารถตั้งได้คงเห็นหูทั้งสองข้างตั้งตรงเลยมั้ง
กระเป๋าเปล่าถูกส่งให้เจียงฮุยที่อยู่ใกล้สุดถือต่อ ผมพาจื่อจื่อเดินเล่นยังชั้นล่างไล่ขึ้นไปทีละชั้นผ่านร้านค้ามากมายทั้งขายของกินและของใช้ หลายคนที่มองมายังไม่ทันได้เห็นจื่อจื่อแค่เห็นหน้าผมกับบอดี้การ์ดในชุดดำก็พากันเปิดทางให้โดยดี ผมไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะจับกลุ่มพูดคุยอะไรกันพากระต่ายในวงแขนเดินไปเรื่อยๆ
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนสุดผมบอกให้พวกเจียงฮุยรออยู่ด้านนอกโดยที่ตัวเองพาจื่อจื่อเข้าไปในโซนซุปเปอร์ขนาดใหญ่ รถเข็นด้านหน้าถูกนำมาใช้ ผมลองวางตัวจื่อจื่อไว้ด้านบนของรถเข็นบริเวณที่นั่งซึ่งมีไว้ให้เด็กนั่ง
“นั่งได้ไหม” ผมเอ่ยถามโดยที่ยังไม่ปล่อยมือที่จับไว้
“ขาผมตกลงไปในช่อง หยิบนมซักแพ็คมาวางแล้วให้ผมอยู่ด้านบนได้รึเปล่า” จื่อจื่อมองไปยังชั้นนมที่อยู่ใกล้สุดขณะเสนอความเห็น
“อืม” ผมไม่รอช้าเข็นรถเข้าหยิบนมมาหนึ่งแพ็ควางไว้ด้านล่างค่อยวางตัวจื่อจื่อลงอีกที
“แบบนี้ค่อยดีหน่อย” อีกฝ่ายเหมือนจะพอใจขยับตัวหมุนไปมาแทบจะรอบทิศทางอยู่แล้ว
“ไม่เคยมาห้างรึไง ตื่นเต้นขนาดนี้” ผมส่งเสียงถามพร้อมกับออกเดิน บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนผมจึงสามารถคุยกับจื่อจื่อได้
“เคยสิ ผมไปห้างบ่อยนะทั้งไปดูหนัง เดินเล่นแล้วก็ซื้อของแต่ถ้าพวกอาหารส่วนมากจะซื้อตลาดเอา ประหยัดกว่า” น้ำเสียงของจื่อจื่อเหมือนกำลังระลึกความหลังอยู่ จะบอกว่าเสียงนั้นเศร้าก็ไม่เชิงคงมีหลายๆ ความรู้สึกปะปนอยู่
ถ้าเป็นตัวผมที่วิญญาณต้องเข้ามาอยู่ในร่างกระต่ายคงใช้เวลานานน่าดูกว่าผมจะยอมรับความเป็นจริงได้
“ขนาดเคยมายังตื่นเต้นขนาดนี้”
“ผมเพิ่งเคยมาห้างของต่างประเทศครั้งแรก”
“ก็เหมือนๆ กันนี่” ผมเดินทางไปมาก็หลายประเทศแต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรให้ตื่นเต้นโดยเฉพาะในห้าง
“ไม่เหมือน” อีกฝ่ายเถียง
“ยังไง”
“ความรู้สึก”
“ฮืม...” ความรู้สึกเหรอ
“ของหลายอย่างอาจเหมือนกันก็จริงแต่ความรู้สึกของเราเมื่อเข้าไปเดินมันต่างกัน แต่ละที่ล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ผมไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินห้างของจีน” จื่อจื่ออธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงติดตื่นเต้น จนถึงตอนนี้หัวเล็กๆ นั่นก็ยังหันไปมาไม่หยุด
“นี่จื่อจื่อ” ผมหยุดรถเข็นยังบริเวณที่ไร้ผู้คนก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อจะได้เข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
“อะไรเหรอ” ดวงตาคู่นั้นหันกลับมามองผม
“ก่อนจะชื่อจื่อจื่อนายชื่ออะไร” นี่เป็นสิ่งที่ผมสงสัยแต่ยังไม่เคยถามมาก่อน พอมาย้อนนึกดูสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายนอกจากอยู่ที่ประเทศไทยกับโดนอุบัติเหตุรถชนก็ไม่รู้อย่างอื่นเลย
มีโอกาสก็ถามสักหน่อย
“ต่าย”
“ฮืม?”
“ผมชื่อกระต่าย”
“ทู่จื่อ?”
“ใช่ ความหมายเดียวกัน เพื่อนๆ จะเรียกผมว่าต่าย ผมคิดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าตัวเองผูกพันธ์กับกระต่ายเหลือเกินทั้งชื่อกระต่าย เกิดก็ปีกระต่าย บ้านเคยเลี้ยงกระต่ายและตอนนี้ก็ยังมาเป็นกระต่าย” ใบหน้าของจื่อจื่อคล้ายจะยิ้มยามเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง
“มาเป็นกระต่ายที่ชื่อกระต่ายอีกครั้งน่ะเหรอจื่อจื่อ” พอนึกแล้วก็ตลกดีขนาดวิญญาณหลุดมาเข้าร่างใหม่ก็เหมือนตายแล้วเกิดใหม่แต่ยังได้ชื่อที่มีความหมายเดิมอีก
“คุณตั้งให้เองนะ” อีกฝ่ายเริ่มทำหน้ามู่ทู่
“อยากเปลี่ยนรึเปล่าล่ะ” ผมเริ่มออกเดินอีกครั้ง จุดหมายต่อไปคือโซนสำหรับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าซุปเปอร์ชั้นล่าง
“ไม่ ผมชอบชื่อนี้...ชื่อที่คุณตั้ง”
“หึ” อยู่ภายในอกก็มีความรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา ชักแปลกขึ้นทุกวันแล้วสิตัวผม
“ใหญ่มาก” จื่อจื่อถึงกับยกตัวขึ้นเพื่อมองชั้นวางข้าวของสัตว์เลี้ยงที่เรียงรายอยู่มากมาย
“ใหญ่กว่าที่เคยเห็น?”
“ใช่ ปกติผมเห็นมีอยู่แค่ช่องเดียวสั้นแค่นี้เอง ไม่คิดว่าที่นี่จะมีโซนสัตว์เลี้ยงใหญ่ขนาดนี้” พูดไปจื่อจื่อก็มองซ้ายขวาไม่หยุด
“ก็ใหญ่กว่าชั้นล่าง” ผมพาเดินไปยังส่วนของใช้ต่างๆ
“คุณพามาเพราะรู้ว่าใหญ่กว่าสินะ”
“อืม” ไม่ปฏิเสธ
“จะซื้ออะไรอีก ที่มีอยู่ยังไม่หมดเลยนะ” จื่อจื่อมองตามผมที่หยิบขวดแชมพูสำหรับกระต่ายสามขวดใส่รถเข็น
“ไม่เหมือนกัน” ทั้งยี่ห้อและสรรพคุณ เห็นแบบนี้ผมก็ไม่ได้ซื้อไปทั่ว อย่างแรกที่ดูคือราคาหากถูกไปผมก็ไม่ซื้อ อย่างที่สองคือสรรพคุณของมันที่ต่างจากของเดิมที่มีอยู่
“เปลืองเงิน”
“ฉันรวย” คำเดียวจบทุกอย่าง
คนฟังอย่างจื่อจื่อแทบจะกรอกตามองบนกับคำตอบของผม จะเถียงกลับว่าผมไม่รวยก็ไม่ได้อีก
ทำหน้าตลก
มองใบหน้ามู่ทู่สักพักผมก็เอื้อมมือไปหยิบกระดาษเช็ดเปียกแบบแพ็คมาใส่รถเข็น กระดาษเช็ดเปียกเป็นของที่หมดเร็วที่สุดเพราะต้องใช้เช็ดเช้าเย็น การเช็ดแต่ละครั้งก็ใช้ไปหลายแผ่น
“พอ...พอแล้วหลานเยี่ยน” จื่อจื่อมองผมหยิบสองแพ็คแรกด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่พอหยิบถึงแพ็คที่สิบอีกฝ่ายก็ทนเงียบไม่ไหว
“ยังไม่พอ” ผมหยิบเพิ่มไปอีกหลายแพ็คเมื่อเห็นว่ามีแบบใหม่ที่ไม่เคยเห็นในเว็บมาก่อน สูตรอ่อนโยนต่อขนแถมยังมีกลิ่นใหม่อีก
“เยอะไปแล้ว ครั้งก่อนที่ซื้อไปยังไม่หมดเลย”
“เดี๋ยวก็หมด” ใช้ทุกวันนี่นะ
“คุณคิดจะซื้อตุนไปสำหรับใช้กี่ปีกัน” คำถามนั้นทำเอาผมที่กำลังหยิบกระดาษเช็ดเปียกชะงัก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นโดยไม่รู้ตัวก่อนจะหยิบกระดาษเช็ดเปียกอีกสามแพ็คใส่รถเข็นเพิ่ม
“ทั้งชีวิต” ผมตอบเสียงเบาทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นและเต็มไปด้วยความจริงจัง
“...คุณบอกว่าอะไรนะ”
“ทั้งชีวิต” ผมเอ่ยประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง
“...” จื่อจื่อที่ได้ยินมองผมคล้ายจะไม่เข้าใจ
ถ้ายังไม่เข้าใจผมก็จะขยายความให้
“จะซื้อตุนสำหรับทั้งชีวิตของนายเลยจื่อจื่อ”
ความหมายของผมคือจะเลี้ยงเขาทั้งชีวิตนั่นแหละ
ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นเอามากขนาดนี้
รับผิดชอบด้วยการอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตด้วยล่ะ
...........................................
ขอกรี๊ดดังๆ ให้กับความหลงกระต่ายของหลานเยี่ยน
ความจริงต้องบอกว่าหลงจื่อจื่อถึงจะถูก กระต่ายตัวอื่นคงไม่ได้รับความรักมากมายแบบนี้แน่
ความน่ารักของตอนนี้มห้10เต็ม10
ฮือออ ทำไมจื่อจื่อน่ารักขนาดนี้
เราแต่งแล้วอยากเลี้ยงกระต่ายมากเลย
ที่บ้านเราไม่เคยเลี้ยงกระต่ายมาก่อน ตอนแรกที่คิดพล๊อตนี้ขึ้นมาก็กังวลว่าจะสามารถสื่อความน่ารักของกระต่ายออกมาได้ไหม แต่งได้ขนาดนี้เราภูมิใจกับตัวเองมาก จินตนาการไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
บ้านใครเลี้ยงกระต่ายพันธ์ส่งภาพมาให้ดูได้น้า เราอยากเห็นความน่ารักมากเลย
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจและการโเนทในRAWด้วยค่า
ไว้เจอกันตอนหน้าน้าา
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

งานทั่วหัว=งานท่วมหัว
นาาา