ตอนที่ 18 : เลี้ยงกระต่าย》วันที่ 17《
เลี้ยงกระต่าย》วันที่ 17《
“คุยกับใครอยู่” เสียงของหลานเยี่ยนดังขึ้นจากโต๊ะทำงานตัวเดิม ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นว่าผมกำลังคุยแชทกับใครสักคน
“ก็ฝ่ายนั้นแหละ” ตั้งแต่ที่ผมกลายเป็นสายแบบหลอกๆ ทุกๆ วันผมจะรายงานความเคลื่อนไหวของหลานเยี่ยนส่งไปไล่ตั้งแต่วันนี้ใส่เสื้อผ้าสีอะไร กินอะไรบ้าง ออกจากคฤหาสน์กี่โมง ยันมื้อกลางวัน มื้อเย็นก็บอก ไล่บอกแทบทุกสิ่ง
นี่ก็ผ่านมาจะหนึ่งเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรมากมาย แต่เหมือนตอนนี้ผมจะเจอความคืบหน้าบางอย่างผ่านการแชทคุยกับฝ่ายตรงข้าม
ช่วงแรกๆ อีกฝ่ายไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมาทำเพียงแค่อ่านและจบไปแต่เมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่ๆ ก็เริ่มมีบทสนทนาแทรกเข้ามาอย่าง ‘ทำอะไรอยู่’ ผมก็ตอบไปตามจริงไม่ได้ปิดบังกลายเป็นว่าฝ่ายนั้นกลับแชทถามมาถี่ขึ้นแถมมีท่าทีสนใจผมอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างบทสนทนาสั้นๆ ก็...
‘ทำอะไรอยู่’
‘ลงมาซื้อน้ำครับ’
‘น้ำอะไร ทำไมต้องลงมาซื้อเอง’
‘ยังไม่แน่ใจครับเลยต้องลงมาดูเมนูก่อน อยากลงมาเดินหน่อยแต่ไม่ต้องห่วงนะครับตอนนี้หลานเยี่ยนนั่งทำงานอยู่ไม่ได้ออกไปไหน’
‘อืม เลือกแล้วบอกด้วย’
‘ครับ?’
‘เลือกเมนูที่จะกินได้แล้วบอกด้วย’
‘ได้ครับ’
บทสนทนาก็จะมีประมาณนี้ ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ใช่ลูกน้องระดับล่างอย่างที่ผมเคยคิด เท่าที่เห็นบทสนทนาดูอีกฝ่ายต้องเป็นคนที่ใจเย็นระดับหนึ่ง คนใจร้อนคงไม่วางแผนที่ใช้เวลานานขนาดนี้ได้หรอก
ผมสัมผัสได้ว่าฝ่ายนั้นส่งคนมาจับตามองผมอยู่อีกที แต่ก็แค่จับตามองห่างๆ ไม่ได้เข้ามาทำอะไร บอดี้การ์ดที่ติดตามผมอยู่ก็ถามหลายครั้งว่าจะให้จัดการเลยไหม จัดการไปเดี๋ยวก็คงมีคนใหม่มาตามดูอยู่ดี ฝ่ายนั้นคงจะอยากรู้ว่าผมโกหกหรือพูดจริงรึเปล่าถึงต้องส่งคนมาจับตาดูและรายงานอีกทีว่าตรงกับที่ผมตอบไหม
“ช่วงนี้ทักมาถี่นะ”
“อืม...เหมือนเขากำลังสนใจผมมากๆ”
กึก!
“หมายความว่ายังไง” หลานเยี่ยนวางปากกาในมือลงขณะเงยหน้าขึ้นมอง เอกสารตรงหน้าเหมือนจะหมดความสำคัญในพริบตาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“ก็ทักมาเหมือนกำลังจีบ ถามเรื่องคุณบ้างประปรายแต่ถามเรื่องผมมากกว่า หรือเขาจะเปลี่ยนมาจัดการผมแทน?” ผมลองคิดในมุมกลับแต่คงไม่ใช่หรอกเพราะผมไม่ได้มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ได้มีอำนาจในมือมากมายขนาดนั้น
“ไหนเอามาดู” หลานเยี่ยนหมดอารมณ์ในการทำงานโดยสิ้นเชิง เขาลุกเดินมานั่งข้างๆ คว้าโทรศัพท์ผมไปกดเลขปลดล็อกก่อนจะไล่อ่านแชทด้านใน
รหัสปลดล็อกผมบอกอีกฝ่ายไปตั้งแต่หลังถ่ายรูปคู่ ให้เขาค้นดูได้ตามสบายว่าผมถ่ายรูปเขาในมุมไหนไว้บ้าง ไม่มีปิดบังใดๆ เช่นเดียวกับหลานเยี่ยนที่เอานิ้วมือผมไปทำความรู้จักกับโทรศัพท์กลายเป็นว่าตอนนี้แค่แตะก็สามารถปลดล็อกได้สบายๆ เหมือนกับว่าพวกเราต่างให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามาได้มากขึ้น
ไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน
“ไม่ทำงานจะดีเหรอ งานเยอะนี่” ผมเหล่มองแฟ้มเอกสารบนโต๊ะอีกฝ่ายที่ยังเหลืออยู่หลายแฟ้ม อีกไม่นานก็จะเลิกงานแล้วด้วย
“ไว้ค่อยทำ ข้อความพวกนี้อะไร สนใจมาเป็นของฉันไหม? แล้วนายส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มไปเนี่ยนะ” ดวงตาสีเทาของหลานเยี่ยนตวัดมามองผมอย่างไม่พอใจ
“คุณจะให้ผมตอบไปว่าอะไรล่ะ” สติ๊กเกอร์ที่ผมส่งไปเป็นสติ๊กเกอร์หน้ายิ่มธรรมดา ไม่ได้เป็นการตอบรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ในสถานการณ์แบบนี้จะให้ปฏิเสธตรงๆ ก็คงไม่ดี ผมเลยเลือกวิธีซึ่งเป็นกลางๆ หน่อย
“บอกไปว่าไม่ มีเจ้าของแล้ว” หลานเยี่ยนใช้แขนข้างเดียวโอบเอวผมแล้วกระชับเข้าหา ด้วยน้ำหนักผมไม่ได้ง่ายถึงขนาดที่ถูกยกตัวปลิวแต่ผมก็ยอมที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น
“ใครเจ้าของผม?” ผมยกยิ้มขณะถาม
“จื่อจื่อ”
“ผมว่าตัวเองยังไม่มีใครเป็นเจ้าของนะ”
“นายเป็นของฉัน” น้ำเสียงกับสายตาของหลานเยี่ยนสื่อความจริงจังมา
“ผมยังไม่ได้ตกลง”
“จื่อจื่อ อย่าดื้อ”
“คุณก็รู้ในสถานการณ์แบบนี้จะให้ผมปฏิเสธไปตรงๆ ไม่ได้ ผมกำลังสร้างความเชื่อใจกับฝ่ายนั้นอยู่” ผมบอกเหตุผลไปตามจริง
“การสร้างความเชื่อใจต้องคุยเล่นเหมือนเป็นคนรักกันขนาดนี้เลย? ขนาดฉันนายยังไม่เคยคุยแชทกันมากแบบนี้” อีกฝ่ายขยับนิ้วไล่อ่านข้อความด้านบน ยิ่งอ่านคิ้วสองข้างก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น
“เหมือนกันที่ไหน กับคุณผมอยู่ด้วยแทบจะตลอดเวลา แทนที่จะก้มหน้าส่งข้อความผมเงยหน้ามองคุณแล้วพูดไม่ดีกว่ารึไง” ปกติผมจะส่งไลน์หาหลานเยี่ยนช่วงออกไปเที่ยวข้างนอกกับหลินเซียนเท่านั้น เวลาอื่นก็คุยกันตรงๆ
คุยแบบมองหน้าให้ความรู้สึกดีกว่าคุยผ่านข้อความเยอะ
“...ก็ดีกว่า แต่ไม่จำเป็นต้องคุยกับมันขนาดนี้ก็ได้”
“ยิ่งคุยเขายิ่งแสดงตัวออกมามากขึ้น ตอนนี้ผมค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าอีกฝ่ายเป็นบอสอย่างแน่นอน ดูประโยคล่าสุดที่ส่งมาสิ” ผมเอียงหน้าไปมองโทรศัพท์ตัวเองในมือของหลานเยี่ยนเลื่อนมาด้านล่างสุดซึ่งเป็นข้อความจากฝ่ายนั้นที่ผมยังไม่ตอบ
“หลังจัดการหลานเยี่ยนแล้วมาเป็นของฉันนะ ฉันจะให้นายมากกว่าที่หลานเยี่ยนเคยให้?” หลานเยี่ยนอ่านข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาด้วยสายตาขวางๆ หากฝ่ายนั้นมายืนตรงหน้าหลานเยี่ยนคงไม่ลังเลที่จะยกปืนขึ้นไปยิง
“ใจเย็นหลานเยี่ยน” ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองกลับมาก่อนจะถูกบีบจนแหลกคามือ
“ฉันไม่ยอมยกนายให้ใครแน่!”
“ผมรู้” อย่าว่าจะยกให้ใครเลยแค่ผมอยู่ห่างสายตานานๆ ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ให้นายมากกว่าที่ฉันให้เหรอ หึ...ไม่มีทาง ฉันให้นายได้มากกว่ามันเยอะ” หลานเยี่ยนเอนตัวพิงเบาะเอียงหน้ามามองผมด้วยสายตาสื่อความหมาย
“เพราะคุณรวย?” อีกฝ่ายมักใช้เหตุผลนี้บ่อยๆ
“ใช่ แต่ที่ฉันพูดหมายถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง”
“สิ่งที่จับต้องไม่ได้งั้นเหรอ”
“ความรู้สึก”
“...?”
“ความรู้สึกที่ฉันมีให้นายมากกว่าใครทั้งนั้น”
“หลานเยี่ยน...” ผมไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคหวานๆ แบบนี้จากเขา
“ฉันรักนาย รักมากๆ รักจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” หลานเยี่ยนก้มหน้าลงเล็กน้อยใช้ปลายจมูกคลอเคลียปลายจมูกผมเล่นทั้งที่ดวงตากำลังสอดประสาน
ราชสีห์ในตอนนี้กำลังแสดงความรัก...ความรักที่มีต่อผม
“คุณนี่หลงผมมากนะเนี่ย” ไม่ปฏิเสธว่าเขินทว่าความรู้สึกดีใจกลับมีมากกว่า
“อืม แล้วนายล่ะ หลงฉันรึยัง” อีกฝ่ายถามกลับ
“...หลงแล้ว” ผมก้มหน้าลงหลบสัมผัสของปลายจมูกที่คลอเคลียกับสายตาคู่คม
“จื่อจื่อ”
“หลานเยี่ยน...อื้อออ~” ผมที่ถูกอีกฝ่ายจับปลายคางให้เงยขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวได้รับสัมผัสจากริมฝีปากร้อนผ่าวลงมาประกบในเสี้ยววินาที
เพราะกำลังตกใจเลยไม่มีโอกาสที่จะขัดขืนส่งผลให้อีกฝ่ายสามารถรุกรานเข้ามาได้ ยามปลายลิ้นแตะโดนผมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่าน เป็นประจุที่ชักชวนให้จมดิ่งลงไป
จูบอันแสนดูดดื่มเต็มไปด้วยความรู้สึกดีที่ไม่ว่ากี่ครั้งก็เหมือนจะไม่เพียงพอ จากตอนแรกที่ผมอยู่นิ่งๆ ยอมรับสัมผัสตอนนี้กลายเป็นว่าผมเงยหน้าขึ้นเปิดรับ ยินยอมให้อีกฝ่ายเก็บเกี่ยวได้ตามใจ
ยิ่งสัมผัสยิ่งต้องการ ยิ่งต้องการยิ่งสัมผัส วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่จบสิ้น
กว่าริมฝีปากจะแยกห่างลมหายใจก็เหหมือนจะหมดลง ใบหน้าของผมแดงก่ำก้มมองมือตัวเองที่ขยุ้มเสื้อทำงานหลานเยี่ยนแน่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเพราะเกรงว่าจะไปปลุกอารมณ์จนโดนจูบอีกครั้ง
“ชอบทำตัวน่ารัก” หลานเยี่ยนกระซิบข้างหูก่อนจะกดจูบยังแก้มแดงๆ ของผมอีกหลายครั้ง
“...ผมเปล่า”
“อยากฟัดนายจังจื่อจื่อ”
“รีบไปทำงานเลย” ผมผลักแผ่นอกอีกฝ่ายเบาๆ เพิ่งถูกจูบมาก็เขินพอแล้วขืนถูกฟัดอีกต้องแย่แน่ๆ
“ทำเสร็จแล้วฟัดได้รึเปล่า” อีกฝ่ายถามต่อ
“ไม่ได้” เส้นผมสีดำสนิทของผมสยายไปมาตามการปฏิเสธ
“จะฟัด”
“เอาแต่ใจ” ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายตาขวาง
“ก็รู้นี่ ปฏิเสธฉันไม่ได้หรอกจื่อจื่อ”
“...รีบไปทำงานเลย”
“จะได้รีบมาฟัด?”
“หลานเยี่ยน!”
“หึ...ทำหน้าดุๆ แบบนั้นน่ากลัวจัง” หลานเยี่ยนยกยิ้มมองผมด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนอีกฝ่ายจะกลับไปทำงานยังก้มลงมาหอมแก้มผมอีกหลายทีกว่าจะยอมลุก
หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ไม่เคยใจเต้นกับใครมากเท่านี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหนื่อยกับการเขิน
คงเป็นเพราะผม...ชอบหลานเยี่ยนมากขึ้นทุกที
ชอบมากจนไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นคำว่ารักตอนไหน และถึงจะเปลี่ยนไปตอนนี้ผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด มันหยุดความรู้สึกนี้ไม่ได้จริงๆ
ผ่านไปหลายวันการเป็นสายของผมยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายนั้นไว้ใจผมมากขึ้นตามลำดับ และตอนนี้คงจะไว้ใจมากถึงขนาดที่ส่งข้อความมาให้ผมลงมือทำบางอย่าง...
‘ตัดสายเบรกรถหลานเยี่ยนซะ’
นั่นคือข้อความล่าสุดที่ส่งมา
ฝ่ายนั้นไม่ได้บอกว่าต้องลงมือเมื่อไหร่ นั่นคงหมายถึงให้ผมหาเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยลงมือ เมื่อได้รับข้อความนี้ผมไม่รอช้ายื่นโทรศัพท์ส่งให้หลานเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ดูด้วย
หลานเยี่ยนอ่านข้อความก่อนจะบอกเจียงฮุยและไป๋หยางที่นั่งอยู่ให้รู้สถานการณ์ พวกเรานั่งประชุมเสนอความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่าควรทำยังไง ถ้าผมไม่ทำความเชื่อใจที่สร้างมาก็คงพังลง แต่หากผมทำไม่ใช่แค่หลานเยี่ยนที่จะเป็นอันตรายแต่ยังรวมถึงเจียงฮุยกับไป๋หยางด้วย
ระหว่างกำลังตัดสินใจหาทางออกโทรศัพท์ผมก็สั่น ข้อความจากฝ่ายนั้นเด้งขึ้นมา ผมเปิดอ่านพร้อมกับอีกสามคนที่ชโงกมองมาด้วยความสงสัย...
‘ตัดเบรกแล้วแกล้งป่วยซะ ไม่ต้องขึ้นรถไปด้วยล่ะ’
นั่นเป็นข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมา หลานเยี่ยนที่เห็นแทบจะหยิบโทรศัพท์ผมไปปาทิ้ง ยังดีที่ผมคว้ามันมาได้ก่อนจะถูกคว้าไป ไม่งั้นคงได้ซื้อโทรศัพท์ใหม่แน่
“ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ได้แค่สนใจคุณต่ายนะครับ” เจียงฮุยพูด
“ผมเห็นด้วย แบบนี้คงชอบคุณต่ายแน่ๆ” ไป๋หยางพยักหน้าเสริม
“เหอะ อย่าให้เจอ...ไม่ปล่อยไว้แน่” หลานเยี่ยนทำหน้าทะมึน
“ตอนนี้มีเบาะแสอะไรเพิ่มเติมไหมครับ” ผมถามต่อ
“จำกัดวงให้แคบลงได้มากแล้วครับ ผมเชื่อว่าถ้ามีเรื่องเกิดกับท่านหลานเยี่ยนฝ่ายนั้นต้องเคลื่อนไหวแน่ และตอนนั้นเราคงได้รู้ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร” เจียงฮุยตอบ
“แปลว่าเราต้องเล่นไปตามที่ฝ่ายนั้นต้องการสินะ”
“ใช่ครับ”
“แต่แบบนี้มันอันตรายเกินไป การตัดสายเบรกนั่นหมายถึงยังไงก็ต้องเกิดอุบัติเหตุขึ้น ดีไม่ดีอาจอันตรายมาก” ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีนี้ แต่ก็รู้ว่ายังไงสุดท้ายก็คงต้องทำ
“ตอนแรกฉันก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่”
“ใช่ไหมล่ะ” ผมหันไปมองหน้าคนข้างตัว
“มันอันตรายและฉันเป็นห่วงนาย แต่ถ้านายไม่ต้องเข้าไปเสี่ยงด้วยก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เล่นไปตามนั้น เตรียมการให้พร้อมอีกสองวันตัดสายเบรก” หลานเยี่ยนสรุปเสียงนิ่ง ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าได้ตัดสินใจแล้ว
ผมอยากค้านแต่ก็รู้ว่าไม่ควร จึงได้แต่เม้มปากแน่นมองดูอีกฝ่ายคุยกับลูกน้องคนสนิทต่อ การจะหาตัวการที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่เรื่องง่ายดังนั้นบางครั้งก็ต้องยอมเสี่ยง หากสำเร็จคงได้รู้แน่ว่าอีกฝ่ายเป็นใครและความเชื่อใจที่ฝ่ายนั้นมีต่อผมคงพุ่งสูงขึ้นไปอีก
ตลอดสองวันผมมีแต่ความกังวลอัดแน่นอยู่ ยิ่งเช้านี้วันที่รถซึ่งกำลังถูกตัดสายเบรกจอดอยู่ด้านหน้าพร้อมกับหลานเยี่ยนที่เตรียมจะขึ้นไป ใจผมก็เต้นรัวด้วยความกังวล บรรยากาศในเช้าวันนี้ค่อนข้างเคร่งเครียดทั้งเจียงฮุยและไป๋หยางต่างต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งคู่ไม่สามารถให้คนอื่นทำหน้าที่แทนได้เพราะจะทำให้ฝ่ายนั้นเกิดความสงสัย
“หลานเยี่ยน” ผมเอ่ยเรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนอีกฝ่ายแน่น หลานเยี่ยนหันกลับมามองผม เพียงแค่มองเขาก็รับรู้ได้ว่าผมกำลังกังวล เขารวบตัวผมเข้าไปกอด ลูบแผ่นหลังเบาๆ เป็นเชิงปลอบ
“ฉันจะไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลจื่อจื่อ”
“จะไม่กังวลได้ยังไง”
“จื่อจื่อ”
“ให้ผมนั่งไปด้วยเถอะ” ถ้าผมนั่งไปด้วยอย่างน้อยก็ยังเผชิญสถานการณ์นั้นด้วยกันไม่ใช่ต้องมาร้อนรนเฝ้ารอคอยด้วยความร้อนใจอยู่ที่นี่
“ไม่ได้ ฉันไม่อยากให้นายเป็นอันตราย” หลานเยี่ยนส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผมก็ไม่อยากให้คุณเป็นอันตราย”
“ฉันยอมเสี่ยงจื่อจื่อ...ยอมเสี่ยงในแผนการที่เรารู้ล่วงหน้าดีกว่าให้อีกฝ่ายลงมือโดยที่เราไม่สามารถป้องกันได้ทัน” อีกฝ่ายบอกเหตุผล
“ผมเข้าใจแต่ก็เป็นห่วงคุณ จะไม่บาดเจ็บใช่ไหม” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
“จะพยายามให้บาดเจ็บน้อยที่สุด”
“ระวังตัวให้มากๆ นะ”
“อืม”
“ผมจะรอคุณกลับมา”
“รอฉันจื่อจื่อ”
“ต้องไม่เป็นไรนะหลานเยี่ยน คุณ...อยากฟัดผมไม่ใช่เหรอ” ผมเม้มปากแน่นเพราะอายกับประโยคที่กำลังจะพูดออกไป
“จื่อจื่อ...”
“รีบกลับมาฟัดผมนะ...ผมจะรอให้คุณกลับมาฟัด” กว่าจะเอ่ยจบประโยคใบหน้าผมก็แดงก่ำ แม้จะมองไม่เห็นตัวเองแต่ผมสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิบนใบหน้าพุ่งสูงขึ้นแค่ไหน
“ฉันจะรีบกลับมาฟัดนาย เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ” ดวงตาสีเทาหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายราชสีห์ที่กำลังจะเข้าโหมดนักล่าทว่าหลานเยี่ยนกลับสะกดมันเอาไว้ทำเพียงหอมแก้มไปฟอดใหญ่ก่อนจะก้าวขึ้นรถไป
“ทุกคนระวังตัวด้วยนะ ปลอดภัยกลับมานะครับ” เจียงฮุยและไป๋หยางที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมาส่งยิ้มให้ผมก่อนที่รถยนต์จะเคลื่อนออกไปจากคฤหาสน์
ตลอดหลายชั่วโมงผมไม่เป็นอันทำอะไรเดินวนไปวนมาอยู่บริเวณโถงชั้นล่างจนแม่บ้านหลายคนต้องหยุดมอง สถานการณ์ในตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะไปนั่งเล่นเกมหรือทำอย่างอื่น มีเพียงความเป็นห่วงและกังวลที่อยู่ในหัว
ผมไม่ได้โทรศัพท์ไปหาเพราะเกรงว่าจะทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิม การโทรไปของผมอาจทำให้พวกเขาเสียสมาธิและเป็นอันตราย เมื่อคิดแบบนั้นผมจึงต้องอดทนและเฝ้ารอ
คนที่เป็นฝ่ายเฝ้ารอเวลามักจะเดินช้ากว่าปกติเสมอ มื้อกลางวันผมแทบไม่ได้แตะอะไรนั่งกังวลไปต่างๆ นานา ถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ซึ่งแต่ละเหตุการณ์ที่คิดได้มีแต่เหตุการณ์ไม่ดีทั้งนั้น ยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล ยิ่งเป็นกังวลก็ยิ่งเครียด ผมพยายามจะไม่คิดอะไรแต่จนแล้วจนรอดก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
เสียงของรถยนต์ที่กำลังแล่นเข้ามาเรียกสติที่กำลังจมดิ่งลงให้กลับเข้ามา ผมแทบจะวิ่งเข้าไปหารถแต่ก็รู้ว่าห้ามทำจึงกอดตัวเองไว้ สั่งขาว่าห้ามเดินห้ามวิ่ง รอกระทั่งเจียงฮุยลงจากรถและเดินมาเปิดประตูหลังให้หลานเยี่ยนลงมาผมก็แทบควบคุมตัวเองไม่ได้วิ่งเข้าไปหาพร้อมกับมองสำรวจแทบทุกส่วน
บริเวณหน้าผากของหลานเยี่ยนมีผ้าก๊อซแปะไว้ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยถลอกประปรายแต่ไม่มากอะไร ส่วนที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณแขนขวาซึ่งมีการดามเข้าเฝือกไว้ เป็นไปได้ว่าแขนข้างนั้นคงได้รับบาดเจ็บไม่ก็หัก
“แขนคุณ...หักเหรอ?” ผมเอื้อมมือไปใกล้อยากจะแตะสำรวจแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะเจ็บจึงทำได้แค่มองไม่แตะอะไร
“ไม่เชิงหักแค่เจ็บนิดหน่อย ใส่เฝือกไว้ทางนั้นจะได้เห็นว่าบาดแผลสาหัสหน่อย สองอาทิตย์ค่อยไปให้หมอเอาออกอีกที” หลานเยี่ยนตอบ
“มีตรงไหนที่เจ็บอีกไหม” ผมถามต่อพยายามมองไปยังบริเวณอื่นอย่างขาแต่อีกฝ่ายใส่ขายาวจึงมองไม่เห็นภายใน
“มีแผลถลอกที่ขาอีกเล็กน้อยไม่เป็นไรมาก ไม่ต้องกังวลจื่อจื่อ ฉันปลอดภัยดี” หลานเยี่ยนวางมืออีกข้างที่ไม่ได้เข้าเฝือกบนหัวผมพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ กลับมา
“...แบบนี้ไม่เรียกว่าปลอดภัยหรอกนะ” มีแผลทั้งตัวเลยถึงจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิตแต่แค่มองก็เจ็บแทนแล้ว
“นายจะดูแลฉันใช่รึเปล่า” อีกฝ่ายถามพลางก้มหน้าลงมาหา
“ดูแลสิ แล้วเจียงฮุยกับไป๋หยางเป็นยังไงบ้าง” ผมหันไปมองคนด้านหลังที่ก้าวเข้ามาใกล้
เจียงฮุยมีบาดแผลบนใบหน้าเล็กน้อยทว่าบริเวณลำคอกลับมีผ้าพันจนผมเริ่มใจไม่ดี ส่วนไป๋หยางนั้นแค่ผ้าที่พันหัวอยู่เกือบครึ่งนั่นก็ทำเอาผมแทบลมจับ พวกเขาเห็นอาการผมจึงรีบพากันอธิบาย...
“ผมไม่เป็นไรมากครับคุณต่าย ตรงคอนี่นิดหน่อยแต่ไม่เป็นอันตรายรอแผลสมานก็หายดีแล้วครับ” เจียงฮุยอธิบายเป็นคนแรก
“ของผมเอ่อ...หัวแตกน่ะครับเย็บไปสามเข็มแต่นอกนั้นเป็นแผลโดยเศษกระจก ทายาไม่กี่วันก็หาย ไม่ต้องกังวลนะครับ” ไป๋หยางพูดต่อ
“บาดเจ็บกันขนาดนี้” ผมมองหน้าทั้งสามคนสลับกันไปมา นี่ขนาดรู้ล่วงหน้ายังบาดเจ็บขนาดนี้ผมไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไม่รู้เรื่องผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง
“สิ่งที่แลกกับอาการบาดเจ็บนี้มันคุ้มค่าแน่จื่อจื่อ อีกไม่กี่วันคงได้รู้กันว่าตัวการที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร” หลานเยี่ยนเปลี่ยนจากลูบหัวผมมาเป็นดึงแก้มเบาๆ เพื่อให้คลายกังวล
ผมส่งยิ้มบางๆ ตอบกลับไปก่อนพวกเราจะพากันเดินเข้าไปด้านใน ผมกับหลานเยี่ยนนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกรอจนได้เวลามื้อเย็นถึงค่อยเดินไปห้องอาหาร วันนี้เจียงฮุยกับไป๋หยางไม่ได้มาร่วมโต๊ะด้วยทั้งห้องจึงมีพวกเรากับแม่บ้านที่ยืนคอยรับใช้อยู่ด้านหลัง
ห้องครัวคงรู้ว่าหลานเยี่ยนบาดเจ็บจึงได้ทำเป็นอาหารที่กินง่ายอย่างข้าวต้มทะเล ถึงจะกินง่ายแต่เพราะต้องใช้มือข้างที่ไม่ถนัดตักกว่าจะกินได้แต่ละคำเลยต้องใช้เวลาพอสมควร
“ไหวไหมหลานเยี่ยน” มองอีกฝ่ายใช้มือซ้ายข้างที่ไม่ถนัดอยู่นานผมก็เอ่ยถาม ตอนนี้ข้าวต้มในถ้วยผมหมดไปแล้ว
“พอไหว”
“ให้ผมช่วยไหม”
“ช่วย?”
“ผมป้อนไหม” ผมถามไปตามที่คิด และไม่รอให้หลานเยี่ยนตอบขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้เลื่อนชามข้าวต้มมาตรงหน้าตัวเอง ใช้ช้อนตักแล้วยื่นไปจ่อปาก
“...” หลานเยี่ยนเหมือนคนกำลังอึ้ง เขามองหน้าผมสลับกับช้อนที่ผมยื่นไปจ่อปาก
“หลานเยี่ยน อ้าปาก” ผมสั่งอีกฝ่าย สั่งไห่หลานเยี่ยนมาเฟียผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชสีห์ขนทอง ใครได้ยินคงต้องว่าผมฝันกลางวันไปไกล
จะมีสักกี่คนที่ได้เห็นภาพของราชสีห์ที่อ้าปากทำตามคำสั่งของผมโดยดีแบบนี้ หลานเยี่ยนกินข้าวต้มที่ผมป้อนเรื่อยๆ โดยไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมานอกจากสายตาคู่คมนั่นที่จ้องหน้าผมไม่หยุด
ข้าวต้มทะเลมีทั้งกุ้ง ปลาและปลาหมึก ดีที่กุ้งทางพ่อครัวแกะไว้ให้จึงแค่ตัดส่วนหางหางออกก็ป้อนคำต่อไปได้ ผมป้อนไปเรื่อยๆ จนข้าวต้มหมดถ้วยแล้วจึงส่งยาหลังอาหารให้ต่อ
“ขอบใจ” หลานเยี่ยนบอกหลังดื่มน้ำเสร็จ
“ผมยินดีช่วย คุณอยากอาบน้ำไหมหรือจะเช็ดตัวดี” ผมกับหลานเยี่ยนพากันเดินกลับขึ้นไปบนห้อง
“อยากอาบน้ำ”
“งั้นแช่ในอ่างละกันเดี๋ยวผมไปเปิดน้ำเตรียมไว้” สภาพแบบนี้คงไม่เหมาะจะใช้ฝักบัวอาบ ให้นอนแช่น้ำสบายๆ น่าจะดีกว่า
“แช่ด้วยกันสิ” หลานเยี่ยนหันมามองขณะถาม
“ไม่ล่ะ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันอยากสระผมด้วย”
“...ผมจะเข้าไปช่วยสระผมให้คุณ” ผมไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดให้คนที่ใช้ได้มือเดียวสระผมเองหรอกนะ
“เข้ามาอาบด้วยกันสิ” ประโยคเดิมดังขึ้นเป็นรอบที่สอง
“ไม่เอา นั่งรอดีๆ เดี๋ยวผมไปเปิดน้ำก่อน” พูดจบผมก็เดินเข้าไปเปิดน้ำในอ่างรอไว้ กลับออกมาต้องเตรียมเอาถุงมาครอบเฝือกไม่ให้โดนน้ำอีก
หลานเยี่ยนนั่งนิ่งๆ มองผมคอยบริการจัดการทุกอย่างด้วยสายตาอ่อนโยน เขากำลังมีความสุขที่มีผมคอยดูแลแม้จะไม่ค่อยชำนาญนักแต่ผมก็พยายามเต็มที่
“ถอดเสื้อผ้าให้หน่อย” หลานเยี่ยนลุกขึ้นเตรียมพร้อมจะอาบน้ำเต็มที่
“ได้” ผมไม่ปฏิเสธถอดเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายจนทั้งร่างเปลือยเปล่า จะว่าบอกว่าไม่เขินก็คงไม่ใช่ เรียกว่าพยายามข่มความเขินอายไว้จะตรงกว่า
หลานเยี่ยนเดินลงไปแช่น้ำในอ่าง มือข้างที่เจ็บวางไปตรงขอบอ่าง ส่วนผมนั้นไปนั่งอยู่ขอบอ่างในมือถือฝักบัวสำหรับสระผมให้ ดวงตาของพวกเราประสานกันในจังหวะที่หลานเยี่ยนแหงนหน้าขึ้นส่วนผมก้มหน้าลงไป เวลาราวกับหยุดเดินไปชั่วขณะ
เมื่อตั้งสติได้ผมค่อยๆ สัมผัสเส้นผมสีทองหม่นที่ยาวจนเกือบถึงสะโพกให้โดนน้ำอย่างทั่วถึงก่อนจะใส่แชมพูและเริ่มสระอย่างเบามือ ระหว่างที่ผมกำลังสระผมให้อย่างขะมักเขม้นหลานเยี่ยนก็ยังไม่ละสายตาออกจากผม เอาแต่มองอยู่อย่างนั้นจนผมต้องเลิกคิ้วถามว่ามีอะไรรึเปล่า
“สระเก่งนะ สระให้คนอื่นบ่อยเหรอ” หลานเยี่ยนเปิดบทสนทนา
“ถ้าผมบอกว่าบ่อยคุณจะโกรธไหม”
“โกรธ”
“คิก...”
“สรุปว่าสระให้คนอื่นบ่อย?” หลานเยี่ยนถามย้ำ
“เปล่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสระผมให้คนอื่น” ผมไม่คิดจะโกหกหลานเยี่ยนอยู่แล้วแค่อยากแกล้งนิดๆ หน่อยๆ
“พูดจริง?”
“จริงสิ”
“ทำไมสระเก่ง” อีกฝ่ายถามต่อ
“ผมไม่ได้สระเก่งหรอกแค่พยายามคิดว่าต้องสระแบบไหนคุณถึงจะรู้สึกดี ผมยาวแบบนี้ถ้ารุนแรงไปคุณคงเจ็บ ดีไม่ดีผมคงพันกันไปหมด” ผมไว้ผมสั้นมาทั้งชีวิต วิธีสระผมยาวๆ ผมไม่รู้หรอกแค่พยายามทำให้เบามือก็เท่านั้น พอได้ยินหลานเยี่ยนบอกผมสระเก่งภายในอกก็พองฟูขึ้นมา
“จื่อจื่อ”
“ฮืม?”
“ทำไงดี”
“หมายถึงอะไร”
“อยากฟัดนายจัง” คำพูดตรงๆ จากหลานเยี่ยนไม่ว่าฟังกี่ครั้งก็ไม่เคยจะชิน
“...แขนเจ็บอยู่จะฟัดยังไง” ผมจำได้ว่าตัวเองบอกไว้เมื่อเช้าว่ายังไง หลานเยี่ยนคงไม่คิดจะฟัดผมทั้งที่เจ็บแขนอยู่หรอกนะ
“ไม่ต้องใช้แขนก็ฟัดได้” หลานเยี่ยนมองมาทางผมระหว่างพูด
“คุณนี่นะ” ผมหมดคำพูดถือฝักบัวล้างแชมพูออกจากเส้นผมสีทองหม่นอย่างเบามือ
“ยอมฉันเถอะ”
“ถ้าผมไม่ยอม?”
“ก็จะบังคับให้ยอม” พูดจบหลานเยี่ยนก็อาศัยจังหวะที่ผมลุกไปเก็บฝักบัวดึงผมให้ลงมาอยู่ในอ่างด้วยกัน ร่างของผมนั่งทับอยู่บนตักเปลือยเปล่าของหลานเยี่ยนในสภาพที่หันหน้าเข้าหากัน
“หลานเยี่ยน คุณทำอะไรเนี่ย ถ้าเกิดผมไปโดนแขนคุณเข้าจะทำ...อ๊ะ! หลานเยี่ยน” คำบ่นของผมแทบไม่มีผลใดๆ เพราะคนถูกบ่นเมินโดยสิ้นเชิงแถมยังซุกหน้าลงขบเม้มลำคอผมอย่างเพลิดเพลิน
“อยากฟัดนายสุดๆ ไปเลย” หลานเยี่ยนไม่พอแค่บริเวณลำคอแต่ยังพรมจูบไล่ขึ้นมาตั้งแต่ลูกกระเดือก ปลายคาง จมูก แก้มทั้งสองข้างและปิดท้ายด้วยหน้าผาก เรียกว่าไม่มีบริเวณไหนที่ริมฝีปากนั้นยังไม่เคยลากผ่าน
“อื้อ! หลานเยี่ยน...พอ อ๊ะ!” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อปลายจมูกถูกขบเบาๆ
“ไม่พอ ยังไม่พอจื่อจื่อ” หลานเยี่ยนฟัดแก้มซ้ายผมแรงๆ หลายทีจนรู้สึกชา
“แต่...อ๊ะ...อะไร...หลานเยี่ยน” ผมแทบจะหลุดตะโกนเมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งขืนเบื้องล่างที่เสียดสีกางเกงผมอยู่
“นายทำฉันทนไม่ไหว”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” แค่สระผมให้เฉยๆ เองนะ
“ไม่รู้ล่ะ นายต้องรับผิดชอบ”
“โยนความผิดให้ผมแบบนี้เลยเหรอ มือคุณก็มีงั้นก็จัดการเอง...อื้ออ~!” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบริมฝีปากของหลานเยี่ยนก็ประกบลงมา
ครั้งนี้หลานเยี่ยนไม่ได้รุกเข้ามาในทันที เขากดจูบซ้ำๆ สลับกับขบเม้มริมฝีปากทั้งบนและล่างของผมคล้ายกำลังเชิญชวนให้ผมเป็นฝ่ายรุกกลับไป เสน่ห์ของหลานเยี่ยนแต่เดิมก็มีมากอยู่แล้วยิ่งมาอยู่ในสภาพที่เปียกปอนแบบนี้ผมเหมือนถูกดึงให้ตกลงไปในหลุมอันไร้ก้นบึ้ง
ผมเป็นฝ่ายเปิดฉากการรุกสอดปลายลิ้นของตัวเองเข้าไปพัวพัน รสสัมผัสของจูบที่ผมเป็นฝ่ายชักนำไม่ได้ดูดดื่มหรือร้อนแรงทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวพลิกกลับมารุกอย่างรุนแรง
------------------------ตัดๆๆ สามารถเข้าไปอ่านได้ในFiction Readawriteค่ะ------------------------
“อ่า...ทำกับนาย...รู้สึกดีสุดๆ” หลานเยี่ยนซุกหน้าลงยังซอกคอผมระหว่างบอก
“...ผมก็เหมือนกัน” รู้สึกดีมากๆ
“ถ้ามือไม่เจ็บคงดีกว่านี้ น่าเสียดาย”
“พอเลย คุณคิดจะทำอะไรน่ะ” แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ
“อยากจะสัมผัสนายให้ทั่วทั้งร่าง แต่ก่อนจะทำฉันต้องทำให้หัวใจนายเป็นของฉันซะก่อน” อีกฝ่ายพูดต่อ เขาใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บกอดเอวผมแน่น
“...งั้นก็ทำได้แล้วนี่” ผมพึมพำเสียงเบาหวิวก้มหน้าลงซุกอีกฝ่ายบ้าง
“จื่อจื่อ?”
“ผมขอพักหน่อย”
“เดี๋ยวสิ ที่พูดหมายความว่ายังไง” หลานเยี่ยนถามกลับ
“ก็ตามที่ได้ยินนั่นแหละ” ผมไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านี้เพราะแค่นี้ก็อายมากพอแล้ว
ต้องทำให้หัวใจผมเป็นของเขาก่อนค่อยทำเหรอ
งั้นก็ทำได้แล้วล่ะเพราะตอนนี้หัวใจผมเป็นของชายที่ชื่อไห่หลานเยี่ยนแล้ว
................................................
งื้ิิอออ นั่งปิดตาหลบอยู่หน้าห้องน้ำ 555
น่ารักจริงๆ คู่นี้ เอาจริงๆ คือตอนแรกไม่ได้วางไว้ว่าจะมีฉากนี้ในห้องน้ำแต่ไม่รู้ทำไมอารมณ์มันถึงได้ สุดท้ายก็แต่งออกมาจนจบอย่างงงๆ หลานเยี่ยนมาสะกดจิตเราแน่ๆ เลย
หลายคนสงสัยเรื่องภาษาที่ทั้งคู่ใช้สื่อสารกัน ความจริงคือจื่อจื่อฟังภาษาจีนได้สังเกตได้จากตอนแรกที่ฟังบทสนทนาของคนรอบข้างได้และรู้ความหมายของชื่อจื่อจื่อ จากนั้นตอนจื่อจื่อกลับเข้ามาอยู่ในร่างเดิมทั้งคู่จะเน้นสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษค่ะ
อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วนะคะ
ฝากติดตามจนจบด้วยน้า
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิด_ก ตูไม่ได้เรียนช่างกล สายเบรกคือสายไหน อยู่ตรงไหนของรถ ต้องเปิดฝากระโปรงไหม
เขิน...นนนน
รอน้าา