ตอนที่ 17 : เลี้ยงกระต่าย》วันที่ 16《
เลี้ยงกระต่าย》วันที่ 16《
'อ๊ะ! หลานเยี่ยน'
'จื่อจื่อ...อ่า'
'...อ๊า...หลานเยี่ยน...อย่า...'
'จื่อจื่อ...ไม่ไหวแล้ว'
'อ๊า!'
เฮือก!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงลามกมากมายที่ผุดเข้ามาเป็นฉากๆ เสียงครางหวานที่ชวนให้ลุ่มหลงจนอยากรีดเค้นเสียงนั้นให้ครางดังยิ่งกว่านี้...เสียงนั้นเป็นเสียงของจื่อจื่อไม่ผิดแน่
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
จำได้ว่าพวกเรานั่งกินข้าวจิบวิสกี้กันอยู่ที่ระเบียง ผมซึ่งดีใจที่ได้ดื่มกับจื่อจื่อจึงกระดกไปหลายแล้วจนสุดท้ายก็เริ่มเบลอ ความทรงจำสุดท้ายคือตอนที่ผมขึ้นคร่อมจื่อจื่อพร้อมกับบอกว่าขอฟัด นับจากเหตุการณ์นั้นผมก็จำอะไรไม่ได้นอกจากเสียงครางอย่างเร้าอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาเป็นช่วงๆ
สิ่งแรกที่ผมทำคือหันไปมองจื่อจื่อซึ่งนอนอยู่ข้างๆ ผ้าห่มสีขาวคลุมตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงปลายคางเรียกว่ามีแค่ส่วนหัวที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมา
ว่าแต่...ทำไมวันนี้จื่อจื่อไม่นอนกอดผม?
ปกติตื่นมาทีไรภาพแรกที่ผมเจอก็จะเป็นภาพของจื่อจื่อที่กอดผมแน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าขาวๆ ของคนหลับสนิทซุกอยู่บริเวณแผ่นอกเปลือยเปล่า แต่วันนี้จื่อจื่อนอกจากจะไม่ซุกไม่กอดแล้วยังพลิกตัวตะแคงไปอีกฝั่ง ด้วยความอยากรู้ผมจึงค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากร่างนั้น หัวไหล่ขาวเนียนเป็นภาพแรกที่ดึงดูดสายตาของผมเป็นอย่างดี ตามมาด้วยแผ่นหลังขาวๆ ลากยาวมาจนถึงสะโพกเปลือยเปล่า...
เปลือยเปล่า?
ผมจ้องช่วงสะโพกเปลือยเปล่านั้นแทบตาถลน ขาข้างหนึ่งของจื่อจื่อยกขึ้นก่ายหมอนข้างอยู่ นั่นทำให้ผมรู้ถึงสาเหตุที่จื่อจื่อไม่กอดผมเหมือนทุกวัน เพราะอีกฝ่ายไปกอดหมอนข้างแทนยังไงล่ะ!
ถ้าเป็นเตียงที่ห้องผมจะไม่มีหมอนข้างเนื่องจากผมไม่ชอบให้มีอะไรมาขวางบนเตียงซึ่งแบบนั้นดีแล้ว ผมไม่ได้อยากให้จื่อจื่อกอดหมดข้างแต่อยากให้เขามากอดผมต่างหาก เรื่องหมอนข้างไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจ...สิ่งผมตกใจจริงๆ คือการที่ร่างของจื่อจื่อเปลือยเปล่าต่างหาก
ผมกวาดสายตามองทั้งร่างของจื่อจื่ออีกครั้ง...ไม่สิ...อีกหลายครั้ง เพราะกำลังตะแคงข้างกอดหมอนข้างอยู่ภาพที่เห็นจึงเหมือนภาพศิลปะที่ทั้งงดงามและชวนให้ลุ่มหลง มันไม่ได้โป๊แต่ดูเซ็กซี่และเย้ายวนเป็นอย่างมาก
จื่อจื่อไม่ได้มีร่างกายบอบบางหรืออ้อนแอ้น กล้ามเนื้อที่พอเหมาะนั่นช่วยส่งเสริมให้ทั้งร่างดูเย้ายวนขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกล้ามเนื้อบริเวณแผ่นหลังนั้นตรงๆ ร่องรอยรักสีกุหลาบปรากฏขึ้นเต็มตัวโดยเฉพาะบริเวณลำคอ แค่มองก็รู้ว่าคนที่สร้างรอยนั้นมีอารมณ์เพียงใด
“อึก...” แค่สัมผัสผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมีอารมณ์ พอหันกลับมามองตัวเองก็พบว่าท่อนล่างที่ควรจะสวมกางเกงกลับว่างเปล่า กลายเป็นว่าคนที่เปลือยกายบนเตียงไม่ได้มีแค่จื่อจื่อแต่ยังมีผมด้วยอีกคน
คนสองคนร่างกายเปลือยเปล่านอนด้วยกัน จะให้คิดอะไรได้ล่ะ อีกทั้งเสียงครางที่ได้ยินเป็นช่วงๆ ในความทรงจำอีก นอกจากนี้บริเวณลำคอของจื่อจื่อยังมีร่องรอยเป็นจ้ำสีแดง มองก็รู้ว่าถูกขบเม้มอย่างแรง และคนที่ทำได้คงมีแค่ผมคนเดียว
นี่ผม...มีอะไรกับจื่อจื่อไปแล้ว?
“อื้อ...หนาว” เสียงละเมอแผ่วเบากับร่างกายสั่นๆ ของจื่อจื่อทำให้ผมรีบดึงผ้าห่มกลับมาคลุมตัวอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“...ทำไปแล้วจริงๆ สินะ” ผมถามกับตัวเอง พยายามค้นหาความทรงจำของเมื่อคืนแต่กลับจำอะไรที่มากกว่าเดิมไม่ได้
เสียใจเหรอที่ทำไป แน่นอนว่าผมต้องเสียใจ เสียใจมากๆ เลยด้วย ต่อให้ผมจะชอบจื่อจื่อมากจนสามารถใช้คำว่ารักได้เต็มปากแต่ไม่ได้ต้องการที่จะบังคับขืนใจทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน
ผมอยากรอให้อีกฝ่ายชอบตอบแล้วจึงค่อยๆ ครอบครองร่างกายและหัวใจของจื่อจื่อให้กลายเป็นของตัวเองอย่างช้าๆ
แต่นี่อะไร...ผมจำได้ว่าในเสียงที่ได้ยินมีคำว่า ‘อย่า’ ที่จื่อจื่อบอก แปลว่าเขาพยายามห้ามผมแล้วแต่ผมไม่ยอมหยุด
การกระทำแบบนี้ก็ไม่ต่างกับข่มขืนจื่อจื่อ
ทั้งที่รักมากและอยากถนอมจื่อจื่อให้มากที่สุดแท้ๆ
“บ้าจริง” ผมอยากจะชกตัวเองแรงๆ สักที
“อื้อ...อะไร หลานเยี่ยน?” คนที่หลับสนิทอยู่ปรือตาขึ้นมาเพราะเสียงของผมที่อาจดังเกินไปสักหน่อย
“ขอโทษ หลับต่อเถอะ” ผมขยับเข้าไปลูบเส้นผมสีดำสนิทอย่างอ่อนโยน จำได้ว่าตอนดื่มกันก็เป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ตอนนี้เพิ่งเจ็ดโมง ผมอยากให้จื่อจื่อพักอีกหน่อย
“...อื้อ ยังง่วงอยู่แต่ไม่อยากนอนแล้ว” จื่อจื่อพลิกตัวมาทางผมที่นั่งมองอยู่ ผมมีผ้าห่มผืนใหญ่วางพาดอยู่บนตักจึงไม่ใช่ภาพอนาจารแต่อย่างใด
“ถ้ายังง่วงก็อย่าฝืน”
“ความผิดใครล่ะ เพราะคุณนั่นแหละที่ทำให้ผมเหนื่อยขนาดนี้” คำพูดนั้นทำเอาความรู้สึกผิดเข้าจู่โจม
“ขอโทษ...นี่จื่อจื่อ” ผมเรียกพร้อมกับตัดสินใจแล้วว่าจะทำยังไงต่อไป
“ฮืม?”
“ฉันจะรับผิดชอบนายเอง”
“ฮะ?”
“ฉันขอโทษที่บังคับขืนใจนายจนต้องมานอนหมดแรงแบบนี้ ฉันควรจะควบคุมตัวเองให้ได้ ถ้านายโกรธก็มาลงที่ฉันได้เลย” การถูกบังขับขืนใจไม่มีผู้ชายปกติที่ไหนยอมได้หรอก ผมรู้ว่าจื่อจื่อต้องโกรธมากซึ่งผมไม่อยากให้อีกฝ่ายเก็บความโกรธนั้นไว้กับตัว อยากให้ระบายออกมามากกว่า
ผมจะรับไว้เอง
“เดี๋ยวก่อน ใครบังคับขืนใจใคร” จื่อจื่อลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้ากับผมตรงๆ ด้วยสีหน้ามึนงง
“ฉันบังคับขืนใจนาย”
“...คุณคิดว่าผมถูกคุณบังคับขืนใจ” อีกฝ่ายชี้นิ้วไปยังตัวเองขณะถาม
“...” ผมพยักหน้าส่งไป
“อุ๊บ...คิก! ฮะฮะฮะ” จื่อจื่อหลุดหัวเราะออกมา มือสองข้างทุบหมอนหนุนอย่างบ้าคลั่ง
“มีอะไรน่าขำ” ผมยังไม่เห็นว่ามีเรื่องอะไรให้ตลก มีแต่เรื่องซีเรียสทั้งนั้น
“หลานเยี่ยนนะหลานเยี่ยน การที่พวกเราตื่นขึ้นมาด้วยร่างกายเปลื่อยเปล่าทั้งคู่ไม่ได้แปลว่าพวกเรามีอะไรกันสักหน่อย”
“ฉันจำได้ว่านายคราง”
“คุณจำได้ไม่หมดใช่รึเปล่า” อีกฝ่ายถามต่อ
“อืม...แค่บางช่วง” ผมยอมรับ
“พวกเราไม่ได้มีอะไรกัน”
“ไม่ได้มี?”
“ใช่ ไม่ได้มี” จื่อจื่อย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วเสียงคราง...”
“คุณกับผมแค่ช่วยกันปลดปล่อย” คนตรงหน้าเฉลยโดยไม่รอให้ผมพูดจบ
“งั้นเสื้อผ้าไปไหน” ทำไมต้องโป๊ทั้งคู่ด้วย
“ชุดนอนพวกเราเลอะน้ำที่ปล่อยออกมาหมดแล้ว ผมไม่กล้าใส่ซ้ำแล้วก็ไม่อยากให้คุณใส่ด้วย เล่าตรงๆ นะเมื่อคืนหลังปลดปล่อยเสร็จคุณหลับปุ๋ยแทบจะทันทีส่วนผมนี่สิต้องมาจัดการเอาเสื้อผ้าส่งซัก เช็ดตัวให้คุณก่อนจะไปอาบน้ำอีกรอบถึงจะได้หลับ เพราะคุณทำผมเหนื่อยรู้ไหมหลานเยี่ยน” จื่อจื่อเล่าทุกอย่างให้ฟังจนหมด
“...” พอได้ฟังเรื่องราวกลายเป็นผมซะเองที่เป็นฝ่ายพูดไม่ออก อยู่ๆ ใบหน้าก็รู้สึกร้อนๆ เหมือนกำลังจะเป็นไข้
นี่ผมเข้าใจผิดทุกอย่างงั้นสิ
ก็ว่าอยู่มันมีจุดที่น่าสงสัยเยอะเกินไป
น่าอาย
น่าขายหน้าสุดๆ
ไม่รู้จะเอาหน้าไปไหวไหนแล้ว
“เขินเหรอหลานเยี่ยน” จื่อจื่อขยับใบหน้าเข้ามามองหน้าแดงๆ ของผมพร้อมรอยยิ้มล้อเลียน
“...ใครจะไปรู้ล่ะ นึกว่าเผลอบังคับนาย...”
“ขนาดตัวผมกับคุณไม่ต่างกันมากแถมคุณยังเมาด้วย ไม่มีทางที่ผมจะสลัดคุณไม่หลุด” จื่อจื่อพูดต่อ
“นายหมายถึง...นายยอมให้ฉันสัมผัสเหรอ”
“...ก็ไม่เชิง”
“หมายถึงยังไง”
“ไม่ใช่คุณที่สัมผัส ผมเองก็สัมผัสคุณเหมือนกัน...ถ้าคุณจำได้ละก็นะ” อีกฝ่ายใช้ดวงตาสีน้ำตาลประสานมา
“...จำไม่ได้” ผมไม่เคยรู้สึกอยากจำอะไรได้มากขนาดนี้มาก่อน
จื่อจื่อเป็นฝ่ายสัมผัสผม?
ทำไมถึงจำไม่ได้กัน!
“จำไม่ได้ก็ดีแล้ว”
“ดียังไง...ฉันอยากจำได้”
“ไม่มีอะไรน่าจำหรอกน่า...เสื้อผ้าที่ส่งซักน่าจะมาแล้ว คุณจะให้ผมอาบก่อนหรือคุณจะอาบก่อน” คนตรงหน้าพยายามที่จะเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันว่ามันต้องน่าจำมากแน่ เล่าให้ฟังหน่อยจื่อจื่อ” ผมขยับเข้าไปใกล้จื่อจื่อมากขึ้น
“เล่าอะไรอีก ผมเล่าไปหมดแล้ว” อีกฝ่าสเองก็ขยับถอยหลังไปทีละน้อยเช่นกัน
“เล่าให้หมดอย่างนายสัมผัสฉันยังไง ครางด้วยเสียงแบบไหม ปลดปล่อยด้วยสีหน้ายังไง...”
“หลานเยี่ยน อย่ามาพูดเรื่องลามกแต่เช้านะ” จื่อจื่อรีบใช้มือตะครุบปากผมไว้ไม่ให้พูดต่อได้อีก
“ฉันอยากรู้นี่”
“ผมไม่เล่าเรื่องลามกพวกนั้นแน่”
“นายจำได้คนเดียวแบบนี้ขี้โกงนี่”
“คนเมาอย่างคุณไม่ต้องมาพูดเลย ผมจะไปอาบน้ำแล้ว...อ๊ะ...ปล่อยผมนะหลานเยี่ยน” จื่อจื่อที่กำลังจะลุกไปถูกผมรวบเอวอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น เอวเปลือยเปล่าที่ปราศจากเสื้อผ้าให้ความรู้สึกลื่นๆ นุ่มๆ
ผมชอบความรู้ยามได้สัมผัสผิวกายจื่อจื่อโดยตรงแบบนี้
“บอกหน่อยจื่อจื่อ” ผมอยากรู้จริงๆ นะ
“ไม่บอก ยังไงก็ไม่บอก”
“นายไม่ใช่คนใจร้าย”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ผมขอเป็นคนใจร้าย”
“จื่อจื่อ” เขาจะไม่บอกผมจริงๆ เหรอ
“คุณอย่าถามผมมากไปกว่านี้เลยหลานเยี่ยน...ผมเองก็อยากลืมเหมือนกัน” อีกฝ่ายเลิกดิ้นเปลี่ยนมานั่งก้มหน้าแทน
“ฉันขอถามแค่คำถามเดียว ที่อยากลืมเพราะฉันทำให้นายรู้แย่เหรอจื่อจื่อ” ท่าทางที่แสดงออกว่าไม่อยากให้พูดถึงขนาดนี้หากไม่เขินก็แปลว่าต้องรู้สึกแย่
หากเป็นความเขินผมคงดีใจแต่หากจื่อจื่อรู้สึกแย่ผมคง...
“...ทำไมคุณคิดแบบนั้น” จื่อจื่อหันมามองใบหน้าผมขณะถาม
“เพราะนายดูไม่อยากพูดถึง”
“ไม่อยากพูดถึงไม่จำเป็นว่าต้องรู้สึกแย่นี่”
“เพราะฉันไม่รู้เลยอยากถามตรงๆ”
“...ไม่ได้รู้สึกแย่” จื่อจื่อประสานดวงตาสีน้ำตาลที่กำลังสั่นระริกมาระหว่างบอก
“จริงเหรอ”
“อืม” อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ
“แล้วรู้สึกดีรึเปล่า”
“คุณบอกจะถามแค่คำถามเดียว ปล่อยผมไปอาบน้ำได้แล้วหลานเยี่ยน”
“ตอบก่อนแล้วจะปล่อย” ผมกอดเอวอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมให้แม้แต่จะขยับเคลื่อนไหว หากไม่ได้คำตอบผมไม่ยอมปล่อยจื่อจื่อไปแน่
“...รู้สึกดี...ทำกับคุณแล้วรู้สึกดีหลานเยี่ยน” คำตอบที่ได้ยินทำเอาหัวใจผมเต้นแรงขึ้น ภาพตรงหน้าคล้ายจะเบลอไปชั่วขณะ รู้ตัวอีกทีก็เผลอจูบอีกฝ่ายไปซะแล้ว
“จื่อจื่อ” ผมซุกใบหน้าลงกับผิวขาวๆ ตรงหน้า ใช้ปลายจมูกคลอเคลียไล่ไปตามลำคอและแนวไหล่
ความรู้สึกยามผิวหนังสัมผัสเสียดสีโดยปราศจากเสื้อผ้าช่างรู้สึกดีจนไม่อยากปล่อย
อยากอยู่แบบนี้ไปตลอด
“ผมตอบแล้ว...คุณก็ปล่อยผมสิ” จื่อจื่อทวงคำสัญญาที่ผมให้ไว้
“ไม่ปล่อย”
“คุณบอกว่าจะปล่อยนี่” อีกฝ่ายเริ่มขึ้นเสียงเมื่อรู้ตัวว่าโดนหลอกอีกครั้ง
“นายทำให้ฉันไม่อยากปล่อย” รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเสพติดสัมผัสจากจื่อจื่อ
“ผมไม่ได้ทำอะไร”
“ทำสิ หลงจะตายอยู่แล้ว”
“หลานเยี่ยน ปล่อยเลยไม่งั้นผมแทงศอกจริงๆ ด้วย”
“กระต่ายดุ”
“ผมทำจริงนะ” จื่อจื่อทำเสียงขู่ยกแขนขึ้นมาเตรียมตั้งท่า
“นายไม่ทำหรอก” อยู่ด้วยกันมาตั้งนานทำไมผมจะไม่รู้ ขนาดกัดยังไม่ยอมกัดแรงเพราะไม่อยากทำให้ผมเจ็บ
น่ารักจริงๆ
“หลานเยี่ยน ทำไมคุณชอบแกล้งผมนักนะ”
“ก็นายอยากน่ารักน่าแกล้งเองนี่” ไม่ใช่ความผิดผมสักหน่อย
“คนใจร้าย”
“ขออีกแป๊บ”
“ผมเชื่อคุณได้ไหมเนี่ยหลานเยี่ยน” น้ำเสียงอีกฝ่ายเหมือนคนกำลังระแวงซึ่งก็สมควรแล้วกับการกระทำของผมก่อนหน้านี้
“แล้วแต่นาย”
“งั้นไม่เชื่อ”
“หึ...ถ้าไม่เชื่องั้นก็ไม่ปล่อย”
“หลานเยี่ยน!”
“ขอฉันฟัดหน่อยนะจื่อจื่อ” พูดจบผมก็ก้มลงไปฟัดแก้มขาวๆ นั่นต่อ
กว่าผมจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้ลุกจากเตียงก็เป็นตอนที่มีเสียงเคาะประตูดังออกมาจากหน้าห้องพร้อมกับเสียงของเจียงฮุยที่บอกว่าใกล้ได้เวลาเช็กเอาค์แล้ว
จำได้ว่าตอนตื่นยังเช้าอยู่เลย ไม่รู้ทำไมพอได้เริ่มฟัดจื่อจื่อทีไรเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงทุกที
จื่อจื่อลุกออกจากเตียงเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยใบหน้าแดงก่ำทว่าสายตาเหมือนคนกำลังเบลอๆ ผมเปิดประตูออกไปหยิบเสื้อผ้าที่ส่งมาหลังซักแห้งและคุยกับเจียงฮุย แน่นอนว่าไม่ได้ลืมที่จะพันผ้าขนหนูก่อนออกไป
กลับเข้ามาอีกทีประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับร่างของจื่อจื่อก้าวออกมาพร้อมเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวซึ่งเป็นสิ่งที่ผมควรเห็นจนชินตาแต่จนแล้วจนรอดกลับจ้องมองร่างนั้นไม่วางตา จื่อจื่อก้าวเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าขุ่นเคือง หมัดหนักๆ ที่ออมกำลังไว้หลายส่วนชกเข้ายังแผ่นอกผมพร้อมกับเสียงตะโกนลั่น...
“ผมจะไม่ยอมให้คุณฟัดอีกแล้ว!”
ดูเหมือนว่าจื่อจื่อจะเพิ่งนึกออกว่าควรเขินผม
เป็นกระต่ายที่ทั้งน่ารักและน่าแกล้งจนไม่อยากให้อยู่ห่างสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
พวกเรามุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ในช่วงสายกว่าจะกลับถึงก็เกือบเที่ยง หลังจบมื้อเที่ยงจื่อจื่อและผมขึ้นไปนอนกลางวันบนห้อง และลงมาอีกครั้งในช่วงเย็น
มื้อเย็นวันนี้มีเจียงฮุยกับไป๋หยางมาร่วมโต๊ะด้วย ใบหน้าของทั้งคู่แค่มองก็รู้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น จื่อจื่อเองก็รู้เช่นกันทว่าไม่มีใครเอ่ยคุยหรือเปิดประเด็นอะไรเนื่องจากไม่อยากทำให้การกินอาหารมื้อนี้หมดอร่อย
“บอส คุณต่าย พวกเรามีเรื่องต้องรายงานครับ” ไป๋หยางพูดขึ้นหลังมื้ออาหารจบลง
“ว่ามา” ผมพยักหน้ารับฟัง พวกเราย้ายสถานที่ไปยังห้องรับแขกเพื่อให้สะดวกในการพูดคุย
“ตอนนี้มีการเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นครับ รอบๆ ตัวคนที่เป็นพันธมิตรกับพวกเรามีการเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้ง ตอนนี้ผู้นำตระกูลจวนเสียชีวิตแล้ว” ข้อมูลแรกที่เจียงฮุยบอกทำเอาบรรยากาศในห้องเงียบสนิท
ตระกูลจวนเป็นหนึ่งในตระกูลที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลไห่มาอย่างยาวนาน ความไว้ใจนั้นไม่ต้องพูดถึง นับเป็นพี่น้องกันได้ด้วยซ้ำ การที่ผู้นำของตระกูลเสียชีวิตลงนั่นคงไม่ใช่เรื่องปกติ
“อุบัติเหตุหรือลอบฆ่า” ผมถามกลับเสียงนิ่ง
“เป็นการลอบสังหารซึ่งคนร้ายเป็นคนใกล้ชิดครับ คนร้ายเป็นคนสนิทของท่านผู้นำก่อนตายได้มีการเขียนจดหมายบอกประมาณว่าตัวเองถูกใครคนหนึ่งข่มขู่เรื่องครอบครัวจึงไม่มีทางเลือกแต่สุดท้ายครอบครัวกลับถูกฆ่าจึงยอมตายชดใช้ความผิด”
“เป็นไปได้ว่าคนร้ายที่เคยก่อเหตุในสนามบินเคลื่อนไหวมานานแล้วแต่เริ่มจากคนที่เป็นพันธมิตรของพวกเราเพื่อตัดกำลังโดยการซื้อความเชื่อใจหรือข่มขู่อะไรสักอย่างให้คนคนนั้นทรยศและจัดการนายตัวเอง” ไป๋หยางพูดเสริมหลังจากที่เจียงฮุยบอก
“แจ้งข่าวไปยังผู้นำทุกคนให้ระวังตัวไว้โดยเฉพาะกับคนที่สนิทและไว้ใจ” ผมออกคำสั่ง
“รับทราบครับ”
“บอสเองก็ต้องระวังนะครับ เป็นไปได้ว่าตอนนี้อาจมีใครสักคนแฝงตัวเข้ามาอยู่ใกล้ๆ”
“อืม...เพิ่มการคุ้มกัน สืบประวัติบอดี้การ์ดทุกคน ใครมีครอบครัวหรือสิ่งที่อาจใช้ข่มขู่ได้ให้เฝ้าระวังไว้” ผมสั่งการต่อทันที เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการโดยเร็วที่สุดก่อนจะเกิดปัญหาขึ้น
“ได้ครับ”
“อ่อ...ขอผมแทรกหน่อยได้ไหมครับ” จื่อจื่อที่นั่งเงียบตั้งแต่เริ่มเอ่ยแทรกขึ้น
“ว่ามา” ผมอนุญาต
“เห็นด้วยที่คุณจะเพิ่มการคุ้มกันและสืบประวัติทุกคน แต่ถ้าจะตามหาตัวคนที่แฝงเข้ามาเป็นสายไม่ต้องเสียเวลาหาหรอกนะ”
“หมายความว่ายังไง” ผมขมวดคิ้วมองไปทางจื่อจื่อ
“ก็...คนที่ว่านั่นเป็นผมเองแหละ” เจ้าตัวหัวเราะแหะๆ หลังพูดจบ
“...” ส่วนผม เจียงฮุยและไป๋หยางตกใจจนลืมพูดไปแล้ว
หมายความว่ายังไงที่ว่าเป็นสาย
จื่อจื่อ...
“อย่าเพิ่งจะยิงผมทิ้งนะ เมื่อวานตอนบอดี้การ์ดหน้าห้องออกไปมีคนมาหาผมแล้วบอกให้เป็นสายคอยรายงานความเคลื่อนไหวของคุณกับเขา” จื่อจื่อยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงบอกว่าตัวเองยอมจำนน
“ใคร” ผมถามเสียงนิ่ง
“ผมไม่รู้ ที่รู้คือเขาเป็นลูกน้องอีกที ให้เล่ามันเล่ายากเอาเป็นว่านี่คือรูปของคนที่ว่า” จื่อจื่อวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะโดยมีรูปของคนสวมชุดฮูดสีครีมยืนอยู่ จากที่มองภาพน่าจะถ่ายจะช่องตาแมว
“นายถ่ายไว้?”
“ใช่ แล้วก็อยากให้ฟังนี่ด้วย” อีกฝ่ายกดเปลี่ยนไปเปิดเครื่องอัดเสียง
'หากคุณยอมเป็นสายให้บอสเพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของไห่หลานเยี่ยนคุณจะได้รับทุกสิ่งที่คุณต้องการ'
'สายให้บอสคุณ? ทำไมผมต้องทำด้วย บอสคุณเป็นใครผมก็ไม่รู้ จะไว้ใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้อีก'
'แล้วคุณคิดว่าไห่หลานเยี่ยนไว้ใจได้เหรอ เขาเพียงแค่ถูกใจคุณชั่วครั้งชั่วคราว คนอย่างเขาน่ะหากหมดความสนใจก็สามารถพรากลมหายใจของคุณได้ในทันที ผมสืบเรื่องของคุณมาหมดแล้วครอบครัวไม่มีเหลือ ประสบอุบัติเหตุเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ครึ่งปี อยู่ๆ ไห่หลานเยี่ยนก็เข้ามาตีสนิทคิดว่าคุณเป็นกระต่ายที่ตายไปของตัวเองสติคงไปหมดแล้ว เห็นว่ารักกระต่ายตัวนั้นมาก น่าขำ'
'แล้วยังไง'
'คุณก็เป็นได้แค่ตัวแทนของสัตว์ตัวหนึ่ง ที่ถูกกักขังอยู่ในพื้นที่แคบๆ อย่างน่าสงสาร ผมรู้ว่าคุณอยากมีอิสระ อยากจะก้าวออกมา เพราะงั้นมาร่วมมือกันสิ เป็นสายให้พวกเราและจัดการไห่หลานเยี่ยนไปด้วยกัน'
'คุณพูดถูกหลานเยี่ยนคิดว่าผมเป็นกระต่ายของเขา เขาให้ผมอยู่ในพื้นที่แคบๆ มีคนคอยตามอยู่ตลอดและผมอยากมีอิสระ'
'ได้ยินแบบนี้แปลว่าคุณตกลง...'
'ผมจะเชื่อใจพวกคุณได้งั้นเหรอ'
'คุณมีแต่ต้องเชื่อ'
'เข้าใจแล้ว'
'เดี๋ยวจะมีคนแอดไลน์คุณไป ให้รายงานความเคลื่อนไหวทุกอย่างของไห่หลานเยี่ยนส่งมา เมื่อทุกอย่างจบคุณจะได้อิสระและสิ่งที่คุณต้องการจากบอส'
นั่นคือบทสนทนาทั้งหมดที่อัดไว้ ผมขมวดคิ้วตลอดเวลาที่นั่งฟัง เช่นเดียวกับที่เจียงฮุยและไป๋หยางที่พากันทำหน้าเครียด
“อย่างที่ฟังไป ตอนกลางวันเพิ่งมีคนแอดไลน์ผมมาแต่ผมยังไม่ได้ตอบรับหรือพิมพ์อะไรไป ผมว่าจะมาคุยเรื่องนี้กับพวกคุณก่อน ก่อนอื่นผมอยากถามคุณหลานเยี่ยน...คุณไว้ใจผมรึเปล่า” ดวงตาสีน้ำตาลของจื่อจื่อหันมาประสานกับดวงตาสีเทาของผมเพื่อขอคำตอบ
“จื่อจื่อ...”
“คุณจะสงสัยไหมว่าทำไมถึงถ่ายภาพไว้ ทำไมถึงอัดเสียง ทำไมถึงมีสติทำได้ขนาดนั้น ทำไมถึงมาสารภาพและบอกทุกอย่าง” จื่อจื่อไม่รอให้ผมพูดจบเอ่ยต่อทันที
หมับ!
ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่คว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้โดยไม่สนว่าจะมีเจียงฮุยและไป๋หยางมองอยู่ ร่างกายของจื่อจื่อที่อยู่ในวงแขนผมกำลังสั่นบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังกลัวและกังวลแต่พยายามข่มมันไว้อย่างเต็มที่
จื่อจื่อหรือต่าย เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดามีชีวิตปกติสุขในโลกที่ไม่ได้นองไปด้วยเลือด จะมีก็แค่ตอนที่ให้ความร่วมมือกับเพื่อนเพื่อล่อซื้อยาหรือเป็นนกต่อ แต่นั่นเป็นเพียงพ่อค้ารายเล็กๆ ไม่ใช่กับผมที่เป็นมาเฟียเต็มตัว คนที่จ้องจะเล่นงานมีแต่พวกที่สามารถฆ่าคนอื่นได้อย่างเลือดเย็นทั้งนั้น
ต่อให้พยายามทำเหมือนไม่เป็นไรแต่ผมรู้ว่าใจลึกๆ เขากังวลไม่น้อย และในความกังวลนั้นเขามีแผนการบางอย่าง...เป็นแผนที่จะช่วยให้ผมจบเรื่องนี้ได้เร็วขึ้น
“ฉันเชื่อใจนาย เชื่อทั้งใจ” ผมพรมจูบเบาๆ ยังเส้นผมสีดำสนิทนั่นเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล
“หลานเยี่ยน...”
“นายมีสติและจัดการได้ดีมาก ขอบคุณจื่อจื่อ...ขอบคุณที่อยู่ข้างกัน” ผมขอบคุณจากใจจริงๆ การจะหาใครสักคนที่เชื่อใจได้นั้นไม่ง่ายยิ่งในวงการนี้ผลประโยชน์มันมากมายมหาศาล สิ่งล่อตาล่อใจก็เยอะถึงอย่างนั้นจื่อจื่อก็ยังเลือกผมมากกว่าสิ่งยั่วยวนเหล่านั้น
“...ผมเคยบอกแล้วว่าผมอยู่ข้างคุณเสมอ” จื่อจื่อตอบกลับเสียงอู้อี้เพราะใบหน้านั้นฝังอยู่ที่แผ่นอกผม
“อืม” ผมเผยรอยยิ้มกว้างออกมา น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ได้เห็นมัน ดวงตาสีเทาของผมหันไปมองคนสนิททั้งสองที่พยักหน้ากลับมาอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งคู่เองก็เชื่อใจจื่อจื่อเช่นกัน
“ผมคิดจะเป็นสายให้พวกนั้น”
“ฉันพอจะเดาสิ่งที่นายคิดได้ แต่มันอันตราย” ถ้าแค่รายงานความเคลื่อนไหวน่ะไม่เป็นปัญหาหรอกที่เป็นปัญหาคือขั้นต่อไปเพื่อจะซื้อความเชื่อใจและเข้าหาบอสทางฝ่ายนั้นต่างหาก
ไม่รู้ว่าจะโดนสั่งให้ไปทำอะไรหรือไปสถานที่ไหนตามลำพังซึ่งผมทำใจยอมให้อีกฝ่ายเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นไม่ได้
“ผมทำได้ ให้ผมทำเถอะ พวกเราจะได้จบเรื่องนี้กันก่อนที่คนซึ่งเป็นพันธมิตรคุณเป็นอันตรายไปมากกว่านี้”
“ถ้าเร่งเกินไปพวกนั้นอาจสงสัยได้” ผมเตือนไว้ ดูจากแผนการที่ฝั่งนั้นใช้แปลว่าต้องเตรียมการมาดี หากทำตัวมีพิรุธแม้เพียงเล็กน้อยคงถูกสั่งเก็บในทันที
“ก็จริง แต่ผมอยากทำ ให้ผมทำนะหลานเยี่ยน ให้ผมช่วยคุณเถอะ” จื่อจื่อเอื้อมมือมาจับมือผมแน่น ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้สั่นแล้ว
“เข้าใจแล้ว แต่มีอะไรต้องบอกฉันทันทีรู้ไหม”
“ได้” อีกฝ่ายพยักหน้า
พวกเราพูดคุยกันเรื่องแผนการต่อจากนี้ซึ่งก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนอกจากให้จื่อจื่อรายงานความเคลื่อนไหวของผมเรื่อยๆ เพื่อให้ฝ่ายนั้นเริ่มเชื่อใจ ระหว่างนั้นจื่อจื่อบอกว่าจะลองถามเกี่ยวกับบอสดู เป็นไปได้มากว่าก่อนจะได้รับความเชื่อใจจะมีภารกิจมาให้ทำ หากเรื่องมาถึงจุดนั้นได้คงไม่ยากที่จะสืบสาวไปถึงตัวการที่อยู่เบื้องหลัง
ถ้าให้เดาอีกฝ่ายต้องเป็นคนที่มีทั้งอิทธิพลและอำนาจที่มากพอดูซึ่งถ้าลองจำกัดวงให้แคบก็มีอยู่หลายชื่อที่น่าสงสัย แต่เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้
วันนี้เป็นวันอาทิตย์หรือก็คือวันหยุดของผม ในช่วงวันหยุดผมกับจื่อจื่อจะใช้เวลาช่วงสายๆ ไปกับการออกกำลังกายบนเครื่องเล่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลู่วิ่งหรือปั่นจักรยาน แม้แต่ยกเวทก็ยังมี
ผมไม่ค่อยชอบไปสถานที่ที่มีคนเยอะ พวกฟิตเนสหรือสโมสรสุขภาพย่อมไม่มีทางเห็นหน้าผมอย่างแน่นอน ทุกวันนี้ผมพยายามหาเวลาว่างออกกำลังกายให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษารูปร่างไว้ จื่อจื่อเองก็เหมือนจะกังวลว่าผมจะเลี้ยงดูดีจนอ้วนเขาจึงมักจะหาเวลามาออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานบ่อยๆ
ช่วงสายออกกำลังกาย ส่วนในช่วยบ่ายนั้นเป็นช่วงเวลาอันแสนสงบสุขที่ผมรอคอยในรอบอาทิตย์ ภายในห้องหนังสือขนาดกลางมีโซฟายาวสีเทานุ่มนิ่มวางอยู่ท่ามกลางชั้นหนังสือหลากหลายภาษา จื่อจื่อกับผมมักจะมาพักผ่อนอยู่ในห้องนี้เสมอเมื่อถึงวันหยุด
ต่างฝ่ายต่างเลือกหยิบหนังสือที่สนใจมานั่งอ่านที่โซฟาโดยนั่งหันหลังชนกัน แผ่นหลังที่แนบสนิทจนไม่เหลือช่องว่างรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่ส่งผ่านมาเป็นเหมือนเครื่องทำความร้อนช่วยให้ภายในห้องที่เปิดแอร์อยู่อุ่นขึ้นมาโดยไม่ต้องไปหาผ้าห่มที่ไหน บรรยากาศแสนเงียบสงบปราศจากเสียงพูดคุยทว่ากลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจ หากเป็นไปได้ก็อยากจะอยู่ในช่วงเวลานี้ไปตลอด
ระหว่างที่ผมเปิดหนังสือหน้าถัดไปอ่านก็มีไลน์เด้งขึ้นบนหน้าจอผม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเล่นซึ่งคนที่ส่งไลน์มาเป็นคนที่เพิ่งรู้จักและมาสนิทกันเมื่อไม่นานมานี้อย่าเหม่าจงอี้ น้องชายต่างมารดาของเหม่า กรอเซียเพื่อนสนิทของผม ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายชอบจื่อจื่อแต่มารู้ความจริงภายหลังว่าให้จื่อจื่อเป็นที่ปรึกษาด้านความรักระหว่างตัวเองกับไห่หลินเซียนหรือน้องสาวของผมนั่นเอง
จากที่รู้จักกันมาได้พักใหญ่ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกชอบที่มีต่อน้องสาวผมอย่างจริงใจไม่ใช่เพราะชาติตระกูล และดูเหมือนน้องสาวผมก็มีใจให้เช่นกัน ผมเพิ่งรู้เมื่อวันก่อนว่าจงอี้กับหลินเซียนตกลงคบกันเป็นที่เรียบร้อย ความหวานนั้นอย่างให้ต้องพูดถึงเพราะน้องสาวเองก็ส่งไลน์มารัวๆ เพื่อบรรยายความรู้สึกเขินอายแต่เพราะผมไม่ค่อยสนใจเลยตอบไปแค่อืม ส่วนจงอี้นั้นมักจะส่งความคืบหน้าเล็กๆ น้อยๆ มาให้ผมดูประจำอย่างครั้งก่อนถ่ายรูปนาฬิกาข้อมือที่ซื้อให้หลินเซียน วันนี้เองก็เป็นภาพหน้าจอโทรศัพท์มือถือของหลินเซียนที่เป็นรูปถ่ายคู่กัน
‘พี่หลานเยี่ยนลองตั้งรูปคู่เป็นภาพหน้าจอของพี่ต่ายสิครับ เวลายกขึ้นมาจะได้เห็นหน้ากัน’
นั่นคือข้อความที่ส่งตามมา
ตั้งเป็นภาพหน้าจอเหรอ
ผมมองภาพหน้าจอของตัวเองที่เป็นรูปจื่อจื่อตอนเป็นกระต่ายกำลังนอนหงายท้อง ส่วนรูปพักหน้าจอนั้นเป็นรูปของจื่อจื่อที่ฉีกยิ้มกว้างจนตาแทบปิดซึ่งถ่ายในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำตอนอยู่ประเทศไทย
ภาพคู่เพียงภาพเดียวที่ผมมีคู่กับจื่อจื่อคือภาพรอยยิ้มเกร็งๆ ของอีกฝ่ายกับใบหน้าแข็งทื่อของผม มองกี่ทีก็รู้สึกตลกแถมอายจนไม่กล้าเอามาตั้งเป็นภาพหน้าจอ ผมไม่ใช่คนที่ชอบถ่ายรูปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เวลาเห็นกล้องใบหน้ามันก็จะนิ่งไปเอง มีแค่ตอนที่จื่อจื่อเป็นคนถ่ายผมถึงสามารถผ่อนคลายและยกยิ้มขึ้นมาได้
อยากได้ภาพคู่ดีๆ เหมือนกันนะ
“จื่อจื่อ” ผมเอนตัวไปด้านหลังที่มีจื่อจื่อนั่งพิงอยู่
“ฮืม?” อีกฝ่ายส่งเสียงมา
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
“โทรศัพท์ผม?” จื่อจื่อยืดตัวขึ้นเอียงคอมาคล้ายจะสงสัย
“ใช่ ขอโทรศัพท์นายหน่อย”
“เอาไปทำอะไร ของคุณก็มีนี่”
“ถ่ายรูปกัน” ผมบอกความต้องการออกไปตามตรงก่อนจะขยับตัวเปลี่ยนท่าทางการนั่งอย่างกะทันหันจนจื่อจื่อหงายหลังมา ดีที่ผมหมุนตัวกลับไปอ้าแขนรับไว้ทันอีกฝ่ายจึงไม่เป็นไร
ภาพของจื่อจื่อที่นอนหงายอยู่ในอ้อมแขนผมด้วยใบหน้าเหวอๆ เป็นภาพที่น่าเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ถ้าเป็นไปได้อยากรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเก็บไว้สักสิบรูป
“ถ้าจะขยับก็บอกผมก่อนสิ เกือบหงายหลังแล้ว” อีกฝ่ายบ่นพลางทำหน้ามู่ทู่
ใบหน้าแบบนี้ก็น่ารัก
“โทษที มาถ่ายรูปกันจื่อจื่อ”
“...ถ่ายรูป? กับคุณน่ะเหรอ” จื่อจื่อกะพริบตาปริบๆ ขณะถาม
“อืม”
“คุณไม่ชอบนี่ ครั้งก่อนถ่ายก็ได้แต่รูปตลกๆ”
“นั่นมันรูปนายรึเปล่า รูปฉันมีแต่หล่อๆ” ถึงจะมีรูปที่ดูตลกอยู่บ้างแต่มั่นใจว่ารูปหล่อมีมากกว่า ไม่เหมือนกับจื่อจื่อที่เก๊กท่าหล่อทีไรเป็นต้องออกมาตลกทุกที
“รูปผมหล่อๆ ก็มีเยอะเถอะ” คนในวงแขนสวนกลับมา
“หึ...ฉันอยากมีรูปคู่กับนาย” ผมบอกความต้องการออกไปอีกครั้ง
“อ่า...จำได้ว่ารูปคู่ของพวกเรามีรูปเดียวตอนไปพิพิธภัณฑ์แถมเป็นภาพที่ตลกสุดๆ” เหมือนอีกฝ่ายจะจำได้ว่าเป็นภาพไหนถึงได้หลุดหัวเราะออกมา
“อืม ฉันเลยอยากถ่ายใหม่”
“เอาสิ มาถ่ายกัน แต่ถ้าถ่ายกล้องคุณจะสวยกว่านะ” จื่อจื่อขยับตัวนั่งดีๆ โดยมีผมขยับเข้าไปกอดจากด้านหลัง จื่อจื่อชอบพูดเรื่องกลิ่นอายของผมซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจนักแต่พอได้ลองกอดเขาบ่อยๆ ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผิวกายที่ประสานกับกลิ่นของสบู่อาบน้ำ เป็นกลิ่นที่ชวนให้อยากเข้าไปฟัดอยู่ร่ำไป
“กล้องฉันก็ได้” ผมส่งโทรศัพท์ตัวเองที่ปลดล็อกรหัสไปให้
“ดี เอาล่ะ ขอหล่อๆ นะ” จื่อจื่อรับโทรศัพท์ไปกดไอค่อนกล้องและเปลี่ยนเป็นโหมดกล้องหน้าเผยให้เห็นภาพของจื่อจื่อที่นั่งอยู่ด้านหน้าโดยมีผมซ้อนอยู่ด้านหลังในระยะประชิด
“หล่ออยู่แล้ว” ผมยกยิ้มมุมปากมองดูตัวเองในกล้อง มุมนี้ใช้ได้เลยแสงเข้าพอดี ภาพจะออกมาสวยไหมก็ขึ้นอยู่กับท่าทางของพวกเราแล้ว
“หลงตัวเอง”
“รอจื่อจื่อมาหลงด้วยอีกคน” ผมเอ่ยคำหยอดไป
“...ใครจะหลงกัน” ใบหน้าขาวๆ นั้นแดงระเรื่อ แม้จะเบนหน้าหนีแต่เพราะเปิดกล้องหน้าไว้ผมเลยมองเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน
“นายไงจื่อจื่อ” การแสดงออกของจื่อจื่อที่ผมเฝ้าสังเกตมา เขามีความรู้สึกดีๆ ให้ผมไม่น้อยแต่จะเท่ากับที่ผมรู้สึกรึเปล่าเรื่องนั้นผมยังไม่แน่ใจ ผมอยากให้เวลากับจื่อจื่อมากกว่านี้ ให้ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ไม่อยากบังคับให้มาชอบแต่อยากให้ชอบด้วยความรู้สึกจริงๆ
“จะถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ เลิกแกล้งผมได้แล้ว” จื่อจื่อเปลี่ยนเรื่อง
“ก็กดถ่ายสิ ฉันรออยู่”
“จะถ่ายแล้วนะ”
ภาพแรกที่ออกมาค่อนข้างดูดี จื่อจื่อคลี่ยิ้มบางๆ ใบหน้ามีรอยริ้วแดงเพราะยังไม่หายเขินส่วนผมนั้นยื่นหน้าเข้าไปเกยคางอีกฝ่ายขณะยกยิ้มมุมปาก ดีกว่าภาพคู่ตอนอยู่พิพิธภัณฑ์มาก
พวกเราถ่ายภาพกันอีกหลายภาพด้วยท่วงท่าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าสิ้นคิดอย่างการชูสองนิ้วตามรีเควสของจื่อจื่อ หรือภาพที่ทำท่ามินิฮาทตามความคิดของจื่อจื่ออีกเช่นกัน ตัวผมอย่างที่รู้ว่าไม่ชอบถ่ายรูป ในเมื่อไม่ชอบถ่ายย่อมไม่มีท่าที่อยากถ่าย แค่อยากอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายให้มากที่สุดก็เท่านั้น
ผ่านไปเกือบชั่วโมงจื่อจื่อก็ส่งโทรศัพท์คืนมาให้ผมส่วนเจ้าตัวก็ขยับไปนั่งพิงโซฟาด้านข้าง ผมเลื่อนรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จดูทีละรูป ยิ่งดูยิ่งมีความสุขจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“จื่อจื่อขอโทรศัพท์” ผมแบมือไปตรงหน้าจื่อจื่อที่ยืดแขนคลายกล้ามเนื้อ
“ถ่ายกล้องคุณไปตั้งเยอะแล้วยังจะถ่ายกล้องผมอีกเหรอ” อีกฝ่ายหันมาถาม
“เปล่า ไม่ได้จะถ่าย”
“งั้นจะเอาไปทำไม”
“ได้รึเปล่า”
“ได้สิ” จื่อจื่อกะพริบตาปริบๆ มองหน้าผมก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่ปลดล็อกแล้วมาให้
ผมรับโทรศัพท์นั้นมาพร้อมกับส่งรูปเข้าไปทางไลน์ของจื่อจื่อ พอยื่นให้อีกฝ่ายใส่รหัสเสร็จก็เข้าไปเซฟรูปล่าสุดที่ส่งไปเข้าเครื่อง ผมจัดการตั้งภาพหน้าจอโทรศัพท์ของจื่อจื่อเป็นรูปเดี่ยวที่คิดว่าดูดีที่สุด ส่วนภาพพักหน้าจอเป็นรูปคู่ที่จื่อจื่อเอนตัวมาพิงไหล่ผม สายตาของพวกเราประสานกันพร้อมรอยยิ้มที่คลี่ออกอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว เป็นภาพที่ผมชอบที่สุดและผมก็ได้ตั้งภาพนี้เป็นภาพพักหน้าจอแทนภาพเดิม
“เสร็จแล้ว” ผมยืนโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ ก่อนจะส่งคืนผมไม่ลืมถ่ายภาพพักหน้าจอใหม่ของจื่อจื่อไว้แล้วส่งกลับไปให้จงอี้พร้อมกับข้อความว่า...
‘ขอบใจ เปลี่ยนเรียบร้อย’
“อะไรเนี่ย มาแอบเปลี่ยนภาพหน้าจอคนอื่นได้ไง” จื่อจื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทันที
“ไม่ได้?”
“ภาพนี้หล่อสุดแล้ว?” อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ชูภาพพื้นหลังที่เป็นภาพผมกำลังส่งยิ้มมุมปากให้กล้องอยู่ ภาพนี้เป็นภาพที่จื่อจื่อถ่ายให้ครั้งก่อน
“ไม่หล่อเหรอ” ผมถามกลับ
“ไม่หล่อเท่าภาพนี้” พูดจบจื่อจื่อก็จิ้มหน้าจอสักพักก่อนจะหันจอมาทางผมอีกรอบ ครั้งนี้ภาพหน้าจอเปลี่ยนไปอีกครั้งเป็นภาพที่ผมนอนหลับตาพริ้มเปลือยแผ่นอกอยู่บนเตียงมีผ้าห่มสีขาวคลุมไว้จนถึงบริเวณหน้าท้อง นอกจากผมที่หลับสนิทอยู่ยังมีจื่อจื่อที่ตื่นก่อนนั่งขัดสมาธิฉีกยิ้มกว้างใช้นิ้วชี้มาทางผม
“แอบถ่ายกันนี่” ไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าโดนถ่ายตอนนอนไว้
“อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าคุณก็แอบถ่ายภาพผมไว้ไม่น้อย”
“...ก็ใช่” ผมไม่ปฏิเสธเพราะในเครื่องผมมีภาพจื่อจื่อที่แอบถ่ายไว้นับร้อยภาพแต่เป็นภาพเดี่ยวไม่ใช่ภาพคู่
สงสัยครั้งหน้าผมควรจะลองถ่ายภาพตอนที่จื่อจื่อละเมอกอดผมแน่นไว้สักสิบยี่สิบรูป
“รูปนี้คุณหล่อแล้ว รูปนี้แหละ”
“ตามใจ” แค่มีผมอยู่ในรูปด้วยจะรูปไหนก็ได้ทั้งนั้น
“อืม”
“นี่จื่อจื่อ”
“ฮืม?”
“นายอึดอัดมากรึเปล่า”
“หลานเยี่ยน?”
“นายอึดอัดไหมที่ฉันกำจัดอิสรภาพนายไม่ให้ออกไปไหน ต้องอยู่แต่ในสายตาและพื้นที่ที่ฉันกำหนด อยากมีอิสระรึเปล่า” เมื่อวานตอนได้ฟังสิ่งที่จื่อจื่ออัดไว้ผมถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ฝ่ายนั้นคิดจะนำมาแลกกับจื่อจื่อคืออิสรภาพ ยอมรับว่ากังวลเพราะผมเป็นพวกหวงของ ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญหรือสิ่งที่รักผมจะยิ่งหวงมาก ไม่อยากให้อยู่ห่างสายตาด้วยซ้ำแต่ในทางกลับกันฝ่ายจื่อจื่อที่ต้องอยู่แต่ในขอบเขตที่ผมกำหนดคงจะอึดอัดและอยากวิ่งหนีออกไปให้ไกล
“คุณกังวลเรื่องนี้เหรอหลานเยี่ยน” จื่อจื่อขยับตัวมานั่งเผชิญหน้ากับผม
“ใช่” ยอมรับว่ากังวลมาก
“ผมไม่โกหกหรอกนะว่างไม่อยากมีอิสระ ไม่ว่าใครย่อมต้องการอิสระทั้งนั้น ตัวผมเองก็เช่นกัน”
“จื่อจื่อ...”
“แต่ว่านะหลานเยี่ยน อิสระในความหมายผมคือการที่มีคุณอยู่ด้วย หากการเป็นอิสระนั่นไปถึงการก้าวออกห่างจากคุณผมก็พร้อมที่จะอยู่อย่างไร้อิสระ”
หมับ!
ทันทีที่ได้ยินจื่อจื่อเอ่ยจบผมก็คว้าตัวคนตรงหน้ามากอดแน่น แน่นมากเท่าที่จะแน่นได้ หัวใจของผมกำลังเต้นรัวด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะปนกันจนแทบแยกไม่ออก ดีใจ ตื้นตัน ชอบ รัก ทุกความรู้สึกนี้อยากมอบให้กับคนคนเดียวคือจื่อจื่อ
ผมไม่เคยจินตนาการถึงความรักของตัวเองเพราะคิดว่าในชีวิตนี้คงไม่ได้มีหรอกไอ้ความรู้สึกที่เรียกว่าความรักนั่นน่ะ
ใครจะไปคิดล่ะว่าอยู่ๆ ความรู้สึกนั้นก็ปรากฏขึ้นมาแถมทำยังไงก็ไม่หายไป มีแต่จะจมลึกลงไปในห้วงแห่งความรักมากขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก
จื่อจื่อเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมสามารถพูดคำว่ารักได้เต็มปาก
“ฉันรักนายจื่อจื่อ” ผมเอ่ยบอกความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในออกมา หากไม่พูดออกไปผมคงได้อึดอัดจนหายใจไม่ออกแต่พอพูดแล้วกลับรู้สึกอายขึ้นมา ยังดีที่กอดจื่อจื่อไว้อีกฝ่ายจึงมองไม่เห็นว่าตอนนี้หน้าผมแดงแค่ไหน
“หลานเยี่ยน...”
“ถ้านายชอบฉันบ้างก็คงดีนะ” ผมไม่ได้อยากจะคาดคั้นเอาคำตอบหรืออะไร แค่อยากให้อีกฝ่ายชอบผมบ้างก็เท่านั้น
จื่อจื่อมีความรู้สึกดีๆ ให้ผม นั่นเป็นเรื่องที่ผมมองออกและมั่นใจ แต่อย่างที่บอกไปว่าผมไม่รู้ว่าความรู้สึกดีนั้นมันจะมากพอให้จื่อจื่อเอ่ยคำว่าชอบหรือรักรึเปล่า
“...ผม...”
“อย่าทำเสียงลำบากใจแบบนั้น ฉันไม่ได้จะบังคับนาย”
“ก็ใช่ที่ผมลำบากใจเพราะมัน...มันไม่ง่ายที่จะพูด”
“พูดอะไร” คงไม่ได้บอกว่าไม่ชอบผมหรอกนะถึงได้บอกว่าลำบากใจแบบนั้น
“ผมคิดว่าอยากจะรอนานกว่านี้อีกนิดค่อยบอก แต่พอคุณพูดขึ้นมาผมเลยอยากจะบอกซะเดี๋ยวนี้แต่อย่างว่ามันไม่ง่ายจริงๆ นะหลานเยี่ยน” จื่อจื่อเอื้อมมือจับเสื้อผมแน่นคล้ายกำลังรวบรวมความกล้า
“จื่อจื่อ...”
“ผมจะพูดครั้งเดียว ฟังดีๆ นะ”
“อืม” ผมจะตั้งใจฟัง
“ผมเอง...ก็ชอบคุณ ชอบคุณนะหลานเยี่ยน” จื่อจื่อไม่ได้ตะโกนเสียงดัง เขาเอ่ยเสียงเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเคอะเขินทว่าในหัวผมกลับเล่นเสียงคำว่าชอบด้วยน้ำเสียงของจื่อจื่อซ้ำไปซ้ำมา
ไม่คิดว่าจะได้ยินคำว่าชอบจากปากของจื่อจื่อในทันที
ดีใจและมีความสุขมากๆ
“ฉันรักนาย” ผมตอบกลับคำว่าชอบด้วยคำว่ารัก และผมคิดว่าคำต่อไปที่จื่อจื่อจะบอกก็คงเป็นคำว่ารักนี่แหละ
ถ้าถึงตอนนั้นผมคงทนไม่ไหวลากอีกฝ่ายขึ้นเตียงและแสดงความรักจนหนำใจ
แค่คิดก็ทนไม่ไหวแล้ว
รีบๆ บอกรักผมเร็วๆ ล่ะจื่อจื่อ
...................................................
จื่อจื่อรีบหนีไป!!! //ตะโกนบอกบอกจื่อจื่อ
วันนี้มาอัพเพราะเราต้องออกไปทำธุระข้างนอก
จากตอนที่แล้วหลายคนกลัวจะมีดราม่า และหลายคนถามทำไมจื่อจื่อไม่บอกหลานเยี่ยน
เอาจริงๆ คือเราวางให้ตอนเจอกับคนร้ายและตอนที่บอกความจริงเป็นตอนเดียวกันแต่เพราะตอนที่แล้วค่อนข้างยาวเราเลยตัดแบ่งให้มาอยู่ในตอนนี้เลยดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะยาวไปและอาทิตย์ที่แล้วเรายังแต่งไม่จบด้วย
ช่วงนี้เราติดอ่านนิยายมาก ความเร็วในการแต่งจึงเทียบเท่าระดับเต่าคลาน ยังดีที่สามารถแต่งมาลงได้ทัน//ปาดเหงื่อ
ขอบคุณทุกๆ คนสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ
เรื่องนี้เหลืออีกไม่กี่ตอนแล้ว อยู่ด้วยกันจนจบด้วยน้าา
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แกรรร น้ำตาย100กระสอบก็ยังต้องก้มกราบอะบอกเลย