การเป็นอาจารย์สอนในสถาบันเวทมนตร์แม้จะผ่านมาร่วมครึ่งปีทว่าคนที่ไม่ชอบอยู่ท่ามกลางสายตาใครอย่างผมก็ยังคงรู้สึกเกร็งทุกครั้งที่ทำการสอน บนกระดานสีขาวตอนนี้เต็มไปด้วยประโยคสำหรับร่ายเวทมนตร์บทใหม่
“สำหรับเวทย์ลวงตานี้จำเป็นต้องใช้สมาธิและจินตนาการสูงมากดังนั้นหากรู้สึกว่าไม่พร้อมก็ไม่ควรจะใช้เวทมนตร์นี่” ผมอธิบายเรื่อยๆ ระหว่างให้นักเรียนในห้องจดจำบทเวทย์
อย่างที่พูดไปว่าเวทย์ที่สอนอยู่คือเวทย์ลวงตาซึ่งต่างจากเวทย์พรางตัวที่ผมใช้ประจำอย่างสิ้นเชิง เวทย์พรางตาเป็นเวทย์ที่ทำให้คนอื่นมองไม่เห็นเรา ส่วนเวทย์ลวงตาจะเป็นการร่ายเพื่อใช้ป่วนหรือลวงคู่ต่อสู้ จำเป็นต้องมีจินตนาการมากพอจะทำให้สิ่งที่คิดปรากฏออกมาได้
เป็นหนึ่งในเวทย์ระดับกลางที่สามารถนำไปผสานกับเวทย์อื่นได้มากมาย เวทย์นี้สิค่อยเหมาะกับสอนระดับปริญญาหน่อย
“อาจารย์ซิน ลองทำให้พวกข้าดูหน่อยได้ไหม” เด็กแถวหน้ายกมือเอ่ยถาม
“เดี๋ยวออกไปสนามแล้วจะทำให้ดู อ้อ เวทย์นี่ไม่อันตรายลองทำให้ดูเลยก็ได้” ผมเปลี่ยนใจเมื่อเห็นว่าเวทย์ที่สอนไม่เหมือนกับเวทย์อื่นที่อาจเกิดความเสียหาย
ถ้าเป็นเวทย์ลวงตาไม่มีพลังในการทำลายสิ่งของโดยรอบอะไรอยู่แล้ว จะมีผลก็แค่จิตใจของผู้ที่อยู่ภายใต้ภาพลวงตานี้เท่านั้น เมื่อทั้งเห็นว่าผมจะสาทิตก็เปลี่ยนจากจ้องกระดานมาจ้องผมแทน
ไม่ว่าจะผ่านไปนานขนาดไหนผมก็ไม่เคยรู้สึกชินสักทีสิน่า
“ไอน้ำจากการระเหยจงคะคลุ้งและแผ่ขยายดั่งสายหมอกยามรุ่งสาง และจงแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเจ้าเฉกเช่นภาพจินตนาการในหัวเรา” ระหว่างร่ายเวทย์กลุ่มหมอกสีขาวเข้าปกคลุมห้องอย่างเชื่องช้าทว่าเมื่อร่ายเวทย์เสร็จหมอกสีขาวก็เปลี่ยนเป็นภาพของผืนทะเลทรายอันร้อนระอุที่ทำเอาเด็กหลายคนถึงกับตกใจกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมกะทันหัน
เวทย์ลวงตาไม่ใช่แค่การหลอกหากมีสมาธิมากๆ สามารถทำให้รู้สึกถึงความร้อนได้จริง อย่างตอนนี้เด็กหลายคนเริ่มเหงื่อออกทั้งที่นั่งเรียนอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบ ให้นักเรียนได้เห็นสักพักผมก็ทำการคลายเวทมนตร์ทั้งห้องจึงกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
“ก็อย่างที่ทำให้ดู สิ่งสำคัญคือสมาธิและจินตนาการ” ผมย้ำถึงสิ่งสำคัญอีกรอบ
“แบบนี้เราสามารถจินตนาการอะไรก็ได้ใช่ไหมคะ อย่างพวกเทพนิยาย” แอริรัสสาวผมสีชมพูอ่อนหนึ่งในหัวกะทิของห้องยกมือถาม
“ได้หมด จะเทพนิยาย ดินแดนของสัตว์ในยุคก่อนหรือแม้แต่นอกอวกาศ” ผมตอบไปตามจริง
จากนั้นผมก็ให้ทั้งห้องมีสมาธิกับการจดจำคาถาร่าย และเมื่อถึงเวลาออกไปภาคสนามผมลบตัวอักษรทุกตัวบนกระดานขาวจนสะอาดและให้นักเรียนลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปด้านนอก
“อาจารย์ซิน” บานประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับอาจารย์จินเนสเดินเข้ามา
“อาจารย์โดโรธีอยากให้ไปช่วยหน่อยน่ะ”
“เอ่อ...เมื่อวานผมเพิ่งไปช่วยอาจารย์โจวมานะครับ” คำว่าช่วยที่ว่าคือให้ผมไปช่วยสอนและสาทิตการร่ายเวทย์ให้เด็กๆ ดู
เหมือนตั้งแต่งานกีฬาของสถาบันจบลงนักเรียนจำนวนมากให้ความสนใจกับผม นั่นทำให้พวกเขาเรียกร้องอยากให้ผมไปสอนบ้างตอนแรกผมปฏิเสธจนหัวแทบหลุดเพราะแค่ห้องเดียวผมก็ยืนเกร็งไปทั้งคาบ และไม่รู้ว่าเรื่องนี้ไปถึงหูองค์ราชาได้ยังไง เขาบอกให้ผมไปช่วยสาทิตเวทย์ให้เด็กๆ ดูหน่อย ผมจึงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้
ทั้งที่คิดว่าไปแค่ครั้งเดียวคงพอแต่ไม่ใช่ พออาจารย์ห้องอื่นๆ เห็นว่าผมยอมไปช่วยสอนหลังจากนั้นก็ฝากอาจารย์จินเนสมาบอกกันผมเอ่ยปฏิเสธ ถ้าเจอตรงๆ ผมคงปฏิเสธไปแล้วแต่พอฝากมาบอกแบบนี้จะให้ปฏิเสธยังไงได้
มีแต่ต้องทำตามคำขอเท่านั้น
“น่า ตอนนี้เจ้ากำลังดังช่วยๆ หน่อยเถอะ”
“แต่ผมต้องไปสนามกับทุกคน...”
“เดี๋ยวข้าไปเองดูให้” อีกฝ่ายตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ถูกดักทางขนาดนี้จะให้ตอบอะไรไปได้ล่ะนอกจาก...
ห้องเรียนของอาจารย์โดโรธีเป็นห้องของเด็กชั้นป.5 เรียกว่าเป็นวัยกำลังซนได้ที่พอเห็นผมเปิดประตูเข้าไปเสียงร้องทักทายด้วยความยินดีก็ดังลั่นห้องจนผมได้แต่ยืนส่งยิ้มแห้งๆ อยู่หน้าประตู เด็กห้องนี้มีประมาณ 20 คนซึ่งน้อยกว่าห้องอื่นที่เคยเจอ
ห้องปกติจะมีนักเรียนประมาณ 30 คน มีน้อยกว่าแต่ไม่มีมากกว่า 30 ที่ต้องมีการกำหนดจำนวนคงเพื่อให้อาจารย์สามารถดูแลได้ทั่วถึงละมั้ง
“อาจารย์ อยากเห็นเวทย์อัญเชิญ” ประโยคแรกหลังทั้งห้องเงียบลงก็ทำเอาผมอยากถอนหายใจออกมาดังๆ
นี่ไม่ใช่ห้องแรกที่อยากเห็นเวทย์อัญเชิญ ห้องก่อนๆ ที่ผมไปช่วยสอนหรือสาทิตต่างอยากเห็นเวทย์นี้ทั้งนั้น เพราะนอกจากเป็นเวทย์หายากแล้วยังเป็นเวทย์เฉพาะที่มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้ แถมสัตว์อัญเชิญของผมค่อนข้างจะแปลกกว่าคนอื่น
“เรามาสาทิตเวทย์ที่เรียนกันวันนี้ดีกว่าไหม” ผมลองเบี่ยงประเด็นดู
“ไม่เอา เวทย์อันเชิญ” เด็กคนเดิมส่ายหัวไปมา
“อยากดูเวทย์อันเชิญ” แล้วเด็กคนอื่นต่างก็พูดคำว่าเวทย์อัญเชิญจนอาจารย์โดโรธีทำหน้าลำบากใจ
“ขอโทษแทนนักเรียกด้วยนะคะ พวกเขาอยากเจออาจารย์ซินมากจนไม่เป็นอันเรียนเลย” อาจารย์โดโรธีเดินมาพูดกับผม
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” วัยกำลังโตแบบนี้อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่องผมเข้าใจ
ตอนผมอายุประมาณนี้ชอบให้ฟราวร่ายเวทย์ให้ดูตลอดจนบางครั้งถูกเขกหัวเพราะให้ร่ายเวทย์มากเกินไป ช่วงนั้นผมเป็นพวกอยากรู้อยากลองพอเห็นเวทย์อะไรก็จะทำตามถึงจะสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างตามความสามารถในตอนนั้นก็เถอะ
“อยากเห็นเวทย์อัญเชิญ” เสียงพูดยังคงดังไม่หยุด
“ได้ จะร่ายให้ดู” สุดท้ายเป็นไปตามคาดคือผมต้องร่ายเวทย์อัญเชิญให้เด็กๆ ดู
เด็กๆ ดูเหมือนจะตื่นตาตื่นใจไม่น้อยแถมยังตั้งคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบกลับไปว่ายังไงอีก อย่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า ‘ใช้เล็บกรีดนิ้วตัวเองเจ็บไหมคะ’ และมีอีกคนที่ถามว่า ‘จะไปหาสัตว์อัญเชิญที่ไหนครับ’
แม้ผมจะพยายามหาคำตอบในทุกๆ คำถามแต่ต้องยอมรับเลยว่ารู้สึกเหนื่อยกว่าสอนระดับมหาลัยเยอะมาก มากแบบเติมก.ไก่สักล้านตัว
เมื่อจบจากการสาทิตให้เด็กๆ ดูผมจึงเดินลงไปตามบันไดเพื่อกลับไปยังสนาม ตอนนี้พวกนักเรียนคงกังฝึกกันอยู่ หากมีอะไรไม่เข้าใจผมอาจช่วยแนะนำได้ไม่มากก็น้อย
เสียงระเบิดดังลั่นสร้างความแตกตื่นให้เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที ผมยืนนิ่งเพื่อจับทิศทางของระเบิดที่ได้ยินแต่แค่ใช้สัมผัสยังไม่มากพอให้ผมรู้จึงเปิดหน้าต่างด้านข้างออกแล้วยื่นหน้าออกไปดู ควันสีเทาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจำนวนมากจากทางด้านข้างของตัวตึกบริเวณสนาม...
“องค์ชายฮาล์บ!” ดวงตาสีขาวของผมเบิกกว้างขึ้นยามรู้ที่มาของกลุ่มควันเหล่านั้น
“ใจเย็นไว้ ประสายแสงสีขาวจากหมู่มวลเวทมนตร์อันทรงพลังจงแนบชิดกายาและสยายปีกสีขาวล้วนดั่งนกที่โลดแล่นบนท้องนภาให้แก่เรา” ผมร่ายเวทย์จบพร้อมกับกระโดดออกมาทางหน้าต่าง ปีกสีขาวล้วนจากการร่ายเวทย์กระพือขึ้นลงเป็นจังหวะได้ดั่งใจไปจนถึงบริเวณที่เกิดควันและเสียงระเบิด
ด้านล่างของสนามตอนนี้มีผู้คนมากมายกำลังยืนออกันอยู่ฝากหนึ่งโดยมีอีกฝากเป็นกลุ่มคนจำนวน 5 คนโดยตรงกลางกลุ่มคนเหล่านั้นมีวงแหวนเวทย์สีแดงปรากฏอยู่ ภาพนั่นไม่ทำให้ผมตกใจเท่ากับตรงกลางวงแหวนเวทย์สีแดงมีร่างอันคุ้นเคยขององค์ชายฮาล์บนอนราบอยู่บนพื้น
ผมไม่รอช้ารีบพุ่งลงไปยังพื้นด้านล่าง ตอนนี้มีอาจารย์หลายคน ยืนอยู่ด้านหน้านักเรียนคล้ายจะปกป้องหรือพูดคุยกับอีกฝั่งโดยข้างๆ มีผู้อำนวยการของสถาบันเวทมนตร์กำลังยืนทำหน้าเครียด
“โอ้! นั่นเหรอเวทย์ปีก งดงามจริงๆ” หนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่น่าจะเป็นพวกเดียวกันดังขึ้นเรียกอีก 4 คนให้เงยหน้าขึ้นมองผมที่กำลังลงสู่พื้นดิน
“องค์ชายฮาล์บ” ผมไม่สนคำพูดของคนพวกนั้นเดินเข้าไปหาองค์ชายฮาล์บโต้งๆ แน่นอนว่าสองในห้าคนนั้นมายืนขวางทางไว้
“ใจเย็นสิน้องชาย” ชายที่ยืนขวางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกวนโอ้ย
“คิดถูกจริงๆ ที่เล็งตอนที่หมอนี่ไม่อยู่ ส่งใครมาก็โดนจัดการหมดไม่รู้ว่าเป็นใครแต่ครั้งนี้คงยอมให้มาขวางไม่ได้” ชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก้าวเข้ามาใกล้
จากประโยคนั่นแปลได้ว่าพวกมันรู้ว่าผมเป็นคนเข้าไปจัดการกับเรื่องก่อนหน้านี้แถมยังเล็งช่วงที่ผมออกห่างจากองค์ชายฮาล์บอีก ครั้งนี้ผมพลาดเองที่ออกห่างองค์ชาย
ไม่คิดว่าจะบุกเข้ามาในสถาบันแบบนี้
สถานการณ์แบบนี้ต้องใจเย็นไว้
“ทำไมไม่เข้าไปช่วยองค์ชาย” ผมก้าวถอยหลังไปถามผู้อำนวยการที่ยืนอยู่ไม่ไกล
ด้วยจำนวนของอาจารย์น่าจะมากพอให้สามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
“ข้าตอบให้ก็ได้นะ ไม่ใช่ไม่ช่วยแต่ถึงเข้ามาก็ช่วยไม่ได้ต่างหาก” คำพูดจากอีกฝั่งเรียกคิ้วสองข้างของผมให้ขมวดเข้าหากันแน่
“ต่อให้รุมเข้ามาแล้วจัดการพวกเข้าได้แต่ก็ช่วยองค์ชายที่รักของแกไม่ได้ยังไงล่ะ”
ผมหรี่ตาลงเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ตงหน้าผมมีวงแหวนเวทย์สีแดงที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ตรงกลางมีร่างขององค์ชายฮาล์บนอนหมอบอยู่ วงแหวนเวทย์ปกติจะมีรูปร่างต่างไปตามผู้ใช้ทว่าจะมีไม่เกิน 6 ชั้นแต่วงแหวนเวทย์ตรงหน้ากลับมีมากกว่าอีกเท่านึง
นั่นหมายความว่าเป็นเวทย์ระดับสูงจำพวกผนึก การผนึกไม่จำเป็นต้องใช้เวทย์ออกไปจับเท่านั้นแต่ยังสามารถผนึกผู้ที่อยู่ในอาณาเขตที่กำหนดได้ด้วย ดูจากสภาพคงจะเป็นแบบนั้น ทว่าท่าทางขององค์ชายดูแปลกๆ ถึงจะนอนอยู่แต่ไม่ได้สลบดวงตาสีฟ้าสว่างมองมายังผมโดยร่ายกายยังแนบสนิทอยู่บนพื้นหญ้าแสดงว่าไม่สามารถลุกได้ บวกกับคำพูดที่ว่าต่อให้จัดการได้ก็ไม่สามารถช่วยองค์ชายได้ เรื่องราวทุกอย่างเริ่มประติดประต่อ และทันทีที่ทุกอย่างกระจ่างผมก็ต้องขบฟันเพื่อระงับความโกรธ
“เวทย์ผนึกแบบมีเงื่อนไข” ผมพูดสิ่งที่คิดออกมา
“โฮ่ ฉลาดอะไรขนาดนี้ ขนาดพวกตาลุงนี่ยังต้องให้พวกข้าเฉลยแท้ๆ” ใบหน้ากับรอยยิ้มนั่นยังคงประดับอยู่ คงต้องการให้รู้เรื่องเวทย์อยู่แล้วสินะ
“เงื่อนไขที่ใช้คงจะเกี่ยวชีวิตขององค์ชาย” นี่เป็นอีกสิ่งที่คิดได้ เวทย์ผนึกแบบตั้งเงื่อนไขเป็นเวทย์ระดับสูงที่ต้องมีทั้งพลังเวทย์และประสบการณ์ในระดับสูงเพราะหากทำเงื่อนไขพลาดหรือตั้งแบบมั่วอาจสร้างความเสียหายย้อนกลับแก่ตนเองได้
“ถูกอีกแล้ว จะเดาต่อหรือให้ข้าเฉลยดีล่ะ”
“พวกคุณอย่าคิดว่าจะหนีกลับไปได้นะ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ
“น่ากลัวจัง ข้าไม่คิดจะหนีอยู่แล้วต่อให้ถูกจับหรือถูกฆ่าก็ได้ทำงานที่ได้รับมาสำเร็จเรียบร้อย”
“ข้าจะบอกเจ้าทำไมล่ะ กลับเข้าสู่เงื่อนไขดีกว่า เป็นเงื่อนไขง่ายๆ คือกักขังองค์ชายไว้จนกว่าจะหมดลมหายใจ” น้ำเสียงคล้ายกำลังกวนโมโหพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เวทย์ผนึกแบบตั้งเงื่อนไขต้องสร้างเงื่อนไขขึ้นสำหรับการคล้ายผนึกซึ่งสามารถเปลี่ยนไปได้ตามวิธีของแต่ละคน ส่วนมากเงื่อนไขที่ใช้คือหากยอมทำตามเวทย์ผนึกจะคลายออก
ผมเพิ่งเคยเห็นคนที่ใช้เวทย์ผนึกแบบมีเงื่อนไขเพื่อพรากชีวิต
“...” ผมเม้มปากแน่นมองภาพองค์ฮาล์บล้มนอนอยู่บนพื้นหญ้า เส้นผมสีทองเปื้อนดินจากพื้นเลอะไปหมด
“ดังนั้นต่อให้พวกแกทุกคนจะเข้ามาจัดการ เวทย์นี่ก็จะไม่มีวันคลายจนมันจะตาย แต่กว่าจะหมดลมมีเวลาอีกหลายวันพวกเราเลยอยากช่วยโดยผสานเวทย์เข้าไปด้วยนิดหน่อย โงคิ” อีกฝ่ายหันไปเรียกเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างวงแหวนเวทย์
“อืม” คนชื่อโงคิพยักหน้าก่อนยื่นมือไปทางวงแหวนเวทย์สีแดง และทันทีที่วงแหวนเวทย์ปรากฏขึ้นบริเวณฝ่ามือร่างขององค์ชายฮาล์บก็ลอยสูงขึ้นและตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรงจนหัวใจคนมองเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“อย่างที่เห็นแหละ ดังนั้นอย่าพยายามอย่างไร้ค่าเลย มารอดูลมหายใจสุดท้ายขององค์ชายผู้ทรงเสน่ห์กันดีกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงหัวเราะในตอนสุดท้ายนั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโกรธเท่ากับเลือดจากศีรษะขององค์ชายฮาล์บไหลออกมานองบนพื้นหญ้า ซึ่งภาพนั่นเหมือนเป็นตัวดึงน๊อตอันสุดท้ายที่ผมเหลือไหวให้หลุดออก
“พวกคุณจะต้องเสียใจ...” ผมพึมพำเสียงเบาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
เสียใจที่ทำให้ผมโกรธและอยากเอาจริงขึ้นมา
“เสียใจ? อะไร หรือคิดจะร่ายเวทย์อะไร เอาเลยสิ ไม่ว่าจะเวทย์ไรก็ไม่สามารถลบเงื่อนไขที่ตั้งไปแล้วได้ พวกตาแก่นี่ยังได้แต่ยืนมองด้วยใบหน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย”
“ผู้อำนวยการ บอกให้ทุกคนถอยไปด้วยครับ” ผมเอ่ยเสียงเบา
“ได้ เจ้าคิดจะทำอะไร” ผู้อำนวยการถามกลับ
“จะช่วยยังไง เวทย์ผนึกเราไม่สามารถลบล้างมันได้ด้วยเวทย์อื่นนะ” อีกฝ่ายบอกด้วยน้ำเสียงรนราน
“...ได้” เหมือนน้ำเสียงเย็นๆ ของผมจะทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้
และกำลังคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว
“ให้พวกนั้นถอยไป คิดจะทำอะไรหนุ่มน้อย”
“ผมจะทำให้พวกคุณเห็นว่าโทษของการแตะต้ององค์ชายฮาเบลโทสธ์ พระโอรสเพียงองค์เดียวขององค์ราชาคราสเมทิสจะเป็นยังไง!”
“คำพูดใหญ่โตดี จะจัดการพวกข้า...อั๊ก!” ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบพุ่งเข้าเหวี่ยงหมัดใส่จนอีกฝ่ายเซล้มลงไปกองกับพื้น อีก 4 คนที่เห็นต่างเตรียมระวังตัวขึ้นมาทันที
“การหลั่งไหลของพลังเวทมนตร์ซึ่งปกคลุมทั่วผืนปฐพี ท้องนภาและในมหาสมุทรจงหยุดการขับเคลื่อนและสวนกระแสนั้นกลับนั้นไปสู่จุดเริ่มของของวัฏจักร เราขอสังเวยด้วยโลหิตสีแดงฉานนี้จงมอบพลังของผู้ขับเคลื่อนทุกสรรพสิ่งภายใต้อาณาเขตนี้ให้แก่เราผู้อยู่เหนือสุดของห้วงแห่งพลัง!” วงแหวนเวทย์สีขาวขยายอาณาเขตกว้างครอบคลุมพื้นที่ไปจนสุดสายตา แม้แต่ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่ากว้างขนาดไหน เลือดสีแดงถูกหยดลงเพื่อแทนการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกับเวทย์อัญเชิญทว่าไม่ได้เป็นการเรียกพวกไอล่า ไลอา กิ่งก้าสองหัวออกมา การใช้เลือดในครั้งนี้เหมือนการสังเวยเพื่อแลกกับพลังอันทวนกระแสของโลกใบนี้
โกรธผู้ที่กล้าทำร้ายคนคนนั้นต่อหน้าผม
“เวทย์นั่นมันอะไร!” เสียงจาก 1 ใน 5 ดังขึ้น
“ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย” อีกคนพูดบ้าง
“ต่อให้ร่ายเวทย์อะไรก็ไม่สามารถช่วยเจ้านี่ได้หรอก” ชายที่ถูกผมชกตอนนี้ลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง
“แน่ใจ?” ผมยกยิ้มขึ้นพลางชี้นิ้วไปยังเวทย์ผนึกสีแดงด้านหลัง
พรรคพวกทั้ง 5 คนหันกลับไปมองด้านหลังก่อนเบิกตากว้างพร้อมกันเมื่อวงแหวนเวทย์สีแดงของเวทย์ผนึกแบบมีเงื่อนไขค่อยๆ ถูกปลดออกทีละชั้น และไม่นานเวทย์นั่นก็สลายไปทั้งหมด ทั่วทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบกับสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ฝ่ายที่เสียเปรียบอย่างผมกลับใช้เพียงเวทย์เดียวพลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้เปรียบอีกครั้ง
“แกทำอะไร!” น้ำเสียงกวนๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คงร้อนรนไม่น้อยเมื่อเวทย์ที่แสนภูมิใจถูกพังทลาย
“ไม่มีทางที่จะมีเวทย์ไหนสามารถทำลายเวทย์ผนึกแบบมีเงื่อนไขได้หากเงื่อนไขที่ตั้งไว้ยังไม่สำเร็จ”
“ใช่ ไม่มีเวทย์ที่สามารถทำลายได้ ผมจึงไม่ได้ทำลาย”
“เวทย์ที่ผมร่ายจะหยุดการทำงานของทุกเวทมนตร์ที่อยู่ภายใต้อาณาเขตและทำให้เวทย์นั้นกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น” ถ้าให้อธิบายง่ายๆ คือเป็นเวทย์ที่ทำให้ทุกเวทมนตร์ไร้ผล
“ไม่เห็นเคยได้ยินเวทย์บ้าๆ แบบนั้นมาก่อน!” น้ำเสียงตกใจเรียกรอยยิ้มผมให้ยกขึ้น
สำหรับอาณาจักรที่ใช้เวทมนตร์กันจนถือเป็นธรรมชาติ เวทย์ที่สกัดเรื่องธรรมชาตินั้นถือเป็นเวทย์นอกรีดที่ไม่ควรมีอยู่ ซึ่งในความจริงก็ไม่มีอยู่ เพียงแต่ผมเป็นคนคิดเวทย์นี้ขึ้นมาเองและถูกห้ามไม่ให้ใช้มาตลอด การกระทำของผมไม่ต่างกับการบอกให้มนุษย์ที่หายใจหยุดหายใจ แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ผมว่าคงไม่เป็นไร
“แก! ต่อให้ใช้เวทย์ไม่ได้แล้วไง แกเองก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน แค่ใช้มีดแทงหัวใจมัน สภาพร่อแร่แบบนั้นขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ!” มีดสั้นถูกหยิบขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายเดินตรงไปหาองค์ชายฮาล์บ
ผมรีบก้าวเข้าไปใกล้หมายจะจัดการทว่ากลบถูกอีกคนคว้าแขนแล้วกดไหล่ผมลงจนทรุดร่างผมไปกับพื้น แต่ผมไม่ใช่คนที่จะโดนจัดการง่ายๆ ถ้าใช้เวทย์ไม่ได้สุดท้ายก็จะจบลงด้วยการปะทะด้วยพลังกาย หากผมไม่มั่นใจในฝีมือการต่อสู้โดยปราศจากเวทย์ผมจะกล้าใช้เวทย์นี้ไหมล่ะ
ผมผ่อนแรงแขนข้างที่โดนกดก่อนจะใช้ขาถีบเข้ายังชายโครงในสภาพถูกกดอยู่จนอีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้น ผมไม่รอช้ารีบวิ่งตามอีกฝ่ายไปโดยไม่ลืมว่าอีก 3 คนคอยขวางอยู่ ผมเม้มปากแน่นก่อนจะตัดสินใจฝ่าผู้ชายที่เหลือด้วยการกระโดดม้วนตัวตีลังกากลางอากาศ
มีดที่กำลังจะแทงลงยังแผ่นหลังทะลุถึงหัวใจนั่นถูกแตะทิ้งลอยไปไกลพร้อมกับผมที่ตวัดศอกสวนเข้าใส่ท้องอีกฝ่ายจนทรุดลง จังหวะนั้นผมเข้าไปคว้าตัวองค์ชายฮาล์บมาประคองไว้
“โล่แห่งแสงจงครอบคลุมร่างข้า กีดกันทุกการโจมตีที่เข้าประชิด” เวทย์ไร้ผลถูกคลายออกในจังหวะเดียวกับที่ผมร่ายเวทย์ใหม่ขึ้นมาทันที
“พนาลี พนาวัน พนาดรจงเติบโตจากท้องปฐพีและพุ่งเข้าดูดกลืนพลังของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเราด้วยการเคลื่อนไหวดุจหนามยักษ์อันทรงพลังและผลิดอกอันงดงามสีสดสวยด้วยพลังนั้น” เวทย์ที่เคยใช้ในงานกีฬาครั้งก่อนถูกใช้อีกครั้ง หนามยักษ์ 5 เส้นพุ่งเข้าจับกุมศัตรูทั้ง 5 คนก่อนจะดูดพลังเวทย์นั้นมาจนดอกไม่สีชมพูเบ่งบาน
ถ้าคิดว่าผมจะหยุดแค่นี้ก็ผิดแล้ว!
“ปราพกที่ลุกไหม้จงโหมกระหน่ำดั่งสายฝนจากฝากฟ้าในคืนเดือนเพ็ญ พุ่งเข้าเผาผลานผู้ที่อาจเอื้อมแตะต้องสิ่งที่มิควรด้วยเกร็ดใส่สีใสดุจหิมะนับล้านที่ทับถมสู่พื้นดินสีเขียวขจี” อีกเวทย์ถูกร่ายต่ออย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงที่ลุกไหม้กลางอากาศถูกบีบอัดจนมีขนาดเล็กและใสคล้ายเกร็ดของหิมะพุ่งเข้าโจมดีศัตรูทั้ง 5 ที่ถูกดูดพลังเวทย์โดยไม่มีความปราณี
ผมไม่อาจปราณีหรือเมตตาแก่ผู้ที่กล้ามาทำร้ายองค์ชายได้
“องค์ชาย ผมจะรักษาเดี๋ยวนี้ แสงสีเขียวแห่งการรักษาโปรดช่วยฟื้นฟูบาดแผลด้วยพลังแห่งเรา” เวทย์รักษาถูกเอ่ยพร้อมผมใช้ฝ่ามือที่กำลังส่องแสงสีนวลรักษาบริเวณศีรษะเป็นทีแรก ขณะรักษาดวงตาสีฟ้าสว่างปรือขึ้นมามองก่อนองค์ชายจะพยายามเอื้อมมือขึ้นมาหา
“ทรงอยู่เฉยๆ ก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังรักษาให้”
“อ๊ากกกก~!” เสียงร้องโอดครวญไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอยากคลายคาถาสักนิด
“โซ่เหล็กแห่งโลหะจงต่อขยายภายใต้เวทย์นี้และดูซับเกร็ดแห่งอัคคีเพิ่มอุภาคผนึกทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตด้วยโซ่ตรวนที่ไม่มีวันถูกหลอมละลาย” ผมร่ายเวทย์ผสานกับเวทย์ก่อนหน้านี้อีกรอบก่อนจะคลายทุกเวทย์ออกปล่อยให้ร่ายทั้ง 5 นอนแผ่ในสภาพหมดแรงและมีบาดแผลไหม้จากการผสานโจมตี
ถึงจะใช้หลายเวทย์ทว่าผมยังคงรักษาองค์ชายได้โดยไม่มีผลอะไรนัก พลังเวทย์ผมเยอะ และเยอะมากพอที่จะร่ายหลายเวทย์พร้อมๆ กันแบบนี้ได้โดยที่ประสิทธิภาพของแต่ละเวทย์ไม่ลดลง
“...ซิน” เสียงอันอบอุ่นเรียกให้ผมก้มหน้าลงไปองค์ชาย
“ทรงอย่าเพิ่งพูดอะไร ขอกระหม่อมรักษาพระองค์ก่อน” ผมรีบพูดขัด สภาพตอนนี้ถึงจะไม่มีบาดแผลร้ายแรงแต่ก็ยังมีแผลถลอกอยู่มาก
“เจ้าจะพาข้ากลับปราสาทสินะ” องค์ชายพูดต่อราวกับไม่ฟังคำพูดผมก่อนหน้านี้
“พ่ะย่ะค่ะ ทรงพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้องครักษ์พาพระองค์ไปพักยังห้องเอง” หากรักษาเรียบร้อยต้องพาองค์ชายกลับไปยังปราสาท ดวงตาสีฟ้าสว่างตอนนี้ปรือใกล้ปิดเต็มที
“พระองค์ทรงพูดอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หากข้าลืมตา เจ้าต้องอยู่ นี่เป็น...คำสั่ง...” ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคความอ่อนเพลียก็พานให้องค์ชายหมดสติไประหว่างการรักษา
เรื่องราวต่อจากนี้ค่อนข้างวุ่นวายทีเดียว ผู้อำนวยการและคนอื่นๆ ต่างวิ่งเข้ามาล้อมดูอาการองค์ชายก่อนจะหันมาถามผมเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นใครถึงสามารถร่ายเวทย์ได้ติดๆ กันขนาดนั้น ว่ากันตามตรงช่วงสอนผมร่ายเวทย์ไปหนึ่ง เวทย์อัญเชิญให้เด็กๆ ดูอีกหนึ่ง เวทย์ปีกอีกหนึ่ง เวทย์ไร้ผลอีกหนึ่ง และเวทย์ที่ใช้จัดการศัตรูกับรักษาอีกห้า รวมเป็นเก้าเวทย์ซึ่งหากเป็นปกติคงไม่มีทางทำได้เพราะแต่ละเวทย์ที่ร่ายไม่ใช่เวทย์พื้นฐาน
บอกตามตรงว่าตอนนี้ผมเหนื่อยมาก
แต่เมื่อองค์ชายสั่งว่าตื่นมาต้องเจอ ผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตามองค์ชายฮาล์บไปถึงห้องนอนและคอยอยู่ในห้องด้วย อาจดูเหมือนไร้มารยาทซึ่งผมก็บ่นว่าตัวเองไปหลายรอบแล้วเช่นกัน มานั่งรออยู่ในห้องระหว่างองค์ชายกำลังพักผ่อนมันเสียมารยาทหาที่สุดมิได้ แต่จะให้กลับไปผมก็ทำไม่ได้เช่นกัน
องค์ชายฮาล์บปกติไม่ใช่คนที่จะพูดประมาณว่านี่เป็นคำสั่งให้ทำตาม นั่นแปลว่าหากพูดต้องมีอะไรบางอย่าง
และอะไรบางอย่างนั้นทำให้ผมมีความกล้าในการรอองค์ชายตื่น ห้องขององค์ชายคล้ายกับห้องทรงงานขององค์ราชา ต่างกันเพียงมีเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ติดผนังและเฟอร์นิเจอร์ชุดเล็กอยู่ถัดไปก่อนถึงระเบียง
ผมนั่งลงยังโซฟาสีน้ำเงินเพื่อรอองค์ชายตื่นทว่าความง่วงกลับเข้าโจมตีอย่างรุนแรงจนไม่อาจต้านทานได้ ดวงตาสีขาวมองไปยังเตียงกลางห้องที่มีองค์ชายนอนอยู่ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงและปล่อยสติให้หายไปในห้วงนิทราทั้งๆ แบบนั้น
“...ซิน...ซิน” เสียงเรียกอันแผ่วเบาด้านข้างทำให้ดวงตาสีขาวของผมค่อยๆ ปรือขึ้นทั้งที่ความง่วงยังเข้าจู่โจมจนไม่อยากลืมตา
ภาพตรงหน้าค่อนข้างเบลอจากความงัวเงียจึงเห็นเพียงร่างรางๆ ขององค์ชายฮาล์บอยู่ตรงหน้า ด้วยสติที่ยังไม่ตื่นดีพานให้คิดว่านี่คือความฝันเพราะหากเป็นความจริงไม่มีทางที่ผมจะตื่นมาโดยมีองค์ชายฮาล์บอยู่ตรงหน้าแน่นอน
หากนี่เป็นฝัน...งั้นผมจะขอสักหน่อยได้ไหมนะ
ขอเพียงสักนิดที่จะได้สัมผัสไออุ่นนั่นสักครั้ง
“...องค์ชาย” ผมพึมพำพลางเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปโอบคออีกฝ่ายแล้วซุกใบหน้าลงยังลำคอเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรองค์ชายในความฝันถึงเกร็งขึ้นเล็กน้อยก่อนร่างนั้นจะทรุดต่ำลงมาอยู่ระนาบเดียวกัน
ร่างกายผมขยับเข้าไปแนบชิดอีกฝ่าย ซึบซับไออุ่นขององค์ชายและจดจำไว้ ความฝันแบบนี้ไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไหร่นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฝันแบบนี้ผมจึงไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ให้หายไปโดยไม่ทำอะไร
ขอแค่ในความฝัน...เมื่อลืมตาตื่นผมจะอยู่เคียงข้างและปกป้ององค์ชายด้วยความซื่อสัตย์
“...ซิน เป็นอะไร” เสียงพึมพำข้างใบหูกับไอความอุ่นของร่างกายดูจะสมจริงมากไปหน่อยหากเทียบกับความฝัน
ใบหน้าผมที่ซุกอยู่บริเวณค่อยๆ เคลื่อนที่ลงมาจนถึงบริเวณหน้าอกด้านซ้าย เสียงของหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะค่อนข้างเร็วตรงหน้าเรียกดวงตาสีขาวให้เบิกกว้างขึ้น ความง่วง ความงัวเงียรวมถึงสติที่หายไปกลับเข้าร่างอย่างรวดเร็ว การกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้หลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับน้ำป่าไหลหลาก มือทั้งสองข้างที่โอบกอดองค์ชายเริ่มสั่นและเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
กอดอยู่จริงๆ ไม่ใช่ในความฝัน?!
ภายในสมองกำลังร้อนรนกับสถานการณ์อันไม่คาดคิด ทางออกของสถานการณ์นี้อยู่ที่ไหนกัน
ปล่อยองค์ชายจากนั้นค่อยลงไปคุกเข่าขออภัยโทษดีไหม
หรือว่าควรจะแกล้งทำเป็นหลับอยู่...ไม่ได้จะปัดความรับผิดชอบแบบนั้นไม่ได้
“อะ...องค์ชาย” เสียงสั่นๆ ยังไม่น่าอายเท่ากับตอนที่ผมเริ่มขยับมือที่โอบรอบคอองค์ชายออกแล้วขยับตัวถอยหลังออกมาเลย
“เป็นอะไรซิน หนาวเหรอเจ้ากำลังสั่น...”
“องค์ชาย กระหม่อมขอประทานอภัยอย่างยิ่งที่ได้ล่วงเกินประองค์ลงไป กระหม่อมไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งสิ้นโปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ผมทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นระหว่างก้มหน้าเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกไปโดยไม่เงยหน้ามองอีกฝ่าย
จะให้เงยหน้ามองตอนนี้...ผมทำไม่ได้
ดันเผลอหลับในห้ององค์ชายไม่พอยังกล้าบังอาจคว้าตัวองค์ชายมากอดแถมยังขยับตัวเข้าไปแนบชิด โทษประหารยังไม่รู้ว่าจะเพียงพอชดเชยความผิดนี้ได้ไหม
นึกว่านอนอยู่ในห้องตัวเองที่ไหนได้ดันเป็นห้องขององค์ชายฮาล์บ
“...ใจเย็นๆ ก่อน แล้วเงยหน้าขึ้น” อาจเพราะตกใจกับการกระทำของผมองค์ชายเลยดูเหมือนตกใจอยู่ไม่น้อย
“กระหม่อมไม่อาจเงยหน้ามองพระองค์ได้ ขออภัยที่ล่วงเกิน” ผมส่ายหัวไปมา สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่มือทั้งสองข้างของตัวเองซึ่งกำลังกำแน่น
“...” ผมเงียบและส่ายหัวไปมาแทนคำตอบอีกครั้ง
จะให้กล้าเงยหน้าขึ้นไปได้ยังไง
ทุกอย่างผมยังรู้สึกได้อยู่เลยแล้วจะให้เงยหน้าขึ้นไปสบกับดวงตาสีฟ้าสว่างนั่นผมทำไม่ได้
“เงยหน้าขึ้นมาหาข้า...ซิน” น้ำเสียงที่อ่อนลงกับคำเรียกในตอนสุดท้ายพานให้หัวใจกระตุกเต้นเร็วขึ้น
ผมเม้มปากแน่นเพราะรู้ดีว่าประโยคความหมายเดิมถูกกล่าวหลายต่อหลายครั้งนี่หมายถึงอะไร หากผมส่ายหัวหรือตอบปฏิเสธคงไม่อาจหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ ทางเดียวที่ทำได้คือผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปด้านบนจนดวงตาสีขาวของตัวเองประสานเข้ากับดวงตาสีฟ้าสว่างของผู้เป็นองค์ชาย
“อึก...” พอเห็นผมยอมทำตามองค์ชายก็ทรงตอบแทนด้วยรอยยิ้มมุมปากซึ่งส่งผลให้ผมอยากจะก้มหน้าลงไปอีกรอบซะจริงๆ
“ดีมาก ข้าดูเหมือนคนใจร้ายหรือ”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผมรีบตอบ ไม่ว่าจะหน้าตา น้ำเสียงหรือแม้แต่นิสัยก็ไม่มีตรงไหนใจร้ายสักนิด
“งั้นทำไมถึงคิดว่าข้าจะโกรธถึงขนาดต้องลงโทษเจ้าล่ะ” องค์ชายถามต่อ
“เพราะกระหม่อมล่วงเกินพระองค์”
“ยังไง” คำถามนี้ดูเหมือนต้องการแกล้งผมมากกว่าเพราะอีกฝ่ายย่อมรู้อยู่แล้วว่าผมหมายถึงอะไร
“...กระหม่อมทำเรื่องไม่สมควร”
“แล้วเรื่องอะไรที่ไม่สมควรล่ะ” แม้ผมจะพยายามตอบกลับไปก็ยังไม่วายถูกถามกลับ แปลว่าคำตอบยังไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ
นี่ผมต้องพูดออกไปจริงใช่ไหมเนี่ย!
“...กระหม่อม...กอดพระองค์” ไม่ไหวแล้ว ทั้งที่ง่วงมากแท้ๆ แต่ตอนนี้จะให้นอนคงนอนไม่หลับแน่นอน
“อืม เจ้ากอดข้า...แค่กอดเจ้าถึงกับต้องโดนลงโทษเลย?”
“พระองค์ทรงเป็นองค์ชาย...” ถ้าเป็นเพื่อนหรือคนอื่นการกอดคงไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าจะเป็นปัญหาแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ องค์ชายถือเป็นบุคคลระดับสูงรองจากองค์ราชาผู้ที่มีสิทธิ์ได้กอดหรือสัมผัสต้องเป็นบุคคลระดับเดียวกันหรือเทียบเท่าไม่ใช่ผม
“พ่ะย่ะค่ะ...ฮะ? พระองค์ทรงตรัสว่าอะไร เฮ้ย!” ผมแทบตะครุบปากตัวเองไม่ทันเมื่อเผลอตัวอุทานด้วยคำค่อนข้างหยาบคาย และเพราะความเผลอนั่นทำให้ร่างผมถูกรวบขึ้นไปนั่งอยู่บนโซฟาสีน้ำเงินตัวเดิมก่อนองค์ชายจะขยับตัวเข้ามากอดตัวผมเอาไว้แนบอก
กลิ่นขององค์ชายและสัมผัสของร่างกายอันแนบชิดสร้างเสียงหัวใจให้เต้นถี่เร็วขึ้น ทั้งร่างเกร็งไปหมด ในหัวก็แทบไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นคล้ายจะขาวโพลน องค์ชายไม่หยุดเพียงแค่กอดหลวมๆ ทว่ากลับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นคล้ายจะกลั่นแกล้งให้ผมหยุดหายใจ อยากจะผลักออกแต่ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเลย
“ถือว่าหายกันนะ” ผ่านไปสักพักองค์ชายฮาล์บเป็นฝ่ายคลายอ้อมกอดและส่งยิ้มมาให้ผมที่ยังนิ่งค้างอยู่ในท่าเดิม
“...องค์ชาย...” พอได้สติผมก็เตรียมบ่น
“ข้าไม่คิดจะลงโทษเจ้าด้วยเหตุผลแค่นั้น แต่เจ้าคงไม่ยอมรับเพราะงั้นข้าเลยคิดว่าถ้าเป็นฝ่ายคว้าเจ้ามากอดคงหายกันกับที่เจ้าคว้าตัวข้าไปกอด แฟร์ๆ ไง” องค์ชายอธิบายโดยขัดประโยคที่ผมยังเอ่ยไม่จบ
“...” ผมเม้มริมฝีปากแน่นอยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่าแฟร์ตรงไหนเพราะคนที่ได้เปรียบกับสถานการณ์นี้คือตัวผมเองชัดๆ
ไม่รู้ว่าในชีวิตจะได้มีโอกาสแบบนี้อีกไหม และผมไม่กล้าคิดด้วยว่าจะมีอีก
จะผิดไหมที่ผมจะแอบดีใจและเก็บไออุ่นจากอ้อมกอดเมื่อครู่ไว้เป็นความทรงจำ
“ไม่นึกว่าตื่นมาแล้วจะเจอเจ้าจริงๆ”
“องค์ชายทรงพูดว่าคำสั่งนี่พ่ะย่ะค่ะ” ผมตอบกลับ
“หมายความว่าถ้าไม่ใช่คำสั่งเจ้าก็จะไม่ทำตาม?”
“แค่เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ การให้กระหม่อมมารออยู่ในห้องของพระองค์ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม”
“แปลว่าข้าคิดถูกที่บอกว่าเป็นคำสั่ง”
“มีเรื่องอะไรเหรอพ่ะย่ะค่ะ หรือจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศัตรูที่ทำร้ายพระองค์” ผมถามเข้าเรื่อง
“ก็มีส่วน จากคำพูดที่ได้ยินเหมือนว่าจะมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง แถมยังรอจังหวะช่วงที่เจ้าไม่อยู่อีก ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะพลาดท่าง่ายๆ แบบนั้นแต่พวกนั้นจู่ๆ ก็ร่ายเวทย์ผนึกแบบมีเงื่อนไขแล้วยังประสานเวทย์อีก ข้านี่ยังไร้ฝีมืออยู่จริงๆ” องค์ชายพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
“ไม่จริงหรอกพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงมีฝีมือยิ่งกว่าใครแต่ด้วยเวทย์ที่อีกฝ่ายร่ายต่อให้ไม่ใช่พระองค์ก็คงจะเป็นเหมือนกัน” ไม่มีใครสามารถจัดการเวทย์ผนึกแบบมีเงื่อนไขได้หากไม่ทำตามเงื่อนไขที่กำหนด หากถูกจับให้อยู่ภายในเวทย์นั้นจะไม่สามารถร่ายเวทย์ได้
“แต่หากเป็นเจ้าคงหมดปัญหา เวทย์ที่เจ้าใช้น่าทึ่งมาก ข้าไม่เคยเห็นเห็นหรือได้ยินมาก่อนแปลว่าเป็นเวทย์ที่คิดขึ้นมาเองใช่ไหม”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไม่มีเหตุผลต้องปิดบัง ยังไงสักวันเรื่องเวทย์นี้ก็ต้องถูกเปิดเผยออกไป แต่ต่อให้ถูกเปิดเผยให้ใครรู้ก็ไม่มีผลอยู่แล้ว แค่ร่ายคาถาได้ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำให้เวทย์ไร้ผลทำงานได้
“ข้าไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่ถ้าให้คิดคงจะเป็นหนึ่งในผู้ที่หมายตาตำแหน่งราชา”
“แปลว่าเจ้ารู้เรื่องนี้?” ดวงตาสีฟ้าสว่างประสานมาทำให้คนถูกมองสะดุ้งเล็กๆ อย่างลืมตัว
เป็นอีกครั้งที่อยากบ่นตัวเองเหลือเกิน
เล่นตอบความจริงไปโดยไม่คิดอีกแล้ว
“ดูจากหลายๆ เรื่องเจ้าคงเป็นคนหนึ่งที่รู้เรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ดี หรือว่าเจ้าจะเป็นทหาร องครักษ์หรือนักเวทย์ของปราสาทนี้”
“ประมาณนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ผมยังไม่อยากบอกตัวเองเป็นใคร
“...” บางทีก็คิดนะว่าองค์ชายฮาล์บฉลาดกว่าคนทั่วไปมาก
“เจ้าบอกว่าสักวันข้าจะรู้”
“นั่นยิ่งทำให้ข้าสนใจเรื่องเจ้ามากขึ้น”
“พระองค์ทรงอย่าสนใจเรื่องของกระหม่อมเลย”
“ข้ามีอีกเรื่องที่อยากถาม” อยู่ๆ องค์ชายฮาล์บก็เปลี่ยนเรื่อง
“เจ้าเป็นคนเดียวกับที่ช่วยข้าเมื่อตอนเป็นเด็กใช่ไหม” คำถามนี้ทำเอาทั้งร่างเกิดอาการเกร็งขึ้นมากะทันหัน
“ปฏิเสธทันทีอีกแล้ว ข้ายังไม่ได้พูดเลยว่าตอนไหน หากที่เจ้าตอบข้าก่อนหน้านี้ว่าเป็นหนึ่งในคนของปราสาทนั่นหมายความว่าตลอด 23 ปีที่ข้าเกิดมา ข้าถูกคนในปราสาทช่วยไว้มากมายทั้งช่วยสอนดาบ ช่วยสอนเวทย์ ช่วยสอนทำความสะอาดหรือช่วยแต่งตัวในตอนเด็ก สำหรับข้าทุกอย่างที่พวกเขาทำถือเป็นการช่วยซึ่งเจ้าอาจเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นก็ได้แต่การที่เจ้าปฏิเสธทำให้ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่มากกว่านั้น อย่างเช่นตอนที่ข้าโดยลักพาตัว”
“อะ...องค์ชาย กระหม่อม...” เพียงแค่ประโยคปฏิเสธธรรมดาทำไมถึงสาวมาได้ไกลขนาดนี้
“เวทย์รักษาที่เจ้าใช้เป็นเวทย์เดียวกับที่ข้าเคยถูกรักษา” องค์ชายพูดต่อโดยยังไม่ละสายตาออกจากผม
“เวทย์นั่นมีหลายคนที่ทำได้พ่ะย่ะค่ะ” ผมเริ่มสงบสติเพื่อจะได้ไม่รนเวลาตอบคำถาม
“รู้ไหมว่าตอนนี้ข้ากำลังคิดอะไรอยู่” องค์ชายถามกลับ สายตาคู่นั้นมองประสานมาคล้ายจะบอกให้คำตอบ
...................................................
เรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีซึ่งเราอยากให้ทุกอ่านโดยไม่ต้องคิดถึงหลักความเป็นจริงมากนักเพราะยังไงก็เป็นเรื่องในจินตนาการที่แต่งขึ้น
จากนี้ไปเราคิดว่าจะมาอัพอาทิตย์ละสองตอน ความจริงขอบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เราแต่งจบเรียบร้อยแล้วแต่ไม่อยากลงรัวๆ นักเนื่องจากช่วงนี้ติดอ่านนิยายเลยยังไม่ได้แต่งเรื่องใหม่ 555
สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ใช้หัวคิดเกี่ยวการร่ายเวทย์แต่ละบทมากเป็นพิเศษ เป็นตอนที่เวทย์ออกมาเยอะมาก
ใครอยากเห็นฝีมือจริงๆ ของซินตอนนี้ก็คงจะได้เห็นกันแล้ว
คำผิดยังมีอยู่แต่จะพยายามปรับปรุง ขอบคุณที่คอยช่วยคอมเม้นท์แก้คำผิดให้ด้วยนะคะ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
สุดมากค่ะ ขอกราบคนแต่ง ชอบมากๆเลยค่ะ ซินสุดยอดเลย บอกแล้วอย่าแตะต้ององค์ชาย อย่าทำให้ซินโกรธ จุดจบไม่ดีแน่ องค์ชายคะอย่าได้สงสัยในตัวซินเลย ทุกอย่างที่ทำเพื่อองค์ชายทั้งนั้น
อยากอ่านต่อเเล้ววววว
รอนะคะรอ
คนที่ได้กำไรคงไม่ใช่เเค่ซินนะ องค์ชายนี่ได้เต็มๆเลย