*·~หลอม¤ครั้งที่ V ~·*
เสียงนกร้องขับขานประสานกันดังลอดเข้ามาจากหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งอยู่ติดกับชายป่าเรียกผมที่นอนหลับอยู่บนเตียงกว้างให้ตื่นจากนิทราด้วยความสดชื่นดั่งเช่นทุกวัน นาฬิกาเลือนเล็กด้านข้างบอกเวลา 6 โมงนิดๆ ถือว่าเช้าและอาจเช้ามากสำหรับบางคนแต่สำหรับพระโอรสเพียงองค์เดียวของพระราชาคาราสอย่างผมเรียกว่าการตื่นเช้าไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ
ตรงกันข้ามกลับดีซะอีกเพราะเมื่อตื่นเช้าก็จะมีเวลามากขึ้นในการทำหลายๆ สิ่ง หากเป็นวันหยุดผมจะแทบไม่อยู่ในห้องแต่ตะเวนไปตามสถานที่ต่างๆ
สำหรับวันนี้ค่อนข้างเป็นวันพิเศษเพราะทางสถาบันเวทมนตร์มีการจัดงานกีฬาขึ้น ไม่เพียงแค่มีแข่งแต่ยังมีการจัดอัดดับห้องแต่ละชั้นปีว่าห้องไหนได้รับชัยชนะมากที่สุด ทุกปีที่ผ่านมามีการผลัดการแพ้ชนะมาตลอดและห้องผมเองเป็นห้องที่เพิ่งชนะเมื่อปีก่อน ปีนี้อาจารย์จินเนสเลยค่อนข้างคาดหวังเป็นพิเศษ
พอพูดถึงอาจารย์ใบหน้าหนึ่งก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด หากจะหาสิ่งอธิบายตัวตนของคนคนนั้นง่ายๆ ก็ต้องเป็น...สีขาว
ใช่...ไม่ว่าจะสีผม สีตาหรือแม้แต่สีผิว ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาว ถึงจะเป็นสีขาวแต่ไม่ใช่ขาวซีดอย่างเส้นผมสีขาวยาวประบ่าที่มัดเป็นมวยเล็กๆ ครึ่งหัวนั่นเมื่อมองดีๆ จะเห็นได้ว่ามีเส้นเล็กและละเอียดแลนุ่มมาก ดวงตาสีขาวเองไม่ได้ขุ่นมัวทว่าทอประกายแฝงนัยบางอย่างไว้เสมอ
ยิ่งตอนกำลังบ่นผมนี่จะยิ่งทอประกายมากเป็นเท่าตัว
“หึ...” พอนึกถึงดวงตาสีขาวทอประกายยามกำลังบ่นผมก็หลุดขำออกมาเล็กน้อย
น่าแปลกใจจัง...ทั้งที่ไม่น่ามีอะไรแต่ทำไมถึงรู้สึกติดใจอย่างบอกไม่ถูก
ความทรงจำในอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนโดนลักพาตัวผมจำได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ปัญหาอยู่ที่ผมจำอะไรไม่ได้นอกจากสีขาวและเวทย์รักษาสีเขียวอ่อน อาจเพราะยังเด็กมากจึงลืมเลือนเรื่องนั้นไปได้ง่ายๆ
ผมพาร่างตัวเองเดินไปยังห้องน้ำก่อนจัดการอาบและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สถาบันเวทมนตร์ของอาณาจักรไม่ได้มีเครื่องแบบให้ใส่ทุกคนจึงใส่ชุดอะไรก็ได้ไปเรียน มีเพียงเข็มกลัดเล็กประดับอกที่จะบ่งบอกว่าอยู่ชั้นไหนอย่างมหาลัยปี 4 จะเป็นชั้นสูงสุดของสถาบันจึงเป็นรูปนกฟีนิกซ์สีแดงเพลิง
“มาแล้วเหรอฮาล์บ” เสียงทักทายจากผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของอาณาจักรเวธาณาร์เรียกด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นผมก้าวเข้ามาในห้องอาหาร โต๊ะอาหารสีเหลืองอร่ามยาวขนาดรองรับผู้ร่วมโต๊ะได้ถึง 20 คนทว่าปัจจุบันกลับใช้เพียงแค่ 3 คน ที่นั่งส่วนหัวโต๊ะคือท่านพ่อ ท่านแม่และตัวผมเท่านั้น
“วันนี้มีอาหารที่ลูกชอบด้วยนะ” แม่หรือท่านแม่บอกด้วยรอยยิ้มกว้างเปี่ยมสุขเช่นเดียวกับท่านพ่อ
ท่านพ่อท่านแม่ผมเป็นคนยิ้มง่ายทั้งคู่จึงไม่แปลกที่ผมจะเป็นแบบนั้นไปด้วย แม้จะยิ้มบ่อยแต่หาใช่รอยยิ้มเสแสร้ง มันเป็นความรู้สึกจากข้างในใจจริงๆ นิสัยใจเย็นและจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบก็ได้มาจากทั้งคู่อยู่ไม่น้อย
“ท่านพ่อและท่านแม่ตื่นเช้าทุกวันเลยนะพระเจ้าค่ะ” ผมนั่งลงพร้อมทักทายตอบ
“ต้องรีบตื่นสิ แม่อยากเจอฮาล์บนี่นา ยิ่งโตยิ่งไม่มีเวลาอยู่กับแม่ ดูพ่อลูกสิทุกวันก็มีแต่ทำงานถึงแม่จะเข้าใจก็เถอะ” ใบหน้างอนๆ ของแม่เรียกให้พ่อหันไปส่งยิ้มให้
“งั้นวันหยุดหน้าไปเดินชมสวนกับลูกไหมพระเจ้าค่ะ” ผมหันไปถาม
“ได้แน่นอนลูกรัก แม่จะเตรียมตัวรอนะ” รอยยิ้มกว้างนั่นทำให้ผมยิ้มตาม
มื้อเช้าวันนี้เป็นอย่างที่ท่านแม่บอกว่าเป็นของชอบผม สเต็กกุ้งทะเลเสิร์ฟคู่กับสลัดและขนมปังปิ้งเป็นหนึ่งในของโปรดผม...ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทไหนหากมีของทะเลอยู่ผมก็ชอบทั้งนั้น พูดถึงอาหารทะเลอยู่ๆ ในหัวก็ปรากฏภาพเมื่อวันหยุดก่อนหน้านี้ที่มีไซซิน เคอร์เรสร่วมโต๊ะด้วย กว่าจะยอมให้เลือกร้านก็ใช้เวลาไปนานพอควร ความจริงก็ใช้เวลานานตั้งแต่ชวนอีกฝ่ายมาร่วมมื้อกลางวันด้วยกันแล้ว
และไม่รู้ทำไมร้านที่คนคนนั้นเลือกถึงเป็นอาหารทะเลซึ่งเป็นของโปรดผม แถมยังสั่งมาแต่ของที่ผมชอบอย่างกุ้งอบมันฝรั่ง ปลากะพงทอดต้มยำหรือแม้แต่ปูผัดเครื่องเทศ ถึงบอกว่าบังเอิญผมก็ไม่มีทางเชื่อลง
มีอีกหลายอย่างที่ทำให้ผมสงสัยในตัวอาจารย์คนใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะลองถามก็ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ วิธีเดียวจึงต้องเก็บข้อมูลทีละนิดแล้วนำมาประกอบรวมกัน
“วันนี้มีงานกีฬานี่” ท่านพ่อเอ่ยปากขึ้นระหว่างหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ
“ท่านพ่อกับท่านแม่ทรงไปเหมือนทุกปีหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“แน่นอน ปีนี้น่าดูเป็นพิเศษ” ใบหน้าของท่านพ่อปกติจะประดับรอยยิ้มอยู่แล้วทว่าครั้งนี้กลับมีรอยยิ้มแตกต่างจากปกติคล้ายมีบางอย่างที่น่าสนใจกำลังจะเกิดขึ้น
“ท่านพ่อทรงสนใจกีฬาใดเป็นพิเศษพระเจ้าค่ะ” ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นสีหน้าแบบนั้น
“ช่วงสุดท้ายละมั้ง และอาจมีต่อจากนั้นอีกนิด”
ผมหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด ช่วงสุดท้ายของการแข่งกีฬาเป็นการโชว์ความสามารถของอาจารย์และนักเรียนในระดับชั้นสูงสุดซึ่งแต่ละห้องจะส่งตัวแทนมาห้องละ 2 คนและทำการต่อสู้ ปี 4 ที่ผมอยู่มีทั้งหมด 5 ห้องก็จะมีตัวแทน 10 คนลงสนามเดียวกันและทำการต่อสู้โดยใช้เวทมนตร์ แต่มีกฎอยู่ห้ามใช้เวทย์ที่อันตรายเกินไป
สำหรับครั้งนี้ไม่รู้ว่าห้องผมจะส่งใครออกไปหากเป็นอาจารย์ซินก็คงจะดี
อยากลองเห็นฝีมือของอีกฝ่ายมากกว่านี้
“หมายความว่าอะไรหรือท่านพ่อ” ถึงจะคิดตามแต่ก็ยังไม่เข้าใจคำพูดของท่านพ่ออยู่ดี
“แหม พ่อเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” รอยยิ้มน่าสงสัยยังคงติดอยู่ในหัวผมจนกระทั่งเดินทางมาถึงสถาบันเวทมนตร์
งานกีฬาจะจัดขึ้นยังโดมขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งสามารถจุคนได้หลายพันคนแถมสนามด้านล่างแม้ตอนนี้จะเป็นเวทีปกติแต่อีกไม่นานจะมีจอมเวทย์ประจำสถาบันใช้เวทย์เปลี่ยนแปลงสนามให้เหมาะสมกับการแข่งแต่ละแบบ ตารางคะแนนของแต่ละชั้นจะปรากฏยังตารางเวทย์ข้างสนามแบบเรียลไทม์ ที่ 1-3 จะได้คะแนนไล่กันไปส่วนอันดับต่ำกว่านั้นจะได้ 0 ยิ่งเรียนอยู่ในระดับสูงกีฬาที่ลงแข่งก็จะยากขึ้นและใช้เวทย์ในการควบคุมซับซ้อนขึ้นเช่นกัน
“เอาละทุกคนมาพร้อมนะ หวังว่าทุกคนจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพื่องานกีฬาในวันนี้ ปีที่แล้วพวกเราชนะปีนี้เองจะยอมแพ้ไม่ได้ มาพยายามให้เต็มที่เพื่อของรางวัลสุดพิเศษกันเถอะ!” ประโยคสุดท้ายเรียกความฮึกเหิมของทั้งห้องได้ในพริบตา
“จะพยายามสุดชีวิตเลยอาจารย์!” นักเรียนเกือบทั้งห้องมีเปลวไฟลุกโชนในดวงตา ห้องที่ชนะของแต่ละชั้นปีจะมีของรางวัลแตกต่างกันไปอย่างปีที่แล้วได้สิทธิพิเศษละเว้นค่าเรียนครึ่งนึงทำให้กว่าครึ่งห้องโห่ร้องด้วยความปลาบปลื้มใจเพราะจะได้มีเอาเงินส่วนนั้นไปทำอย่างอื่น
“แบบนั้นแหละดี อาจารย์ซินมีอะไรจะเสริมรึเปล่า” อาจารย์จินเนสหันไปถามอาจารย์อีกคนที่ยืนนิ่งเงียบมาตลอด
ใบหน้าขาวออกซีดละสายตาจากพื้นกระเบื้องเบนไปทางคนพูดราวกับถามว่าจะให้พูดอะไร
ผมสังเกตอีกฝ่ายมานานและได้รู้ว่าทุกครั้งเวลาสอนหรือสอบหากอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากเขามักจะก้มหน้ามองพื้นไม่ก็เงยหน้ามองท้องฟ้าคล้ายไม่กล้าสบตากับใคร จำได้ว่าวันแรกก็พูดติดขัดน่าดู แปลว่าไม่ชินกับการสื่อสารหรือสนทนานัก ไม่แน่นว่าอาจรวมไปถึงการเข้าสังคมด้วย
“...พยายามสุดชีวิตก็ดีอยู่หรอกแต่อย่าฝืนเกินไปจนบาดเจ็บจะดีที่สุด” นิ่งไปไม่นานก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เอาล่ะ กีฬาแรกบาซิลพร้อมนะ” อาจารย์จินเนสหันไปหาเจ้าของชื่อ บาซิล ลินโปสชายร่างผอมกร่องของห้อง
“พร้อมครับ ผมอดข้าวมาตั้งแต่เมื่อเย็นวานเลยนะอาจารย์”
“ไม่ได้แข่งกินจุซะหน่อยไม่ต้องอดข้าวก็ได้” สีหน้าอาจารย์ดูเป็นห่วงแกมปลงๆ
“ก็ถ้าไม่อดผมว่าคงกินหมดไม่ไหว”
“แข่งกินวิบากจุดสำคัญอยู่ที่การกินก็จริงแต่ถ้าไม่มีแรงจะวิ่งไม่ไหวเอานะ หาอะไรลองท้องซะหน่อยอาจารย์ซินเห็นมีข้าวกล่องนี่แบ่งให้บาซิลหน่อยได้ไหม” อาจารย์จินเนสหันไปถามเพื่อนร่วมอาชีพ
“ก็ได้อยู่ แซนด์วิชสักชิ้นคงพอนะขืนกินเยอะจะไปกินต่อไม่ไหวเอา” อาจารย์ซินเดินไปหยิบกล่องเข้าและเปิดเอาแซนด์วิชหนึ่งชิ้นส่งให้บาซิล
“อย่าฝืนล่ะ” คำพูดกับรอยยิ้มมุมปากเล็กนั่นตรึงสายตาผมได้อยู่หมัด การกระทำแสนธรรมดาทำไมถึงได้น่ามองขนาดนี้
ความรู้สึกสบายใจยามอยู่ใกล้ๆ ไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน
จากนั้นการแข่งแรกของปี 4 ก็เริ่มต้นขึ้น สนามกีฬาขนาดใหญ่แบ่งออกเป็นสี่สนามย่อยโดยฝีมือนักเวทย์ของสถาบันโดยสนามแข่งกินวิบากอยู่ทางริมล่างขวา เส้นทางยาวประมาณ 1 กิโลเมตรยังไม่น่าหวั่นเท่ากับปริมาณอาหารของแต่ละด่านที่ต้องเจอ แค่ตรงจุดเริ่มต้นก็มีกล้วยทั้งหวีวางไว้ให้จัดการก่อนจะต้องผ่านผืนน้ำยาวกหลายสิบเมตรด้วยการใช้เวทย์ไม่ก็ว่ายไปซึ่งตามทางมีจานอาหารลอยอยู่บนใบหัวหากกินครบ 5 จานก็สามารถไปต่อจุดต่อไปได้
“...ไม่ไหวแน่ๆ” อาจารย์ซินพึมพำเดี๋ยวน้ำเสียงค่อนข้างวิตกเมื่อได้เห็นสนามและปริมาณอาหารแต่ละอย่าง กว่าจะเข้าเส้นชัยต้องกินประมาณ 15 อย่าง แต่ละอย่างนั้นไม่น้อยเลยแถมร่างผอมๆ ของบาซิลไม่แปลกที่อาจารย์จะกังวล ก่อนหน้านี้คนทั้งห้องต่างกังวลที่คนผอมๆ เลือกลงแข่งกีฬานี้แต่เมื่อได้เห็นการแข่งเมื่อปีก่อนๆ ทุกคนก็หมดข้อกังขา
“ไม่ต้องห่วงหรอกอาจารย์ เห็นขนาดตัวแค่นั้นแต่กินเก่งสุดๆ” ผมบอกพลางมองไปยังการแข่งด้านล่าง
“กินเก่ง?” อาจารย์ทำหน้าคล้ายไม่เชื่อ สัญญาณเริ่มการแข่งขันดังขึ้นพร้อมร่างบาซิลวิ่งไปยังจุดแรกคือกล้วยหนึ่งหวีใหญ่และจัดการทั้งหวีนั่นในเวลารวดเร็วจนดวงตาสีขาวด้านข้างเบิกกว้างด้วยความตะลึง
กองสเต็กหลายสิบชิ้นตั้งตะหง่านอยู่บนเสาหินความสูงเกือบ 10 เมตร บาซิลร่ายเวทย์ก่อนจะลอยตัวขึ้นไปจัดการสเต็กเหล่านั้น ในเวลาไม่นานผู้เข้าเส้นชัยแรกก็มาถึง ด้วยรูปร่างอันผอมกร่องที่ไม่ว่าเห็นกี่ทีก็ไม่เข้าใจว่าเอาอาหารไปยัดไว้ส่วนไหน แข่งกินวิบากเป็นกีฬาที่มีทุกชั้นปีจะแตกต่างกันตรงอุปสรรคและอาหาร และแล้วชัยชนะแรกก็ตกเป็นของห้องผม
“ต่อไปการแข่งข้า อาจารย์ไปด้วยกันหน่อยสิ” ผมพูดแล้วเริ่มเตรียมตัว
“อาจารย์จินเนสต้องคอยให้คำปรึกษาและเรียกนักเรียน ไม่มีใครไปมาเป็นโค้ชให้” ถึงความจริงจะไม่ต้องมีโค้ชก็ได้แต่ผมอยากให้อีกฝ่ายไปดูตัวเองใกล้ๆ
“...พระเจ้าค่ะ แต่กระหม่อมคงช่วยอะไรไม่ได้...”
“ได้สิ...แค่เจ้าอยู่ก็ช่วยได้มากแล้ว” คำพูดคล้ายกำลังจีบของผมทำเอาใบหน้าขาวซีดเห่อแดง อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวเลยรีบก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ โดยไม่รู้เลยว่าต่อให้ก้มก็ยังมองเห็นชัด
แปลกใจตัวเองที่เอ่ยประโยคเหมือนกำลังจีบ ถึงจะชอบแหย่หรือกวนคนอื่นเล่นบ้างแต่ไม่เคยออกแนวจีบเพราะอาจทำให้อีกฝ่ายคิดไปว่าผมจริงจัง
“ไปกันเถิดพระเจ้าค่ะ” อาจารย์ซินเดินก้มหน้าลงไปยังสนามแข่งที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นทางน้ำเชี่ยวยาวหลายร้อยเมตร
กีฬาที่ผมลงคล้ายแข่งเรือที่ต้องอาศัยความเร็วเพียงแต่ไม่มีเรือให้ สิ่งที่ใช้ได้คือร่างกายตัวเองและเคลื่อนไหวบนผิวน้ำให้เร็วกว่าคนอื่นเพื่อคว้าชัยชนะมา
“ให้กระหม่อมร่ายเวทย์ป้องกันเผื่อไว้ดีไหมพระเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นสนามอีกฝ่ายก็มีทีท่าเป็นห่วงชัดเจนจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
ผมชอบความรู้สึกยามถูกห่วงใจโดยเฉพาะจากคนที่ไม่ค่อยแสดงมันออกมาทั้งที่มีมันอยู่เต็มเปี่ยม
“กฎคือสามารถใช้ได้เพียงเวทย์เดียว” ผมบอก
“...ทรงระวังตัวด้วย กระหม่อมรู้สึกเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น” น้ำเสียงกังวลนั้นดูจะเกินเหตุจนผมขมวดคิ้วแน่น
“ข้าจะระวัง” ผมพยักหน้าก่อนเข้าไปยืนจุดเริ่ม
ผมเป็นพวกสังเกตรอบตัวได้ดีแต่ในบริเวณนี้ผมไม่เห็นอะไรผิดปกติ ด้านบนของที่นั่งแออัดไปด้วยนักเรียนสูงขึ้นไปอีกนิดมีที่นั่งพิเศษสำหรับราชาและราชินีโดยถัดลงมาอีกนิดมีเก้าอีกหลายตัวโดยคนที่นั่งอยู่มีผู้อำนวยการของสถานบันเวทมนตร์แห่งนี้รวมไปถึงคนระดับสูงและเหมือนมีคณาจารย์จากต่างอาณาจักรมาร่วมด้วย
ทันทีที่สัญญาณเริ่มดังขึ้นทุกคนต่างเริ่มร่ายเวทย์ที่คิดว่าเยี่ยมและเหมาะสมกับการเคลื่อนไหวบนน้ำมากที่สุดออกมา ผมเองก็เช่นกัน...
“หยาดหยดแห่งวารีจงปกคลุมกายาข้าและล่องผ่านกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากที่ขวางกั้นด้วยความเร็วดั่งพายุอันทรงอุภาค” วงแหวนเวทย์สีฟ้าปรากฏขึ้นและหายไปพร้อมสายน้ำใสปกคลุมรอบตัวเมื่อก้าวไปบนผืนน้ำก็สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วคล้ายมีแรงลมช่วยพัดส่ง เวทย์ที่ใช้เป็นหนึ่งในเวทย์เสริมกำลัง ส่วนมากหากต้องการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วหรือเสริมพละกำลังจะใช้เวทย์เสริมกำลังทั้งสิ้น
ผู้นำของกลุ่มตอนนี้คือผม เนื่องจากใช้เวทย์ที่สั้นแต่ทรงพลังจึงทำให้ออกตัวเร็วกว่าคนอื่นไม่น้อยถึงแบบนั้นจะชะล่าใจไม่ได้เนื่องจากอีก 4 คนตามมาจากด้านหลังติดๆ บริเวณทางโค้งที่จุดที่อยากสุดในการเคลื่อนไหวหากไม่เชี่ยวชาญหรือมีทักษะพออาจเซไปกระทบแผงกั้นได้ ยิ่งเข้าใกล้เส้นชัยทางโค้งก็ยิ่งมีมากขึ้น
ขณะผมกำลังเคลื่อนไหวเพื่อผ่านโค้ง 3 โค้งติด อยู่ๆ เวทย์ที่ใช้ก็สั่นก่อนบิดเกรียวอย่างรุนแรงจนพานให้ร่างกายถูกหมุนตาม จากนั้นเวทย์ที่ร่ายก็สลายไปพร้อมกับร่างผมที่ล่วงลงสู่ผืนน้ำด้านล่างอย่างไม่ทันตั้งตัว
“แฮ่ก...” ผมโผล่หัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำท่ามกลางเสียงวุ่นวายที่เริ่มเกิดขึ้น
หลายคนกำลังตกใจกับสถานการณ์
หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
“องค์ชายฮาล์บ!” มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาหาผมโดยไม่รีรอนั่นคือไซซิน เคอร์เรส น้ำเสียงร้อนรนกับสีหน้ากังวลปนใช้ความคิดนั่นช่างน่ามองไม่แพ้ปีกสีขาวขนาดใหญ่ที่กระพือขึ้นลงอยู่เหนือน้ำและยื่นมือมาให้ผมจับ
“...ขอบคุณ” ผมจับมือนั่นก่อนอีกฝ่ายจะใช้ปีกสีขาวบินขึ้นท่ามกลางความตกตะลึงของคนรอบข้าง หากไม่ติดว่าผมอยู่ในน้ำผมคงจะตะลึงกับเวทย์นั้นไม่แพ้กัน เวทย์ลอยตัวธรรมดาไม่มีรูปลักษณ์เป็นปีกอีกทั้งยังไม่มีความเร็วมากพอจะมาถึงตัวผมได้ในเวลาเสี้ยววินาทีหลังเกิดเหตุการณ์
ซึ่งเวทย์บินที่มีปีกอันงดงามและทรงพลังขนาดหอบร่างหนักหลายสิบกิโลได้ถึงสองคนแบบนี้ผมไม่เคยเห็น เพียงแต่เคยได้ยินมาก่อนว่าองครักษ์หรือนักเวทย์ระดับสูงของอาณาจักรสามารถโลดแล่นบนท้องฟ้าได้อย่างอิสระด้วยความเร็วสูง
“องค์ชายทรงบาดเจ็บตรงไหนไหมพระเจ้าค่ะ” เมื่อถึงพื้นอีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ พอเห็นว่าผมไม่ตอบกลับทันก็เริ่มสำรวจร่างกายผมตั้งแต่ใบหน้าวนไปด้านหลังแล้ววนกลับมาถึงปลายเท้าเมื่อไม่เห็นบาดแผลเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ดังขึ้น
องครักษ์ส่วนตัวที่ตอนนี้เหลือเพียง 5 คนกับเจ้าหน้าที่ต่างพากันวิ่งเข้ามาผมด้วยสีหน้ากังวลทว่าผมยกมือห้ามเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องเข้ามา ผมมองใบหน้าขาวที่เริ่มสงบสติได้ด้วยความสนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ
ไม่กี่วินาทีหลังจากเงยหน้าขึ้นดวงตาสีขาวกวาดตามองไปรอบๆ ที่นั่งของนักเรียนนับพันและหยุดสายตาอยู่บริเวณทิศใต้ ดวงตาที่มักทอประกายน่าค้นหายามกำลังบ่นผมอยู่ในใจตอนนี้กลับฉายแววความกริ้วโกรธราวกับเป็นคนละคน
“เปลวเพลิงสีแดงฉานจงหล่อหลอมเป็นโซ่ตรวนและพุ่งทะยานจับกุมผู้ที่บังอาจก้าวเข้ามาภายในอาณาเขตสีเพลิงด้วยการหลอมละลายทุกสรรพสิ่งให้กลับสู่จุดเดือด!” เสียงร่ายเวทย์ด้วยความโกรธปนโมโหมาพร้อมกับวงแหวนเวทย์สีขาวสว่างวาบและโซ่สีแดงก่ำคล้ายถูกเผาด้วยไฟพุ่งเข้าชนกำแพง ไม่สิ พุ่งเข้าใส่เวทย์พรางกายจนปริแตกก่อนจะจับกุมร่างด้านในด้วยโซ่เพลิงนับสิบเส้น
“อ๊ากกก~! ร้อน!” เสียงร้องโอดครวญด้วยความทรมานไม่ทำให้คนด้านข้างคลายเวทย์แต่รัดแน่นกว่าเดิมจนร่างนั้นทรุดลงไปกองกับพื้น
“พอแล้ว เดี๋ยวตายพอดี” ผมก้าวเข้าไปในวงเวทย์แล้วจับมืออีกฝ่ายที่กำลังควบคุมโซ่อยู่
“แต่หมอนั่นทำให้พระองค์อยู่ในอันตราย”
“...ที่ตกน้ำเพราะเขาหรือ” ผมนิ่งเพื่อคำนวณทุกอย่าง
“ไม่พระเจ้าค่ะ เพียงแค่สัมผัสได้ถึงบางอย่างจากจุดนั้นตอนพระองค์ตกลงไป” คำอธิบายมาพร้อมกับการขมวดคิ้วของผม เพียงเสี้ยววินาทีจับกระแสของเวทย์และระบุตำแหน่งได้แม้จะอยู่ในเวทย์พลางตัว
ความสามารถระดับสูงแบบนี้...เป็นใครกันแน่
“ให้องครักษ์จัดการต่อ คลายเวทย์เถอะ” ผมบอกเมื่อเห็นองครักษ์ของท่านพ่อวิ่งไปหาชายคนนั้นเรียบร้อย
“...พระเจ้าค่ะ” สุดท้ายอาจารย์ซินก็ยอมคลายเวทย์ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังด้านบนยังที่นั่งอีกฝั่งซึ่งมีพระราชาและพระราชินีของอาณาจักรประทับอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ท่านพ่อส่งยิ้มบางๆ มาให้ ไม่ใช่ให้ผมแต่เป็นคนข้างๆ
จากเหตุการณ์ฉุกละหุกการแข่งกีฬาสีก็ดำเดินต่อไปแม้ตอนแรกจะมีการสั่งยกเลิกงานแต่พอผมเข้าไปคุยว่าให้จัดงานต่ออีกฝ่ายก็ไม่ขัดอะไรจึงได้ดำเนินงานต่อจนถึงช่วงสุดท้ายของงานกีฬาที่หลายๆ คนรอคอย ซึ่งห้องผมตอนนี้แทบไม่สนอะไรแล้วเพราะกำลังดีใจกับคะแนนอันดับ 1 อยู่
ของรางวัลในปีนี้คือได้กินข้าวฟรีจนกว่าจะเรียนจบ
“เอาล่ะครับ ต่อไปจะถึงช่วงสุดท้ายที่หลายคนต่างรอคอย ตอนนี้องค์ราชาของเราจะประกาศรายชื่อของผู้ที่ต้องลงไปโชว์ความสามารถนะครับ เชิญองค์ราชาพระเจ้าค่ะ” โฆสกประจำงานพูดก่อนส่งต่อให้องค์ราชาที่ยืนขึ้นโดยในมือมีรายชื่อนักเรียนกว่า 150 คนรวมถึงอาจารย์ด้วย
“ข้าได้เห็นความสามารถของทุกคนในที่นี้แล้ว และรู้สึกภูมิใจมากที่ประชาชนในอาณาจักเวธาณาร์เต็มไปด้วยความสามารถเช่นนี้ ข้าจึงขอเลือกนักเรียนปี 4 5 คนและอาจารย์อีก 5 คนที่คิดว่าสามารถแสดงพลังโชว์ให้รุ่นน้องดูได้อย่างดีที่สุด...เริ่มจากปี 4 ห้อง 1...” ท่านพ่อพูดค้างไว้ก่อนจะเบนสายตาลงมามองยังห้อง 1 ซึ่งยืนรอเตรียมรับคำสั่ง
“สำหรับนักเรียน วันนี้ข้ายังไม่ได้เห็นความสามารถของเขาเท่าไหร่จึงขอเลือกลูกชายตัวเององค์ชายฮาเบลโธสท์ เวธาณาร์”
“พระเจ้าค่ะ” ผมก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมก้มหัวทำความเคารพ
“ส่วนอาจารย์...นั่นสินะอยากให้แสดงอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจให้ข้าเห็นอีกไซซิน เคอร์เรส” ทันทีที่ชื่อของอาจารย์ถูกเอ่ยออกมาเจ้าของชื่อก็ก้าวออกมาข้างหน้าและก้มหัวต่ำแสดงความเคารพ
“พระเจ้าค่ะองค์ราชา” จากนั้นอีก 8 ชื่อดังขึ้นตามลำดับ
ในสนามเดิมไม่มีการร่ายเวทย์เปลี่ยนแปลงอะไรมีอาจารย์และนักเรียนจากแต่ละห้องมายืนเผชิญหน้ากัน ทุกคนต่างอยากโชว์ความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าองค์ราชาและคนอื่นๆ จึงได้มีสีหน้าจริงจังกันขนาดนั้น ผมค่อนข้างสนิทกับทุกคนไม่ว่าจะภายในห้องหรือห้องอื่นก็ตาม การได้รู้จักคนมากมายจะช่วยเพิ่มประสบการณ์และการอ่านคนได้มากขึ้น
“ขออธิบายกฎให้ทราบกันก่อน ห้ามใช้เวทย์รุนแรงที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต การต่อสู้นี้วิธีการเอาชนะคือการแย่งแผ่นป้ายบนหน้าอกของแต่ละคนภายใน 20 นาทีหากคู่ใดมีมากสุดจะเป็นผู้ชนะ เริ่มได้!” ทันทีที่ประกาศเริ่มทุกคนต่างกระโดดถอยหลังเว้นระยะห่างก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์
“เศษฝุ่นละอองบนนภาจงรวมตัวกับเพื่อแผ่ขยาย...”
“องค์ชาย พวกเราจะยังไงดีพระเจ้าค่ะ” ทั้ง 4 คู่ต่างร่ายเวทย์มีเพียงคู่ผมเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งอยู่
“การต่อสู้นี้เป็นเหมือนการแสดงโชว์พลังของตัวเองให้คนอื่นเห็น ข้าคิดว่าทุกคนต้องการเห็นเวทย์ที่ไม่ธรรมดา” ดวงตาสีฟ้าสว่างของผมหันไปประสานกับดวงตาสีขาวด้วยรอยยิ้ม
ผมมีความคิดอยู่ และคิดว่าอีกฝ่ายต้องเข้าใจแน่
“...พระองค์ทรงอยากใช้เวทย์ประสานกับกระหม่อม?” ศีรษะที่เอียงเล็กน้อยยามถามกลับช่างน่ามองซะเหลือเกิน
หลายอย่างในตัวอีกฝ่ายทำให้ผมละสายตาไม่ได้
“ใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยทำนี่” ผมพูดถึงตอนอยู่ตลาดและถูกโจมตีแม้เวทย์นั่นจะไม่ใช่การประสานโดยสมบูรณ์แต่ก็ทรงอนุภาคมาก
“การประสานไม่ใช่เรื่องง่าย กระหม่อมต้องรู้ว่าพระองค์จะร่ายเวทย์อะไรจึงจะสามารถหาเวทย์ประสานได้พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะบอกว่าเพียงรู้ชนิดเวทย์ที่ข้าจะใช้เจ้าก็สามารถประสานได้หมดงั้นสิ” ผมแปลความหมายออกมาได้แบบนั้น นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องมีเวทย์ในทุกๆ แบบจึงกล้าพูดได้
จริงอยู่ทุกคนสามารถใช้เวทย์ได้หลายแบบอย่างเปลวเพลิง วารี วายุ ปฐพีหรืออัสนีทว่าแต่ละคนต่างมีความถนัดกันไปแม้อาจใช้เวทย์ทางน้ำได้เก่งไม่ได้แปลว่าเวทย์เพลิงจะต้องทรงพลังไปด้วย การใช้เวทย์ประสานหรือผสานเวทย์จำเป็นต้องให้พลังของทั้งสองเวทย์เสมอกันจึงสำเร็จผมถึงแปลกใจกับคำพูดของอาจารย์ซินพอสมควร
“สำหรับเรื่องนั้น...สายลมแห่งการปัดเป่าจงปัดทุกการโจมตีที่โหมเข้าใส่” ยังไม่ทันได้ตอบการโจมตีหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ อาจารย์ซินที่เร็วกว่าจึงร่ายเวทย์ป้องกันไปได้ทัน
เวทย์พื้นฐานธรรมดาแข็งแกร่งขนาดนี้แปลว่านอกจาพลังเวทย์สูงแล้วต้องมีความเชี่ยวชาญ ฝึกฝนอยู่ไม่ขาด
ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนที่ไม่เคยเรียนหรืออาจเรียนที่อื่นที่ไม่ใช่สถาบันนี้
“...นั่นเวทย์ระดับสูง...”
“เจ้ารู้จักจริงๆ ด้วย” ผมเดาแล้วว่าเขาต้องรู้
“...กระหม่อมเพียงแค่เคยได้ยินมา” ท่าทางถ่อมตัวไม่สามารถปกติสิ่งที่อยู่ภายในได้เลย
“สีหน้าปกติ แปลว่ามีเวทย์ระดับสูงที่สามารถประสานได้อยู่ในหัวแล้ว” ผมเอ่ยพร้อมจ้องมองปฏิกิริยาของคนตรงหน้า
“...” ความเงียบนี่ผมได้คำตอบแล้วว่าเป็นอย่างที่คาด
“เริ่มกันเลยไหม” ผมยิ้มถาม
“กลุ่มก้อนสายวารีบนท้องนภา กระแสธาราใต้ปฐพีและมวลพลังแห่งสายน้ำจงรวมตัวกันเบื้องหน้าข้า สยายสายธารหลั่งไหลดั่งเกลียวคลื่นสู่รูปลักษณ์ทรงอำนาจแหวกว่ายเข้าใส่จับกุมสิ่งที่ข้าพึงปรารถนาด้วยผืนน้ำอันงดงาม”
“หมู่มวลพฤกษาที่ผลิดอกออกผลสยายกิ่งก้านทั่วทุกสาระทิศเราขอนอบน้อมยืมพลังนั้น พนาเขียวชอุ่ม พงไพรแสนแข็งแกร่ง อรัญญิกอันสง่างามจงดูดซับมังกรวารีเพิ่มพละกำลังและเติบโตปกคลุมมังกรดั่งเกราะสีเสียวสด ไล่คว้าความปรารถนาเฉกเช่นรากแกร่งใต้ผืนธรณี”
เวทย์ระดับสูงสองเวทย์ถูกร่ายออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน วงแหวนเวทย์สีฟ้าและขาวส่องสว่างซ้อนทับกันจนเหมือนเป็นหนึ่งเดียวดั่งเวทมนตร์ผนึกมังกรวารีของผมที่ถูกเวทย์โจมตีระดับสูงปกคลุมกลายเป็นเวทย์ให้ที่ไม่มีใครเคยได้เห็นมาก่อน
มังกรน้ำสี่หัวพุ่งแยกกันพุ่งเข้าใส่อีกสี่คู่ก่อนพฤกษาที่ปกคลุมอยู่จะแตกแขนงคว้าเข็มกลัดของทั้งหมดมาได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน เวทย์ประสานที่ทรงพลังขนาดนี้ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แถมคาถานั้นเหมือนถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้เข้ากับการประสานเวทย์ของผมได้เป็นอย่างดีราวกับฝึกซ้อมทำกันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบทั้งที่ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่ใช้เวทย์ประสานกันอย่างจริงจัง
“...” ผู้ชมทั้งสนามต่างเงียบกริบกับภาพอันน่าตกตะลึงไม่เว้นแม้แต่ผู้เข้าร่วมอีก 4 คู่ เวทย์ระดับสูงสองเวทย์ประสานรวมกันเพิ่มการโจมตีและการผนึกที่แน่นหนาสามารถจับกุมและโจมตีทุกสิ่งที่ต้องการได้ตามการควบคุมของผมและอาจารย์ซิน
ผมไม่ได้อยากดูถูกใครแต่ครั้งนี้พลังมันต่างกันเกินไป
“...ยังไม่ถึง 10 นาทีทว่าเข็มกลัดทั้งหมดอยู่ในมือองค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์และอาจารย์ไซซิน เคอร์เรส และทั้งคู่คือผู้ชนะในการแข่งนี้!” เสียงประกาศดังลั่นพร้อมกับเสียงเชียร์จากคนทั้งสนาม
“เป็นเวทย์ที่แข็งแกร่งมากพระเจ้าค่ะ” อาจารย์ซินพูดโดยไม่พูดถึงเวทย์ของตัวเองที่ผมว่าแข็งแกร่งกว่ามากนัก
“ไม่เท่าเจ้าหรอก” เวทย์ที่ดูดพลังของอีกเวทย์แล้วใช้ประสานออกไปคือเวทย์ประสานของแท้ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำโดยเฉพาะเวทย์ระดับสูง ยิ่งเป็นฝ่ายประสานต้องคำนึงอยู่เสมอระหว่างร่ายเวทย์ว่าเวทย์ทั้งสองต้องเข้ากันได้เป็นอย่างดีไม่อย่างนั้นจะเกิดการปะทะของเวทย์ทั้งสองซึ่งจะต่างกลืนกินกันจนหายไปทั้งคู่
“กระหม่อมไม่ได้เก่ง...” ธรรมดาแต่เก่งมาก
ผมเติมประโยคที่ขาดให้ในใจ
เสียงปรบมือท่ามกลางแรงเชียร์เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง ผู้ที่ยืนขึ้นและปรบมือคือคนจากต่างอาณาจักร ผมคาดว่าน่าจะเป็นผู้อำนวยการของสถาบันเวทย์ของอาณาจักรไหนสักแห่งที่มาขอดูงาน
“สุดยอดมากๆ คงซ้อมกันมาอย่างดีแน่ๆ ถึงได้เวทย์ทรงพลังขนาดนี้” คำพูดของอีกฝ่ายทำเอาผมหรี่ตาลงเล็กน้อย หากฟังเผินๆ คงคิดว่านั่นเป็นคำชมทว่ากรณีไม่ใช่...จงใจดูถูกอย่างโจ่งแจ้ง
หากแปลความหมายคงจะได้ว่าถ้าไม่ฝึกซ้อมคงทำไม่ได้ทั้งที่ความจริงทั้งผมและอาจารย์เพิ่งเคยใช้เวทย์ประสานนี้เป็นครั้งแรก
“...” อาจารย์ไม่ตอบแต่ก้มหัวเล็กน้อยคล้ายรับเข้าชมนั่นแม้สายตาที่มองกลับไปจะออกแนวไม่สนใจก็ตาม
“ไหนๆ ข้าก็มาถึงนี่ อยากเห็นอาจารย์ของอาณาจักรเวธาณาร์ปะทะกับอาจารย์ของอาณาจักรกิลซอดจัง ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่พระเจ้าค่ะ” ประโยคสุดท้ายอีกฝ่ายหันไปถามท่านพ่อที่อยู่สูงขึ้นไปอีกระดับ
“เจ้าอยากเห็นฝีมือของอาจารย์คนไหนของอาณาจักรข้าล่ะ” ท่านพ่อทรงยืนขึ้นก่อนก้าวมาข้างหน้า ใบหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้มไร้ความวิตกกังวลใดๆ แม้เรื่องนี้จะเป็นการแสดงพลังระหว่างอาณาจักรก็ตาม
“ถ้าเป็นไปได้กระหม่อมอยากให้เป็นเขาพระเจ้าค่ะ” นิ้วอ้วนป้อมชี้มายังด้านข้างผมหรือก็คืออาจารย์ซินที่ยังคงยืนนิ่งอยู่
“ไซซิน เคอร์เรส เจ้าว่าอย่างไรหากจะต้องปะทะกับเพื่อนร่วมอาชีพต่างอาณาจักร” ท่านพ่อก้มลงถาม
“ตามพระประสงค์ขององค์ราชาพระเจ้าค่ะ กระหม่อมจะทำตามคำสั่งของพระองค์” น้ำเสียงเคารพกับท่าทางอันเต็มเปี่ยมด้วยมารยาทมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากจางๆ ที่หากไม่สังเกตคงมองไม่เห็น
“งั้นก็ส่งคนของเจ้าลงไป ข้ารับคำท้าดวลนั่น” ท่านพ่อตอบรับสารต่างอาณาจักร
“โสวน์ลงไปแสดงความสามารถหน่อย”
“ขอรับ” เสียงทุ้มต่ำกับร่างกายสูงกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามกระโดดลงมายืนบนสนามเดียวกับอาจารย์ซินตัวแทนของอาณาจักรเวธาณาร์
ไม่ว่าจะด้วยรูปร่าง ความสูง ความกำยำทุกอย่างอีกฝ่ายล้วนมีมากกว่าหลายเท่าพอยืนด้วยกันเหมือนยักษ์กับคนแคระถึงให้ผมไปยืนก็คงไม่เปลี่ยน ความสูงนั่นคงเกิน 2 เมตร
ไม่เหมือนอาจารย์สักนิด ดูแล้วเหมือนทหารผู้เจนศึกมากกว่า
“ตัดสิ้นแพ้ชนะด้วยการทำให้อีกฝ่ายลุกไม่ขึ้นเป็นไง” น้ำเสียงท้าทายจากฝ่ายตรงข้างกับรอยยิ้มราวกับจะบอกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าไม่ได้ทำให้ใบหน้าของอาจารย์ซินมีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เอาสิ ผมเห็นด้วย” น้ำเสียงนิ่งๆ คล้ายไม่แยแสทำให้คู่ต่อสู้กัดฟันกรอดก่อนพุ่งเข้าโจมตีด้วยหมัดอันทรงพลังทว่าอาจารย์ซินกลับสามารถหลบหมัดที่ปะทะได้หมดโดยใช้เพียงการเบี่ยงตัวหลบ
“ประกายแสงอันแกร่งจงเสริมเกราะเหล็กให้ข้า” ฝ่ายคู่ต่อสู้ร่ายเวทย์เสริมกำลังเรียกด้วยคาถาสั้นๆ กลุ่มพลังเวทย์มารวมกันอยู่ที่หมัดซ้ายขวาแล้วโจมตีอีกรอบ
อาณาจักรกิลซอดเป็นอาณาจักรที่เน้นด้านพลังไม่ใช่เวทย์แม้จะใช้ได้แต่เวทย์ที่ร่ายออกมานั้นจะสั้นมาก ครั้งนี้พื้นสนามถึงกลับแตกกระจายแสดงถึงพลังอันมหาศาล หากโดนเข้าแม้แต่หมัดเดียวเป็นอันจบ
“แสงแดดจากดวงอาทิตย์จงเผ้าไหม้ผืนน้ำจนร้อนระอุด้วยควันแห่งการโจมตีที่จะพุ่งเข้าใส่ศัตรูเบื้องหน้า” ครั้งนี้อาจารย์ซินร่ายเวทย์บ้าง ควันสีเทากระจายตัวเข้าโอบล้อมและพุ่งโจมตีจากทุกทางแต่ด้วยความที่เป็นควันจึงไม่แข็งแกร่งพอจะหยุดการเคลื่อนไหวนั้นได้
“หึ แค่เวทย์กระจอกคิดว่าจะทำอะไรได้รึไง!” ผู้ท้าดวลวิ่งเข้าใส่อาจารย์ซินโดยไม่เกรงกลัวต่อเวทย์ควัน
“คิดจะทำอะไร” ผมพึมพำระหว่างวิเคราะห์การต่อสู้ตรงหน้า อาจารย์ซินมีฝีมือมากพอจะใช้เวทย์ระดับสูงแต่เขาเลือกใช้เวทย์พื้นฐานอย่างเวทย์ควัน
“เปลวเพลิงเอ๋ยจงจุดฉนวนผสานควันสีเทาและแสดงอนุภาคที่แท้จริงให้เราได้ประจักษ์” เวทย์ใหม่ถูกร่ายทั้งที่เวทย์เดิมยังคงอยู่ เมื่อเปลวไฟเจอกับกลุ่มควันการทำปฏิกิริยาจึงเกิดเป็นระเบิดรุนแรงที่ทำเอาทั่วสนามถูกปกคลุมด้วยควันจากการระเบิด
“เล็งไว้สินะ” ไม่มีทางที่จะร่ายเวทย์ไปส่งๆ เขาคิดไว้แล้วว่าจะผสานเวทย์ธรรมดาสองอันให้ทรงพลังเทียบเท่าเวทย์ระดับกลาง
จริงอยู่ที่เวทย์นั้นมีแรงปะทะรุนแรงทว่าไม่แรงพอจะทำให้อีกฝ่ายลุกไม่ขึ้น ร่างสูงกำยำยืนกัดฟันกรอดโดยตรงหน้ามีชายร่างโปร่งบางยืนนิ่งหน้าตาเฉยชาคล้ายไม่ตกใจที่อีกฝ่ายยังลุกได้
“โสวน์ ใช้เวทย์นั้นเลย!” เสียงตะโกนจากด้านบนดังขึ้นก่อนคนฟังจะพยักหน้า
“ด้วยโลหิตแห่งพันธะสัญญาจงปลุกร่างกำยำสีดำสนิทให้ตื่นขึ้นและปรากฏตัวเคียงข้างข้า!” ดวงตาสีฟ้าสว่างของผมและอีกหลายพันชีวิตเบิกตากว้างเมื่อคาถาที่ได้ยินเป็นเวทย์อัญเชิญที่มีเพียงผู้ถูกเลือกจึงจะสามารถใช้ได้ วงแหวนเวทย์สีเข้มส่องสว่าง หยดเลือดจากปลายนิ้วคือการแลกเปลี่ยนสำหรับการอัญเชิญเพียงพริบตาร่างสีดำมีเขาแหลมสองข้างของสัตว์สี่เท้าก็ปรากฏตัวขึ้น
ใช้เวทย์อัญเชิญแบบนี้มันเหมือนโกงไปหน่อยเพราะสัตว์ที่อัญเชิญมาสามารถใช้เวทมนตร์ได้เช่นกัน จึงกลายเป็นสองรุมหนึ่งไปแล้ว
“ไซซิน เคอร์เรส!” เสียงเรียกจากองค์ราชาของอาณาจักรทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปหาไม่เว้นแม้แต่ผู้ถูกเรียกหรือแม้กระทั่งตัวผมเอง
“เอาจริงให้ข้าเห็นสักหน่อยสิ” ท่านพ่อลุกขึ้นจากที่นั่งสบสายตาไปยังอาจารย์ซินคล้ายจะสื่อสารบางอย่างที่มีเพียงคนโดนจ้องเท่านั้นที่รู้
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะองค์ราชา” ดวงตาสีขาวออกแนวเฉยเมยบัดนี้ทอประกายสุขสมคล้ายเด็กที่ได้รับอนุญาตให้เล่นของเล่นสุดหวงได้
ผมมองภาพรอยยิ้มนั่นด้วยความรู้สึกแปลกที่ไม่รู้ว่าคืออะไร รอยยิ้มที่ดูเปี่ยมสุขอย่างที่ไม่เคยเห็นแต่เพียงได้ฟังประโยคสั้นๆ จากท่านพ่อทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
“ด้วยหยาดโลหิตสีแดงสดนี้จงปลุกผู้ที่หลับใหลอยู่ใต้ผืนปฐพีให้ตื่นขึ้นภายใต้โซ่ตรวนแห่งพันธสัญญา จงลืมตาตื่นสองชีวิตในหนึ่งร่างอันส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีอันเงียบสงัด” เลือดปนปลายนิ้วถูกลากยาวบนพื้นสนามเหนือวงแหวนเวทย์สีขาว แม้จะเอ่ยคนละคาถาแต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากมีคำว่าโลหิตหรือเลือดและมีการใช้เลือดจริงในการร่ายเวทย์เหล่านั้นคือเวทย์อัญเชิญ
ผมรู้ว่าอีกฝ่ายเก่งแต่ไม่คิดว่าจะมีฝีมือขนาดมีเวทย์อัญเชิญ
ทันทีที่แสงสีขาวหายวับไปทุกสายตาต่างจับจ้องหาร่างสัตว์ที่น่าจะเห็นชัดทว่ากลับไม่เจออะไรเลยนอกจากวงแหวนเวทย์ที่หุบลงคล้ายจะบอกว่าร่ายคาถาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“นี่ๆ ไม่คิดจะอุ้มข้าขึ้นหน่อยรึไง” เสียงจากบุคคลที่สามที่ไม่น่าจะมีดังขึ้นท่ามกลางความงุนงงของคนดูรอบสนาม
“จริงด้วย จะปล่อยให้พวกข้าอยู่ในระดับต่ำกว่าแบบนี้ไม่ได้นะ” เสียงที่สี่เองสร้างความงงงวยยิ่งกว่า ทุกคนต่างมองหาต้นตอของเสียงทว่าสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า
“ก็อย่าพรางตัวสิผมมองไม่เห็นนี่ไอล่า ไลอา” อาจารย์ซินตอบกลับเสียงทั้งสองด้วยท่าทายสบายๆ ก่อนจะย่อตัวลงยื่นแขนข้างนึงไปยังพื้นสนามสีขาว
“อย่ามาโกหก ถึงจะไม่เห็นแต่สัมผัสได้นี่”
“ใช่เลย อ้อ ข้าอยากกินขนมแผ่นที่ครั้งก่อนเจ้าให้อีก” ระหว่างเสียงทั้งสองยังดังไม่หยุดบริเวณหัวไหล่ของอาจารย์ซินที่ว่างเปล่าก็ค่อยๆ ปรากฏร่างสีขาวล้วนของสัตว์เลื้อยคลานอย่างกิ่งก้างตัวยาว ที่น่าตกใจคือกิ่งก้าตัวนั้นมี 2 หัว และน่าตกใจกว่าสองหัวหรือสัตว์อัญเชิญพูดได้
ทั้งสนามต่างตกอยู่ในความตะลึงจนไม่มีใครกล้าส่งเสียงอะไรออก ได้ชื่อว่าสัตว์อัญเชิญก็รู้อยู่ว่าสัตว์พูดภาษามนุษย์ไม่ได้แต่นี่อะไรพูดปร๋อราวกับเป็นมนุษย์ซะอย่างนั้น
“ได้สิ แต่ต้องจบการต่อสู่นี่ก่อน” อาจารย์ซินยกมืออีกข้างลูบหัวสีขาวสลับกับไปมา
“ต่อสู้? อ้อ เจ้านั่นเหรอ”
“ท่าทางอ่อนแอไม่น่ามาถึงมือพวกเรานี่นาซิน”
“ก็เขาใช้คาถาอัญเชิญนี่นา”
“ต่อให้เป็นแบบนั้นเจ้าก็เอาชนะได้นี่ เอาเถอะข้าจะช่วยละกัน” หัวทางด้านขวาหันไปมาระหว่างพูด
“จัดการให้จบแล้วกินขนมดีกว่า” หัวทางฝั่งซ้ายเองก็หันไปมองยังกระทิงสีดำ
“จัดให้!” ทั้งสองหัวประสานเสียงก่อกระโดดลงไปเผชิญหน้ากับกระทิงดำที่ตัวโตกว่าหลายสิบเท่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ตกใจอยู่หรอกที่สัตว์ของแกพูดได้แต่ขนาดแค่นี้คิดว่าจะเอาชนะข้าได้รึไง” คู่ต่อสู้หัวเราะเสียงดังลั่นสนาม
“ได้สิ” คำตอบจากอาจารย์ทำให้เกิดบรรยากาศคล้ายสงครามขึ้น
“จะอัดให้หมอบเลย เหล็กไหลเอ๋ยจงหล่อหลอมเป็นหนึ่งดั่งแขนข้า...”
“พนาลี พนาวัน พนาดรจงเติบโตจากท้องปฐพีและพุ่งเข้าดูดกลืนพลังของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเราด้วยการเคลื่อนไหวดุจหนามยักษ์อันทรงพลังและผลิดอกอันงดงามสีสดสวยด้วยพลังนั้น” อาจารย์ซินไม่รอให้อีกฝ่ายร่ายเวทย์จนจบแต่ร่ายเวทย์พร้อมกัน
เวทย์เสริมกำลังของคู่ต่อสู่ทำให้แขนกำยำมีรูปลักษณ์ดังเหล็กวิ่งพุ่งเข้าใส่ร่างที่ยืนยิ่งอยู่ ทว่ายังไม่ทันได้ถึงตัวเถาวัลย์หนามขนาดใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏขึ้นพันร่างนั้นจนร้องครวญคราง ไม่จบเพียงแค่นั้นปุ่มหนามสีเขียวค่อยๆ แตกใบและดอกสีสมพูอ่อนออกมา
“อั๊ก! มะ...ไม่จริง พลังเวทย์ข้ากำลังถูกดูด?!” ผู้ที่โดนจับกุมเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ผมเองก็คิดไว้แล้วว่าการบานของปุ่มหนามนั่นต้องมีอะไรแต่ไม่คิดว่าจะเป็นการดูดพลังเวทย์
เผลอไปเพียงไม่กี่นาทีการต่อสู้ของสัตว์อัญเชิญก็จบลงอย่างรวดเร็วไม่แพ้เจ้านาย กระทิงดำร่างยักษ์นอนแผ่อยู่บนสนามโดยมีร่างของกิ้งก่าเผือกสองหัวยืนสี่ขาอยู่บนหน้าท้องโดยรอบๆ ตัวกระทิงดำเต็มไปด้วยทรายดูดสีนวลที่คาดว่ามาจากเวทมนตร์ของกิ้งก่าสองหัว ภาพการต่อสู้ตรงหน้าเรียกว่าสุดยอด
“ทำได้ดีมาซิน” ทำเสียงของท่านพ่อแตกต่างจากครั้งก่อนๆ ที่เรียก ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงช่างอ่อนโยนกว่าที่เคย
“พระเจ้าค่ะองค์ราชา” ทางอาจารย์ซินเองก็หันไปส่งยิ้มตอบรับคำชมนั่นด้วยแววตาปราบปลื้มจนผมเผลอกำมือตัวเองแน่นอย่างไม่รู้ตัว ความไม่พอใจบางอย่างผุดขึ้นมาภายในอก
มีคำถามมากมายที่อยากรู้และต้องรู้ให้ได้
และนอกจากอยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วตอนนี้ผมยังมีสิ่งที่คาใจเป็นอย่างมาก
ทำไมอาจารย์ซินถึงได้ยิ้มด้วยใบหน้าที่มีความสุขขนาดนั้นกับท่านพ่อ...
ผมอยากให้คนที่อีกฝ่ายยิ้มให้เป็นผม
อาจารย์ไซซิน เคอร์เรสเป็นใครกันแน่
หากรู้คำตอบผมอาจจะรู้ว่าความรู้สึกที่มีในตอนนี้ว่ามันคืออะไร
...............................................
เอาละสิ ฮาล์บเริ่มสงสัยถึงตัวตนของซินมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ตอนนี้ได้เห็นฝีมือของซินกันไปไม่น้อย
เราชอบมากที่ได้แต่งตอนซินโกรธและร่ายเวทมนตร์ให้ความรู้สึกหนักแน่นดี
ยิ่งแต่งเรายิ่งอยากให้เวทมนตร์มีอยู่จริง ทั้งคาถาทั้งการร่ายพอจินตนาการแล้วยิ่งทำให้รู้สึกหลงใหล
หวังว่าทุกคนที่อ่านเองก็จะชอบเช่นกันนะคะ
หลายคนคงตกใจกันไม่น้อย อิอิ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
อ.ซินเก่งมาก ใครที่คิดจะต่อกรด้วยก็คิดเยอะๆกว่านี้หน่อยนะ ส่วนองค์ชายอย่าพึ่งหึงนะเพคะ ใจเย็นๆก๊อนน
รส.ว่ายังปล่อยของไม่หมดเลยอ่า
เราพบคนหึ้ง1อัตรา5555
เอ้าๆ ต้องอิจฉาท่านพ่ออีกนานน
แต่เกือบทุกประโยคพูดคุยมันดูเฟคไปหมดเลยยิ่งรวมบทบรรยายหลังประโยคยิ่งดูเฟคมากขึ้น แต่บอกไม่ถูกว่าควรแก้ยังไง
คือเราอ่านสายแฟนตาซีเป็นส่วนมากอ่านจนมันเป็นปกติ มันไม่ต่างกับนิยายทั่วไป ปกติก็อินอยู่นะแต่พอเป็นเรื่องนี้มันแปลกอ่ะ ทำไมมันขัดมันเฟคเป็นระยะๆ
อย่าโกรธนะ แต่มันเป็นความเห็นส่วนตัวอ่ะค่ะ
//คนที่แต่งแฟนตาซีได้เจ๋งมากและเราตามอยู่ประจำคือ กัลฐิดา ค่ะ ลองอ่านดูน้า(คิดว่าไรท์น่าจะเคยอ่าน) เราว่าคนนี้แต่งแฟนตาซีรื่นสุดเท่าที่เคยอ่านมา
ถ้าอ่านงานก่อนๆจะพบว่าฟีลของตัวละครดีกว่าเรื่องนี้
ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะ มันดีแต่เหมือนไม่ได้มาตรฐานเท่าเรื่องก่อนๆของไรท์อ่ะ ถ้าแฟนซีเรื่องก่อนๆได้คะแนน 8-9/10 เรื่องนี้ได้ 6/10 ค่ะ
ถ้าอ่านเม้นต้นเราจนจบ กัลฐิดาคือนักเขียนนิยายแฟนตาซีที่บรรยายได้ฟีลลื่นที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่คนที่เมนนิยายสายแฟนตาซีค่ะ