งานสำคัญที่สุดของอาชีพอาจารย์ไม่ใช่การสอนแต่เป็นการออกข้อสอบให้นักเรียนต่างหาก สำหรับอาจารย์คนอื่นอาจไม่ลำบากแต่สำหรับผมที่ไม่เคยต้องมานั่งออกข้อสอบภาคทฤษฎีก็พานให้ปวดหัวไปหลายวันติดกระทั่งตอนนี้ก็ยังปวดหัวอยู่
ข้อสอบภาคทฤษฎีจะมีข้อกาและข้อเขียนซึ่งข้อเขียนไม่เป็นปัญหาเท่าข้อกาที่ผมไม่รู้ว่าจะใส่คำตอบลวงอะไรไปดี ผมกับจินเนสอาจารย์ประจำห้องช่วยกันทำข้อสอบคนละครึ่งโดยใครสอนอะไรจะทำข้อสอบเรื่องนั้น
“เอเวทย์ป้องกัน บีเวทย์โจมตี ซีเวทย์ผนึก ดีเวทย์ฟื้นฟู...จะง่ายไปไหมเนี่ย” ผมพึมพำขณะอ่านทวนข้อสอบที่บัดนี้ถูกตีพิมพ์ออกมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าดูกี่ทีข้อสอบนี่ก็ง่ายซะเหลือเกินไม่มีการพลิกแพลงหรือหลอกล่อผิดกับอาจารย์อีกคนที่พอผมอ่านข้อสอบแล้วอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความสามารถ
การสอบของสถาบันเวทมนตร์แห่งนี้จะมีเพียงสองครั้งต่อหนึ่งการศึกษาคือเรียน 4 เดือนสอบ สอบจบ 2 ครั้งก็เป็นช่วงปิดเทมอ ตอนนี้อยู่ในช่วงการสอบแรก เหล่านักเรียนนั่งอยู่ตามเลขที่นั่งกระจายตามแถวในห้องเรียนโดยมีอาจารย์ประจำชั้น 2 คนคอยคุม
ผมกวาดตามองนักเรียนในห้องสลับกับข้อสอบในมือเพื่อดูปฏิกิริยา หากเด็กทำได้ด้วยสีหน้าสบายๆ แบบนี้แปลว่าผมออกง่ายเกินไปครั้งหน้าต้องพยายามมากกว่านี้
เวลาของการสอบให้ 3 ชั่วโมงพัก 1 ชั่วโมงและมาต่อด้วยการสอบปฏิบัติยังสนามด้านข้างอาคารเรียน ครั้งนี้จินเนสเตรียมอุปกรณ์เวทย์สำหรับสร้างเกราะป้องกันเรียบร้อยผมจึงยืนเตรียมพร้อมอยู่กลางสนามโดยในมือมีใบรายชื่อของนักเรียนทั้งห้อง นักเรียนส่วนมากจะไม่ค่อยสนใจสอบทฤษฎีนักเนื่องจากคะแนนปฏิบัติมีมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของคะแนนทั้งหมด
การสอบในช่วงบ่ายหรือภาคปฏิบัติจะให้นักเรียนเข้ามาภายในเกราะป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นก่อนอาจารย์จะบอกชื่อเวทย์ให้ร่ายออกมาประมาณ 3-4 เวทย์ ใครทำได้ดีหรือ 2 ใน 3 ก็จะได้คะแนนเกิน 50 แน่ๆ
จินเนสคอยเรียกนักเรียนให้เข้ามาทีละคน ส่วนผมเป็นคนจัดการบอกชื่อเวทย์และให้คะแนนแต่ละคน ตอนแรกผมถามกับอีกฝ่ายแล้วว่าให้ผมทำหน้าที่นี้จะดีเหรอเพราะยังไงผมก็เพิ่งมาเป็นอาจารย์ได้ไม่นาน แต่ในเมื่อยกหน้าที่นี้ให้ผมก็ไม่ขัด
“คนต่อไป” พอเด็กคนหนึ่งสอบเสร็จจินเนสก็เรียกคนต่อไปให้เข้ามา และเหมือนจะเป็นคนที่มีปัญหาที่สุดในชั้นเรียน เด็กสาวสวมแว่นตากลม ไว้ผมสั้นสีน้ำเงินเข้มก้าวเกร็งๆ มาหาผมที่ยืนอยู่ ปัญหาที่บอกนั้นไม่ใช่ปัญหาด้านพฤติกรรมแต่เป็นความสามารถในการร่ายเวทย์ แม้เธอจะเก่งภาคทฤษฎีทว่ากับการปฏิบัติเหมือนจะไม่ดีนัก จากการสังเกตเธอค่อนข้างรนและตื่นมากเป็นพิเศษเวลามีใครมอง
ยิ่งดูยิ่งคล้ายตัวผมเองจนอดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มให้กำลังใจไปให้อีกฝ่าย
“ผมเข้าใจว่าคุณตื่นเต้น ผมเองก็เหมือนกันเห็นยืนนิ่งๆ แบบนี้แต่รู้ไหมว่าเกร็งจนชาไปทั้งตัวแล้ว” ผมไม่ได้โกหก ตอนนี้สายตากว่า 30 คู่จับจ้องมายังผมเป็นจุดเดียวและเริ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อมีหลายคนต้องการมารอดูการสอบขององค์ชายแห่งอาณาจักรเวธาณาร์
“แน่นอน เห็นมือนี่ไหม” ผมยืนมือข้างที่ซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงให้อีกฝ่ายดู มือขาวออกซีดของผมกำลังสั่นเพราะปกปิดความตื่นเต้นยามถูกจ้องมองไม่มิด ใบหน้าและร่างกายผมอาจสงบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรทว่าจริงแล้วผมก็ยังเป็นตัวผมที่ไม่ชินอยู่ท่ามกลางผู้คนหรือเป็นจุดเด่น ถึงจะสามารถพูดได้โดยไม่ติดขัดแล้วก็ตาม
“อาจารย์ไม่เป็นไรนะคะ” กลับกลายเป็นเธอห่วงผมแทนซะงั้น
“ไม่เป็นไร ลองหลับตานิ่งๆ สัก 10 วิสิ จะช่วยได้” ผมแนะนำ
“ค่ะ” อีกฝ่ายพยักหน้าพลางหลับตาลงตามคำพูดผม
“ร่ายเวทย์โจมตีเป้านิ่ง” ให้เวลาสักพักผมก็เริ่มการสอบ
“ค่ะ แสงสว่างภายใต้วงแหวนแห่งพลังจงขยายขนาดดั่งดวงเนตรสีแดงฉานของพระอาทิตย์ยามเย็นและพุ่งเข้าใส่เป้าหมายเบื้องหน้าเรา” คาถาถูกร่ายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบพร้อมกับวงแหวนสีน้ำเงินส่องสว่างตัดกับลูกบอลเวทย์สีแดงสว่างขนาดกลางพุ่งเข้าใส่เกราะป้องกันจนแตกกระจายหายไป
“ต่อไปเวทย์ป้องกัน...” ผมเอ่ยปากทกสอบอีกสองเวทย์พลางจดคะแนนรวมถึงข้อแนะนำลงในกระดาษรายชื่อ
“ทะ..ทำได้ด้วย!” นักเรียนสาวกระโดดชูแขนขึ้นสองข้างพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างมาให้
“ก็ทำได้ดีนี่เห็นไหม” หากมีเวลาสงบสติสักหน่อยไม่ว่าเวทย์อะไรก็ไม่ยากเกินไป
“เพราะอาจารย์ช่วยต่างหากค่ะ”
“ยินดีครับ” เป็นอาจารย์มีหน้าที่ช่วยนักเรียนอยู่แล้ว
“เชิญองค์ชายเลยพระเจ้าค่ะ” การเอ่ยสรรพนามที่แตกต่างทำให้ผมเกร็งตัวขึ้นเล็กน้อย
ผู้รับการสอบคนต่อไปคือองค์ชายฮาล์บ
เสียงของนักเรียนรอบๆ ดังขึ้นแทบจะทันทีที่ร่างสูงโปร่งเดินเข้ามากยุดยืนตรงกลางสนาม ภาพลักษณ์ของเจ้าชายบวกกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนทำเอาสาวๆ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นน้อง รุ่นเพื่อนหรือแม้แต่อาจารย์อ่อนระทวยกันเป็นแถว
“ขอเวทย์โจมตีสายน้ำแบบกระจาย 3 ทิศพระเจ้าค่ะ” ผมเริ่มการสอบ
“...ไม่มีให้คำแนะนำเหมือนเซเวียบ้างหรือ” องค์ชายฮาล์บไม่ร่ายเวทย์แต่ถามกลับแทน เซเวียที่ว่าหมายถึงหญิงสาวคนก่อนหน้านี้ที่ผมให้คำแนะนำเรื่องการทำสมาธิ
“พระองค์ทรงมีความสามารถมากพออยู่แล้ว กระหม่อมไม่มีอะไรจะแนะนำพระเจ้าค่ะ” สำหรับองค์ชายฮาล์บถือเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิไม่ว่าจะเวทย์อะไรก็สามารถร่ายและควบคุมได้ดั่งใจ แถมยังมีสมาธิดีมากอยู่แล้วจึงไม่มีอะไรต้องแนะนำอีก
“ข้าอยากให้เจ้าแนะนำหรือบอกอะไรหน่อยนี่ บอกคนอื่นแต่ไม่บอกข้า...แบบนั้นเรียกลำเอียงนะอาจารย์ซิน” ดวงตาสีฟ้าสว่างจับจ้องมายังผมระหว่างพูด
ผมไม่เห็นว่าจะลำเอียงตรงไหน
ตรงกันข้ามมันควรจะรู้สึกดีมากกว่าสิที่ไม่มีอะไรต้องแนะนำ เพราะหมายความว่ามีความสามารถอยู่ในระดับสูงมากพอแล้ว
“...พระองค์ต้องการคำแนะนำอะไรพระเจ้าค่ะ” ผมถามกลับตามตรง ไม่แน่ว่าอาจมีบางอย่างที่ต้องการคำแนะนำเป็นพิเศษก็ได้
“อะไรก็ได้ เจ้าแนะนำข้าสักอย่างสิ”
“...” คิ้วข้างนึงเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัยปนงงงวย นี่ผมไม่ได้กำลังถูกกวนหรือแหย่ใช่ไหม
“แค่ประโยคเดียวก็ได้” เห็นว่าผมยืนนิ่งด้วยใบหน้าคิดหนักองค์ชายจึงพูดต่ออีกนิด สายตาเหมือนเด็กกำลังขอขนมช่างน่าเอ็นดูจนเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“องค์ชายทรงมีสมาธิดีอยู่แล้ว แต่หากอยากเพิ่มพลังให้เวทย์นั้นๆ แนะนำให้พระองค์ลองหลับตาระหว่างร่ายคาถาเวทย์ดูพระเจ้าค่ะ” ผมเอ่ยแนะนำออกไปเล็กน้อยตามความเหมาะสม
“ข้าจะลองดู สายธาราใต้พื้นธรณีจงโผล่พ้นเหนือปฐพีแล้วแยกออกเป็นเกลียวคลื่นทั้งสามที่จะทะลวงทุกเวทมนตร์ให้พังทลาย” องค์ชายฮาล์บทำตามคำแนะนำผมโดยการหลับตาลงระหว่างร่ายคาถา เวทย์น้ำสีครามใสแตกแขนงพุ่งโจมตีเกราะที่สร้างจากอุปกรณ์เวทย์ทั้งสามทิศพร้อมเพียงกันจนเกราะสีขาวเริ่มส่งเสียงปริและแตกสลายท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนโดยรอบ
เกราะที่สร้างขึ้นจากอุปกรณ์เวทย์ถูกทำลายด้วยเวทมนตร์พื้นฐาน?!
ผมเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้าอยู่ไม่น้อย เวทย์เกราะที่ใช้คลุมพื้นที่ถือว่ามีพลังมากในระดับหนึ่ง เวทย์พื้นฐานปกติไม่น่าจะทำลายได้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่จริง...แปลว่าพลังขององค์ชายฮาล์บมีมากขนาดทำให้เวทย์พื้นฐานแข็งแกร่งทัดเทียมเวทย์ขั้นกลางหรือขั้นสูง
“เป็นอย่างที่เจ้าพูด เวทย์รุนแรงขึ้นจริงๆ หากใช้กับเวทย์อื่นจะเป็นเช่นนี้เหมือนกันรึเปล่า” องค์ชายฮาล์บไม่มีท่าทีตกใจกับเกราะเวทย์ที่แตกไปสักนิด
“พระเจ้าค่ะ การหลับตาจะช่วยในการเพิ่มพลังสะสมของเวทย์ หากฝึกจนเชี่ยวชาญแม้แต่ลืมตาเวทมนตร์ก็จะทรงอนุภาพไม่ต่างกัน”
“เจ้าก็ฝึกด้วยวิธีนี้หรือ”
“และรู้เองหรือว่าการหลับตาจะช่วยได้” องค์ชายถามต่อ
“พระเจ้าค่ะ” เพราะเป็นคนมีเวลาว่างเยอะเลยลองการฝึกเวทย์ด้วยตัวเองหลายๆ แบบไม่เพียงแค่ตอนหลับตาเท่านั้น จะนั่ง ยืน นอน หรือขณะเดิน ท่วงท่าที่ต่างกันจะส่งผลต่อพลังของเวทย์ทั้งนั้น
“ยิ่งรู้จัก เจ้ายิ่งสุดยอด” รอยยิ้มละมุนนั่นทำเอาผมเบนหลบสายตาแทบไม่ทัน
“ข้าว่าไม่เกินไปหรอก” สายตาและรอยยิ้มขององค์ชายนี่ต่างหากที่ทำเกินไป
ช่วยเห็นใจหัวใจดวงน้อยๆ ที่เต้นรัวไม่หยุดสักนิดเถอะ
หลังผ่านการสอบไปได้เพียงไม่กี่วันภาระอันแสนหนักก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้งเมื่อผมเข้าร่วมการประชุมคณาจารย์ของสถานบันเวทมนตร์ อาจารย์กว่า 100 ชีวิตนั่งฟังผู้อำนวยการพูดเรื่องเทศกาลประจำปีที่ทุกห้องต้องทำอะไรสักอย่างให้บุคคลภายนอกเข้ามาเยี่ยมชม
พูดถึงตรงนี้เวทย์สื่อสารแบบพิเศษก็ถูกร่ายก่อนภาพงานเทศกาลในอดีตจะปรากฏแก่สายตาอาจารย์ทุกคนภายในห้อง คมชัดทั้งภาพและเสียงเลยทีเดียว หากคิดว่าจบแค่นั้นละก็คิดผิด ต่อจากงานเทศกาลจะต่อด้วยงานกีฬาของทางสถาบันต่อทันที และนักเรียนทุกคนต้องเข้าร่วมอย่างน้อย 1 อย่าง
ที่สำคัญที่สุดคืองานกีฬาจะมีองค์ราชาคาราสกับราชินีเอโดร่ามาชมด้วยพระองค์เอง
“ปีนี้สถาบันเวทมนตร์จะครบ 1,090 ปีตั้งแต่สมัยพระราชามินโกส งานเทศกาลและงานกีฬาสีนี้จึงเปรียบเหมือนการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ดังนั้นจงแสดงศักยภาพของอาจารย์ออกมาให้หมดและทำให้งานเทศกาลและงานกีฬาประสบความสำเร็จยิ่งกว่าทุกปี!” ผู้อำนวยการตบโต๊ะเสียงดังเพื่อเรียกความฮึกเหิมจากทุกคนในห้อง
“ครับ/ค่ะ!” เสียงตอบรับเองก็ดังใช่เล่น ทุกคนต่างฮึกเหิมและตื่นเต้นผิดกับผมที่ยังทำหน้างงเพราะไม่ค่อยเข้าใจว่าตัวเองสามารถทำอะไรให้งานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ได้
“อาจารย์ซิน วันนี้ข้าจะไปห้องด้วย” อาจารย์จินเนสวิ่งตามผมออกมาหลังจบการประชุมในช่วงเช้า
“พวกเราต้องทำยังไงต่อ” ผมหันไปถามเพราะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
“อย่างแรกต้องถามความเห็นในห้องว่าต้องการจัดงานในรูปแบบไหน ปีที่แล้วทำเป็นละครเวทีน่ะ”
“ละครเวที?” ทุ่มกันน่าดูเลย ผมนึกว่าแค่เอาอะไรมาขายเหมือนตลาดซะอีก
“ใช่ ระหว่างถามความเห็นก็ให้ทุกคนเลือกลงชื่อในกีฬาที่ถนัดหรืออยากลงเป็นอันเรียบร้อย”
“...อืม” มันจะง่ายแบบที่พูดจริงเหรอ
เมื่อเดินทางมาถึงห้องเรียนผมปล่อยหน้าที่พูดทุกอย่างให้แก่อาจารย์จินเนส ถึงจะไม่ได้ช่วยพูดแต่ผมก็ทำหน้าที่ตัวเองอย่างดีคือใช้เวทย์ติดแผ่นกระดาษกีฬาบนผนังเพื่อให้นักเรียนมาลงชื่อได้สะดวกก่อนจะกลับมายืนเกร็งๆ หน้าห้องเรียน ในมือกำปากกาเขียนกระดานไว้แน่นเพื่อลดความตื่นเต้นที่ไม่มีทีท่าว่าจะหายไป
“...ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ ปีที่แล้วห้องเราทำละครเวที ปีนี้มีใครจะเสนออะไรบอกมาอาจารย์ซินจะเขียนให้แล้วเราค่อยโหวตกันอีกรอบ” สมกับเป็นอาจารย์สามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมดาไม่ติดขัดเลยสักนิด ถ้าให้ผมพูดคงเสียเวลานานกว่านี้แถมยังอาจไม่รู้เรื่องด้วย
“หนูเสนอคาเฟ่ค่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นก่อนเสนอ
“คาเฟ่ห้องอื่นทำเยอะจะตาย ไม่ดีมั้ง” เด็กอีกกลุ่มค้าน
“มันก็แนวๆ เดียวกับคาเฟ่นี่”
“ละครเวทีเหมือนเดิมดีไหม” อีกคนเสนอบ้าง
“ไม่เอาแล้ว ขี้เกียจจำบทแถมวุ่นวายอีก”
ผมได้แต่ถือปากกาค้างไว้กลางอากาศหลังเขียนไปได้เพียงคำว่าคาจากคาเฟ่ก็เกิดการถกเถียงของเด็กในห้อง อาจารย์จินเนสมองดูด้วยแววตาขบขันไม่มีทีท่าจะห้าม
จะให้ผมห้ามก็คงไม่ใช่เลยปล่อยให้เสียงดังกันต่อ
วันนี้ไม่มีการเรียนการสอนและจะไม่มีติดกันไปจนถึงจบงานกีฬาเป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์ด้วยกัน
“ในวันกีฬาก็ต้องเจอแล้วเอาอย่างอื่นเถอะ”
“แล้วองค์ชายล่ะเพคะ มีอะไรจะเสนอหรือไม่” หนึ่งในเพื่อนร่วมกลุ่มหันไปถามองค์ชายฮาล์บที่ไม่มีบทพูดมาสักพักใหญ่
“ข้าได้หมดนะ ทำไมไม่ลองถามความเห็นจากอาจารย์ดูล่ะอาจมีข้อเสนอดีๆ ก็ได้” ระหว่างพูดองค์ชายฮาล์บปรายมามองมาทางอาจารย์หน้าห้องและหยุดสายตาตรงผมพอดี
“สมกับเป็นความขององค์ชายนะพระเจ้าค่ะ อาจารย์ซินมีอะไรจะเสนอรึเปล่า” ทราย์ ปาเปลวนักเรียนหลังห้องคนเดิมลุกขึ้นชี้นิ้วมายังผมแทนการเร่ง นักเรียนที่เหลือต่างก็เงียบเสียงลงเพื่อรอฟังข้อเสนอจากอาจารย์อย่างผม...ที่ไม่เคยร่วมงานอะไรแบบนี้เลยเนี่ยนะ
วันๆ ผมนั่งอยู่แต่บนต้นไม้มองดูดาวยามค่ำคืน...ฮือ?
“...ลองทำท้องฟ้าจำลองไหม” ข้อเสนอของผมทำเอาทั้งห้องเงียบกริบก่อนจะเกิดเสียงซุบซิบและพูดคุยในเวลาไล่เลี่ยกัน
“จริงด้วย ท้องฟ้าจำลองต้องสวยมากแน่ๆ”
“ทำนี่เลย ท้องฟ้าจำลอง!” นักเรียนส่วนมากดูเหมือนจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของผม
“เดี๋ยวก่อนสิ แล้วจะทำยังไงหากระดาษมาตัดรูปดาวรึไง แบบนั้นจะสวยเหรอ”
“...ก็จริงแฮะ หรือเอาใช้เวทย์สื่อสารฉายภาพดีไหม” อีกคนเสนอทางแก้บ้าง
“ก็ใช้ได้นะ ถ้าช่วยกันหลายๆ คนน่าจะทำได้ อาจารย์ว่ายังไงคะ” หญิงสาวผมม่วงหันไปถามทางอาจารย์จินเนส
“ลองถามอาจารย์ซินสิ เขาอาจมีอะไรเสริม” ผมหันไปมองหาคนพูดพร้อมคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น
“อาจารย์ซินคิดว่าเป็นไงคะถ้าพวกเราจะใช้เวทย์สื่อสาร” แม้เวทย์สื่อสารจะเป็นเวทย์พิเศษแต่เป็นเวทย์ที่มีการสอนในสถาบันแห่งนี้อยู่แล้ว เด็กนักเรียนทุกคนจึงใช้ได้
“เป็นความคิดที่ใช้ได้ แต่การใช้เวทย์นั้นผมว่าไม่เหมาะ จริงอยู่ที่เวทย์สื่อสารอาจฉายภาพกลุ่มดาวออกมาได้แต่หากนำภาพมาจากคนละที่ทั้งความเข้มของสี ความชัดของภาพหรือแม่แต่ประกายที่ควรจะมีของดวงดาวแต่ละกลุ่มจะหายไป” ผมอธิบายตามที่คิด
“...แล้วอาจารย์คิดว่าควรใช้เวทย์อะไรล่ะครับ” เด็กชายสวมแว่นถามต่อ
“ถ้าจะให้ผมเสนอ คิดว่าเวทย์ครีเอทแบบประสานน่าจะเหมาะสุดสำหรับการทำท้องฟ้าจำลอง”
“เวทย์นั่นพวกเราไม่ได้เคยได้ยินมาก่อน” ผมไม่แปลกใจกับคำพูดนั่นเพราะพอผมพูดชื่อเวทย์จบเครื่องหมายคำถามก็ลอยเต็มห้อง
“เวทย์ครีเอทเป็นเวทมนตร์พิเศษระดับกลาง แต่ที่เราจะทำเป็นการประสานจึงกลายเป็นเวทย์ระดับสูง” การจะใช้เวทย์ระดับสูงสามารถทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการการร่ายเวทย์ระดับสูงโดยตรง การมีพลังเวทย์และสมาธิสูง
นอกจากนี้ยังมีการประสานเวทย์และการผสานเวทย์ การประสานเวทย์ต่างจากผสานเวทย์โดยสิ้นเชิง การประสานเวทย์จะใช้เรียกกรณีมีหลายๆ คนร่ายเวทย์รวมกันส่วนการผสานจะเป็นการที่เราคนเดียวร่าเวทย์มากกว่าหนึ่งเวทย์เพื่อให้เวทย์เหล่านั้นมีอนุภาพมากขึ้น
“เวทย์ระดับสูง?!” ทั้งห้องต่างตะโกนตาโต
ถึงจะอยู่มหาลัยแต่เวทย์ที่เรียนส่วนมากเป็นเวทย์พื้นฐานที่อยู่ในระดับต่ำค่อนไปถึงระดับกลาง ไม่มีการสอนเวทย์ระดับสูง
“อาจารย์พูดอะไรที่เป็นไปได้หน่อย พวกข้าทำเวทย์ระดับสูงได้ที่ไหน”
“คนเดียวทำไม่ได้แต่หากมีหลายคนทำได้แน่ ในห้องนี้มีผู้ที่มีความสามารถเพียงพอ แค่สอนนิดหน่อยทำได้อยู่แล้ว” ผมไม่ได้ชมออกนอกหน้า เวทย์นี้ไม่ใช่เวทย์ที่ยากอะไรถึงจะเป็นระดับสูงแต่คาถาที่ใช่ร่ายเทียบเท่าเวทย์พื้นฐาน ที่ยากมีเพียงการใช่สมาธิ
“แต่ถ้าทำทุกคนใครจะคอยจัดการเรื่องอื่นล่ะ”
“ก็แบนี้สิทุกคน ให้อาจารย์ซินเลือกนักเรียนไปตามจำนวนที่คาดว่าจะสามารถทำได้ ส่วนที่เหลือก็จัดการทำอย่างอื่นอย่างเตรียมโฆษณา ออกแบบตั๋ว” อาจารย์จินเนสสรุปให้
“แบบนั้นก็ได้ค่ะ อาจารย์ซินเลือกเลยๆ” ดวงตาหลากสีสันทอประกายราวกับอยากเป็นหนึ่งในผู้ใช้เวทย์ระดับสูง
คงไม่บ่อยนักที่คนปกติจะใช้เวทย์ระดับสูง อยากจะให้ทุกคนได้ลองแต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ผมจึงเลือกคนที่มีทักษะและความสามารถมากพอ
“ฟีเซิร์ต แอริรัส เซเวีย...” ผมเริ่มไล่สายตาจากนั่งเรียนฝั่งซ้ายสุดขณะมองก็เอ่ยชื่อแต่ละคนไปด้วย สีหน้าของคนที่ไม่ถูกเลือกทำเอาผมสงสารจับใจ
“...ทราย์ ปาเปลว...องค์ชายฮล์บ” ชื่อสุดท้ายผมลังเลอยู่พอสมควรว่าจะเลือกดีไหม ด้วยความสามารถขององค์ชายมากพอที่จะใช้เวทย์นี้ได้เพียงแต่คนระดับเจ้าชายควรทำหน้าที่อื่นมากกว่า
แต่ตอนนี้คงแก้ไม่ได้แล้ว พูดชื่ออกไปแล้วนี่
ผมสังเกตนะว่าพอองค์ชายได้ยินชื่อตัวเองดวงตาสีฟ้าสว่างนั่นทอประกายดีใจราวกับเด็กได้ขนมแถมยังส่งยิ้มมาให้อีก
“งั้นก็ตามนี้ ใครที่ถูกเรียกชื่อไปหาอาจารย์ซิน ส่วนที่เหลือมาแบ่งงานอื่นทำกัน พอคุยเสร็จอย่าลืมไปลงชื่อแข่งกีฬาด้วย อย่าลืมว่าทุกคนต้องลงคนละ 1 อย่าง”
นักเรียนที่ผมเลือกมี 15 คนคือประมาณครึ่งห้องแต่ละคนใช่ว่าจะเป็นระดับหัวกะทิไปซะหมดแต่ผมคิดแล้วว่าเหมาะสมสำหรับการใช้เวทย์ประสานนี้อย่างทราย์ ปาเปลวแม้นิสัยจะเป็นอย่างที่เห็นทว่าหากมองในภาพกว้างจะเห็นเลยว่าเขาเป็นอีกคนนึงที่เป็นศูนย์กลางของใครหลายๆ คน หรือเซเวียอาจเป็นคนตื่นเต้นง่ายและไม่ค่อยชอบอยู่ต่อหาใครแต่การควบคุมพลังเวทย์นั้นมีความละเอียดอ่อนสูง
“งั้นผมจะแสดงตัวอย่างเวทย์ให้พวกคุณดูก่อน” ผมบอกก่อนจะกางวงแหวนเวทย์ออกเป็นวงกว้างคลุมทั้ง 15 คนไว้ก่อนจะเริ่มร่าย “พลังเวทย์ที่ปกคลุมจงแปรเปลี่ยนและสรรค์สร้างจนก่อเกิดเป็นภาพเสมือนดั่งความฝันเรา”
ทันทีที่ร่ายจบบรรยากาศภายใต้วงแหวนเวทย์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แสงอาทิตย์ในช่วงเที่ยงถูกบดบังด้วยความมิดยามราตรีก่อนประกายแสงเล็กๆ จะส่องประกายท่ามกลางความมืดดั่งดวงดาวเสมือนจริงแม้แต่แต่สายลมที่สัมผัสร่างยังให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
“...สุดยอด” เสียงขององค์ชายฮาล์บดังขึ้นท่ามกลางความอึ้งตะลึงของอีก 14 คน เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านบนพร้อมรอยยิ้มอันแสนเจิดจ้าไม่แพ้ดวงดาวแม้จะอยู่ในความมืดผมก็ยังว่ามันส่องสว่างออกมา
“คาถาที่ใช้ร่ายเป็นคาถาสั้นๆ จุดสำคัญอยู่ที่ภาพจินตนาการภายในหัวระหว่างร่ายเวทย์” ผมอธิบายทั้งๆ ที่ยังไม่คลายเวทย์
“จินตนาการภายในหัว? หมายถึงยังไงครับ” ฟีเซิร์ตเด็กหนุ่มสวมแว่นหนึ่งในหัวกะทิของห้องเอ่ยถาม
“ให้นึกภาพถึงสิ่งที่ต้องการให้เวทย์แปรเปลี่ยนไป ถ้าเป็นท้องฟ้าจำลองก็ให้นึกถึงท้องฟ้าสีดำสนิทที่มีดวงดาวนับล้านดวงทอประกายอยู่ แค่นี้” สำหรับตัวผมคิดว่าเป็นเวทย์ง่ายๆ ที่อาศัยเพียงจินตนาการเป็นเครื่องชี้นำเท่านั้น
“เห็นบอกว่าเราจะต้องประสานเวทย์ ยังไงเหรอคะ” แอรริรัสสาวน้อยผมสีชมพูอ่อนถามบ้าง
“การประสานเวทย์เดี๋ยวผมจะเป็นคนจัดการให้” จะให้นักเรียนทำกันเองโดยไม่มีความรู้แถมเวลายังน้อยนิดคงไม่พอ
“งั้นพวกเราต้องทำอะไรบ้าง”
“ลองกลับไปซ้อมดูโดยให้นึกภาพตามที่เห็นอยู่ตอนนี้จะได้เป็นเรื่องเดียวกัน จากนั้นเราจะทำการกำหนดจุดของแต่ละคนโดยผมจะอยู่ตรงกลางคอยทำหน้าที่ประสานเวทย์ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งห้องเอง” นักเรียนทั้ง 15 คนเงยหน้ามองดูภาพดวงดาวทอประกายในความมืดราวกับกำลังจดจำทุกรายละเอียด หากให้แยกกันไปมองท้องฟ้าพอประสานเวทย์ภาพจะไม่เป็นเนื้อหาเดียวกันกัน
วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้
“อีกเรื่อง เราต้องฝึกการคงเวทย์ให้ได้ 2 ชั่วโมง”
“2 ชั่วโมง?! อาจารย์ครับพวกข้าเป็นนักเรียนนะไม่ใช้ทหาร นักเวทย์หรือองครักษ์คงเวทย์ไว้นานขนาดนั้นแถมยังกินบริเวณกว้างอีกไม่ไหวหรอก” ทารย์ ปาเปลวพูดขัดแทบจะทันที
“เราจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ดังนั้นแต่ละคนต้องคงเวทย์ให้ได้ในช่วงและพื้นที่ของตนเองแต่ผมไม่อยากให้พวกคุณฝืนหากไม่ไหวก็หยุดเวทมนตร์ที่เหลือผมจะจัดการต่อให้” ในกรณีนี้ผมมีพลังมากพอจะร่ายเวทย์กินพื้นที่ทั้งหมดแต่ถ้าทำแบบนั้นนักเรียนจะไม่ได้พยายามหรือเรียนรู้จึงต้องปล่อยให้ทำบ้าง
“จะบอกว่าอาจารย์สามารถคงเวทย์ได้กว่า 6 ชั่วโมงเหรอคะ แถมยังจะจัดการต่อให้ถ้ามีใครไม่ไหว...”
“ทำไม่ได้หรอกแต่ไม่อยากให้พวกคุณฝืน ยังไงผมก็เป็นอาจารย์จะพยายามให้ถึงที่สุดแหละ” ผมอาจโกหกแต่เป็นการโกหกเพื่อก่อให้เกิดบางอย่าง หากพวกเขารู้ว่ามีผมคอยช่วยอาจไม่พยายามแต่ถ้าเป็นแบบนี้พวกเขาจะพยายามในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อให้ผมลำบากน้อยที่สุด
“อาจารย์ให้ข้าช่วยประสานเวทย์ได้นะ” องค์ชาบฮาล์บเดินเข้ามาหาผมระหว่างพูด
“ถ้าเช่นนั้นจะผลัดกันคนละรอบหรือแบ่งคนละครึ่งวันกันดีพระเจ้าค่ะ” สำหรับองค์ชายฮาล์บผมไม่เป็นห่วงอะไรเลย ด้วยพลัง ความสามารถและทักษะที่มีไม่น่าแปลกใจเลยถ้าเขาจะสามารถประสานเวทย์ได้
“เจ้าจะไม่ทำหน้าตกใจหรือแปลกใจสักหน่อยหรือที่ข้าทำเวทย์ประสานได้”
“ไม่พระเจ้าค่ะ” ในเมื่อรู้อยู่แล้วจะทำท่าตกใจไปทำไม
“...ผลัดกันน่าจะดีกว่า คนละชั่วโมงครึ่งผลัดกัน 2 รอบจะได้ไม่เหนื่อยเพราะคนประสานเวทย์ต้องใช้พลังมาก แบบนี้ดีไหม” องค์ชายพูดต่อแม้ดูเหมือนมีบางอย่างในใจก็ตาม
“พระเจ้าค่ะ” พูดตรงๆ นะผมสามารถคงเวทย์ไว้ได้นานกว่า 6 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพักด้วยซ้ำ แต่ก็สมแล้วกับนิสัยขององค์ชาย
จากวันนั้นทุกๆ วันผมฝึกให้นักเรียนทั้ง 15 คนคงการใช้เวทย์ให้นานถึง 2 ชั่วโมง ถึงองค์ชายจะทำได้อยู่แล้วแต่บอกว่าอยากฝึกกับคนอื่นด้วยทำให้นอกจากฝึกประสานเวทย์ให้แม่นยำยังต้องฝึกการคงเวทย์กับคนอื่นๆ ต่ออีก
สำหรับคนที่ไม่ได้รับเลือกต่างทำงานอย่างอื่นกันเต็มที่ตั้งแต่การจัดหาที่นั่งใหม่ให้เหมาะกับการดูดาว ทั้งคำนวณราคาตั๋วและออกแบบบัตรหรือแม้แต่การตัดชุดประจำห้องไว้ใส่ในวันงาน เห็นความมุ่งมั่นแบบนี้แล้วรู้สึกมีความสุขที่ได้มีส่วนร่วมกับเทศกาลนี้ขึ้นมาเลย
ในวันงานมีผู้คนมายืนรอตั้งแต่ก่อนสถาบันเปิดทำการ เหล่านักเรียนต่างมาเช้ากว่าปกติเพื่อเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะเด็กห้องผมที่นัดมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ผมไล่มองตั้งแต่ด้านหน้าไปจนถึงท้ายห้องนักเรียนที่ได้รับเลือก 5 คนนั่งอยู่ตามมุมห้องในตำแหน่งสลับฟันปลาโดยมีผมอยู่ตรงกลางห้อง
“ใกล้ได้เวลาแล้ว เริ่มกันเลยไหม” ผมเอ่ยถามก่อนนั่งลงยังจุดวงกลมที่กำหนดตำแหน่งไว้
บริเวณที่ทุกคนนั่งต่างมีการวาดวงกลมเพื่อกำหนดตำแหน่งซึ่งพอเวทย์ทำงานบริเวณที่ทำสัญลักษณ์จะกลายเป็นต้นไม้กันไม่ให้ผู้ชมเข้ามาชนในความมืด
“ค่ะ/ครับ” ทั้ง 5 คนในรอบแรกพยักหน้า ที่เหลืออีก 10 คนยืนรอประจำตำแหน่งไม่ไกลเมื่อถึงเวลาจะทำการสลับทีละคนตามที่กำหนดไว้
“พลังเวทย์ที่ปกคลุมจงแปรเปลี่ยนและสรรค์สร้างจนก่อเกิดเป็นภาพเสมือนดั่งความฝันเรา!” เสียงประสานของผมและนักเรียนที่เหลือดังขึ้นพร้อมความมืดยามราตรีค่อยๆ เข้าปกคลุมทั้งห้องจนตกอยู่ภายในความมืดมิด และเพียงพริบตาดวงดาวนับล้านก็ทอประกายราวกับอัญมณีเรืองแสง
“เหมือนของจริงเลย!” นักเรียนที่เหลือถึงกับอุทานเสียงดังด้วยความตะลึง
ผมเองยังแอบยิ้มกับความพยายามของทุกคนเลย พวกเขาตั้งใจจนสามารถคงเวทย์ได้ถึง 2 ชั่วโมงแถมยังสร้างภาพในจินตนาการได้อย่างดีเยี่ยม
พองานเทศกาลเริ่มขึ้นและมีผู้คนเข้ามาชมท้องฟ้าจำลองรอบแรกรอบต่อๆ มาก็แออัดไปด้วยผู้คนต่อแถวเรียงรายกันเข้ามาดูดาวในบรรยายสุดโรแมนติก ไม่รู้ว่าไปกระจายข่าวกันตอนไหนถึงได้มีคนรอมากมายขนาดนี้
ด้วยความที่มีคนต้องการดูมากจึงต้องมีการเพิ่มเก้าอี้ แต่ละรอบจะใช้ชมได้ 20 นาทีโดยคิดค่าเข้าชมเพียง 20 เวณ์เรียกว่าถูกมากๆ พอถึงชั่วโมงครึ่งองค์ชายฮาล์บก็เดินเข้ามาหา ผมยอมลุกขึ้นผลัดกับอีกฝ่ายโดยดีแม้ว่าจะยังไม่รู้สึกเหนื่อยก็ตาม ในความมืดนี้มองเห็นทุกอย่างเป็นสีดำสนิททว่ากลับเป็นสีดำที่มอบความรู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย
มีผู้เข้าชมจำนวนไม่น้อยที่อารมณ์ไม่ดีนักเนื่องจากต้องรอคิวนานผมจึงคิดหาวิธีช่วยผ่อนคลายพวกเขาสักหน่อย ดูดาวทั้งทีไม่อยากให้ดูด้วยความรู้สึกแย่ๆ หรอกนะ
“ประกายแสงแห่งพลังจงตกสะเกล็ดดั่งผลึกน้ำแข็งใสที่ทอประกายเฉกเช่นหมู่ดาราอันแข็งแกร่งและจงเคลื่อนไหวอย่างอิสระภายใต้การชี้นำของสายลม” เวทย์นี้ไม่ใช่เวทย์พิเศษแต่เป็นหนึ่งในเวทย์ป้องกันที่มีขนาดเล็กเอาไว้ใช้กระจายกำลังป้องการยามไม่แน่ใจในการจู่โจมของศัตรู ดังนั้นต่อให้โดนตัวก็ไม่เกิดอันตรายใดๆ
เกล็ดสีใสทอประกายเคลื่อนไหวไปมา ตกลงสู่พื้นหรือลอยไปหาคนดูบ้างตาแรงลมอ่อนๆ ในจินตนาการของเวทย์ครีเอท ยิ่งเพิ่มสิ่งใหม่เข้าไปหอดูดาวแห่งนี้ก็ยิ่งทวีความนิยมเข้าไปอีก มีหลายคนที่ลงทุนไปต่อแถวใหม่เพื่อจะได้ดูอีกรอบ
กว่าจะจัดการให้แขกทุกคนเข้าดูเรียบร้อยก็เลยเวลาที่กำหนดไปนานโข ในช่วงท้ายที่มีการต่อเวลานักเรียนทั้ง 15 คนยกเว้นองค์ชายฮาล์บไม่มีแรงเหลือแล้วผมจึงใช้เวทย์จัดการทั้งหมดต่อเอง แต่เริ่มจัดการไม่นานองค์ชายฮาล์บกลับเข้ามาช่วยซึ่งเมื่อมีคนมาหารภาระก็ลดลงไปครึ่งนึง
“จบซะที!” เสียงตะโกนของหนึ่งในนักเรียนดังขึ้นพลางทิ้งตัวนั่งลงยังเก้าอีกเบาะนุ่ม
“ไม่คิดว่าจะเป็นที่นิยมขนาดนี้นะเนี่ย”
“นั่นสิ แถมยังได้ฝึกการใช้เวทย์ด้วย” หนึ่งในผู้ถูกเลือก15คนพูดบ้าง
“ฉันก็อยากใช้บ้างจัง สอนฉันด้วยสิ”
“สอนก็ได้อยู่แต่จะทำได้รึเปล่านะ”
บรรยากาศในห้องกลับมาคึกคักได้ในเวลาอันรวดเร็ว สีหน้ายิ้มแย้มและเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้องทำให้ผมที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องอมยิ้มกับภาพนั่น
หากตอนนั้นผมยอมเข้าเรียนที่นี่จะเป็นยังไงกันนะ
จะสนุกเหมือนในตอนนี้รึเปล่า
“เหนื่อยหน่อยนะอาจารย์” องค์ชายฮาล์บเดินเข้ามาหาผมริมหน้าต่าง
“พระองค์ก็เช่นกัน” ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยมากถ้าเทียบกับความสุขและสนุกที่ได้ทำ
“เวทย์ที่เสริมเข้าไปนั่นเป็นเวทย์อะไรหรือ”
“เป็นเวทย์ป้องกันแบบกระจายตัวพระเจ้าค่ะ” ผมตอบโดยไม่ปิดบัง
“ไม่ใช่แค่กระจายตัวแต่ยังทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระด้วยสินะ” ดูเหมือนองค์ชายจะรู้ว่าเวทย์ที่ผมใช้นั้นคือเวทย์อะไร เวทย์ป้องกันระดับสูงที่ต้องมีความเชี่ยวชาญมาจึงจะสามารถใช้ได้
“พระองค์มีธุระอะไรพระเจ้าค่ะ”
“หากไม่มีธุระข้าก็มาไม่ได้อย่างงั้นหรือ” ประโยคที่ไม่รู้ว่าต้องการสื่อความหมายไปในทิศทางใดดังพร้อมคิ้วสีทองขององค์ชายที่ขมวดเล็กน้อย
“เจ้าดูไม่เหนื่อยเลยหลังจากต้องใช้ทั้งเวทย์ประสานและเวทย์ป้องกันนั่นนานเกือบครึ่งวัน” ดวงตาสีฟ้าสว่างมองมาอย่างจับผิด
“พระองค์เองก็เช่นกัน” ดูไม่เหนื่อยเลยสักนิดเดียว
คนปกติธรรมดาหากฝึกดีหน่อยๆ แค่ 4-5 ชั่วโมงก็ถือว่าสุดๆ แล้ว หากมีฝีมือขึ้นมาหน่อยจะอยู่ประมาณ 6-10 ชั่วโมง สำหรับคนที่มีความสามารถได้เกิน 24 ชั่วโมงถือเป็นระดับสุดยอดเทียบเท่าองครักษ์ระดับสูงหรือเทียบเคียงองค์ราชาเลยก็ว่าได้
องค์ราชาคาราสมีพลังเวทย์สูงลิบการจะสืบทอดพลังเวทย์มาทางสายโลหิตไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดใจอะไร ในอดีตยามเกิดสงครามเล็กๆ องค์ราชาคาราสสามารถร่ายเวทย์ป้องกันอาณาจักรได้ถึง 2 วันเต็ม แม้แต่ผมยังไม่สามารถคงเวทย์ได้นานขนาดนั้น แค่คืนครึ่งก็เต็มกลืนแล้ว
“ใครบอกว่าข้าไม่เหนื่อย เห็นแบบนี้ข้าก็เหนื่อยพอสมควรเลย” ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น ท่าทางสบายๆ นี่ดูตรงไหนก็ขัดกับประโยคที่เอ่ยออกมา
“พระองค์ทรงถ่อมตัวไปแล้ว”
“เปล่า ข้าแค่ไม่อยากแสดงออกต่อหน้าเจ้าเท่านั้น”
“...?” ผมกระพริบดวงตาติดๆ กันหลายครั้งเพื่อหวังว่าจะเข้าใจคำพูดเมื่อครู่ได้
“ข้าอยากให้เจ้าเห็นว่าข้ามีฝีมือ”
“...องค์ชายทรงมีฝีมือเป็นยอดอยู่แล้ว”
“แล้วถ้าเทียบกับเจ้าล่ะ ข้าจะอยู่ในระดับเดียวกันหรือไม่” ดวงตาสีฟ้าสว่างประสานมายังดวงตาสีขาวของผมเพื่อหยุดทุกการเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิด ความนัยจากดวงตาบอกว่าหากไม่ตอบก็จะไม่ยอมให้หนี
“...ทรงอย่าเปรียบเทียบกับกระหม่อมเลย”
“แปลว่าฝีมือข้ายังไม่มากพอแม้แต่จะให้เปรียบกับเจ้าสินะ”
“อย่าทรงคิดไปในแง่นั้นด้วยพระเจ้าค่ะ” ผมรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน
ทำไมถึงแปลความหมายไปแบบนั้นได้
“จะมีวันที่ข้าได้เห็นพลังจริงๆ ของเจ้าไหม” อยู่ๆ องค์ชายก็เปลี่ยนเรื่อง ผมถึงกับแอบถอนหายใจที่ไม่ต้องตอบคำถามก่อนหน้านี้
“เรื่องนั้นกระหม่อมไม่ทราบ” ตัวตนของผมไม่ใช่ด้านนี้แต่เป็นเงาของอาณาจักรเวธาณาร์ หากการอาลักขาจบลงผมต้องกลับไปยังที่ของตัวเอง
“ข้าพอเข้าใจความหมายแล้ว ขอถามอีกอย่างได้ไหม” องค์ชายเปิดหน้าต่างก่อนโผล่หน้าออกไปมองบรรยากาศด้านนอก
“เจ้าไปดูดาวที่ไหนหรือ ภาพที่เจ้าสร้างให้เห็นข้าไม่เคยเจอที่ไหนมีดาวสวยเหมือนที่นั่นมาก่อน”
“ในป่าพระเจ้าค่ะ” ถ้าจะให้อธิบายมากกว่านี้คือในป่าหลังปราสาทขององค์ชายฮาล์บนั่นแหละ
“ข้าอยากไป พาข้าไปได้ไหม”
“...เอ่อ เรื่องนี้กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เหมาะสม...”
“พาข้าไปได้ไหม” ดวงตาสีขาวของผมเบิกกว้างกับเรื่องเดิมที่เกิดขึ้นมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งตั้งแต่ได้รู้จักกับองค์ชายฮาเบลโธสท์ เวธาณาร์
“พระองค์อย่าทรงทำแบบนี้เลยกระหม่อม...”
“พาข้าไปเถอะนะ” รูปประโยคอาจเปลี่ยนทว่าความหมายโดยรวมกลับเหมือนเดิมทุกประการ
“...องค์ชาย กระหม่อมจะบอกว่าที่ไหน...”
“...” ทำไมถึงทำให้ผมหนักใจได้ขนาดนี้นะ
“ใบหน้าเจ้าตอนกำลังสับสนปนไม่พอใจข้าชอบ น่ามองดี” รอยยิ้มกับดวงตาสีฟ้าสดที่ทอประกายสุขสมกึ่งขำขันทำเอาคนถูกจ้องหน้าร้อนผ่าว
“องค์ชายฮาล์บ!” ผมขึ้นเสียงอย่างไม่กลัวถูกบ่นว่าไม่มีมารยาท ตอนนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว
หัวใจน่ะหยุดเต้นแรงซะที องค์ชายอยู่ใกล้ๆ จะให้ได้ยินไม่ได้นะ
ช่วยถนอมหัวใจผมสักนิดเถอะองค์ชายมันเต้นแรงจนจะหลุดออกมาอยู่แล้วเพียงแค่ได้ยินว่าชอบจากปากของพระองค์
...................................................
มาอัพต่อแล้ว วันนี้อาจมาช้าหน่อยนะคะฃจากนี้ไปคิดว่าน่าจะมาอัพช่วงดึกๆ
ถ้าเกินวันแล้วเรายังไม่มาอัพสามารถทักมาทวงนิยายได้นะคะ 555
สำหรับตอนนี้มีเวทมนตร์ใหม่มาหลายเวทย์เลย เราสนุกมากที่ได้แต่งเวทมย์บทใหม่ขึ้นมา
ความสัมพันธ์ของซินกับฮาล์บกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ต้องมารอลุ้นกันว่าตอนหน้าจะเป็นอย่างไร
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
องค์ชาย ใจบางไปหมดแล้วนะคะะะ
องค์ชายอย่ารุกหนักขนาดนี้ ซินจะไม่ไหวแล้ว 55555 น่ารักกก
แกล้งซินตลอดๆเลยนะองค์ชาย
ปล. อารักขา ไหมคะ