การเรียนการสอนของสถาบันเวทมนตร์อาณาจักรเวธาณ์เหมือนกับสถาบันของอาณาจักรอื่นคือทำการสอนเพียง 5 วันและให้หยุด 2 วันสำหรับการพักผ่อนระยะสั้นๆ อาจารย์หลายคนคงอาศัยช่วงเวลานี้พักให้เต็มที่เพื่อกลับมาทำงานอย่างแจ่มใสในวันเปิดเรียนผิดกับผมที่นอกจากจะไม่ได้พักผ่อนแล้วยังมีหน้าที่อันสำคัญยิ่งอย่างคอยอาลักขาองค์ชายฮาเบลโทธส์ เวธาณาร์แทบจะ 24 ชั่วโมงยกเว้นช่วงกลางคืนหลังไฟบนห้ององค์ชายดับลงที่ผมจะอยู่เฝ้าต่อสลับกับบางวันจะกลับไปนอนห้อง
ด้วยนิสัยขององค์ชายผมค่อนข้างเดาได้ว่าเขาคงไม่พักผ่อนเฉยๆ อยู่ในห้องตลอด 2 วันแน่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะออกไปข้างนอกทุกวัน วันแรกเดินทางไปฝึกการใช้อาวุธและทบทวนการใช้เวทมนตร์กับหน่วยองค์รักษ์ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงบ่ายต่อด้วยฝึกขี่ม้ากระทั่งค่ำยังมีการฝึกดูดาวต่อยาวไปถึงช่วงดึก
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นกิจวัตรตลอดวันขององค์ชายฮาล์บ และอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
จะมีองค์ชายสักกี่พระองค์กันที่จะใช้เวลาแต่ละนาทีอย่างคุ้มค่าได้ถึงขนาดนี้แม้แต่คนปกติยังทำได้ไม่เท่านี้เลย ดูอย่างผมสิ วันๆ ถ้าไม่มีงานก็จะนั่งรับลมอยู่บนกิ่งไม้ตลอดวันราวกับก้นมีรากงอกออกมายึดติดกับต้นไม้
อีกวันหรือก็คือวันนี้ผมตามอีกฝ่ายมาจนถึงตลาดขนาดใหญ่ใจกลางอาณาจักรอันแสนคึกคัก ตลาดนี้เป็นตลาดขึ้นชื่อที่มีสินค้าจากทั้งในและนอกอาณาจักรวางขายอยู่นับไม่ถ้วนซึ่งเหล่าแม่ค้าจะใช้เวทมนตร์ขนย้ายสินค้ารวมถึงสร้างโต๊ะสำหรับค้าขายขึ้นมาได้ตามใจชอบแต่ละร้านจึงมีเอกลักษณ์ต่างกันไป
องค์ชายฮาล์บเป็นที่รู้จักของคนทั้งอาณาจักรจึงไม่แปลกเลยหากองค์ชายมาเยือนจะทำให้ตลาดนี้ครื้นเครงมากขึ้นเป็นเท่าตัวด้วยเสียงทักทายจากเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและเสียงตอบรับจากองค์ชายฮาล์บโดยด้านหลังมีองครักษ์ถึง 6 คนคอยตามประกบในระยะประชิด
องครักษ์ทั้ง 6 คนล้วนมีความสามารถในระดับแนวหน้าที่ได้รับการคัดเลือกจากองค์ราชาโดยตรง หากอายุครบ 23 ปีนอกจากจะได้รับอำนาจดั่งราชา เวลานั้นจะสามารถเลือกองครักษ์หรือคนสนิทได้เองไม่ว่าจะเป็นหน่วยทหาร หน่วยองครักษ์หรือหน่วยจอมเวทย์ล้วนสามารถเลือกได้ตามใจต้องการ
การตามอาลักขาผมตามพวกเขามาโดยใช้เวทย์พรางตาอันแสนถนัดโอบล้อมร่างกายไว้ การจะแอบตาโดยมีรูปลักษณ์อันเป็นที่สนใจมันไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ แม้จะคอยตามอาลักขามาเงียบๆ มาตลอดอาทิตย์แต่ก็ยังไม่เห็นใครเลยที่ดูน่าสงสัยหรือผิดปกติ ยิ่งกับองครักษ์ทั้ง 6 คนนี่ต่างทำหน้าที่ได้อย่างดีไม่ว่าจะเป็นการมองไปรอบกายเพื่อหาสิ่งผิดสังเกตหรือการเว้นระยะพอเหมาะไม่ให้องค์ชายรู้สึกอึดอัด
แต่ใช่ว่าการกระทำเหล่านั้นจะไว้ใจได้ซะทีเดียว องค์ราชาคาราสไม่ใช่คนที่จะกล่าวหาใครลอยๆ โดยไม่มูลเหตุอย่างการไม่ไว้ใจองครักษ์แปลว่าต้องมีผู้ทรยศอยู่ในนี้เพียงแค่ผมยังหาไม่เจอ เป็นไปได้ว่าองค์ราชาจะไม่รู้ว่าเป็นใครแต่รู้ว่ามีหนึ่งในนี้มีส่วนรู้เห็น และคนที่ว่ากำลังรอหาโอกาสบางอย่างเพื่อลงมือ
หากเป็นผมจะเลือกลงมือในสถานที่คนเยอะแบบนี้เพราะนอกจากจะสามารถร่ายเวทย์เบาๆ กลืนไปกับเสียงรอบตัวแล้วยังสามารถหลบหนีได้ง่ายในกลุ่มคนยามเกิดเหตุฉุกละหุก
ดวงตาสีขาวของผมจับจ้องไปยังทุกการเคลื่อนไหวขององครักษ์ประจำตัวองค์ชายฮาล์บทั้ง 6 คนก่อนจะเปลี่ยนมาหยุดอยู่ยังคนเพียงคนเดียวที่แม้จะหันหน้ามองด้านข้างทว่าริมฝีปากกลับขยับขมุบขมิบคล้ายกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง ผมเลื่อนสายตามองไปยังจุดหมายของดวงตาส่อพิรุจและพบว่ามีคนสองคนในชุดคลุมสีเขียวขี้ม้ากำลังมองตรงมาเช่นเดียวกัน
ถึงผมจะเห็นทุกอย่างใช่ว่าจะสามารถจัดการได้ในทันที อยู่ๆ จะให้ผมร่ายเวทย์และจัดการอยู่ภายในเวทย์พรางตัวอาจยิ่งสร้างความกลหนเพราะผู้ที่โดนโจมตีคือหนึ่งในองครักษ์ขององค์ชายดังนั้นผมควรหาข้ออ้างออกจากเวทย์พรางตัวนี่และปรากฏตัวในฐานะอาจารย์
แล้วจะให้อยู่ๆ ปรากฏตัวออกไปโบกไม้โบกมือพร้อมทักทายว่า...
บังเอิญจังเลยองค์ชายขอกระหม่อมไปเดินเล่นด้วยคนอย่างงั้นเหรอ?
“ว้าย! ขโมย!” เสียงตะโกนกรีดร้องดังขึ้นระหว่างผมกำลังคิดหาทาง ถัดไปไม่ไกลมีผู้หญิงผมยาวทรุดลงไปกองกับพื้นโดยมีชายคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางนี้ ในมือนั้นมีกระเป๋าของผู้หญิงคนเมื่อครู่
อยู่ๆ ในหัวผมก็คิดได้ว่าจะปรากฏตัวออกไปในฐานะอาจารย์อย่างไรให้แนบเนียน เจ้าโจรนี่มาได้ถูกจังหวะเวลาจริงๆ ขอขอบคุณด้วยการจับส่งทางการละกันนะ บริเวณโดยรอบเริ่มชุลมุนจากเหตุการณ์ตรงหน้าผมจึงอาศัยตอนนั้นปลดเวทย์พรางกายแล้วพุ่งตัวฝ่ากลุ่มคนไปยังร่างของโจรที่กำลังวิ่งหนี
“หยาดของสายฝนจนก่อตัวเป็นผนึกอันแข็งแกร่ง...” เสียงร่ายเวทย์จากองค์ชายฮาล์บดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายที่เริ่มหยุดลง หลังได้ยินผู้คนโดยรอบตีตัวออกห่างโจรเพื่อเปิดทางให้เวทย์นั้นทำหน้าที่ได้ตรงเป้าหมาย
ถือเป็นเรื่องดีแต่ไม่ใช่ตอนนี้ หากผมต้องการปรากฏตัวอย่างเนียนๆ ควรเป็นฝ่ายจัดการหัวขโมยนี่ไม่ใช่องค์ชายหรือองครักษ์ที่กำลังวิ่งล้อมหัวขโมย
ต้องใช้เวทย์ที่สั้นและเคลื่อนไหวรวดเร็ว
“ลมหายใจแห่งข้าจงแปรเปลี่ยนเป็นโซ่พันธนาการแห่งสายลม” วงแหวนเวทย์สีขาวสว่างปรากฏขึ้นไม่ใช่บนพื้นแต่เป็นบริเวณฝ่ามือก่อนพลังเวทย์จะแปรเปลี่ยนเป็นโซ่พุ่งเข้าจับกุมขโมยก่อนหน้าโซ่สีฟ้าใสจะมาถึงเพียงเสี้ยววินาที เมื่อเวทมนตร์ผนึกเข้าปะทะกันจะไม่หายไปเหมือนเวทย์โจมตีจึงทำให้หัวขโมยถูกเวทย์ผนึกถึง 2 เวทย์จับกุมไว้อย่างแน่นหนา
“อั๊ก! อ๊ากก~ เจ็บ!”เสียงครวญครางจากการโดนเวทย์ผนึก 2 เวทย์เรียกให้องค์ชายฮาล์บมองหาเจ้าของเวทมนตร์อีกคนนอกจากตัวเอง เพื่อให้องค์ชายไม่ต้องมองหานานผมจึงก้าวเข้าไปหาแทน แน่นอนว่าองครักษ์ทั้ง 6 คนไม่ยอมให้ใครได้ก้าวเข้าใกล้เกินไปจึงได้กั้นไม่ให้ผมเดินเข้าไปได้มากกว่านี้
“อาจารย์ซิน?” เหมือนองค์ชายตกใจไม่น้อยยามเห็นผมเดินมาหา
“...อาจารย์ที่สถาบันเวทมนตร์ขององค์ชาย” หนึ่งในองครักษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังมองผมดีๆ ถึงจะไม่รู้จักกันแต่ผมก็ค่อนข้างเด่น องครักษ์ขององค์ชายแม้จะไม่ได้ตามประกบถึงในห้องเรียนทว่าหากเป็นบริเวณอื่นอย่างออกไปทดลองปฏิบัติเวทมนตร์ยังสนามพวกเขาก็จะตามไปดูอยู่ห่างๆ
ไม่แปลกถ้าจะคุ้นสีผมหรือหน้าของอาจารย์ประจำห้องอย่างผม
“ใช่ เขาเป็นอาจารย์ประจำห้องข้า ให้เขาเข้ามา” เมื่อองค์ชายรับสั่งเช่นนั้นองครักษ์จึงจำต้องยอมปล่อยผมให้เดินไปหาองค์ชายได้
“ไม่คิดว่าพระองค์จะทรงออกมาทั้งที่เป็นวันพักผ่อนนะพระเจ้าค่ะ” ผมพยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุจมากที่สุด แม้จะไม่อยากเข้าใกล้แต่ในยามไม่ปลอดภัยเช่นนี้คงมีแต่ต้องคุมหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรง
“พระเจ้าค่ะ” ดูจากเมื่อวานกับวันนี้ก็พอจะเดาได้ จากนี้ไปทุกวันหยุดคงเหนื่อยกว่าตอนไปเป็นอาจารย์ซะละมั้ง
“เวทย์ที่เจ้าใช้ลมหายใจของสายลมงั้นเหรอ” องค์ชายฮาล์บถามพลางมองไปยังเวทย์สีเขียวอ่อนจนเกือบขาวรูปโซ่ใกล้ๆ
“พระเจ้าค่ะ” ส่วนของพระองค์คงเป็นเวทย์ผนึกสายฝนหนึ่งในเวทย์พื้นฐานซึ่งนำพาไปสู่เวทย์ระดับสูงได้ ความคล่องแคล่วในการร่ายระดับนี้คงไม่ได้ฝึกเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง
“พวกเราควรคลายเวทย์และให้องครักษ์ข้าจัดการต่อดีกว่า” องค์ชายหันมาพูดกับผมด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับ
“พระเจ้าค่ะ” ผมพยักหน้าตอบรับแล้วคลายเวทมนตร์ที่จับกุมขโมยอยู่เช่นเดียวกับคนพูด หนึ่งในองครักษ์ถูกองค์ชายสั่งให้พาโจรไปหาเจ้าที่ส่วนกระเป๋าแน่นอนว่าต้องนำไปคืนเจ้าของ
“ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย ขอบคุณท่านเช่นกันค่ะ” เธอผงกหัวหลายๆ รอบแทนการขอบคุณจากใจ
“ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังตัวด้วย” คำพูดห่วงใยจากองค์ชายพลานให้ใบหน้าของหญิงวัย 30 ปลายๆ เห่อแดงขึ้นเล็กน้อย
เสน่ห์ล้นเหลือซะจริงองค์ชาย
ระหว่างมองตามหลังหญิงสาวผมแอบเหลือบไปมองบริเวณเดิมที่มีคนน่าสงสัย 2 คนยืนอยู่ทว่าตอนนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่า คงจะถอยกลับไปไม่ก็รอโอกาสหลังจากนี้
“พระเจ้าค่ะองค์ชาย” ผมโค้งตัวลงเล็กๆ ตามมารยาท
“อีกไม่นานจะเที่ยงแล้ว” นาฬิกาสีทองหรูบนข้อมือองค์ชายบอกเวลาใกล้เที่ยงอย่างที่พูด
“งั้นกระหม่อมไม่รบกวนเวลาแล้ว ขอตัวพระเจ้าค่ะ” ผมเตรียมออกห่างจากองค์ชาย เขาคงต้องการเวลาส่วนตัวตัวอีกอย่างใกล้เวลามื้อเที่ยงแล้วด้วยจะให้ตามติดคงไม่ดีเท่าไหร่ แค่ให้เขาเห็นหน้าว่าผมอยู่แถวนี้ก็พอแล้ว ถ้ามีอะไรต้องจัดการแค่อ้างว่างบังเอิญคงไม่ผิดปกติอะไร
จากนี้ต้องลองหาว่าสองคนนั่นหายไปไหน ต้องจับตาดูหนึ่งในองครักษ์อีก
มีอะไรที่กินง่ายๆ แล้วสามารถจัดการทุกอย่างไปพร้อมๆ กันไหมนะ
“เดี๋ยว” องค์ชายฮาล์บเอื้อมมือมาคว้าแขนผมไม่ให้เดินต่อ
“...” ผมหันกลับไปมองไม่ใช่ที่ใบหน้าแต่เป็นบริเวณแขนซึ่งถูกจับกุม สายตาหลายสิบคู่กำลังจับจ้องมาด้วยความสงสัยว่าผมเป็นใครถึงได้ใกล้ชิดกับองค์ชายขนาดนี้
“ข้าบอกตอนไหนว่าเจ้ารบกวน”
“...” จะพูดต่อทั้งๆ ที่จับแขนผมไว้เลยเหรอ
องครักษ์เริ่มจ้องมาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วนะองค์ชาย
“ทรงปล่อยแขนกระหม่อมก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ” แขนข้างที่โดนจับเริ่มสั่นด้วยอาการเกร็งปนเขิน หากต้องการพูดเป็นเรื่องเป็นราวก็อยากให้ปล่อยแขนแล้วคุยกันไม่ใช่มาจับตลอดแบบนี้
“ถ้าปล่อยเจ้าอาจจะเดินหนี”
“แน่ใจนะ” ดวงตาสีฟ้าสว่างหรี่มองอย่างไม่ไว้ใจนัก
“พระเจ้าค่ะ เพราะงั้นได้โปรดปล่อยกระหม่อมเถิด” โดนพูดขนาดนี้จะให้ผมกล้าเดินหนีได้ยังไงกัน
แม้จะยังมีความคราแครงใจอยู่บ้างแต่องค์ชายก็ยอมปล่อยมือ ผมรีบชักแขนกลับโดยไม่สนว่ากำลังเสียมารยาทหรือไม่เพราะตอนนี้ความอุ่นของฝ่ามือนั่นทำเอาทั้งร่างกำลังเห่อร้อน
“ไปกินมื้อกลางวันกับข้านะ” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าประโยคนี่เป็นประโยคคำสั่งหรือประโยคคำถามกันแน่ ถึงใบหน้าและดวงตาจะกำลังยิ้มทว่ากลับแฝงไปด้วยความไม่ยอมถอย
“...กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เหมาะสมเพราะงั้น...”
“ไปกินมื้อกลางวันกับข้านะ”
“...” ผมเริ่มนิ่งเมื่อรู้สึกว่าเคยมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นมาก่อน
“ว่ายังไง” มีเร่งเอาคำตอบอีกแนะ
ถ้าปฏิเสธอีกรอบจะวนลูปซ้ำอีกใช่ไหม
“ไปกินมื้อกลางวันกับข้าเถอะอาจารย์” และก็เป็นอย่างที่คาดยังไม่ทันได้ปฏิเสธจบประโยคคำถามเดิมก็ดังขึ้นแทรกซะแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าคนตรงหน้าเป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรเวธาณาร์ผมคงถอนหายใจยาวๆ ด้วยใบหน้าเอือมๆ ได้อย่างไม่เกรงใจไปแล้ว
ถ้าทำถึงขนาดนี้จะให้ผมพูดอะไรได้ล่ะนอกจาก...
องค์ชายฮาเบลโทธส์ เวธาณาร์กำลังอารมณ์ดีและดีมากด้วยเหตุผลบางประการที่คนเดินตามอย่างผมและเหล่าองครักษ์เดาไม่ถูก ใบหน้าหล่อคมคายเผยรอยยิ้มประดับตลอดการเดินหาร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวัน ร้านค้ามากมายมีร้านอาหารให้เลือกค่อนข้างมากตั้งแต่อาหารพื้นบ้านของอาณาจักรไปจนถึงอาหารจากต่างอาณาจักร
“เจ้าอยากกินร้านไหน” องค์ชายฮาล์บหันมาถามด้วยรอยยิ้มละมุลชวนใจเต้นหากไม่ติดที่ผมต้องเป็นคนตอบคำถามนั่น
“แล้วแต่พระองค์เถิดพระเจ้าค่ะ” ผมไม่ใช่คนเรื่องมากแถมกินได้ทุกอย่างไม่มีที่ไม่ชอบหรือกินไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเลือกร้านเพราะผมสังเกตเห็นเงาของคนน่าสงสัยที่กำลังตามหาผลุบไปมาตามร้านค้า
จะว่าง่ายๆ คือพวกเราถูกตาม
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าชอบกินแนวไหน” ถือเป็นโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ย้ำคำถามอีกรอบ
“กระหม่อมได้ทุกแนวพระเจ้าค่ะ”
ผมควรจะตอบกลับไปยังไงดีนะ
เป็นถึงองค์ชายแต่ให้คนธรรมดามาเลือกร้านให้แบบนี้เหมาะสมที่ไหนกัน ผมไม่บังอาจเอื้อมเลือกร้านให้หรอกนะ
“...ชอบเหมือนพระองค์” แต่แล้วด้วยความไม่คิดผมจึงเอ่ยประโยคที่ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับชะงัก พอรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปดวงตาสีขาวของผมก็เบิกกว้างก่อนหลบตาก้มหน้าลงต่ำทันควัน
อยากยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองซะจริงๆ
“ฮืม...เจ้ารู้เหรอว่าข้าชอบอะไร”
“...ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ” ผมโกหก เรื่องขององค์ชายฮาล์บผมรู้และคิดว่ารู้ดีถ้าไม่นับเรื่องกิจวัตรประจำวันที่ดูจะมากมายในวันหยุด
“ไม่ทราบแล้วพูดว่าชอบเหมือนข้าได้ยังไง” เหมือนองค์ชายจะไม่ยอมปล่อยประเด็นนี้ไปง่ายๆ
“...” ผมเงยหน้าสบดวงตาสีฟ้าสว่างด้วยความขุ่นเคืองเล็กๆ
“เลือกร้านบริเวณนี้มาร้านนึงแล้วข้าจะให้อภัยที่เจ้าโกหก” คำพูดนั่นทำให้ผมมองไปยังร้านรอบกายเพื่อหาร้านที่เหมาะกับองค์ชายฮาล์บมากที่สุด บริเวณนี้มีร้านอาหารอยู่ประมาณ 5 ร้านไล่ตั้งแต่ฝั่งซ้ายมือมีร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ร้านอาหารพื้นเมืองทางใต้ของอาณาจักร จนถึงร้านอาหารจากต่างอาณาจักร
“ร้านนั้นพระเจ้าค่ะ” กวาดตามองเพียงรอบเดียวก็มากพอสำหรับการตัดสินใจ องค์ชายฮาล์บไม่ใช่เจ้าชายเรื่องมากเขากินอาหารได้ทุกประเภทและไม่มีอาหารอะไรที่แพ้ ถึงอย่างนั้นจากคำบอกเล่าขององค์ราชาคาราสผมเลยรู้ว่าองค์ชายฮาล์บชอบอาหารทะเลมากเป็นพิเศษ
อาณาจักรเวธาณาร์ไม่เพียงมีแม่น้ำใหญ่ถึงสามสายซึ่งมากพอสำหรับการเกษตรและการอุปโภคบริโภคแต่ถัดออกจากป่าไปจะเจอเข้ากับทะเลซึ่งมีประชาชนมากมายปักหลักอยู่ที่นั่นออกหาของทะเลมาขายและส่งออกยังอาณาจักรเพื่อนบ้าน พูดได้ว่าอาณาจักรเวธาณาร์เป็นอาณาจักรเพียบพร้อมในทุกๆ ด้านก็ไม่ผิด
“...เอาสิ ไปกัน” องค์ชายดูแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าผมเลือกร้านอาหารทะเล
พวกเราเข้าไปในร้านซึ่งเป็นเพิงตามแบบฉบับดั้งเดิมคือโปร่ง นั่งสบายมีลมโกรกเย็นๆ เจ้าของร้าน พ่อครัวรวมถึงพนักงานต่างออกมาทักทายอย่างนอบน้อมต่อองค์ชายก่อนจะแนะนำเมตูตามความต้องการของผู้มาเยือน เมนูอาหารหลายสิบอย่างถูกแนะนำก่อนองค์ชายจะหันมาถามผมว่าจะสั่งอะไร แน่นอนว่าผมไม่อาจเอื้อมสั่งให้ และแน่นอนกว่าคือองค์ชายฮาล์บไม่ยอมจนกว่าผมจะสั่ง บทสรุปคือผมสั่งอาหารไปประมาณ 4 อย่างอีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างพอใจ
องครักษ์ที่ตอนนี้กลับมาครบ 6 คนนั่งอยู่ยังโต๊ะด้านข้างโดยแบ่งเป็นโต๊ะละ 3 คน องค์ชายบอกให้พวกเขาสั่งได้ตามสบายโดยจะเลี้ยงเอง
“โกหก?” เรื่องไหนล่ะเพราะตั้งแต่เจอกันเหมือนโกหกไว้หลายเรื่องเหลือเกิน
“เจ้าบอกไม่รู้ว่าข้าชอบกินอะไรแต่ทำไมถึงเลือกร้านอาหารทะเลที่ข้าชอบ” แววตาสีฟ้าสว่างประสานมาราวกับต้องการคำตอบจริงๆ
“...กระหม่อมเพียงแค่เห็นว่าร้านนี้น่ากินพระเจ้าค่ะ” ถ้าจะให้ผมตอบความจริงว่ารู้ถึงความชอบขององค์ชายฮาล์บผมขอเลือกโกหกต่อไปดีกว่า
“จะบอกว่าเมนูที่สั่งไปก็เหมือนกันหรือ” ระหว่างถามดวงตาคู่เดินยังคงสบมาตลอด ดูปฏิกิริยาหรือพิรุจยามผมตอบคำถาม
จะไม่ให้สงสัยคงแปลกเพราะทุกเมนูล้วนเป็นความชอบขององค์ชายทั้งสิ้น
เมื่อเริ่มต้นด้วยการโกหกก็ต้องทำต่อไปจนกว่าจะจบ
“ถ้าข้าบอกว่าไม่เชื่อล่ะ”
“สุดแล้วแต่องค์ชาย” เพราะผมเองยังไม่เชื่อตัวเองเลย ข้อมูลพวกนี้อย่างที่บอกว่าได้ยินมาโดยตรงจากองค์ราชาที่ชอบเรียกผมไม่ก็ฟราวไปเข้าเฝ้าหรือไม่ก็ให้มาหาเพื่อเล่าเรื่องลูกชายสุดที่รักให้ฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นผมกับฟราวเหมือนกัน ไม่แน่ว่าอาจพูดกับคนอื่นด้วยแต่ผมไม่รู้ก็เป็นได้
ไม่นานอาหารที่สั่งได้ทยอยมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ การร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าชายค่อนข้างเกร็งเนื่องจากความไม่รู้และไม่เคย จะตักอะไรทีต้องรอให้องค์ชายตักก่อนจึงจะตักตามจนองค์ชายฮาล์บพูดให้ผมตักตามสบายไม่ต้องกังวลเรื่องมารยาทมาก
ระหว่างมื้ออาหารผมนั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไรนัก สายตามองดูบรรยากาศสบายๆ รอบร้านโดยหางตาจับจ้องอยู่บริเวณร้านค้าต้นไม้ที่มีคนน่าสงสัยยืนหลบอยู่ หากตามมาถึงขนาดนี้เป็นไปได้สูงว่าคิดจะลงมือในอีกไม่นาน
ไม่สิ ตอนนี้เหมือนฟราวจะไปทำภารกิจลับไม่อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์
ผมคงต้องจัดการเรื่องนี้เองแล้ว
“หันกลับมาหน่อยเดี๋ยวพวกนั้นก็รู้ตัวหรอก”
“...องค์ชาย?” ผมหันกลับมามองใบหน้าคมคายอมยิ้มมุมปากตามปกติด้วยความรู้สึกไม่ปกติ
ประโยคนั้นหมายความว่าอะไร
จะบอกว่ารู้งั้นเหรอว่ามีคนตาม
“เจ้าก็รู้สินะ น่าจะรู้ก่อนเข้าร้านด้วย ใช่ไหม” อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบาจนแทบกระซิบเพื่อไม่ใครคนอื่นรับรู้ถึงการสนทนา
ไม่คิดว่าองค์ชายเองจะสัมผัสได้เหมือนกัน ทั้งที่สัมผัสได้และรู้สึกตัวแต่ก็ยังทำตัวเหมือนปกติราวกับไม่รู้ไม่เห็นอะไร
“พระเจ้าค่ะ แล้วพระองค์...”
“ตั้งแต่เข้าเขตตลาด” เหมือนเขาจะรู้ถึงคำถามเลยตอบกลับมาโดยที่ผมยังถามไม่จบประโยค
“จะทำยังไงต่อพระเจ้าค่ะ” ถ้าองค์ชายรู้ตัวเรื่องอาจง่ายขึ้น ไม่แน่ว่าอาจรู้ถึงเรื่ององครักษ์ของตัวเองด้วย
“ข้าอยากรู้ว่าพวกนั้นจะลงมือหรือแค่มาดูลาดลาว”
“พระองค์เจอแบบนี้บ่อยเหรอพระเจ้าค่ะ”
“ไม่ เพิ่งเคยเจอจะๆ ก็ครั้งนี้แต่เหมือนตอนเด็กๆ จะเคยถูกลักพาตัว” ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยิน
“ให้กระหม่อมจัดการให้...”
“ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้กระทบประชาชน เป้าหมายคือข้าการต่อสู้อาจทำให้โดนลูกหลง”
“ทรงคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ” แถมยังอ่อนโยนกว่าใครๆ
“ถ้าไม่ลงมือข้าก็ไม่อยากตอบโต้ เป็นไปได้อยากล่อไปไกลๆ หน่อย”
“เห็นทีคงไม่มีเวลาล่อแล้วล่ะพระเจ้าค่ะ” ผมมองใบหน้าด้านข้างขององครักษ์ผู้ทรยศกำลังยกแก้วน้ำขึ้นมาทำท่าเป็นดื่มทั้งที่พึมพำคล้ายร่ายคาถาแต่ไม่ใช่เพราะหากร่ายคาถาต้องมีวงแหวนเวทย์ปรากฏไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง นั่นแปลว่าส่งสัญญาณให้พรรคพวกร่ายคาถา
“ทวยเทพผู้มอบความอุดมสมบูรณ์แห่งผืนดินเอ๋ย เราขอยืมพลังแห่งความสมบูรณ์นั้นเพื่อสร้างโล่กำบัง ปกป้องเราจากทุกสิ่งที่เข้าจู่โจม” วงแหวนเวทย์สีขาวกางออกครอบคลุมพื้นที่ไปจนถึงตัวขององค์ชายฮาล์บพร้อมร่ายเวทย์ป้องกันที่ยืมพลังจากผืนดิน โล่งสีน้ำตาลใสป้องกันการโจมตีแบบกระจายจากหลายทิศทางไว้จนหมด เหล่าองครักษ์ต่างเคลื่อนไหวเตรียมปกป้ององค์ชายยกเว้นเพียงคนเดียวที่หันไปร่ายเวทย์จู่โจมพวกเดียวกัน ผู้คนรอบบริเวณต่างวิ่งหนีและส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวปนตกใจ
“เปลวเพลิงแห่งโลกเบื้องบนจงจุติสู่พื้นโลกและย้อมสีแดงฉานด้วยเปลวเพลิงแห่งการทำลาย” การโจมตีก่อนยังไม่หยุดการโจมตีใหม่ก็พุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรุนแรง แม้จะมีเวทย์ป้องกันทว่าด้วยเวทย์นี้ไม่มีพลังพอจะด้านเวทมนตร์รุนแรงพร้อมกันสองเวทย์ โล่สีน้ำตาลใสจึงค่อยๆ ปริแตก
“อืม กลุ่มเมฆาบนท้องนภาจงสยายปีกโบยบิน ดูดซับละอองแห่งพลังนี้แล้วจงเปล่งประกายเยี่ยงอัสนีสีเหลืองสดและมอบอำนาจแห่งการขับเคลื่อนแก่เรา” วงเวทย์สีฟ้าสว่างยังไม่น่ามองเท่ากับกลุ่มก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่ควบแน่นด้วยพลังเวทย์จนกลายเป็นสีเทาเข้ม ทันทีที่เคลื่อนที่ถึงเป้าหมายสายฟ้าสีเหลืองสดก็จู่โจมราวกับพายุสายฟ้า
“เศษโลหะบนผืนดินและท้องนภาจงมารวมตัวกันแล้วหลอมละลายแปรเปลี่ยนดุจดั่งเหล็กกล้าอันบอบบางทว่าแหลมคมดั่งคมมีดนับพันที่เรียงรายจู่โจมผ่านแกนนำอัสนีบาศสีเหลืองทอง” เวทย์โจมตีแบบกระจายถูกสร้างขึ้นและดูดซับพลังสายฟ้าจากเวทย์ขององค์ชาย เป็นการประสานเวทย์เพื่อเพิ่มพลังโจมตีก่อนจะพุ่งเข้าใส่ศัตรูทั้งองครักษ์หนุ่มผู้ทรยศกับศัตรูอีกฟากหนึ่งอย่างแม่นยำ
ด้วยการโจมตีประสานที่รวดเร็วจึงไม่มีใครสามารถร่ายเวทย์ป้องกันได้ทัน แต่การร่ายไม่ทันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นฝ่ายแพ้เสมอไป
ผมพุ่งตัวตรงไปหาองครักษ์ตรงหน้าที่หลบเวทย์โจมตีได้อย่างเฉียดฉิว ขาขวาเตะบนเล็งเป้าไปยังส่วนลำคอเพื่อปิดฉากต่อสู้ในขณะอีกฝ่ายไหวตัวทันเบี่ยงหลบการโจมตีได้แล้วตั้งท่าจะร่ายเวทมนตร์ แต่มีเหรอผมจะยอมให้ทำง่ายๆ
หมัดซ้ายขวาตวัดเข้าใส่โดยไม่หยุดพักเหนื่อยจนฝ่ายตรงข้ามได้แต่หลบซ้ายขวาไม่มีเวลามากพอในการร่ายคาถาเวทมนตร์ใดๆ ทั้งที่ควรจะได้เปรียบในสถานนี้แท้ๆ แต่เมื่อผมสัมผัสได้ถึงการโจมตีจากด้านบนในระยะประชิดก็ต้องกระโดดถอยออกมาก่อนจะพบว่าอีกสองคนที่ควรจะอยู่บริเวณอื่นบัดนี้มารวมกันอยู่ในบริเวณเดียว
ไม่มีทางที่วิ่งเข้ามาใกล้ได้โดยไม่ถูกองค์ชายฮาล์บสกัดนั่นแปลว่า...
“เวทย์เคลื่อนย้าย” ผมพึมพำเสียงเบา
“ลูกศรสีทองอร่ามจงผุดขึ้นจากผืนดินและพุ่งทะยานอย่างทรงพลังเข้าใส่ศัตรูเบื้องหน้า” ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อฝ่ายศัตรูก็ร่ายเวทย์จบซะแล้ว ลูกศรนับพันโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินพุ่งเข้าจู่โจมผมฉับพลันจนหลบไม่ทัน
ผมได้แต่เบี่ยงตัวหลบเพื่อลดอาการบาดเจ็บขณะนั้นเองที่ผมถูกดึงจนเซไป ร่างกายถูกคนด้านหลังพลิกตัวมาปกป้องพร้อมอ้อมแขนที่โอบรัดอย่างแนบแน่นจนหัวใจเต้นระรัวขึ้น
กลิ่นและไออุ่นแบบนี้มีเพียงคนเดียว
องค์ชายฮาเบลโทธส์ เวธาณาร์
“อั๊ก!...” แรงปะทะจากการโจมตีทำให้องค์ชายกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย แต่นั่นก็มากพอจะทำให้ดวงตาสีขาวของผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ
อยากจะบอกให้อีกฝ่ายอย่ามาปกป้อง แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ทันแล้ว
“วายุเอ๋ย จงปกคลุมพัดพารอบอาณาเขตเราด้วยแรงปะทะดั่งพายุคลั่ง จงกีดกัดทุกการเคลื่อนเข้าที่โหมกระหน่ำด้วยเกราะสีเขียวสดอันแข็งกล้า ไม่ว่าการโจมตีใดจงถูกดีดออกด้วยพลังแห่งการป้องกันอันแข็งแกร่งนี้” วงแหวนเวทย์สีขาวส่องสว่างพร้อมกับแรงลมที่พัดพาเอาลูกศรนับพันที่กระหน่ำโจมตีปลิวกระจายไปทั่วทุกทิศและพัดหมุนอย่างรุนแรงล้อมรอบผมและองค์ชายฮาล์บอย่างไร้ช่องโหว่
“อึก...” องค์ชายฮาล์บทรุดตัวลงกับพื้น บาดแผลและเลือดมากมายจนผมต้องเม้มปากแน่นเพื่อตั้งสติ
“แสงสีนวลอันอบอุ่นจงโอบอุ้มกายยา ฟื้นฟูรักษาสายโลหิตที่หลั่งรินหยดลงบนพื้นปฐพีให้กลับคืนสู่สภาพดั่งผืนป่าอันเขียวขจี” ด้วยความที่ไม่มีเวลามาไล่รักษาทีละที่ผมจึงเลือกเวทย์รักษานี้ซึ่งเวทย์นี้จะโอบล้อมเป้าหมายและทำการรักษาภายในเวลาอันรวดเร็วกว่าเวทย์อื่น
“โจมตีพร้อมกัน พอเวทย์นั่นแตกจัดการองค์ชายนั่นเลย” เสียงของฝั่งศัตรูดังรอดมาถึงหูผม
คำพูดเหล่านั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการจัดการองค์ชายฮาล์บ คิดว่าผมได้ยินแล้วจะยอมอยู่เฉยๆ ให้เวทย์ป้องกันนี่ถูกทำลายลงรึไง
“อาจารย์ซิน...ข้าจะ...” องค์ชายฮาล์บพยายามพยุงตัวลุกขึ้นทั้งที่แสงสีนวลยังคงล้อมรอบร่างแสดงว่ายังรักษาไม่เสร็จ
“พระองค์ทรงพักเถอะพระยะค่ะ กระหม่อมจะจัดการเอง”
“แต่ 3 ต่อ 1 มันค่อนข้าง...”
“งั้นกระหม่อมจะทำให้เท่ากันเอง”
“...คิดจะทำอะไร” ผมไม่ตอบคำถามขององค์ชายแต่หันกลับไปประเผชิญหน้ากับศัตรู 3 คนที่กำลังเริ่มร่ายเวทย์แถมยังดูเป็นเวทย์ที่มีพลังทำลายสูงด้วย
ไม่จำเป็นต้องร่ายเวทย์โจมตีตอบเพราะมีเวทย์ที่เหมาะสมกว่านั้นเพียงร่างครั้งเดียวจะจัดการกับเวทย์พวกนั้นและทั้ง 3 คนได้พร้อมๆ กัน
“ผืนน้ำสีครามที่ส่องประกายราวอัญมณีจงกลายเป็นโซ่ตรวนแห่งการพันธนาการสีฟ้าใสดุจกระแสน้ำยามอรุณ จงผนึกทุกการเคลื่อนไหวของเวทมนตร์และพุ่งจับกุมผู้ร่ายด้วยความเร็วดุจดั่งเกลียวคลื่นใต้ท้องทะเลดำมืดอันบ้าคลั่ง” ทันทีที่เริ่มร่ายเวทย์สีหน้าของฝ่ายศัตรูทั้งหมดต่างตกใจอย่างเห็นได้ชัด เวทย์โจมตีทั้งสามพุ่งตรงมายังพวกผมแต่ยังไม่ทันถึงตัวเวทย์ที่ผมร่ายจบพุ่งออกจากวงแหวนเวทย์สีขาวสว่าง โซ่สีฟ้าครามหลายสิบเส้นแยกกันพุ่งไปรัดเวทย์โจมตีแต่ละเวทย์จนร่วงลงสู่พื้นโดยโซ่ที่เหลือนั้นพุ่งตรงไปจับกุมร่างของฝ่ายศัตรูทั้ง 3 คน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาที ขนาดองค์ชายฮาล์บยังมองมาด้วยความตกใจไม่น้อยที่ผมสามารถจัดการกับเวทย์ทั้ง 3 เวทย์แถมยังสามารถจับกุมทุกได้อีก
“...เจ้าเป็นใครกันแน่” องค์ชายฮาล์บเดินเข้ามาใกล้หลังบาดแผลถูกรักษาจนหายสนิท
“กระหม่อมเป็นอาจารย์ของสถาบันเวทมนตร์ไงพระเจ้าค่ะ” ผมหันไปตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
ไม่แปลกที่เขาจะตกใจ เวทย์ที่ใช้ไปนั้นไม่ใช่เวทย์ปกติธรรมดาที่ใครก็สามารถร่ายได้เพราะเป็นเวทย์ผนึกระดับสูงที่จำเป็นต้องมีสมาธิและสติอย่างมากเพราะต้องควบคุมโซ่แต่ละเส้นให้เคลื่อนไหวแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ กว่าผมจะใช้เวทย์นี้ได้เชี่ยวชาญก็ใช้เวลานานพอสมควร
“เรื่องของกระหม่อมเอาไว้ทีหลังเถอะพระย่ะค่ะ พระองค์เอาตัวเข้ามารับแทนกระหม่อมทำไม รู้ไหมว่าหากกระหม่อมไม่มีเวทย์รักษาพระองค์จะทรงเป็นยังไง อย่าทรงทำเช่นนี้อีก หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายประชาชนทั้งอาณาจักรต้องไม่ให้อภัยกระหม่อมแน่!” เมื่อทุกอย่างจบผมไม่จำเป็นต้องสะกดกลั้นอารมณ์อีกต่อไป ดังนั้นสิ่งที่อยากพูดจึงได้ระบายออกมาจนหมดเปลือก
“ข้าเพียงแค่อยากช่วยเจ้า...”
“กระหม่อมขอรับไว้เพียงน้ำใจก็มากพอแล้วพระเจ้าค่ะ พระองค์ทรงคิดว่ากระหม่อมจะดีใจเหรอที่เห็นพระองค์ทรงมาปกป้อง” ใช่ ผมไม่ดีใจสักนิดที่ถูกปกป้อง
มีเพียงความตกใจและหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บเพราะตัวเอง
ให้ผมเจ็บเองยังไม่เจ็บเท่าเห็นโลหิตขององค์ชายฮาล์บหยดลงสู่พื้นดินแบบนี้เลย
หัวใจเต้นแรงจนแทบจะแตกสลาย หากไม่ระงับสติไว้คงไม่สามารถร่ายเวทย์รักษาได้ทันการณ์
“...ทำไมถึงต้องทำหน้าเจ็บปวดขนาดนี้” องค์ชายนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นใบหน้าผมที่จ้องไป รอยยิ้มมุมปากยามปกติหายไปมีเพียงใบหน้าไม่เข้าใจที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
“กระหม่อม...ไม่อยากให้พระองค์มาเจ็บแทน...” ผมไม่รู้ว่าต้องพูดยังไงออกไปเพื่อไม่ให้ความรู้สึกภายในใจนี้หลุดออกไป
รู้ว่าพระองค์ใจดีและอ่อนโยนต่อให้ไม่ใช่ผมเขาก็ยินดีกระโจนเข้าปกป้อง
เพราะแบบนั้นผมถึงเป็นห่วง ห่วงมากด้วย
“สัญญากับกระหม่อมว่าจะไม่ทรงปกป้องกระหม่อมอีก” หากองค์ชายบาดเจ็บเพราะปกป้องคนอื่นผมคงไม่โทษความสามารถของตัวเองเท่าอีกฝ่ายต้องบาดเจ็บเพราะตัวผมเอง
“...” องค์ชายไม่ตอบดวงตาสีฟ้าสว่างประสานมาราวกับต้องการสื่อให้ผมว่าเขาไม่สามารถรับสัญญานี้ได้
“กระหม่อมไม่ได้ให้พระองค์สัญญาว่าห้ามปกป้องคนอื่น เพียงแค่กระหม่อมคนเดียวเท่านั้น” ผมขยายความเผื่ออีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
“นั่นแหละที่ทำให้ข้าไม่สามารถสัญญาได้”
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงต้องให้ข้าสัญญาอะไรแบบนี้แต่ข้ากล้าพูดเลยว่าหากมีเหตุการณ์เหมือนในวันนี้ วันที่เจ้ากำลังถูกโจมตี...ข้าจะเข้าไปปกป้องไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม” ดวงตาสีฟ้าสว่างประสานด้วยความแน่วแน่คล้ายคำมั่นสัญญากับตัวเอง
“พระองค์ทรงใจดีเกินไป เห็นใครกำลังแย่ก็จะเข้าช่วยทุกคน...มันอาจเป็นข้อดีแต่ก็เป็นข้อเสียเช่นกัน”
“งั้นถ้าข้าเปลี่ยนจากทุกคนเป็นแค่เจ้า แบบนั้นจะได้รึเปล่าล่ะ”
“...ทรงหมายถึงอะไรพระเจ้าค่ะ”
“ข้าผิดมากเหรอที่ปกป้องเจ้า ผิดมากเหรอที่ไม่อยากให้เจ้าต้องเจ็บ ข้าทำผิดหรือ”
“...หามิได้” พระองค์ไม่ได้ทำผิด ผมต่างหากที่...
“ถ้าสิ่งที่ข้าทำไม่ผิดเจ้าก็อย่าทำแบบนี้เลย ข้าช่วยเพราะอยากช่วยเอง” องค์ชายฮาล์บถอนหายใจเบาๆ เพื่อให้ใจเย็นลงก่อนพูดต่อ
“แต่พระองค์ทรงเจ็บเพราะกระหม่อม...”
“เจ้าเองก็รักษาให้ข้าทันทีนี่” องค์ชายพูดสวนก่อนผมจะพูดจบประโยคซะอีก
“ข้าไม่เข้าใจ เจ้าทำเหมือน...ห่วงข้ามากๆ...”
“ใช่ กระหม่อมเป็นห่วงพระองค์ เป็นห่วงมากๆ เพราะงั้นโปรดอย่าทำให้กระหม่อมเป็นห่วงเลยพระเจ้าค่ะ” ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยอมเอ่ยใจจริงของตัวเองออกไปทั้งที่ไม่คิดจะบอกแท้ๆ
“...เจ้า” ดูองค์ชายจะตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยิน
“กระหม่อมจะรักษาองครักษ์ขององค์ชายให้ รักษาเสร็จแล้วกระหม่อมก็ขอตัว” ผมไม่อาจอยู่ในสถานการณ์นี้ได้อีกแล้ว
ผมมองใบหน้าของคนถามคำพูดราวกับถูกหักอกนั่นคืออะไร
แค่จะกลับไปตามอาลักขาในเวทย์พรางตัวแค่นั้นเอง
“...พระองค์ทรงมีองครักษ์อยู่แล้ว”
“เจ้าจะทิ้งข้าไปหรือ” ผมเหลือกตามองบนทันทีเมื่อคำถามเดินถูกกล่าวซ้ำ
หากผมปฏิเสธเดาได้เลยว่าจะต้องเจออะไร
ตามอาลักขาในระยะประชิดมาขนาดนี้แล้วจะตามไปส่งถึงปราสาทคงไม่เป็นไรมั้ง
“พระเจ้าค่ะอะไร” คนถามแกล้งทำเป็นไม่รู้คำตอบแม้มุมปากนั้นจะประดับด้วยรอยยิ้มพริ้มพรายชวนให้ใจเต้นรัวก็ตาม
“กระหม่อมจะตามไปส่งถึงปราสาทพระเจ้าค่ะ”
“ไม่ เจ้าตอบไม่ตรงคำถาม ข้าถามว่าเจ้าจะทิ้งข้าไปหรือ” องค์ชายฮาล์บย้ำประโยคสุดท้ายนานเป็นพิเศษ
ดวงตาสีขาวของผมกำลังสั่นระริกคล้ายคนไม่เคยชินต่อการถูกเย้าแหย่ซึ่งก็ถูก ยิ่งการเย้าแหย่นี้ชวนให้ความรู้สึกรักทวีความรุนแรงขึ้นผมก็แทบทำตัวไม่ถูก แต่หากไม่ตอบคงจะออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้
เพราะแบบนั้นผมจึงเม้มปากแน่หลับตาลงและก้มหน้า พอคลายริมฝีปากที่เม้มสนิทก็เอ่ยตอบสิ่งที่องค์ชายฮาล์บต้องการด้วยเสียงอันเบาหวิวทว่ากลับสร้างดาเมจรุนแรงจนใบหน้าร้อนผ่าวใกล้ไหม้...
“...กระหม่อมจะไม่ทิ้งองค์ชายพระเจ้าค่ะ”
.........................................................................
ตอนนี้เป็นตอนที่มีอารมณ์หลากหลายมากซึ่งถ้าถามว่าชอบอารมณ์ช่วงไหนสุดคงไม่พ้นตอนที่ซินเผยความใจจริงออกมาเป็นห่วงองค์ชาย
โดยส่วนตัวเราค่อนข้างชอบนิสัยของฮาล์บมาก เป็นสุภาพบุรุษที่ทั้งเป็นมิตรและยิ้มยิ้มทว่าก็มีมุมที่ดื้อและเอาแต่ใจตามแบบฉบับขององค์ชายเช่นกัน
เรื่องราวในช่วงแรกจะค่อยๆ ดำเนินไปสร้างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้แนบแน่นขึ้น
หวังว่าทุกคนคงจะสนุกไปกับตอนนี้นะคะ
ปล.คำผิดถ้ามีสามารถแจ้งได้ค่ะ จะพยายามปรับปรุงเรื่องคำผิดนะคะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจค่ะ
มารอลุ้นกันต่อได้ในอาทิตย์หน้าว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นนะคะ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ลุ้นมาก ซินเก่งมากๆ แต่สุดท้ายก็แพ้องค์ชายอยู่ดี เขินนน
//ชอบๆตอนร่ายเวทย์ ใช้คำสวยงามจริงๆ :)