ตอนที่ 3 : *·~หลอม¤ครั้งที่ II ~·*
*·~หลอม¤ครั้งที่ II ~·*
บรรยากาศยามเช้าของวันใหม่เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบโดยเฉพาะการได้ยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้โดยมีแสงแดดอ่อนๆ ปะทะร่างกาย มันเหมือนได้รับพลังบางอย่างให้เริ่มต้นวันใหม่ทว่าเช้าของวันนี้ต่างจากทุกๆ วันเนื่องจากเป็นวันแรกที่ผมจะต้องเข้าไปสอนในห้องตลอดวัน เมื่อคืนผมแทบนอนไม่หลับ ในมืออ่านเนื้อหาที่ต้องทำการสอนหลายต่อหลายรอบแม้มันจะไม่เข้าหัวเลยก็ตามที
พอถึงช่วงเช้าผมจำต้องออกจากห้องเดินทางมาสถาบันเวทมนตร์ตามหลังองค์ชายฮาเบลโธสท์ เวธาณาร์หรือองค์ชายฮาล์บ เป็นการคอยคุ้มครองอยู่ห่างๆ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เข้าไปจัดการได้ทันท่วงทีแม้ในความจริงผมต่างหากที่กำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน
สอนใครเหรอก็ไม่เคย ทำไมต้องมาเป็นอาจารย์สอนด้วยนะ
จะให้พูดกี่ครั้งก็ได้ว่าผมไม่ไหวจริงๆ
สายตาของนักเรียกกว่า 30 คนจับจ้องมายังผมที่ก้าวเนือยๆ ไปตรงกลางห้องเพื่อเริ่มต้นคลาสแรกของวันด้วยสีหน้าหาความสดใสไม่ได้ ผมกวาดสายตารัวมองรอบห้องพอเป็นพิธีและหันหน้าไปยังกระดานสีขาวด้านหลัง
พอหันหลังแบบนี้ค่อยดีหน่อย
“เปิดหน้า96...”
“อาจารย์ไม่เช็กชื่อเหรอคะ” ยังไม่ทันพูดประโยคแรกจบนักเรียนหญิงแถวหน้าสุดก็ยกมือขึ้นถาม
“เช็กชื่อ?” อยู่มหาลัยแล้วยังต้องเช็กชื่อเหมือนเด็กประถมอยู่อีกเหรอ
จะว่าไปเมื่อวานอาจารย์จินเนสให้ใบรายชื่อมานี่นา
หรือว่าต้องเช็กชื่อด้วยจริงๆ
“ใช่ค่ะ ก่อนเริ่มเรียนต้องเช็กชื่อก่อน”
“...วันที่ผมสอนจะไม่เช็ก พวกคุณโตพอจะมีความรับผิดชอบแล้วจะมาหรือไม่มาก็ตามใจ” ผมเปิดรายชื่อนับสิบผ่านๆ ตาก่อนจะตัดสินใจตามที่บอกไป จะให้พูดชื่อทั้งเยอะทั้งยาวพวกนี้ติดๆ กันบอกเลยว่าผมไม่ไหว แค่ทำใจให้เอ่ยปากพูดสอนได้ก็นับว่าสุดๆ แล้วในตอนนี้
อีกอย่างการเรียนในระดับนี้ผมไม่คิดว่าจำเป็นต้องตามจี้หรือดูว่ามาครบไหม ใครที่ต้องการความรู้ก็ควรมาเรียนเป็นเรื่องปกติใครไม่มาผมไม่มีความจำเป็นต้องไปตามให้เสียเวลา
“เปิดหน้า96 วันนี้จะพูดถึงเวทมนตร์โจมตีแบบกระจาย...” ผมเริ่มทำการสอนต่อโดยหันหน้าเข้าหากระดานขาวลงมือเขียนคาถาสำหรับร่ายลงบนกระดานอย่างเชื่องช้า สาเหตุที่ต้องช้าก็ง่ายๆ เพราะผมไม่อยากรีบเขียนเสร็จแล้วหันไปมองหน้านักเรียนหลายสิบคนด้านหลังน่ะสิ
ตำราเวทมนตร์หรือหนังสือเวทย์ในมือผมนี่เป็นหนังสือพื้นฐานของการสอนเวทมนตร์ในระดับค่อนข้างสูงทีเดียว เวทย์พวกนี้ถือเป็นเวทย์พื้นฐานก่อนนำไปปรับเพื่อผสานเวทมนตร์ ประสานเวทมนตร์หรือการสร้างเวทย์ใหม่ขึ้นมา ตอนได้หนังสือนี่มาผมเปิดอ่านหมดทั้งเล่มแล้วแน่นอนว่าแทบทุกเวทย์ผมใช้ได้
บางเวทย์ผมเคยได้ยินแต่ไม่เคยได้ลองใช้มาก่อนอย่างเวทย์ลอยตัว ในระดับมัธยมลงไปเหมือนจะมีเรียนเวทย์ลอยสิ่งของเมื่อมาอยู่ในระดับที่สูงขึ้นจึงเพิ่มระดับความยาก ผมใช้เวทย์ลอยตัวได้แต่ไม่ใช่ในระดับพื้นฐานแบบนี้ เวทย์ที่ผมใช้เป็นเวทย์บินคือการติดปีกให้ตัวเองเพื่อเคลื่อนไหวบนอากาศได้ดั่งใจต่างจากเวทย์ลอยตัวที่ทำได้เพียงลอยตัวขึ้นไปบนฟ้านอกจากบังคับทิศทางได้ลำบากแล้วยังมีความเร็วในระดับต่ำ สำหรับผมมองว่าเวทย์นี่น่าจะถูกสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นด้วยซ้ำ
แต่เวทย์โจมตีแบบกระจายที่ผมกำลังเริ่มสอนนี่ผมว่าใช้ได้เลยทีเดียว ไม่เหมาะกับให้เด็กอายุน้อยเรียนเพราะมีความเสี่ยงและอาจเกิดอันตรายได้
“พอจะจำกันได้รึยัง” ผมหันกลับไปถามนักเรียนโดยสายตามองบนไปถึงเพดานของห้อง บอกตรงๆ ว่าการยืนต่อหน้าคนหลายสิบคนมันไม่ใช่จะชินได้ในไม่กี่ชั่วโมง
“คาถาสำหรับร่ายทำไมเวทย์นี้ถึงยาวขนาดนี้ครับ” เด็กใส่แว่นท่าทางเหมือนเด็กเรียนเอ่ยถามผมจึงต้องเลื่อนสายตาไปมองอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจเบาๆ
“...เรื่องนี้ก็ไม่รู้สิ” ผมไม่ได้จะปัดความรับผิดหรือไม่สนใจคำถามหรอกนะแต่มันเป็นความจริง เวทมนตร์บางอย่างมีคาถาสำหรับร่ายยาวเป็นสิบบรรทัด ในทางกลับกันก็มีคาถาเวทย์สั้นๆ ที่พูดแค่ไม่กี่คำก็สามารถทำให้เวทมนตร์ทำงานได้
“...” สายตาที่จับจ้องมาคล้ายคนกำลังเศร้ายามไม่ได้รับคำตอบ
“ถึงจะไม่รู้รายละเอียดแต่พูดได้อย่างหนึ่งคือยิ่งเวทมนตร์นั้นมีพลังมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งใช้การร่ายคาถาที่ยาวขึ้นเท่านั้น...ส่วนมากน่ะนะ” นี่เป็นคำตอบจากประสบการณ์หลายสิบปีในการคลุกคลีอยู่กับเวทมนตร์ ยิ่งเวทย์นั้นอยู่ในระดับสูงนอกจากคาถาจะยาวแล้วยังต้องใช้พลังเวทย์มหาศาลในการควบคุม ใช่ว่าร่ายจบแล้วเสร็จระหว่างการใช้เวทย์จำเป็นต้องมีสติ ตั้งสมาธิเพื่อควบคุมไม่ให้เวทย์นั้นสลายหรือโจมตีผิด
“แปลว่าเวทมนตร์โจมตีแบบกระจายนี่เป็นเวทย์ที่มีพลังมาก?” อีกฝ่ายถามต่อ
“ก็มากในระดับหนึ่ง” ถ้าเทียบกับเวทย์อื่นๆ ในหนังสือละก็นะ
“อาจารย์ๆ แล้วคาถาเวทย์ที่ยาวสุดนี่เยอะขนาดไหนล่ะครับ” เด็กหนึ่งในกลุ่มนั่งริมหน้าต่างยกมือถามบ้าง ข้างๆมีองค์ชายฮาล์บนั่งเงียบๆ จ้องมองมา ดวงตาสีฟ้าสว่างประสานกับดวงตาสีขาวของผมก่อนอีกฝ่ายจะเผยรอยยิ้มบางๆ ที่ทำเอาคนมองต้องรีบหันหน้าหนี
“...สองหน้ากระดาษมั้ง” ผมตอบโดยควบคุมไม่ให้เสียงสั่น
“สองหน้ากระดาษ? ยาวขนาดนั้นใครจะไปจำได้” นักเรียนหลายกลุ่มเริ่มส่งเสียงซุบซิบกันเมื่อได้ยินคำพูดผม
“แล้วอาจารย์จำได้รึเปล่า” น้ำเสียงก่อกวนจากเด็กหลังห้องอย่างทราย์ ปาเปลวดังขึ้น
“เวทย์พวกนั้นส่วนมากเป็นเวทย์ระดับสูง...”
“อ้อ อาจารย์เลยทำไม่ได้สินะ” อีกฝ่ายสรุปโดยไม่รอฟังจนจบ
“คิดแบบนั้นก็ได้” ผมไม่จำเป็นต้องแก้นี่นะ เวทย์ระดับสูงผมมีอยู่หลายเวทย์แต่ไม่ได้ใช่มานานมากจนเรียกว่าหากต้องร่ายคาถาอาจพูดผิดก็เป็นได้ สงสัยต้องหาเวลาฝึกสักหน่อยแล้ว
เวทย์ระดับสูงส่วนมากจะเป็นเหมือนความพิเศษเฉพาะบุคคล เป็นเวทย์ที่ถูกคิดขึ้นมาโดยการรวมหลายๆ เวทย์เข้าด้วยกันไม่ก็เป็นเวทย์เฉพาะที่มีเพียงผู้ถูกเลือกถึงใช้ได้ ในหมู่เวทมนตร์ระดับสูงผมค่อนข้างชอบเวทย์ของหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาหรือฟราวมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นอีกเมื่อไร
“ถ้าจำกันได้แล้วก็ลุกขึ้น เราจะออกไปลองร่ายเวทย์นี้กัน” ผมประกาศเสียงดัง...ผมว่ามันดังมากแล้วสำหรับผมที่ไม่ค่อยชอบการสนทนา
การสอนเวทมนตร์ในห้องก็ดีอยู่แต่หากต้องการให้เป็นจริงๆ ไม่ควรสอนแค่ทฤษฎีหรือการจำคาถาควรมีการออกไปปฏิบัติด้วย สถาบันแห่งนี้เองเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดีจึงมีการสอนทฤษฎีหนึ่งชั่วโมงและให้มีเวลาการปฏิบัติมากกว่าอีกเท่าตัวหรือสองชั่วโมงนั่นเอง
บริเวณฝึกเวทย์มนจะเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ห่างออกจากตัวอาคารพอสมควรเผื่อฝึกพลาดจะได้ไม่ไปโดนตัวอาคาร คู่มือการสอนในมือถูกเปิดอ้ายังหน้า 19 ที่พูดถึงการฝึกเวทมนตร์ในสนาม
“ต้องใช้เวทย์ป้องกันเผื่อกรณีเวทมนตร์ของนักเรียนไปโดนตัวอาคาร หากเกิดความเสียหายอาจารย์ผู้สอนต้องรับผิดชอบค่าเสียหายนั้นๆ บวกกับค่าทำขวัญ ฮะ?!” ผมถึงกับยกหนังสือขึ้นมามองประโยคสุดท้ายอีกรอบ
นอกจากต้องจ่ายค่าซ่อมยังมีค่าทำขวัญอีก
ขูดรีดอาจารย์กันไปหน่อยมั้ง
“อาจารย์คะ เริ่มกันได้รึยังคะ” น้ำเสียงใสๆ จากนักเรียนหญิงเอ่ยถามขณะสายตาหลายสิบคู่จับจ้องมาคล้ายสงสัยว่าผมถืออะไรในมือ
“รอแป๊บ...ด้วยพลังแห่งเราจงสร้างเกราะป้องกันดุจดั่งเหล็กกล้าและกินพื้นทีภายในอาณาเขตแห่งการกำหนด สิ่งใดหากปะทะจงกีดกันมิให้สิ่งนั้นออกจากเขตการป้องกันอันสมบูรณ์นี้” วงแหวนเวทย์สีขาวสว่างขยายไปรอบบริเวณสนามกินพื้นที่หลายสิบเมตรให้เหมาะแก่การแยกฝึกของแต่ละคน
“อาจารย์ใช้เวทย์ป้องกันเองเลยเหรอ?!” เด็กหลายคนเมื่อเห็นเกราะใส่ล้อมรอบบริเวณสนามก็มีท่าทีตกตะลึงคล้ายไม่อยากเชื่อ
“ไม่ใช่ว่าต้องทำ?” จากคู่มือผมคิดว่าอาจารย์ทุกคนน่าจะป้องกันไว้ก่อนเพราะหากเกิดความเสียใจคงได้จ่ายหนักพอดู
“อาจารย์ท่านอื่นจะใช้อุปกรณ์เวทย์สร้างเขตป้องกันนะอาจารย์ซิน” น้ำเสียงทุ้มนุ่มโทนอบอุ่นดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันไปมองผมก็ต้องก้าวขาถอยไปสองก้าวเพื่อเว้นระยะจากองค์ชายฮาล์บที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
“องค์ชาย...”
“นี่ไงมีหมายเหตุบอกว่าถ้าสร้างเขตป้องกันไม่ไหวสามารถไปยืมอุปกรณ์เวทมนตร์ได้” องค์ชายฮาล์บไม่สนว่าผมจะถอยหนีไปสองก้าวเพราะเขาก้าวเข้ามาประชิดผมก่อนชี้นิ้วมายังบรรทัดสุดท้ายของหน้า 19 ที่เปิดค้างอยู่
“...จริงด้วย” ผมมองตานิ้วเรียวนั่นลงไปถึงหมายเหตุบรรทัดสุดท้ายซึ่งค่อนข้างตัวเล็กกว่าบรรทัดอื่น
“แปลว่าอาจารย์พลังเวทย์เยอะมาก และมากพอจะใช้เวทย์สองอย่างได้ในเวลาเดียวกันสินะ” อีกฝ่ายถามต่อโดยไม่ขยับตัวออกไป
“...เรามาเริ่มฝึกกันดีกว่า” ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถามนั่นและก้าวเดินไปยืนอยู่ตรงกลางของนักเรียนเกือบ 30 ชีวิตด้วยความเกร็ง
ผมรู้ว่าองค์ชายฮาล์บกำลังจับตามองผมอยู่ บทสนทนาเมื่อครู่ไม่ได้ดังมากขนาดได้ยินทั้งห้องแต่มันก็อาจทำให้เรื่องผมกระจายไปเข้าหูใครต่อใครได้ซึ่งผมไม่อยากเป็นจุดเด่น แม้ว่าการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโต้งๆ นั่นจะทำให้อีกฝ่ายตีความหมายไปแล้วก็ตามที
“อาจารย์ครับ คาถาเริ่มต้นยังไงนะครับ” เพียงแค่เริ่มก็มีบางคนที่จำไม่ได้ซะแล้ว
ช่วยไม่ได้นะ
“ผมจะแสดงตัวอย่างให้ดูและค่อยทำตามละกัน” ถึงจะไม่ชินกับการร่ายคาถาต่อหน้าคนจำนวนมากก็ตาม
“ค่ะ/ครับ”
“ประกายแสงแห่งเวทมนตร์จงลอยขึ้นสู่เบื้องบน จงควบแน่นพลังนั้นดุจคมมีดโลหะภายในรูปลักษณ์ดั่งเข็มที่ทอประกายเฉกเช่นดวงดาวบนท้องนภา และเตรียมตกจากฟากฟ้าดั่งสายฝนแห่งการทำลายที่จะจู่โจมทุกสรรพสิ่งภายใต้การชี้นำนี้” การร่ายคาถาเวทย์เกิดขึ้นขณะวงแหวนเวทย์สีขาวถูกกางออก พลังเวทย์ที่แผ่ออกมาลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเหมือนเข็มอันคมกริบจำนวนมากเตรียมพร้อมกระหน่ำจู่โจมศัตรูในวงกว้าง
นี่คือเวทย์โจมตีแบบกระจายเอาไว้ใช้ในเวลามีศัตรูจำนวนมากเพื่อประหยัดเวลาในการโจมตีหรือเวลาไม่แน่ใจในที่อยู่ของศัตรูสามารถใช้เวทย์นี้เพื่อลองโจมตีได้แถมยังเป็นเวทย์ที่ค่อนข้างเสียพลังน้อยแต่มีขอบเขตการโจมตีกว้าง ตัวผมเองก็ค่อนข้างชอบเวทย์นี่แต่เวทย์ที่ผมใช้เป็นเวทย์ซึ่งผสานกับเวทย์นี้อีกทีเพื่อขยายขอบเขตการโจมตีและเพิ่มอัตราความสำเร็จ
หลังจากแสดงการร่ายเวทย์ให้ดูเสร็จผมลองแสดงพลังของเวทย์ให้นักเรียนดูโดยการบังคับให้เวทย์นั้นโจมตียังเกราะป้องกัน แน่นอนว่าเวทย์ป้องกันของผมมีพลังเหนือกว่าเวทย์โจมตีแบบกระจายจึงสลายไปกับอากาศยามเกิดการปะทะกันตรงๆ นักเรียนทุกคนกระจายตัวออกไปฝึกร่ายเวทย์ภายในสนามกว้าง ผมเดินดูแต่ละคนไปเรื่อยๆ มีอะไรแนะนำได้ก็จะแนะนำเป็นรายบุคคลเนื่องจากแต่ละคนก็มีปัญหาต่างกันไปตามกรณีอย่างเช่น...
“อาจารย์คะ ทำไมมันไม่เหมือนเข็มเลยคะ” นักเรียนสาวเอ่ยถามพลางเงยหน้ามองเวทย์ตนเองที่ควรจะมีรูปร่างคล้ายเข็มจำนวนทว่ากลับมีรูปร่างเป็นกระบอกหนาไร้ความคมแทน
“เหมือนคุณจะเป็นคนอ่อนโยนนะ”
“คะ?...มะ ไม่หรอกค่ะ” หญิงสาวส่ายใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นไปมาแทนการปฏิเสธ
“เวทมนตร์ก็เหมือนกระจกสะท้อนจิตใจของผู้ใช้แม้จะร่ายคาถาเหมือนกันแต่หากจิตใจไม่ต้องการสู้ปลายเข็มที่ควรจะเรียวเล็กและแหลมคมก็จะกลายเป็นแบบนี้แหละ” ผมบอกไปตามตรง เธอคนนี้ถือเป็นส่วนน้อยที่หาได้อยากยิ่งที่พลังเวทย์ผสานเชื่อมกับจิตใจจนเป็นหนึ่งเดียว คนประเภทนี้แม้จะร่ายเวทย์ได้แต่หากสภาพจิตใจไม่อำนวยเวทย์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามสภาพของผู้ใช้
ข้อแนะนำเดียวคือการหมั่นฝึกฝนสภาพจิตใจ
“อาจารย์ทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ ข้าร่ายเวทย์จบแล้วแท้ๆ” ชายผิวเข้มท่าทางอารมณ์ร้อยตะโกนถามเสียงดังลั่นจนเพื่อนรอบๆ ถึงกับสะดุ้งกันเป็นแถว
“ไหนลองร่ายคาถาอีกรอบ”
“ประกายแสงแห่งเวทมนตร์ จงลอยขึ้นสู่เบื้องบน จงควบแน่น พลังนั้นดุจคมมีดโลหะภายในรูปลักษณ์ ดั่งเข็ม...ภายใต้การชี้นำนี้ ไม่เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว” หลังร่ายจบเขาหันมาถามทันที
“คาถาพูดถูกแต่เว้นวรรคผิด” ผมตอบถึงสาเหตุที่เวทย์ไม่ทำงาน
“ข้าไม่เข้าใจ”
“อย่างวรรคแรก ประกายแสงแห่งเวทมนตร์จงลอยขึ้นสู่เบื้องบน แต่คุณเว้นวรรคเป็นประกายแสงแห่งเวทมนตร์ จงลอยขึ้นสู่เบื้องบน การเว้นวรรคตรงนั้นทำให้คำสั่งไม่ครบบอกว่าจงลอยขึ้นแต่ไม่รู้ว่าให้อะไรลอย ดังนั้นต้องเว้นวรรคให้ถูก” ผมอธิบายแบบง่ายๆ ให้อีกฝ่ายฟัง
การเว้นวรรคผิดถือเป็นปัญหาใหญ่ที่เจอได้กับแทบทุกเวทมนตร์ เมื่อก่อนตอนฝึกผมเคยเว้นวรรคคาถาผิดและเป็นโชคร้ายที่คาถานั่นทำงานได้แม้จะเว้นวรรคผิด ผลที่ได้คือเวทย์นั่นกลับมาโจมตีตัวเอง
“อ๊ายยย~!” เสียงร้องตะโกนเรียกทุกสายตาให้จับจ้องไปทางต้นเสียง ร่างท้วมของหนึ่งในนักเรียนล้มก้นจ้ำเบ้าบนพื้นโดยมีวงแหวนเวทย์สีน้ำตาลล้อมรอบ ด้านบนมีเวทย์โจมตีแบบกระจายกำลังพุ่งเข้าใส่ราวกับได้รับคำสั่งให้โจมตัวเอง
“เกราะสีเพลิง...ไม่สิ การหลั่งไหลของเวทย์...บ้าเอ้ย! ไม่ทันแน่!” ผมหยุดการร่ายคาถาที่คำนวณแล้วว่าไม่มีทางทันแล้ววิ่งเข้าไปคว้าตัวนักเรียกพร้อมกอดร่างนั้นไว้เพื่อกันการโจมตีที่เข้ามาประชิด
“โซ่ตรวนแห่งวารีจงผนึกทุกการโจมตีด้วยผืนน้ำสีคราม...” เสียงร่ายเวทย์พร้อมกับแผ่นหลังที่ปรากฏขึ้นเรียกดวงตาสีขาวของผมให้เบิกกว้างขึ้น เส้นผมสีทองสว่างที่ถูกมัดรวบปลิวไปตามลมจากกระปะทะของเวทย์โจมตีและเวทย์ผนึก ในชั่วพริบตาวงแหวนเวทย์สีฟ้าแผ่ขยายกลืนวงแหวนเวทย์สีน้ำตาลพร้อมโซ่น้ำโผล่ออกมาสองเส้นโดยโซ่ทั้งสองเชื่อมกันไว้ด้วยผืนน้ำทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าป้องกันการโจมตีจากเข็มนับพันได้อย่างรวดเร็ว
คาถาร่ายเวทย์ผนึกนั้นยังไม่ถูกเอ่ยออกมาจนครบทว่ากลับมากพอให้เวทย์แสดงออกมาและสามารถผนึกการโจมตีได้ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจมากสำหรับผม คาถาป้องกันกับคาถาผนึกหากดูเผินอาจคล้ายกันแต่ในความจริงไม่ใช่ เวทย์ป้องกันทำได้เพียงป้องกันจากโจมตีจากในและนอกเท่านั้นเมื่อมีการโจมตีจะสะท้อนออก ส่วนเวทย์ผนึกส่วนมากจะอยู่ในรูปแบบของโซ่เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูหรือเวทมนตร์ที่เข้ามาจู่โจม
เวทย์ผนึกขององค์ชายฮาล์บเองภายในผืนน้ำเต็มไปด้วยเข็มนับพันของเวทมนตร์ที่ไม่ถูกสะท้อนกลับไป อาจฟังดูธรรมดาแต่ไม่ใช่มีเวทย์จู่โจมบางอันที่สามารถโจมตีได้หลายครั้ง นั่นหมายถึงต่อให้ป้องกันได้ครั้งนึงก็ไม่เป็นผลแต่หากถูกผนึกไว้เจ้าของเวทย์จะไม่สามารถควบคุมเวทย์นั้นให้โจมตีได้อีก เป็นการผนึกเวทย์โดยสมบูรณ์
ไม่เคยเห็นเวทมนตร์นี้มาก่อน
นั่นแปลว่าเป็นเวทย์ที่คิดขึ้นมาเอง
อายุเพียงแค่นี้สามารถคิดเวทย์ได้แล้วเหรอแถมยังทรงอนุภาคมากอีก
เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฟันทำให้ผมรนจนทำอะไรไม่ถูก หากสงบใจและตั้งสติผมสามารถร่ายเวทย์ป้องกันได้จบทันแน่นนอน ครั้งนี้ผมได้องค์ชายฮาล์บช่วยไว้
“องค์ชายขอบพระทรัยเพคะ อาจารย์ด้วยขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวร่างท้วมเอ่ยขอบคุณ
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่บาดเจ็บข้าก็ดีใจ อาจารย์ไม่เป็นไรนะ” องค์ชายฮาล์บถามพลางยื่นมือส่งมาให้จับเพื่อลุกขึ้นยืน ผมมองใบหน้าและรอยยิ้มอันอ่อนโยนด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
“จับมือองค์ชายสิ” ผมบอกเด็กสาวข้างให้จับมือองค์ชายก่อนพยุ่งร่างตัวเองลุกขึ้นยืน
ไม่มีกล้าคิดหรอกว่ามือนั่นยื่นมาให้ผู้ชายจับ
น่าจะเป็นผู้หญิงมากกว่า
“ขอบพระทรัยเพคะองค์ชาย” เธอเอ่ยและจับมือองค์ชายด้วยใบหน้าเขินแดงเล็กน้อย
“...ยินดี” องค์ชายฮาล์บดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นก่อนจะหันมามองทางผมเล็กน้อย
“ขอบพระทรัยองค์ชายฮาล์บ” ผมกล่าวขอบคุณองค์ชายบ้าง
“ข้าเต็มใจช่วย”
“อะ...อาจารย์ คือขอโทษที่ทำให้วุ่น...ไม่รู้ทำไมพอร่ายเวทย์เสร็จถึงได้เป็นแบบนั้น” เด็กสาวก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด
“ใส่คำเพิ่มเข้าไปน่ะสิ” ผมบอกสาเหตุให้ฟัง
“ใส่คำเพิ่ม?”
“จากคาถาการเว้นวรรคผิดไม่ทำให้เวทย์โจมตีใส่ตัวเองหรอกนอกจากเพิ่มคำบ่งบอกตัวเองของไปอย่างข้าหรือเรา ไม่ก็อาจพูดประโยคนั้นผิดไป” หากเพิ่มคำเข้าไปหรือการเปลี่ยนรูปประโยคมีโอกาสครึ่งนึงคือ 50:50 ที่เวทย์นั้นจะทำงานหรือหยุดทำงาน
เวทมนตร์ก็แบบนี้ทั้งยุ่งยากและเข้าใจยาก
จากนั้นการลองเวทย์โจมตีแบบกระจายก็เริ่มต่อ ผมบอกให้นักเรียนทุกคนระวังให้มากกับการร่ายคาถาไม่ควรเพิ่มหรือเปลี่ยนประโยคเพราะอาจทำให้เกิดอันตราย แม้จะมีไม่น้อยที่ยังเว้นวรรคผิดหรือจำคาถาไม่ได้จนเวทย์ไม่ทำงานแต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ถือว่าสุดยอด
เพียงการร่ายครั้งเดียวเวทมนตร์กลับปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบและเปี่ยมไปด้วยพลังโจมตี หนุ่มใส่แว่นท่าทางเหมือนเด็กเรียนกับหญิงสาวผมยาวสีชมพูอ่อนเรียกว่าเป็นหนึ่งในหัวกะทิของห้อง แน่นอนว่าองค์ชายฮาล์บเองก็อยู่ในกลุ่มของหัวกะทิเช่นเดียวกัน ไม่เพียงแค่ทำได้แต่ยังสอนเพื่อนๆ คนอื่นอีกด้วย
ผมแอบมองการสอนที่นอกจะทำให้ดูแล้วยังอธิบายจนเห็นภาพด้วยความชื่นชม ตัวผมเองไม่มีความสามารถพอจะสื่อสารได้ในระดับนั้น คนที่ผมสามารถคุยได้โดยไม่ติดขัดมีเพียงไม่กี่คนซึ่งผมว่ามันมากพอแล้วล่ะ หากมีใครมาคุยส่วนมากผมเลือกที่จะเงียบ อาจเพราะชอบที่เป็นอยู่ในตอนนี้ละมั้ง
อยู่เฉยๆ ไม่ต้องหาหัวข้อพูดคุยให้เหนื่อย
สบายจะตาย
สถาบันเวทมนตร์แห่งนี้มีช่วงพักคือตอนเที่ยงถึงบ่ายโมงก่อนจะเริ่มชั่วโมงเรียนต่ออีกสามชั่วโมงและปล่อยกลับบ้านแม้จะอยู่ระดับมหาลัยข้อนี้ก็ไม่เปลี่ยน
ในช่วงพักกลางวันสถานที่ที่ผมชอบไม่ใช่โรงอาหารอันเต็มไปด้วยเสียงและผู้คนแน่นอน ผมมีข้าวกล่องทำเองเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าพอถึงเวลาพักจะมานั่งอยู่บนกิ่งไม่สูงบริเวณสวนด้านข้าง จริงอยู่ที่ผมไม่ชอบคนเยอะๆ เลยเลือกพักตรงนี้แต่ยังมีอีกสาเหตุคือสามารถมองเห็นองค์ชายฮาล์บได้ชัด
องค์ชายฮาล์บนั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดียวกันประมาณ 8 คนโดยไม่มีการถือตัว ถึงจะไม่ถือตัวและเป็นมิตรแต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาเป็นใครจึงไม่กล้าเล่นหรือเสียมารยาทมาก มีช่องว่างที่ไม่อาจอุดได้ละนะไม่ว่าจะเป็นฐานะหรืออำนาจ ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายจะหาเพื่อนสนิทจริงๆ ได้สักกี่คนเชียว ส่วนใหญ่พ่อแม่หวังให้ลุกมาผูกสัมพันธ์เพื่อโอกาสในภายภาคหน้า แต่พอได้มาคลุกคลีกับความเป็นมิตรแสนอ่อนโยนไม่ว่าใครก็เป็นต้องรู้สึกชอบทั้งนั้น
แซนด์วิชทูนาในกล่องข้าวสี่ชิ้นหายไปภายในเวลาไม่กี่อึดใจพร้อมกับองค์ชายฮาล์บที่ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินมาทางผม ด้วยบริเวณและมุมที่อยู่ผมค่อนข้างมั่นใจพอสมควรว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นตัวได้เลยคิดว่าองค์ชายอาจต้องการเดินเล่นย่อยอาหาร ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่เมื่อองค์ชายฮาล์บเดินมาถึงใต้ร่มไม้ใหญ่ใบหน้าคมคายกลับเงยขึ้นมามองผมที่อยู่สูงกว่าหลายเมตร กล่องข้าวในมือแทบล่วงลงไปหากไม่จับไว้ให้ดี
ทำไมถึงรู้ได้ว่าผมอยู่นี่?!
“เป็นทำเลที่ดีสำหรับมื้อกลางวันเนอะ” อีกฝ่ายพูดทักก่อนด้วยรอยยิ้ม
“...ทำไมถึงทราบ...” ว่าผมอยู่นี่ คงไม่ได้จ้องมากไปจนอีกฝ่ายรู้ตัวหรอกนะ
“เห็นตอนกระโดดขึ้นไปน่ะ” ผมไม่รู้ว่าควรโล่งใจดีไหมกับคำตอบนั่น
สังเกตรอบตัวในรัศมีกว้างมากซะด้วย
“เอ่อ กระหม่อมจะลงไปเดี๋ยวนี้พระเจ้าค่ะ” จะให้นั่งหย่อนเท้าเหนือหัวองค์ชายคงไม่เหมาะเท่าไหร่
“ไม่ต้อง”
“แต่...”
“เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปด้วย”
“ฮะ?” ยังไม่ทันได้สงสัยร่างขององค์ชายก็ลอยขึ้นมาจากพื้นด้วยเวทย์ลอยตัวด้วยการร่ายคาถาง่ายๆ ไม่ถึงบรรทัดมาจนถึงกิ่งไม้กิ่งเดียวกับที่ผมนั่งอยู่
“ขอข้านั่งด้วย” ลอยขึ้นมาถึงองค์ชายจัดการนั่งข้างๆ ห้อยขาแกว่งไปมานิดๆ ด้วยท่าทีสบาย ทำขนาดนั้นแล้วผมจะกล้าบอกเหรอว่า ‘ไม่ได้ครับห้ามนั่ง’ น่ะ
“...พระเจ้าค่ะ” พูดได้แค่นี้แหละ
ความใกล้ชิดแม้จะไม่มากแต่ก็มากกว่าตอนปกติ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แผ่ขยายของมาจากร่างข้างๆ
“เจ้ามีพลังเวทย์เยอะขนาดไหนกันนะ ใช้สองเวทย์พร้อมกันยังดูสบายๆ แล้วถ้ามากกว่าสองล่ะทำได้รึเปล่า” เหมือนองค์ชายฮาล์บพยายามหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้ความเงียบกินเวลามากไปกว่านี้
“...ทำได้อยู่พระเจ้าค่ะ” อยากกระโดดลงไปซะเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ติดเรื่องมารยาทละก็นะ
“สูงสุดกี่เวทย์?”
“ไม่เคยร่ายพร้อมกันเยอะแต่ถ้า 4 เวทย์ก็ยังทำได้อยู่พระเจ้าค่ะ” เมื่อก่อนเคยได้รับภารกิจนอกอาณาจักรแต่ด้วยนิสัยแบบนี้เลยไม่พาใครไปด้วยจึงเกิดปัญหาหลายอย่าง การแก้ปัญหาคือการร่ายเวทมนตร์สี่เวทย์ไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าบ้ามาก นึกย้อนไปผมยังคิดเลยว่าบ้า
ไม่มีคนปกติที่ไหนใช้เวทย์ 4 อย่างพร้อมกันหรอก
“4 เวทย์...สุดยอดไปเลย”
“พระองค์ทรงชมเกินไป องค์ชายเองก็ฝีมือน้อยซะเมื่อไหร่ เวทย์ผนึกวารีนั่นเป็นเวทย์ที่พระองค์ทรงคิดขึ้นมาเองหากไม่มีความเชี่ยวชาญและทักษะคงทำไม่ได้” เวทย์นั่นต่อให้รู้คาถาผมอาจทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เวทมนตร์อาจใช้ได้ง่ายๆ เพียงร่ายคาถาแต่หาเป็นเวทย์เฉพาะตัวหรือคิดขึ้นมาใหม่มีโอกาสสูงที่จะใช้ไม่ได้ในทันที
“นั่นแปลว่าเจ้ารู้เรื่องเวทย์ดีขนาดบอกได้ว่าเวทย์ที่ข้าใช้ไม่ใช่เวทย์ปกติสินะ”
“...” ผมถึงกับเงียบลง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถตีความออกมาได้แบบนั้น
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ข้าไม่ได้กำลังจะล้วงความลับอะไรสักหน่อย” องค์ชายบอกพลางหันหน้ามามองผม
“...พระเจ้าค่ะ” การแปลความหมายของประโยคแบบนั้นไม่ได้เรียกว่าไม่ล้วงความลับเลย
“ในหัวเจ้าคงกำลังบ่นข้าอยู่แน่”
“...กระหม่อมเปล่า”
“แต่เจ้าสะดุ้งนะข้าเห็น”
“องค์ชายทรงมีธุระอะไรพระเจ้าค่ะ” ผมรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนเรื่องราวจะบานปลายมากไปกว่าเดิม
“เจ้าชอบเปลี่ยนเรื่องเรื่อยเลยนะ เหมือนพอจะได้เข้าใกล้ เจ้าก็จะตีกรอบราวกับบอกว่าห้ามเข้ามามากกว่านี้นะไม่งั้นเจอดีแน่” พูดเสร็จองค์ชายหันมามองใบหน้าด้านข้างผมคล้ายจะดูปฏิกิริยา
“พระองค์ทรงดูคนเก่งจัง” มาถึงขนาดนี้คงไม่ต้องเลี่ยงอะไรต่อแล้ว
“ข้าแค่อยากรู้จักเจ้า”
“กระหม่อมไม่มีอะไรน่าสนใจรอกพระเจ้าค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรคงสร้างความรื่นรมย์ให้ไม่ได้” แม้จะใจสั่นกับคำว่าอยากรู้จักที่ได้ยินไปบ้างแต่ก็สามารถตอบกลับไปได้โดยไม่มีอะไรผิดปกติ
“จะสร้างได้หรือไม่ได้ขอฟังก่อนค่อยตัดสิน”
“องค์ชาย...” ก็รู้ว่าค่อนข้างดื้อแต่ไม่คิดว่าพ่วงคำว่าตื้อไม่เลิกด้วย
“บอกเรื่องเจ้าให้ข้ารู้สักหน่อยสิ” อีกฝ่ายพูดต่อ ใบหน้าด้านข้างผมกำลังรู้สึกชาเนื่องจากถูกสายตานั่นจับจ้องมาระยะหนึ่งได้แล้ว
“พระองค์อยากรู้เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ”
“ก็หลายเรื่องนะ อย่างเจ้ามาจากไหน มีพี่น้องไหมหรือเรียนเวทมนตร์อะไรแบบนั้น ถามได้แค่คำถามเดียวหรือ?” คำถามกับสายตาสงสัยนั่นดูสดใสจนคนฟังอย่างผมต้องอมยิ้มตาม
“ถ้าตอบได้จะตอบพระเจ้าค่ะ”
“แปลว่ามีที่ตอบไม่ได้?”
“ตามที่องค์ชายทรงเข้าใจ” ได้ทีผมขอกวนกลับสักหน่อยเถอะ
“เวลาเจ้าอมยิ้มแบบนี้น่ามองกว่าเยอะเลย”
“...” ผมเม้มปากแน่นทันทีที่ถูกจับได้
“อย่าหุบยิ้มสิ...”
“ถามเรื่องกระหม่อมมาจากไหนใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”
“เลี่ยงอีกแล้ว ก็ได้ข้าถามเรื่องนั้น” เห็นว่าผมปลายตามองด้วยสายตานิ่งๆ องค์ชายก็จำต้องยอมเปลี่ยนเรื่องโดยปริยาย
“กระหม่อมมาจากทางตอนใต้ของเมือง”
“แค่นั้น?” องค์ชายฮาล์บขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าผมจบประโยคเร็วกว่าที่คาด
“พระเจ้าค่ะ” ผมไม่มีอะไรจะพูดมากกว่านี้ จำได้ว่าโตมาทางตอนใต้ของเมืองในแถบร้านค้าเป็นสภาพแวดล้อมที่เรียกว่าดีนักไม่ได้
“แล้วครอบครัวล่ะ”
“ไม่มีพระเจ้าค่ะ” ผมพึมพำตอบเสียงเบาพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกิ่งก้านของต้นไม่ที่ผลิใบจนเขียวขจีเต็มต้น
“...ข้าขอโทษ” เงียบไปสักพักเสียงอันอ่อนโยนก็ลอยมาท่ามกลางความเงียบ
“หามิได้พระเจ้าค่ะ” ความจริงผมไม่ควรรับคำขอโทษนั่นเลยเพราะไม่ได้มีความโกรธแม้เพียงน้อยนิด
“งั้นทำไมเจ้าถึงมาเป็นอาจารย์แถมยังเป็นช่วงนี้อีก” อาจเพราะไม่ต้องการให้เกิดความเงียบน่าอึดอัดองค์ชายเลยถามต่อ ดวงตาสีฟ้าลอบมองมาเพื่อดูทีท่าแสดงถึงความเอาใจใส่จนหัวใจพลอยอุ่นวาบไปด้วย
“เป็นคำขอจากคนคนหนึ่งพระเจ้าค่ะ” จะให้ตอบไปว่าบิดาของพระองค์ก็ไม่ใช่
“คงเป็นคนสำคัญมากสินะ เจ้าดูไม่เหมือนคนที่ชอบทำตามคำสั่งใคร”
สมกับเป็นองค์ชายมองออกทะลุปรุโปร่งเลยว่าผมไม่ชอบทำตามคำสั่งใคร มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ผมจะทำตามคำสั่งคนแรกแน่นอนว่าคือองค์ราชาคราสเมทิส เวธาณาร์ ส่วนอีกคนคือหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาฟราว ราฟเยอร์
“พระเจ้าค่ะ เป็นคนสำคัญมาก” หากไม่มีพวกเขาคงไม่มีผมมายืนอยู่ตรงนี้
“...สีหน้าอ่อนโยนแบบนั้นเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก” ผมหันไปมองใบหน้าขององค์ชายฮาล์บที่เปล่งน้ำเสียงอบอุ่นมากกว่าปกติ ทั้งแววตา น้ำเสียง รอยยิ้มและคำพูดทุกอย่างมันช่างกระทบต่อจิตใจผมซะเหลือเกิน
ได้อยู่ข้างๆ และพูดคุย
ราวกับฝัน
“ส่วนองค์ชายทรงอ่อนโยนตลอดเวลาอยู่แล้ว” ไม่ว่าจะอยู่กับใครต่างอ่อนโยนและเป็นมิตร
“แอบมองข้าตลอดสินะถึงได้รู้ว่าข้าอ่อนโยน”
“อึก...เปล่าพระเจ้าค่ะ” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเห็นว่าผมสะดุ้งไหมแต่ต้องทำทุกอย่างเป็นปกติไม่ให้สังเกตได้
จะให้ผมตอบไปว่ายังไงล่ะในเมื่อเป็นความจริง...ผมมองเขามาตลอดจากในมุมหนึ่งของเงา มองมาตั้งแต่วันนั้นเมื่อ 13 ปีก่อนจนถึงปัจจุบันก็ไม่อาจละสายตาออกได้
“มีคนเคยบอกไหมว่าเจ้าโกหกไม่เป็น”
“...กระหม่อมคงต้องขอตัวใกล้ได้เวลาสอนแล้ว” ผมเลือกไม่ตอบคำถามนั่นกลับไปแล้วเตรียมจะกระโดดลงจากกิ่งไม้ทว่ากลับมือองค์ชายฮาล์บคว้าข้อมือเอาไว้ซะก่อน
“ข้าควรจะตีความท่าทางของเจ้าไปในทางไหนดี”
“...” ผมเม้มปากแน่นไม่ตอบคำถามใดๆ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม
ภายในอกเริ่มเต้นรัวด้วยความกลัวปนเขินอาย
“ไว้ครั้งหน้าข้าขอมาร่วมมื้อกลางวันด้วยได้หรือไม่” ฝ่ามือที่เหมือนจะคลายกลับกำแน่นคล้ายจะบอกว่าหากไม่ตอบก็จะไม่ปล่อยการจับกุมนี้
“...กระหม่อมไม่มีสิทธิ์ห้าม...”
“ข้าถามถึงความรู้สึกเจ้าหาใช่สิทธิใดๆ” องค์ชายฮาล์บรีบพูดแทรกแก้ไขในสิ่งที่ผมเข้าใจผิด
“...ถ้าบอกว่าไม่ได้องค์ชายจะทรงทำตามไหมพระเจ้าค่ะ” ลมหายใจติดขัดหลายช่วงระหว่างพูดประโยคนั้นออกไป ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการปฏิเสธทั้งที่ในใจอยากตอบรับ
“ข้าจะทำตาม...และขอใหม่จนกว่าเจ้าจะยอมตกลง”
“...” ผมหันควับไปหน้าองค์ชายด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกันเต็มไปหมด
จะขอจนกว่าจะตกลง?
“ข้าขอมาร่วมมื้อกลางวันด้วยได้หรือไม่” คำถามเดิมดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง
“...ไม่...”
“ข้าขอมาร่วมมื้อกลางวันด้วยได้หรือไม่” ได้ยินเพียงคำว่า ‘ไม่’ ประโยคซ้ำรอบที่สามก็เอ่ยขึ้นทันที ไม่ฟังคำปฏิเสธผมให้จบประโยคด้วยซ้ำ ถ้าตอบว่าไม่อีกคำถามเดินครั้งที่4 5 6คงตามมาไม่เลิก
รู้ว่าองค์ชายดื้อพ่วงด้วยตื้อไม่เลิกแต่ไม่คิดว่าจะมีคำว่ามากต่อท้ายถึงขนาดนี้
“ถ้าจะทำแบบนี้ไม่ต้องถามกระหม่อมก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ข้าต้องขอเจ้าก่อนมันเป็นมารยาท” ผมเงยหน้ามององค์ชายส่งยิ้มมาพร้อมคำถามในใจว่าขนาดนี้ยังเรียกว่าถามตามมารยาทได้อีกเหรอ
“...และถ้ากระหม่อมปฏิเสธ...”
“ข้าก็จะถามใหม่จนกว่าจะตกลง” องค์ชายฮาล์บพูดต่อโดยผมยังเอ่ยไม่จบประโยค
เอาที่พระองค์สบายใจ!
ผมอยากตะโกนคำนั้นดังๆ เลย
“...พระเจ้าค่ะ”
“อะไร? พระเจ้าค่ะที่ว่าหมายความว่าอย่างไร” องค์ชายแห่งอาณาจักรเวธาณาร์เอียงคอเล็กน้อยจนเส้นผมสีทองที่ถูกรวบปัดมาอยู่ด้านหน้า ผมสูดลมหายใจเข้าก่อนจะขยายความประโยคอีกสักนิดก่อนจะกระโดดลงจากกิ่งไม้เดินเข้าตัวอาคารโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังอีก...
“กระยอมตกลงที่จะให้พระองค์มาร่วมมื้อกลางวันด้วยพระเจ้าค่ะ”
..............................................
จบกันไปอีกหนึ่งตอน
ได้เห็นความน่ารักของพระเอกนั่นไหม ฮาล์บนี่เราวางนิสัยให้เป็นเจ้าชายจริงๆ ซึ่งพอแต่งออกมาแล้วใจเต้นเลยยยย
ทำไมพอจินตนาการรอยยิ้มของฮาล์บแล้วเราก็เหมือนจะละลายไปด้วย 555
หวังว่าทุกคนจะเอ็นดูซินและฮาล์บมากขึ้นนะคะ
เร็วๆ นี้จะมีกิจกรรมแจกผลงานของเราครั้งแรก
ใครสนใจสามารถเข้าไปติดตามเพจnicedogกันได้นะคะจะแจ้งกิจกรรมหน้าเพจค่ะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมองชายน่ารักขนาดนี้ ขี้แกล้งด้วย อ.ซินจะรับมือยังไงไหวเนี่ย
คาถายาวมากเลย ไม่กระชับเลย ถ้าต่อสู้คือต้องแรปไปสู้ไปหรอ อย่กได้แบบใช้ได้จริงแบบแฮรี่อ่ะ คือไม่ได้ชอบการร่ายคาถาเฉพาะในแฮรี่นะ แต่แค่นึกถึงความเป็นจริง คือคนที่จะลงสนามต่อสู้ได้ค้องแม่นคาถา แล้วถ้ากองทัพมีคนจบใหม่ไปเรียนจะแบบว่า ตู้มม ครึ่งนึงตายจากดารรบ อีกครึ่งจากการร่ายคาถาผิด หรือร่ายไม่ทันเพระยาวมาก 2บรรทัดก้ยาวแล้วว เป็นลม สงสารอาณาจักร
ขอบพระทัย ไม่ใช่ขอบพระทรัย ทรัยคืออะไร ไม่มีความหมาย ส่วนทัยแปลว่าใจ ขอบพระทัยแปลว่าขอบใจ
องค์ชายยยย แบบนี้เรียกขอตรงไหนเนี่ยยย
คำร่ายยาวสุดๆ แต่ก็ไพเราะดีนะ เรียบเรียงคำได้ดีมากเลยอ่ะ
อันนี้เรียกบังคับนะเพคะเจ้าชาย
ปล.ทรงอานุภาพ
ถ้าบังคับแล้วเป็นแบบนี้เป็นเราก็ยอมอะ//เขินนนนน