ปัจจุบันอาณาจักรเวธาณาร์ยังคงมีองค์ราชาคาราสปกครองอยู่ พระโอรสเพียงองค์เดียวจะขึ้นเป็นราชาลำดับที่ 37 เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เจ้าชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์เป็นองค์ชายที่แสนงดงามเป็นที่ต้องตาของผู้พบเห็นทั้งชายและหญิง ทุกคนล้วนฝันอยากได้ครอบครองรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนและน้ำเสียงที่พานให้คนฟังราวกับถูกหลอมละลาย
ทว่าความฝันของสาวๆ และหนุ่มๆ ต่างสลายเมื่อมีการประกาศแต่งงาน แถมคู่ครองขององค์ชายยังเป็นชายหนุ่มซึ่งมีสีผมและสีตาเป็นสีขาวล้วน หรือก็คือผมเอง
ไม่ว่าจะผ่านมาหนึ่งอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนก็ไม่ต่างกัน ผมยังรู้สึกเกร็งทุกครั้งยามถูกเรียกนำหน้าว่าท่านหรือพระชายา
ชายาอะไรกัน น่าอายจะตาย ฟังกี่ทีผมก็สะดุ้งแทบทุกรอบ!
แม้จะอยู่ในตำแหน่งคู่ชีวิตขององค์ชายแต่ผมก็ยังเป็นผม หน้าที่องครักษ์คนสนิทและรองหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงายังคงเป็นของผมไม่เปลี่ยนแปลง องค์ชายเองก็เห็นด้วยเพราะไม่ต้องการให้ใครมาทำหน้าที่ตรงนั้นแทนผมโดยเฉพาะหน้าที่องครักษ์คนสนิท
“องค์ชาย กระหม่อมมีเรื่องด่วนต้องทูลให้พระองค์ทราบ” ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานขององค์ชายพร้อมกับเปิดประเด็นขึ้น
“เรื่องด่วน? ว่ามา” องค์ชายฮาล์บละมือออกจากกองเอกสารตรงหน้าทันที
“ทางตะวันออกของอาณาจักรกำลังเกิดภัยน้ำท่วมอย่างหนักจากฝนที่ตกอย่างเนื่อง องค์ราชาทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมไปจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว กระหม่อมเลยมาขออนุญาตไปจัดการเรื่องนี้สักพัก” ผมอธิบายเรื่องราวพลางลอบสังเกตดวงตาสีฟ้าสว่างที่หรี่ลงเรื่อยๆ
“เพราะกระหม่อมสามารถจัดการน้ำท่วมเหล่านั้นได้พ่ะย่ะค่ะ” ผมตอบกลับตามตรง
“พ่ะย่ะค่ะ” ในอาณาจักรนี้ผู้มีพลังเวทย์หาศาลมีอยู่ไม่มาก ดังนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างภัยทางธรรมชาติพวกเราจะถูกส่งไปจัดการกับเรื่องนี้เพื่อลดความเสียหาย
“เจ้าจะทิ้งข้าไว้แล้วออกไปเที่ยวหรือ” องค์ชายถามต่อ
“กระหม่อมไปปฏิบัติภารกิจไม่ได้ไปเที่ยว...” อีกอย่างมันไม่เรียกว่าทิ้งสักหน่อย
“ข้าไม่อยากให้เจ้าห่างสายตาเลย”
“...องค์ชายทรงห่วงมากไป กระหม่อมไม่ได้อ่อนแอ” ผมพยายามสะกดตัวเองไม่ให้หน้าแดงจากคำพูดเมื่อครู่
“ข้าไม่มองว่าเจ้าอ่อนแอ เพียงแค่อยากให้เจ้าอยู่ข้างๆ เท่านั้น อีกอย่างถ้าเจ้าไปข้าจะนอนกอดใครล่ะ” คำพูดไม่ธรรมดาหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงแสนธรรมดาคล้ายกำลังพูดเรื่องปกติก็ไม่ปาน
ไม่รู้เลยว่าคนฟังนี่ใกล้ละลายกลายเป็นไอเต็มที
“แค่ไม่กี่วันเองพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเกรงว่าอาจต้องใช้เวลาสักสามวัน” จะให้จัดการน้ำเหล่านั้นให้หมดภายในสองวันค่อนข้างยากไปสักหน่อย
“สามวันหรือ...นานจังนะ ไม่ไปได้รึเปล่าซิน” น้ำเสียงเหมือนกำลังออดอ้อนในประโยคสุดท้ายนั่นเหมือนเด็กในวัยกำลังซนเลย
“คนในหน่วยองครักษ์เงาตอนนี้ออกไปทำภารกิจกันเกือบหมด อีกอย่างมีเพียงกระหม่อมที่มีพลังเวทย์มากพอที่จะจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว” ผมให้เหตุผลและหวังว่าองค์ชายจะเข้าใจ
“องค์ชาย” ผมเรียกอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ใช่ ทิ้งข้าไว้ตามลำพังตั้งหลายวันแบบนั้นไม่เรียกใจร้ายแล้วจะเรียกว่าอะไร” องค์ชายพูดต่อ ไม่นานเขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าผม
“เจ้ากำลังทำให้ข้าขาดเจ้าไม่ได้” ถ้อยคำเหล่านั้นเรียกรอยยิ้มผมให้เผยออกมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีขาวของผมเงยขึ้นไปสบดวงตาสีฟ้าสว่างตรงหน้าที่จับจ้องมาก่อนแล้ว
“...พระองค์เองก็กำลังทำให้กระหม่อมขาดไม่ได้เช่นกัน” อย่าว่าแต่ผมเลย เขานั่นแหละที่คอยมอบความรักให้เสมอจนไม่รู้แล้วว่าจะอยู่ได้ยังไงหากขาดไออุ่นและรอยยิ้มเหล่านั้นไป
“ก็ดีนี่ จะได้เสมอกัน” องค์ชายยิ้มก่อนเอื้อมมือมาสัมผัสแก้มขาวของผมแล้วเกลี่ยเล่นไปมา ความเขินอายยังคงไม่หายไปแม้จะถูกทำเช่นนี้มานับไม่ถ้วนแล้วก็ตาม
“ระวังตัวด้วย รีบกลับมาล่ะซิน” ความห่วงใยผมสามารถสัมผัสได้จากน้ำเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ผมใช้มือข้างนึงสัมผัสกับฝ่ามืออุ่นบริเวณแก้มพร้อมรอยยิ้มบางและเอ่ยคำตอบดั่งสัญญาที่จะทำตามประโยคนั้นขององค์ชาย...
ทางตะวันออกของอาณาณาจักรเป็นส่วนที่ติดทะเลทำให้ช่วงหน้าฝนแบบนี้บวกกับน้ำทะเลหนุนจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงกินพื้นที่ไปหลายร้อยกิโลเมตร เวทย์ปีกสีขาวโพรนกางสยายอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิทในยามราตรี
ผมใช้เวลาในการเดินทางด้วยเวทมนตร์นี้หลายชั่วโมงกว่าจะถึง เบื้องล่างมีทั้งถนนและบ้านนับร้อยๆ หลังซึ่งจมอยู่ใต้ผืนน้ำ ประชาชนส่วนมากอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยแต่มีไม่น้อยเลยที่ยังเป็นห่วงบ้านจึงอยากให้ทางอาณาจักรช่วยจัดการกับภัยน้ำท่วมนี่โดยด่วน
ดูจากปริมาณมากกว่าที่คิดไว้อีก
จะมัวแต่อยู่นิ่งก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องลงมือก่อนแล้วคิดระหว่างนั้น
“หมู่มวลสารธารสีฟ้าสดอันท่วมท้นผืนธรณีเอ๋ย เราขอน้อมรับธารานี้ด้วยสายลมแห่งการพัดพา จงหมุนควงดั่งพายุ นำพากระแสน้ำนั้นสู่สถานที่อันสมควร ปฐพีอันชุ่มชื้นจากการดูดซับวารีจงทรุดตัวลงและขยายอาณาเขตให้เป็นดั่งหลุมดำที่จะกักทุกสายธาราไม่ให้เล็ดรอด” วงแหวนเวทย์สีขาวแผ่ขยายออกไปกว้างครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยกิโลเมตรขณะร่ายเวทย์ผสานไปควบคู่กัน สายลมก่อตัวเป็นพายุพัดพาน้ำที่กำลังท่วมขึ้นบนฟ้าขณะเดียวกันพื้นดินด้านข้างค่อยๆ ทรุดลงจนเกิดเป็นบ่อขนาดใหญ่
โบกมือเพียงครั้งเดียวพายุน้ำก็มุ่งตรงไปยังบ่อดินก่อนจะสลายตัวเหลือเพียงน้ำที่เอ่อล้นขึ้นมา ผมสร้างที่กักเก็บน้ำไว้ให้ประชาชนได้ใช้ในฤดูร้อนรวมถึงช่วงเพาะปลูกหรือใช้บริโภคเพราะไม่ใช่ทุกฤดูที่จะมีน้ำเพียงพอต่อการบริโภค ความจริงบริเวณนั้นเป็นสถานที่กักเก็บน้ำอยู่แล้วแต่เพราะน้ำที่ท่วมเป็นเวลานานส่งผมให้พัดพาดินตะกอนมาอุดตันจนกลายเป็นอย่างที่เห็น
ต่อไปก็เหลือแค่จัดการกับน้ำที่เหลือ
ต้องอาศัยจังหวะนี้รีบจัดการกับน้ำที่ขังอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นแอ่ง
“ความร้อนใต้พื้นผสุธาจงปะทุขึ้นมาเหนือผืนธรณี หลอมละลายให้สายน้ำนั้นให้เดือดระอุจนเป็นไอกลับคืนสู่ท้องนภาภายในการชี้นำของเปลวเพลิงอันเดือดดาล” เวทย์ต่อไปถูกร่ายตามมาติดๆ โดยไม่มีการเว้นช่วงพัก ความร้อนของเปลวเพลิงหอบน้ำจำนวนมหาศาลขึ้นบนท้องฟ้า ด้วยความร้อนนั้นส่งผลให้น้ำเดือดจนกลายเป็นไอลอยกลับคืนสู่วัฏจักรอย่างรวดเร็ว
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เวทมนตร์ที่ใช้แต่เป็นระยะเวลา เวทย์นี้ใช้ความร้อนทำให้น้ำกลายเป็นไอ ซึ่งไอน้ำจำนวนมหาศาลจำต้องใช้เวลาหลายวันในการจัดการจนเสร็จ คงมีหลายคนสงสัยว่าทำไมไม่เอาน้ำไปปล่อยในทะเลจะได้ง่ายไม่ต้องเสียเวลา ตรงจุดนี้ทางตะวันออกมีพื้นที่ติดกับทะเลก็จริงแต่พื้นที่เป็นแอ่งขนาดใหญ่หากนำน้ำไปปล่อยลงในทะเลด้วยจำนวนขนาดนี้จะส่งผลกระทบยามน้ำขึ้นในวันต่อๆ ไป อีกอย่างน้ำที่ท่วมนี่คือน้ำจืดหากปล่อยลงทะเลไปดื้อๆ สัตว์ทะเลแถวนี้คงตายกันหมด
เพื่อการตัดปัญหาหลายๆ อย่างผมจึงจำต้องใช้เวทย์นี้ที่กินเวลาไปหลายวันแทน
พลังเวทย์ผมมีมากพอที่จะคงเวทย์นี้ไว้เป็นอาทิตย์โดยไม่ต้องคลาย เพราะแบบนั้นตลอดทั้งคืนผมนั่งมองน้ำเดือดพลางกินอาหารที่เตรียมไว้จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้น ระยะเวลาสามวันที่คาดไว้ผมใช้ไปเพียงแค่หนึ่งวันกับ 20 ชั่วโมง ประมาณ 2 วันนั่นแหละ
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จผมไม่รอช้ารีบร่ายเวทย์ปีกแล้วทยายขึ้นสู่ท้องฟ้าตรงกลับปราสาทโดยไม่รีรอ ระยะเวลาในการเดินทางกินไปหลายชั่วโมงกว่าจะถึงก็ผ่านไปค่อนคืนแล้ว
“อากาศเอ๋ยจงล้อมรอบกายเรา เปลี่ยนแปลงเราให้โปร่งใสดั่งอากาศและล่องลอย รอดผ่านวัตถุเบื้องหน้าได้ดั่งใจ” ผมร่ายเวทย์ที่ทำให้ร่างกายสามารถทะลุผ่านทุกอย่างได้พร้อมเข้าไปในห้องนอนขององค์ชายฮาล์บ
ปีกสีขาวสลายหายไปเช่นเดียวกับเวทมนตร์ทะลุผ่าน แม้ภายในห้องจะแทบไม่มีแสงสว่างแต่ก็ยังสามารถมองเห็นร่างขององค์ชายฮาล์บที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงได้พอสมควร
“กระหม่อมกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนบนเตียง ไม่ได้ต้องการปลุกแค่อยากมาบอกให้รู้ว่ากลับมาแล้วเท่านั้น
วันนี้ผมจะไปนอนยังห้องตัวเองหรือห้องข้างๆ ที่อยู่ถัดไปนั่นเอง ปกติห้องนอนผมอยู่คนละฝั่งกันที่นี่ทว่าตอนความจำเสื่อมกลับถูกองค์ชายย้ายข้าวของทุกอย่างมาไว้ห้องข้างๆ โดยไม่ถามความสมัครใจ พอรู้ตัวอีกทีผมก็กลายเป็นเจ้าของห้องซะแล้ว ถึงห้องนั้นจะเป็นของผมทว่าปัจจุนผมกลับไปนอนแทบนับครั้งได้เนื่องจากองค์ชายฮาล์บที่มักจะให้ผมนอนด้วยเสมอ
เอาล่ะ วันนี้ผมคงได้กลับไปนอนเตียงนั้นสักที
“...ซิน จะไปไหน” เสียงเรียกที่ไม่รู้ว่าละเมอรึเปล่าดังขึ้นหลังผมเตรียมก้าวตรงไปยังห้องตัวเอง
“องค์ชาย?” อย่าบอกนะว่าตื่นอยู่น่ะ
“จะไปไหน ห้องน้ำหรือ” พอไม่ได้คำตอบอีกฝ่ายจึงถามซ้ำ
“กระหม่อมจะกลับไปนอนที่ห้องพ่ะย่ะค่ะ ขออภัยที่ทำให้ทรงตื่น” ไม่แน่ว่าผมอาจพูดเสียงดังเกินไป
“จะนอนห้องนู้นทำไม มานอนนี่ซิน” องค์ชายพูดพลางลุกขึ้นนั่งกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้
“...” ผมเริ่มเงียบ น้ำเสียงยามเรียกชื่อผมออกแนวไม่พ่อใจนัก
“ข้าไม่ได้เจอเจ้าตั้งสองวัน จะให้ข้านอนคนเดียวอีกงั้นหรือ”
“มานี่ซิน” น้ำเสียงนั้นไม่ใช่คำสั่งทว่าน่าแปลกที่ขาผมกลับก้าวตรงไปหาคล้ายไม่สามารถเมินเฉยต่อคำพูดนั้นได้
“พระองค์ทรงทำนิสัยเหมือนเด็ก”
อยากได้อะไรก็ต้องได้ เหมือนเด็กจริงๆ
“ข้ายอมเป็นเด็กหากทำให้เจ้ามาอยู่ในอ้อมกอด” รอยยิ้มบางๆ แม้จะอยู่ในความมืดทำไมถึงสว่างได้ขนาดนั้นนะ
“เลิกพูดหยอดกระหม่อมด้วย” ต่อให้ฟังบ่อยแค่ไหนก็ไม่เคยชินสักที
“ไม่ได้หยอด แค่พูดความจริง ภารกิจเป็นอย่างไรบ้าง” ฝ่ามืออุ่นๆ เอื้อมขึ้นมาสัมผัสใบหน้าอย่างเชื่องช้า คำถามต่อมาคล้ายกับกลลวงที่ทำให้ผมเผลอระหว่างถูกอีกฝ่ายชักจูงให้ขึ้นมาบนเตียงมากขึ้น
“เรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ ประชาชนสามารถกลับไปอยู่ได้ตามเดิม” รู้ทั้งรู้ว่ากำลังก้าวมาบนเตียงแต่กลับหยุดร่างกายตัวเองไม่ได้ แรงดึงดูดจากดวงตา น้ำเสียงและสัมผัสนั่นผมไม่อาจขัดขืนได้
“สมเป็นเจ้า หากเป็นคนอื่นอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้”
“ถ้ามีคนของหน่วยไปด้วยอีกสักคนคงจัดการได้เร็วกว่านี้” น่าเสียดายที่คนในหน่วยถูกกระจายออกไปทำภารกิจเกือบหมด
“แค่นี้ก็สุดยอดแล้ว ข้าดีใจที่เจ้ากลับมาภายในเวลาที่ให้” องค์ชายคงหมายถึงระยะเวลาสองวันที่พูด
“คิดถึงนะซิน” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ดวงตาสีฟ้าสว่างยามนี้กลายเป็นสีเข้มได้ขยับเข้ามาใกล้จนประสานเข้ากับดวงตาสีขาวของผม และไม่กี่นาทีต่อมาริมฝีปากเย็นๆ ก็ทาบทับลงมา
ร่างกายผมถูกดันจนแผ่นหลังติดเตียงนุ่มขณะองค์ชายเปลี่ยนมาขึ้นคร่อมระหว่างปากของพวกเคงแนบชิด ความเย็นเปลี่ยนเป็นความร้อนลุ่มในเสี้ยววินาที
“อื้ออ~” ผมครางในลำคอยามถูกรสจูบอันร้อนแรงดูดกลืนจนแทบสิ้นสติ ความโหยหาถ่ายทอดผ่านเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา ผมเอื้อมมือไปโอบคอองค์ชายไว้แน่น ความร้อนยังจุดเล็กๆ ที่แนบชิดพานให้อุณหภูมิทั้งร่างเห่อร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ซิน...เจ้ากำลังทำให้ข้าทนไม่ไหวรู้ไหม” พอถอดจูบออกเสียงกระซิบแผ่วๆ บริเวณข้างใบหูเรียกขนทั้งร่างให้ลุกตั้งชัน
“องค์ชาย...หากทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทนพ่ะย่ะค่ะ” ราวกับเอ่ยออกไปโดยไม่ผ่านกระบวนความคิด รู้ทีหลังใบหน้าก็เห่อแดงด้วยอุณหภูมิสูงซะแล้ว
“...กระหม่อมขออาบน้ำ...กับร่ายเวทย์ก่อนได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” แม้จะทั้งเขินทั้งอายแต่ผมก็เลือกจะเผชิญหน้าตรงๆ
นี่ก็ผ่านมานานแล้วหลังงานแต่งงานทว่าองค์ชายกลับไม่ทำมากกว่าจูบสักที
นั่นทำให้ผมกังวลอยู่ไม่น้อย
เพราะร่างกายเป็นผู้ชายเลยไม่ทรงโปรด
หรือเพียงแค่ไม่อยากแตะต้อง
“...ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าเหนื่อยมาตั้งหลายวันพักผ่อนเถอะ”
“กระหม่อมไม่ได้เหนื่อย...”
“ซิน นอนกันเถอะข้าง่วงแล้ว” รอยยิ้มกับสัมผัสของแขนที่โอบกอดไม่อาจทำให้ความรู้สึกกังวลหายไป
ไม่รู้ว่านี่เป็นกี่ครั้งที่ผมเอ่ยปากว่าจะยอมแต่สุดท้ายผลก็เหมือนเดิม
หรือทำอะไรไม่ดีหรือไม่ถูกใจถึงไม่อยากแตะต้องกัน
ถ้าบอกสักนิดผมก็พร้อมจะปรับปรุงตัว ไม่ใช่ไม่บอกแล้วปล่อยให้ผมคิดแบบนี้
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมไม่อาจตอบอะไรไปมากกว่าคำนี้
ในเมื่อถูกปฏิเสธขนาดนั้นจะให้ยื้อต่อก็คงดูไม่ดี แม้อ้อมกอดที่โอบรัดจะอบอุ่นเพียงใดแต่ภายในใจผมกลับกำลังเย็นยะเยือกคล้ายฤดูหนาวอันไม่มีที่สิ้นสุด ผมหลับไปพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ปะปนกันจนแยกไม่ออก
ไม่กี่วันต่อมาองค์ชายฮาล์บทรงใช้เวลาในช่วงบ่ายเดินทางมายังตลาดใจกลางเมืองเพื่อดูความเป็นอยู่ของประชาชนและผ่อนคลายจากการนั่งทำงานอยู่ในห้องมาตลอดหลายวัน ตลาดในช่วงบ่ายไม่ได้ครึกครื้นเหมือนในช่วงเย็นแต่ก็มีผู้คนเริ่มออกมาเดินจับจ่ายซื้อของหรือแม้แต่หาร้านอาหารทานสักร้าน
ผมเคยมาตลาดนี้เมื่อครั้งตอนยังสวมบทเป็นอาจารย์ โดยปกติผมไม่มาเดินตามสถานที่สาธารณะที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายแบบนี้หรอก สาเหตุคงพอเดากันได้ว่ามาจากสีผมและสีตาแสนโดดเด่นนี่ แต่เมื่อมากับองค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์ความโดดเด่นของอีกฝ่ายช่วยให้ทุกคนแทบไม่สนใจผมต่อให้ทุกคนในอาณาจักรจะรู้ถึงการแต่งงานระหว่างผมและองค์ชายก็ตาม
“องค์ชายทรงร้อนไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถามเสียงเบา ยามบ่ายในฤดูนี้พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าอยู่เหนือศีรษะสร้างความอบอ้าวให้แก่ทุกคน
ตลาดนี้มีบริเวณที่ร่มคือผ้าใบที่กางจากร้านต่างๆ ต่อกันเป็นแนวสองแถวโดยตรงกลางถนนหรือที่เดินจะไม่มีอะไรคอยกันแดดทำให้ความร้อนลงหัวเต็มๆ
“นิดหน่อย เจ้าร้อนหรือ หาที่พักหน่อยไหม” องค์ชายถามกลับด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“กระหม่อมไม่ได้ร้อนมาก เพียงแค่เป็นห่วงพระองค์เท่านั้น” องค์ชายทำงานในห้องแอร์แทบทั้งวันร่างกายคงปรับตัวตามไม่ทันต่างจากผมที่ถึงจะอยู่ในห้องแอร์เหมือนกันแต่เดินเข้าออกไปเอาเอกสารนั่นนี่อยู่ตลอด
หรือความจริงผมควรห่วงตัวเองเพราะอยู่ในที่ร้อนและหนาวสลับกันเป็นว่าเล่น
“ขอบคุณ” คำพูดธรรมดาถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ไม่ธรรมดา
“...” น้ำเสียงและสายตานั่นกำลังทอประกายทั้งดีใจและมีความสุขทำเอาคนฟังต้องหันหน้าหนีพร้อมเม้มปากแน่นด้วยความร้อนที่เริ่มปะทุขึ้นบนใบหน้า
“ซิน เราซื้ออาหารไปหาที่นั่งทานกันหน่อยดีไหม” องค์ชายเปลี่ยนเรื่อง คงรู้มั้งว่าผมกำลังเขิน
“พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงอยากทานที่ไหน”
“แถวนี้คนเยอะเจ้าคงไม่ค่อยชอบ ไปทานแถวสวนสาธารณะไหม” องค์ชายเสนอ
“พ่ะย่ะค่ะ” ผมอมยิ้มเล็กน้อย องค์ชายรู้ว่าผมไม่ชอบคนเยอะเลยเลือกสถานที่ที่คนไม่พลุกพล่านและมีต้นไม้มากมายตามแบบที่ผมชื่นชอบ
“ข้าให้เจ้าเลือกว่าจะทานอะไร”
“กระหม่อมว่าพระองค์ทรงเลือกเถอะพ่ะย่ะค่ะ” สำหรับผมกินได้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว
“...ทรงเลือกเถอะ” ผมส่ายหัวไปมาระหว่างบอก
“องค์ชายฮาล์บ” นี่เราจะต้องรับส่งกันไปมาถึงเมื่อไหร่กว่าจะตกลงกันได้
“ว่ามา” องค์ชายยกยิ้มคล้ายกำลังสนุก
“...พ่ะย่ะค่ะ” ก่อนทุกอย่างจะยืดยาวมากไปกว่านี้ผมตอบรับโดยในใจกำลังคิดรายชื่ออาหารที่องค์ชายชอบ องค์ชายคงไม่รู้ว่าต่อให้ผมเลือกค่าก็เท่ากันเพราะทุกอย่างที่องค์ชายชอบผมรู้หมด
“อย่าให้ข้าเห็นว่าอาหารที่เลือกมาเป็นของโปรดข้านะ” ระหว่างผมกำลังใช้สายตากวาดมองตามร้านสองข้างทางองค์ชายก็พูดดักขึ้นมาซะก่อน
“...กระหม่อมอาจชอบเหมือนพระองค์ก็ได้” ผมคิดหาคำแก้ตัวอย่างรวดเร็ว
“ชอบเหมือนได้แต่คงไม่ใช่ทุกอย่างใช่ไหมล่ะ”
“...” ผมเงียบเมื่อถูกรู้ทัน
“อย่าตามใจข้ามากซิน แค่นี้ก็หลงเจ้าจะตายอยู่แล้ว” ประโยคสุดท้ายองค์ชายเอียงคอมากระซิบข้างใบหูจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ
“...องค์ชาย” ผมควรจะทำยังไงกับองค์ชายชอบหยอดพระองค์นี้ดีนะ
“เลือกที่เจ้าอยากกิน เข้าใจนะ” องค์ชายพูดย้ำอีกรอบ
“พ่ะย่ะค่ะ” สุดท้ายผมจำใจต้องพยักหน้าตอบรับเบาๆ
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ มากมายไม่เพียงอาหารแต่ยังมีเครื่องใช้ ต้นไม้หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง ผมมองได้สักพักสายตาก็ไปหยุดอยู่บริเวณร้านขายอาหารพื้นเมืองของอาณาจักรตั้งอยู่ทางด้านขวามือ ในตอนเด็กๆ เป็นอาหารจานโปรดที่ผมมักจะเก็บเงินซื้อกินบ่อยๆ
ผมไม่รอช้าก้าวตรงไปยังร้านซึ่งเป็นเพิงสร้างจากไม้ แผ่นแป้งทรงกลมบางๆ ถูกอบจนกรอบนอกแต่มีความเหนียวนุ่มอยู่ ด้านในมีเนื้อสัตว์หั่นชิ้นคลุกเค้ากับน้ำซอสและผักนาๆ ชนิกวางด้านบนแล้วราดซอสสีเข้มอีกครั้ง ทานคู่กับสตูเนื้อ ทั้งหมดนี่คืออาหารพื้นบ้านของอาณาจักรเวณาธาณาร์ที่ผมชอบมาก แต่เพราะความเป็นพื้นบ้านนี่จึงเป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นว่าที่ตลาดนี้มีขาย ถ้าไปแถวชานเมืองจะเห็นว่ามีร้านขายมากมายทว่าพอเป็นในย่านตัวเมืองกลับไม่ค่อยมีให้เห็น
“ขอ 2 ชุดครับ” ผมสั่งแม่ค้าร่างท้วมซึ่งยืนอยู่ในครัวเปิด เนื้อสัตว์ที่กำลังถูกย่างส่งกลิ่นหอมชวนกินสุดๆ
“กลับบ้านหรือทานนี่เพคะ” แม่ค้าถามกลับด้วยน้ำเสียงคารมดี คำพูดสุดท้ายนั้นทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าคนคนนี้รู้ว่าผมเป็นใคร
“...ครับ” อยากจะบอกว่าอย่าเรียกพระชายา แต่ถึงบอกไปพวกเขาคงไม่เปลี่ยนวิธีเรียก
“...ว่าแต่ อาหารนี่จะให้องค์ชายทรงเสวยด้วยไหมเพคะ” ค้าขยับเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยถามเสียงเบา
“ว้าย แบบนี้ป้าจะแถมให้เยอะๆ เลยแทนการขอบคุณที่พระชายาเลือกมาซื้อร้านป้า”
“...ขอบคุณครับ” ไม่แปลกที่จะรู้ว่าผมเป็นคนรักขององค์ชาย วันงานโชว์ตัวซะขนาดนั้นแถมรูปลักษณ์ผมก็โดดเด่นอยู่พอสมควร น่าแปลกที่แทบไม่มีใครมองด้วยสายตาผิดแปลก มีแต่มาถามว่าทำยังไงองค์ชายถึงทรงรักขนาดนี้
เรื่องนั้นผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน
“หลบไป!” เสียงเอะอะโวยวายอยู่ๆ ก็ดังขึ้น พอจะหันไปดูเหตุการณ์ร่างกายผมกลับถูกใครคนหนึ่งเอาแขนล๊อกคอไว้แน่น มีดดามแหลมสีเงินจ่อเข้าบริเวณลำคอโดยไม่ทันรู้ตัว
“...” ผมนิ่งแล้วค่อยๆ เรียบเรียงเหตุการณ์ ความวุ่นวายนี้เรียกให้ผู้คนโดยรอบตกใจจนส่งเสียงร้องออกมาไม่ขาดสาย
“อย่าขยับเข้ามาไม่งั้นหมอนี่ถูกปาดคอแน่” เสียงของชายคนเดิมตะโกนพลางล๊อกคอผมแน่นขึ้น ถัดออกไปไม่ไกลมีเจ้าหน้าที่ในหน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์โดยมีองค์ชายและองครักษ์อีก 5 คนยืนมองมาด้วยสีหน้าตกใจ
ดูจากท่าทางเหนื่อยหอบของเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้ คนที่จ่อมีดใส่คอผมนี่คงไปก่อเรื่องอะไรสักอย่างมาแล้วพอถูกเจ้าหน้าที่ไล่จึงวิ่งหนีก่อนจะจบลงที่การจับตัวประกัน
นี่ผมประมาทอีกแล้วสิเนี่ย
“ปลอดคนคนนั้นซะ!” เจ้าหน้าที่คนนึงพูดเสียงดัง พวกเขาคงรู้ว่าผมคือใครทว่าฝ่ายที่จับผมคงไม่รู้
“ถ้าอยากให้หมอนี่ปลอดภัยก็เปิดทางแล้วห้ามตามมา” ข้อเสนอถูกเอ่ยขึ้น
“ข้าว่าเจ้าควรปล่อยเขาก่อนจะเจ็บตัวดีกว่านะ” องค์ชายฮาล์บเอ่ยพร้อมกับก้าวออกมายืนเผชิญหน้ากับคนร้าย รอยยิ้มอันสว่างไสวยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ไม่มีท่าทีตกใจอย่างเมื่อครู่แล้ว
“...องค์ชาย? จะเป็นองค์ชายก็ช่างสิ ถ้าอยากช่วยเจ้านี่ก็เปิดทางซะ” ตัวตนขององค์ชายไม่ได้ทำให้เรื่องจบลงแต่อย่างใด
จะเอายังไงกับสถานการณ์นี้ดีนะ
“จะปล่อยให้ผู้ชายคนอื่นกอดอีกนานไหม ข้าหึงนะ” เพียงคำพูดเดียวทำเอาบรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ขนาดคนร้ายยังมองหน้าผมสลับกับองค์ชายด้วยสีหน้าไม่แน่ใจว่าเป็นการพูดเล่นหรือพูดจริง
ต่อให้มีการประกาศหรือโชว์ตัวให้ผู้คนดูแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้ คงมีไม่น้อยเลยที่ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรกับองค์ชายของอาณาจักรเวธาณาร์ ข่าวการแต่งงานทุกคนอาจรู้แต่รูปลักษณ์ของผมมีอีกมากที่ไม่รู้จัก แต่การป่าวประกาศในสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าองค์ชายต้องการอะไร
แล้วยังพูดว่าหึงที่ผมยอมให้คนอื่นกอด?
เอ่อ...อยากจะพูดเหลือเกินว่าไม่ใช่กอดแต่โดนล๊อกคออยู่ต่างหากล่ะองค์ชาย
“...กระหม่อมไม่ได้โดนกอด” ผมพยายามอธิบายทั้งที่รูปการน่าจะบอกเป็นอย่างดีแล้ว
“ฝีมือระดับเจ้าคงไม่โดนจับง่ายๆ แต่การยืนให้จับนิ่งๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้แปลว่ากำลังนอกใจข้าหรือ” ประโยคต่อมาเรียกดวงตาสีขาวของผมให้เบิกกว้างขึ้น
ไม่อยากเชื่อว่าองค์ชายจะคิดลึกไปได้ถึงขนาดนั้น
“กระหม่อมไม่ได้นอกใจ” ไม่ได้ยอมแค่กำลังประมวลสถานการณ์อยู่เท่านั้น
“งั้นก็อย่าให้ใครแตะต้องง่ายๆ สิซิน” น้ำเสียงและคำพูดคล้ายจะสื่อให้ผมรีบจัดการสถานการณ์นี้จบลง
“...พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะมีส่วนไม่เข้าใจอยู่บ้างแต่ผมก็ขานรับพร้อมกับใช้ศอกแทงไปด้านหลังโดนเข้าบริเวณหน้าท้องเต็มแรงจนชายด้านหลังปล่อยมีดในมือลงพื้น
ผมไม่รอช้าใช้ขาแตะข้อเท้าของอีกฝ่ายให้ร่างกายเซเสียศูนย์ ในจังหวะนั้นผมจับแขนแล้วทุ่มข้ามหลังอีกฝ่ายลงพื้นหญ้าเต็มแรงท่ามกลางผู้คนมากมายที่ทำตาโตเกือบเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นภาพผมทุ่มผู้ชายรูปร่างใหญ่กว่าตัวเองลงพื้นได้หน้าตาเฉย
รูปร่างเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แสดงถึงพละกำลังเท่านั้น มีคนมากมายที่รูปร่างไม่ได้ใหญ่โตทว่ามีพละกำลังและฝีมือมากกว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่ 3 คนวิ่งเข้ามาจัดการ คนร้ายถูกพาออกไปในเวลาไม่นานก่อนสถานการณ์ทุกอย่างจะยุติลงในเวลาอันรวดเร็ว
“เจ้าประมาทไปแล้ว” องค์ชายพูดพลางเดินเข้ามาใกล้
“...ขออภัย” ครั้งนี้ผมประมาทไปจริงๆ
“ยังดีที่ทางนั้นไม่ร่ายเวทย์...แต่ต่อให้ร่ายเวทย์ผลคงไม่ต่างกัน” รอยยิ้มบนใบหหน้านั่นคล้ายกำลังชื่นชม
“กระหม่อมไม่ได้เก่งขนาดนั้น” จะว่าครั้งนี้โชคดีก็ได้ที่อีกฝ่ายไม่ร่ายเวทย์ ถ้าร่ายเวทย์คงต้องใช้เวลาจัดการสักหน่อย
“ประเมินกระหม่อมสูงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ต้องมีวันที่พลาดพลั้งและมีคนที่เหนือกว่าเสมอดังคำกล่าว เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ฝีมือผมอาจเก่งแต่หากเทียบกับฟราวก็เป็นได้แค่เพียงเด็กน้อย
“ทรงรอสักครู่” ผมบอกก่อนจะเดินกลับไปยังร้านอาหารเมื่อครู่ คุณป้าเจ้าของร้านกวักมือเรียกผมพร้อมชูถุงอาหารที่ทำเสร็จแล้ว จ่ายเงินเสร็จจึงกลับมาหาองค์ชายตามเดิม
“ซื้ออะไรอีกไหม” องค์ชายถามระหว่างเดิน
“พระองค์ทรงยังทานอะไรเพิ่มไหมพ่ะย่ะค่ะ อาหารนี่ไม่เยอะเท่าไหร่ด้วย” ผมถามกลับ
“อีกสักอย่างก็ดี แค่นี้เจ้าอิ่มหรือ” มองมายังถุงในมือผมแล้วเอ่ยถาม
“กระหม่อมทานไม่ค่อยเยอะ” ผมตอบไปตามตรง
เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้กินน้อยกว่าคนอื่นเขา อาหารแต่ละมื้อที่กินไม่ได้มากแต่ก็ไม่น้อยซะทีเดียว เคยถูกองค์ราชากับองค์ราชินีรวมถึงฟราวและคนในหน่วยบอกบ่อยๆ ว่าให้กินเยอะกว่านี้ เคยพยายามตัดใจกินแต่ผลสุดท้ายคือแน่นท้องจนทำภารกิจแทบไม่ได้ จากนั้นผมเลยทำใจแล้วกินอาหาตามปกติ ร่างกายคงรับได้แค่นี้ละมั้ง
“เลยผอมแบบนี้ไง ทานเยอะๆ หน่อยเวลากอดจะได้นิ่มๆ” องค์ชายยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
อาหารอีกอย่างผมเลือกซื้อของขึ้นชื่อของอาณาจักรเวธาณาร์เป็นเหมือนอาหารถาด ถาดขนาดกลางมีช่องตรงกลางและอีกสี่ช่องล้อมรอบแต่ละช่องจะแบ่งออกเป็นอาหารสำเร็จหลายอย่างเช่นกุ้งเคลือบแก้วหรือปลานึ่งมัน ซื้อเพียงถาดเดียวได้อาหารมาถึง 5 อย่าง
องค์ชายพาผมมายังสวนสาธารณะซึ่งอยู่ถัดจากตลาดไม่ไกลนัก สวนขนาดใหญ่กินพื้นที่ไปหลายกิโลเมตร เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเวธารณาร์ นอกจากจะมีถนนสำหรับเดินออกกำลังกายแล้วยังมีเครื่องออกกำลังกายและสถานที่นั่งพักผ่อนเรียงรายอยู่ ตรงกลางมีสระน้ำจืดขนาดใหญ่ปลูกดอกไม้เวทมนตร์ลอยบานอยู่เต็มสระ
บริเวณที่พวกเราเลือกนั่งคือใต้ต้นไม้ติดกับสระน้ำ อาหารทุกอย่างถูกวางไว้บนโต๊ะซึ่งถูกจัดเรียงไว้ตามจุดต่างๆ องค์ชายฮาล์บรับสั่งให้องครักษ์ทุกคนอารักขาในระยะห่างขึ้นเล็กน้อย
“หิวรึยังซิน” องค์ชายเปิดบทสนทนา
“ดี ทานเยอะๆ กุ้งเคลือบแก้วนี่น่าอร่อยนะ” พูดจบกุ้งหนึ่งตัวก็ถูกตักมาวางบนจานกระดาษ
“...ไม่ตักให้ข้าบ้างหรือ” ระหว่างผมกำลังตักกุ้งเข้าปากองค์ชายที่มองมาก็เอ่ยถาม
“...ขออภัย พระองค์ทรงอยากทานอะไรพ่ะย่ะค่ะ” อ่า นี่ผมกล้ากินก่อนองค์ชายได้ยังไง
“ขออภัยเรื่องอะไร” องค์ชายถามกลับ
“ก็ที่กระหม่อมทานก่อนพระองค์...” น้ำเสียงผมเริ่มเบาลงเรื่อยๆ เมื่อดวงตาสีฟ้าสว่างค่อยๆ หรี่ลง
“คิดถูกจริงๆ ที่ถาม เจ้านี่ชอบแปลความหมายประโยคข้าผิดอยู่เรื่อย”
“ข้าแค่อยากให้เจ้าตักอาหารให้บ้างเท่านั้น คนรักกันนี่”
“...ขออภัยกระหม่อมไม่เคยมีคนรัก...เลย...” ประสบการณ์ด้านนี้ผมเป็น 0 ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ดีซะอีกข้าจะได้สอนเจ้าด้วยตัวเอง”
“ทรงอยากทานอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ผมถามกลับเตรียมจะตักให้อีกฝ่ายบ้างความจริงคือผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ใบหน้าจะเห่อแดงมากไปกว่านี้
“หน้าแดงนะซิน” ต่อให้พยายามเปลี่ยนเรื่องหรือหันหน้าหนียังไงก็ไม่อาจหลุดรอดสายตานั้นได้จริงๆ
“...ทรงอย่าทักได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ยิ่งถูกทักก็ยิ่งแดงน่ะสิ
“ก็ข้าชอบนี่ เวลาเห็นแก้มแดงๆ ของซิน”
“องค์ชาย” ผมแทบจะละลายกลายเป็นไอแล้วนะ
“พอแล้วก็ได้ เจ้าลองตักให้ข้าสักอย่างสิ”
“...” ผมพยักหน้าพลางมองอาหารบนโต๊ะไปมาก่อนจะตัดสินใจเลือกปลานิ่งมันให้องค์ชาย ดวงตาสีขาวของผมแอบมองปฏิกิริยาด้วยความลุ้น
ไม่รู้ว่าที่เลือกไปจะถูกใจไหม
“พ่ะย่ะค่ะ” ผมตักอาหารพื้นบ้านของตัวเองขึ้นมากินสลับกับลอบมององค์ชายเป็นระยะ
“มองข้าทำไมซิน” เหมือนองค์ชายจะจับได้ว่าถูกแอบมอง ดวงตาสีฟ้าสว่างประสานเข้ากับดวงตาสีขาวของผมยามแอบมองจนสะดุ้งเล็กๆ
“...พระองค์ทรงโปรดไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมถามตามตรง
“โปรดอะไร เจ้าหรืออาหารที่เจ้าตัก” คำถามนั้นทำเอาช้อนในมือเกือบร่วงลงบนพื้น
“องค์ชาย” นี่กำลังแหย่ผมเล่นใช่ไหม
“กับเจ้าข้าโปรดอยู่แล้ว” องค์ชายเลือกเมินน้ำเสียงเคืองๆ ของผม
“กระหม่อมหมายถึงอาหาร” ผมรีบจัดแจงอธิบาย
ทำไมต้องมาทำให้ใจผมเต้นแรงด้วย!
“...” ผมเงียบก่อนก้มลงไปกินอาหารของตัวเองต่อ
“กินเยอะๆ หน่อย” ปลาหมึกผัดซอสสีดำถูกตักมาให้ทั้งที่อาหารของผมยังพล่องไปไม่ถึงครึ่ง
“...เพราะผอมเวลากอดเลยรู้สึกไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถามเสียงเบาหวิว ภายในใจเริ่มเกิดความสงสัยปนกับความรู้สึกเจ็บๆ บริเวณหัวใจ
“และเพราะรู้สึกไม่ได้เลยไม่อยากกอดกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ราวกับความอดทนอยู่ๆ ก็ปะทุ สิ่งที่อึดอัดและอยากถามมานานกำลังถูกระบายออก
คำว่ากอดนั้นสื่อความหมายยังไงองค์ชายต้องรู้แน่นอน
หลายต่อหลายครั้งที่ผมพยายามแต่สุดท้ายกลับถูกปฏิเสธ
“...ขอประทานอภัย” รู้ว่าไม่ควรพูด
“เงยหน้าขึ้นสบตากับข้าซิน” ไม่เพียงแค่น้ำเสียงแต่องค์ชายลุกขึ้นพร้อมเดินมาหา ฝ่ามือเย็นๆ ทาบทับลงบนแก้มทั้งสองข้างก่อนจะถูกชักนำให้ดวงตาสองคู่ประสานกัน แรงดึงดูดจากดวงตาคู่นั้นทำเอาผมไม่สามารถละสายตาออกมาได้
“มีอะไรที่เจ้าจะบอกข้าอีกไหม บอกมาให้หมดถึงทุกอย่างที่เจ้าสงสัยหรือคาใจ ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้รู้เอง” น้ำเสียงขององค์ชายยังคงนุ่มและน่าฟังทว่าตอนนี้กลับแฝงความจริงจังอย่างล้นหลาม
“...กระหม่อมไม่รู้ว่าองค์ชายทรงรู้สึกยังไงกับกระหม่อมหลังจากได้แต่งงานกันพระองค์ไม่...แตะต้องกระหม่อมทั้งที่หระหม่อมพยายาม...อาจเพราะพระองค์ไม่โปรดร่างกายของผู้ชายหรืออาจเพราะกระหม่อมไม่น่าดึงดูดพอ หากต้องการให้กระหม่อมอ้วนขึ้น...กระหม่อมจะกินให้มากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
พอบอกให้พูดผมก็ดันบอกไปหมดเปลือก
แล้วแบบนี้องค์ชายจะมองผมยังไงล่ะเนี่ย
ตลอดการฟังองค์ชายทำเพียงจ้องมองมาเงียบๆ โดยเกลี่ยแก้มทั้งสองข้างผมเล่นเบาๆ
“...พ่ะย่ะค่ะ” หมดทุกอย่างแล้ว
“ดีมาก งั้นฟังข้านะซิน ที่ข้าบอกให้เจ้ากินเยอะๆ หน่อยเพราะเจ้าผอมเกินไปอาจป่วยได้ง่ายๆ ไม่ใช่เพราะกอดเจ้าแล้วรู้สึกไม่ดี ความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้าไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนก็ยังคือรัก...ข้าแสดงออกมาขนาดนี้เจ้ายังไม่มั่นใจอีกหรือ...”
“แต่พระองค์ไม่ยอมกอดกระหม่อม...”
“จะให้ข้ากอดเจ้าที่สั่นระริกเป็นลูกนกลงได้ยังไง แค่ข้าจูบมือเจ้าก็เริ่มสั่นพอจะสัมผัสร่างกายก็ยิ่งสั่นเข้าไปอีก ข้าอยากรอให้เจ้าพร้อมไม่ใช่แค่หัวใจแต่เป็นร่างกายด้วย เพราะงั้นเลิกคิดได้เลยว่าข้าไม่โปรดเจ้าหรือร่างกายเจ้าไม่ดึงดูด แค่ผิวขาวๆ ของเจ้าก็พานให้สติข้ากระเจิงแล้ว ถ้านี่ไม่ดึงดูด มากกว่านี้ข้าคงจับเจ้าล่ามโซ่ไม่ให้ออกไปเจอใคร” ทุกคำอธิบายค่อยๆ ถูกเอ่ยออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ความสงสัยและความคลาแคลงใจพัดหายไปกับสายลม
“องค์ชาย...” ทุกอย่างเป็นแบบนี้นี่เอง
ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองสั่นขนาดนั้น รู้ว่าสั่นแต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้
“ข้ารักเจ้ามากนะซิน ไม่จำเป็นต้องรับร้อน ต่อให้เจ้าเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นข้าก็ไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่”
“กระหม่อมไม่เปลี่ยนใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ” รักมานานขนาดนี้ยังจะสามารถเปลี่ยนใจไปรักใครได้อีกงั้นเหรอ
“แบบนั้นก็ดี” องค์ชายทรงยิ้มพร้อมกับจูบแรงๆ ยังหน้าผากผม
“...องค์ชาย” ผมเม้มปากแน่นเมื่อตัดสินใจบางอย่างได้
“กระหม่อมอยากให้พระองค์กอด...ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถามระหว่างดวงตาพวกเรายังคงประสาน แม้จะอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแต่ผมจำต้องพูดออกไป
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้
“...อย่ายั่วข้าแบบนี้ซิน” แววตาที่ประสานมาเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย
“กระหม่อมไม่ได้ยั่ว...เพียงแค่อยากให้พระองค์...อื้อ!” ไม่ทันได้พูดจบประโยคริมฝีปากขององค์ชายฮาล์บก็ประกบลงมา จูบอันร้อนแรงเรียกเสียงครางจนแทบขาดใจจากผมได้เป็นอย่างดี เพียงส่วนเดียวที่ประสานกันก็พานให้อุณหภูมิภายในร่างเพิ่มสูงขึ้น
สัมผัสของลิ้นที่ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้ามาเกี่ยวพันนั้นราวกับไม่ใช่องค์ชายยามปกติ ร้อนแรงและรุนแรงขึ้นเหมือนบางอย่างที่ปกปิดไว้กำลังจะปะทุออก
“อย่าทำให้ข้าทนไม่ไหวซิน” เมื่อถอนริมฝีปากองค์ชายก็พูดพร้อมจับจ้องมายังผมไม่ละสายตา
“...หากทรงทนไม่ไหว ก็อย่าทนสิพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยเสียงสั่น หลังถูกจูบดูดดื่มไม่สามารถเปล่งเสียงปกติได้
“กระหม่อมเปล่า” ผมดื้อตรงไหนกัน
“ทำไมจะไม่ดื้อ ทั้งที่ข้าอยากรอให้เจ้าพร้อม อยากถนอมเจ้าอย่างดีแต่คำพูดเจ้ากลับทำให้ข้าอยากอุ้มเจ้าเข้าห้องซะเดี๋ยวนี้”
“คนพร้อมที่ไหนสั่นเป็นลูกนกแบบนั้น” องค์ชายพูดแทรกทันที
“เพราะไม่เคยเลยไม่ชินเท่านั้นเอง” หากให้เวลาผมชินสักนิดก็อาจดีขึ้น...ละมั้ง
“สรุปคือเจ้าอยากให้ข้ากอด?”
“...พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว” ทำไมต้องให้ตอบคำถามน่าอายแบบนี้ด้วย
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องทายาให้มากนัก...ต่อให้จะมีหรือไม่มีก็ไม่มีใครโทษเจ้าหรอก” เหมือนองค์ชายจะรู้ว่าทำไมผมถึงรีบร้อนนัก
“อย่าคิดว่ามันคือหน้าที่ซิน เข้าใจนะ”
“คืนนี้มานอนห้องข้าด้วย” องค์ชายเปลี่ยนเรื่องพูด
“...” ผมพยักหน้ารับ ไม่เข้าใจว่าบอกทำไมเพราะทุกวันนี้องค์ชายก็มักให้ผมนอนด้วยเสมอ
“...” ราวกับเสียงถูกดูดกลืน ดวงตาสีขาวของผมเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่
แล้วจากนั้นผมก็ได้ยินประโยคที่ว่าดังก้องอยู่ในหัวตลอดหลายชั่วโมงตั้งแต่กลับจากสวนสาธารณะไปจนถึงตอนยกเอกสารมาให้องค์ชายเซ็นต์อีกเล็กน้อย ช่วงอาหารค่ำผมขอปลีกตัวออกมาจากโต๊ะอาหารค่ำที่มีองค์ชายฮาล์บ องค์ราชาและองค์ราชินีสักครู่เพื่อเตรียมตัวร่ายเวทย์สำหรับคืนนี้
ผมคิดว่าร่ายไว้ก่อนก็คงไม่ผิดอะไร
องค์ชายควรมีเวลาพูดคุยกับครอบครัวตามลำพังบ้างอีกอย่างคาถาที่ร่ายนั้นยาวมากจนผมไม่สามารถจำได้ทั้งหมดจากการอ่านแค่ครั้งเดียว ทำให้กว่าจะร่ายเวทย์เสร็จจำเป็นต้องใช้เวลามากพอสมควร
สถานที่ที่ผมมาคือด้านข้างปราสาทอันปราศจากผู้คนในเวลาหัวค่ำเช่นนี้ ความจริงไม่จำเป็นต้องหลบออกมาก็ได้แต่ผมไม่อยากไปร่ายเวทย์ยาวๆ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนั้น จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากตื่นเต้นแล้วยังมีความกลัวอยู่ไม่น้อยต่อให้องค์ชายจะพูดว่าโปรดแต่นั่นยังไม่ได้เห็นทั้งร่างของผม ผู้ชายยังไงก็ไม่อาจมีร่ายกายที่นุ่มนิ่มเหมือนผู้หญิง
“ต้องมีสมาธิ” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมพึมพำกับตัวเอง
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาฟุ้งซ่าน
สูดลมหายใจเข้าออกอีกสักพักผมจึงกางวงแหวนเวทย์สีขาวออกล้อมรอบตัวเองไว้ก่อนจะหยิบม้วนกระดาษคัมภีร์ที่ได้มาจากองค์ราชากางออกแล้วโยนขึ้นกางอากาศ ตัวอักษรด้านในถูกดวงตาสีขาวจับจ้องในเสี้ยววินาทีก็เอ่ยคาถาเหล่านั้นออกมา...
“นภาผู้อยู่เหนือสุดของสรรพสิ่ง วาโยผู้ปกคลุมทุกสิ่งในโลกา สายธาราอันเย็นช่ำทั้งใต้และบนผืนธรณีอันยิ่งใหญ่...(ละข้อความที่เหลือ)” ระหว่างการร่ายวทย์ผมสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่ถูกดึงไปอย่างมหาศาลเรื่อยๆ มากกว่าเวทย์ขั้นสูงใดๆ ที่เคยร่ายมา ราวกับน้ำเย็นๆ ที่ถูกเทลงบนผืนทะเลทรายอันร้อนผ่าวที่ไม่ว่าจะเทยังไงก็ถูกดูดกลืนไปจนหมด
“...เราขอน้อมถวายพลังแห่งมนต์ตรานี้พื่อสักการะแด่ทวยเทพทั้งปวงโปรดมอบคำอวยพรอันเปี่ยมด้วยแรงปรารถนาให้ก่อเกิดเป็นนามธรรม” เมื่อประโยคสุดท้ายเอ่ยจบร่างผมก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทั้งๆ ที่วงแหวนเวทย์สีขาวยังส่องสว่างอยู่
พลังเวทย์ทั้งหมดถูกใช้ในเวทย์เดียว?!
ร่ายกายอ่อนแรงจนไม่ขยับได้
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ พลังเวทย์มหาศาลที่ใช้ไปกลับพุ่งเข้าใส่ร่างผม เหมือนพลังเวทย์จะไปรวมกันอยู่ด้านบนของท้องฟ้า ร่างกายถึงกับชาเกร็งยามโดนพลังเวทย์จำนวนมากพุ่งเข้าใส่ และพลังงานเหล่านั้นไหลกลับเข้าไปในร่างผมอย่างรวดเร็ว
“อึก...” มือทั้งสองข้าขยุ้มดินบนพื้นจนเละเทะเช่นเดียวกับร่างกายที่ล้มลงกับพื้นหมดเลี่ยวแรงในการขยับเคลื่อนไหว
ความรู้สึกร้อนๆ ที่มันคืออะไร
ในหัวขาวโพลนไปหมด ภาพเดียวที่อยู่ในหัวคือองค์ชาย
.............................................................
ความจริงตอนนี้ไม่เรียกว่าค้าง แต่ไม่รู้ทำไมพออ่านไปอ่านมารู้สึกว่าหลายคนต้องค้างแน่ๆ เลย
ฉากที่หลายคนเฝ้ารอคอยนั้น...จะได้เห็นในตอนหน้าค่ะ
สำหรับตอนนี้เราชอบโมเม้นตอนซินโดนจับเป็นตัวประกันแล้วองค์ชายหึงมาก ตอนที่วางเรื่องไว้ไม่ได้มีฉากนี้แต่ตอนที่แต่งอยู่ๆ ก็อยากแต่งฉากนี้ขึ้นมา และพอแต่งเสร็จบอกเลยว่าฟินกว่าที่คิด 555
เชื่อว่าทุกคนเองก็น่าจะฟินเช่นกัน
ในส่วนของตอนหน้านั้นบอกได้แค่แซ่บมาก
จะเป็นอย่างไรรอลุ้นในตอนหน้าน้าา
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์นะคะ เห็นแบบนี้เราอ่านทุกคอมเม้นท์แต่อาจไม่ได้ตอบทั้งหมด
ดีใจมากๆ ที่ได้เห็นทุกคนชอบทั้งซินและฮาล์บ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
โอ้ยยยย อย่าเป็นอะไรนะซิน องค์ชายยยยยยยรีบมาหาน้องเร็วๆ
ค้างมากกกก
ปล. ชอบความเปลี่ยนมู้ดจากฉากตึงเคลียดเป็นอารมณ์หึงหวงมากค่า ได้ยินเสียง'เอ๋~' ของตัวละครอื่นๆจากฉากนั้นเลย55555555