*·~หลอม¤ครั้งที่ I ~·*
อาณาจักรเวธาณาร์มีราชาองค์ที่ 36 คราสเมทิส เวธาณาร์ปกครองมาตั้งแต่อายุ 25 ปีบัดนี้ก็ผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว การทำสงครามกลืนหายไปตามวันเวลาถึงแบบนั้นทหารยังต้องฝึกฝนเช่นเดียวกับเวทมนตร์ที่ต้องหมั่นฝึกซ้อมอยู่เสมอ การร่ายคาถายิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบในการต่อสู้
ให้มาคอยอ่านคาถาตามหนังสือคงไม่ทันกินพอดี
“ว่างจังนะ” ผมพึมพำเสียงเบาพลางแกว่งขาที่ห้อยจากบนต้นไม้ไปมา สถานที่ที่ผมมักอยู่คือตามชายป่าด้านหลังไม่ก็ด้านข้างของปราสาทหลังยักษ์
ภารกิจและหน้าที่ของพวกเราจะได้รับจากองค์ราชาโดยตรง ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ส่วนมากองค์ราชาจะสั่งงานผ่านองครักษ์ประจำตัวไม่ค่อยมีงานมาให้หน่วยองครักษ์เงาแบบผมเท่าไหร่ หากมีส่วนมากจะเป็นงานนอกอาณาจักรเวธาณาร์ซึ่งอาจต้องใช้เวลาจัดการนับอาทิตย์ ช่วงนี้ไม่มีงานผมเลยนั่งว่างอยู่แบบนี้มาเกือบเดือนแล้ว
จิ๊บ! จิ๊บ!
เสียงนกประดิษฐ์ดังขึ้นก่อนร่างเวทย์สีดำของนกไม่ทราบชนิดจะทะลุผ่านเวทย์พรางตัวของผมเข้ามาใกล้ในระยะประชิด เวทย์รูปร่างเหมือนนกนี่คือหนึ่งในเวทย์สื่อสาร
“เวทย์สื่อสารของฟราว” ผมพึมพำขณะแบบมือไปยังเวทย์รูปนกตรงหน้า ฟราว ราฟเยอร์เป็นหัวหน้าของหน่วยองครักษ์เงาเวลามีงานมักจะสั่งผ่านเวทย์สื่อสารนี่ เวทย์สื่อสารนี้หากทำการระบุผู้รับไว้มันจะทำการค้นหาจนเจอและเข้ามาหาไม่ว่าจะอยู่ในเวทย์ป้องกันก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเวทย์นี้
นกสีดำบินมาบนมือผมก่อนร่างนั้นจะสลายแปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรเวทย์ลอยค้างบนอากาศหอยู่นานหลายนาที ข้อความตัวอักษรสีดำมีเพียงแค่ประโยคเดียวทว่าเป็นประโยคเดียวที่สร้างความสงสัยได้มากกว่าประโยคยาวๆ หลายสิบบรรทัดซะอีก
“องค์ราชาต้องการพบเดี๋ยวนี้” ผมเอ่ยข้อความอักษรเวทย์เมื่อครู่แล้วหันไปมองปราสาทด้านข้าง
สาเหตุที่องค์ราชาต้องการพบเหรอ หากเป็นงานปกติคงสั่งผ่านหัวหน้าอย่างฟราวมาแล้วไม่ใช่เรียกให้ไปพบโดยตรงแบบนี้ แต่ในเมื่อเรียกไปผมคงไม่มีทางเลือกนอกจากทำตาม
ร่างผมบนต้นไม้กระโดดลงมายังพื้นดินด้านล่างตรงเข้าสู่ปราสาทหลังใหญ่ยักษ์ สถานที่คือห้องทรงงานขององค์ราชา กว่าจะผ่านเข้าไปถึงห้องผมต้องผ่านการตรวจค้นตั้งแต่หัวจรดเท้าไปจนถึงการใช้เวทย์สแกนว่าไม่ได้พกอาวุธอะไรเข้ามา
แม้จะมีตราสัญลักษณ์ของหน่วยองครักษ์เงาแต่ผมก็ไม่ได้ยื่นให้ดูเนื่องจากหน่วยองครักษ์เงานั้นเรียกได้ว่าเป็นหน่วยที่มีเพียงราชาหรือคนสนิทระดับสูงที่ล่วงรู้ ดังนั้นผมเลยโดนตรวจค่อนข้างเข้มงวดเพราะช่วงนี้ถึงจะดูสงบแต่เหมือนเป็นความสงบก่อนจะมีพายุลูกโตเกิดขึ้น
นายทหารเฝ้าหน้าประตูห้องสี่คนมองมายังผมเล็กน้อยก่อนเปิดประตูบานสีขาวให้เดินเข้าไปภายในห้อง ขึ้นชื่อว่าห้องทรงงานขององค์ราชาแน่นอนว่าไม่ใช่ห้องธรรมดาแต่มีการตกแต่งอย่างเรียบหรูและมีพื้นที่กว้างขวางกว่าห้องนอนผมเป็นสิบเท่า เฟอร์นิเจอร์สีสว่างตัดกับโต๊ะไม้สีเข้มและพื้นกระเบื้องเงาแว๊บสีโทนอ่อนได้เป็นอย่างดี ผมเคยมาห้องอยู่บ้าง ไม่สิ ต้องพูดว่ามาค่อนข้างบ่อยถึงจะถูก
มากี่ทีไม่เคยจะชิน
“ไม่ทราบว่าองค์ราชาเรียกกระหม่อมมามีเรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ” ผมคุกเข่าลงเมื่อเดินเข้ามาใกล้ร่างสูงสง่าริมหน้าต่าง ใบหน้าคมเข้มได้รูปมีตีนกาประปรายตามอายุที่ใกล้จะ 50 ปีทว่าความน่าเคารพและความน่าเกรงขามรวมไปถึงความหล่อเหลายังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“ไม่ได้เจอกันนานนะ ไซซิน เคอร์เรส” ชื่อของผมถูกเอ่ยออกมาจากปากขององค์ราชา
“พระเจ้าค่ะ เห็นพระองค์ยังมีใบหน้าสดใสกระหม่อมก็ยินดี” ไซซิน เคอร์เรสหรือซินคือชื่อผมที่ถูกองค์ราชาตั้งให้ตอนเจอกันเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
“แค่ภายนอกเท่านั้นแหละที่ดูสดใส จะให้ประชาชนเห็นสีหน้าแย่ๆ ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” สีหน้าและดวงตาสีฟ้าหม่นลงเล็กน้อยยามพูดจบประโยค
“มีเรื่องอะไรกวนพระทรัยหรือพระเจ้าค่ะ” ผมเอ่ยถาม สีหน้าขององค์ราชาดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาผิดกลับเมื่อครู่ราวกับคนละคน
“ก่อนจะบอกข้าขอถามเจ้าหน่อยไซซิน”
“พระเจ้าค่ะ”
“ข้าเชื่อใจเจ้าได้แค่ไหน” น้ำเสียงนิ่งๆ คล้ายกับกำลังทดสอบบางอย่างทำให้ผมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีฟ้าตรงๆ โดยไม่หลบเลี่ยงขณะมือข้างหนึ่งยกขึ้นแนบอกตามท่าเคารพตามแบบฉบับของอาณาจักรเวธาณาร์
“กระหม่อมไม่อาจบอกได้ว่าพระองค์สามารถเชื่อใจกระหม่อมได้แค่ไหน แต่กระหม่อมไม่วันทรยศพระองค์และประเทศนี้อย่างแน่นอน พระองค์เป็นผู้มอบชีวิตให้กับเด็กที่ไม่มีแม้คนต้องการ...ได้มอบโอกาสในการใช้ชีวิตจนเป็นตัวเองได้อย่างทุกวันนี้” ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงทั้งนั้น
ผมไม่มีวันทรยศผู้ที่มอบโอกาสในการใช้ชีวิตและประเทศที่หล่อหลอมผมขึ้นมาแน่นอน
“เจ้าจะไม่ทรยศข้า...ข้าเชื่อ และถ้าเปลี่ยนเป็นองค์ชายฮาล์บล่ะ”
“...กระหม่อมไม่เข้าใจความหมาย” ผมพยายามทำสีหน้าปกติยามได้ยินชื่อองค์ชายที่ช่วงชิงหัวใจตนเองไปเมื่อ 13 ปีก่อน
“เจ้าจะทรยศองค์ชายฮาเบลโธสท์ เวธาณาร์ไหม” การขยายความยังคงสร้างความสงสัยทว่าคำตอบของคำถามนั่นผมไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
“ไม่มีทางพระเจ้าค่ะ...ด้วยชีวิตกระหม่อมจะไม่ทรยศองค์ราชาและองค์ชาย” พูดจบผมก็ก้มหัวลงเล็กน้อยแสดงความนอบน้อม
“ดีมาก ถ้าเป็นเจ้าข้าคงวางใจฝากฮาล์บได้ ช่วยปกป้องเขาหน่อยซิน” องค์ราชาเผยรอยยิ้มบางๆ ยามบอก
ปกป้ององค์ชายฮาล์บเหรอ
หมายความว่ายังไง
“กระหม่อมไม่เข้าใจ...องค์ชายมีผู้คุ้มกันมากเพียงพอแล้วตามที่ทราบ” ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ผมคอยปกป้องทั้งที่ปัจจุบันมีคนคุ้มกันดูแลใกล้ชิดอยู่ถึง 6 คนซึ่งถือว่าเยอะมากแล้ว
“ข้าไม่ค่อยเชื่อใจพวกเขา” ผมถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน
“เหตุใดจึงคิดแบบนั้นพระเจ้าค่ะ”
“ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ฮาล์บถูกลักพาตัวไปแล้วได้เจ้าช่วยเมื่อ 13 ปีก่อนข้าก็คิดเรื่องนี้มาตลอดว่าทำไมโจรพวกนั้นจึงเข้ามายังภายในปราสาทได้ทั้งที่มีการคุ้มกันแน่นหนา จะบอกว่ามีฝีมือคงไม่ใช่เพราะพวกเขาทุกคนไม่มีฝีมือมากพอจะใช้แม้แต่เวทย์พรางกายด้วยซ้ำ”
“พระองค์กำลังคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือคนใน?” ผมพูดตามที่คิดออกไป จากการฟังผมคิดได้แค่นั้น
มีบางคนประสงค์ร้ายกับองค์ชายฮาล์บจึงจ้างไม่ก็ปล่อยให้พวกโจรเข้ามาลักพาตัวองค์ชายถึงในปราสาทได้อย่างง่ายดาย หากผมไม่ได้อยู่ที่นั่นเวลานั้นอาจเกิดเรื่องร้ายแรงกว่านี้ก็เป็นได้
“ใช่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าทำการสืบอย่างลับๆ ทว่ากลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ราวกับมีคนปกปิดข้อมูลหรือกำลังคิดวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ ฮาล์บเป็นลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของข้าและมีสิทธิ์ได้ขึ้นครองตำแหน่งราชาคนต่อไป หากเขาเป็นอะไรไปผู้จะได้ขึ้นเป็นราชาจะเปลี่ยน ดังนั้นหากต้องการเข้าใกล้ฮาล์บเพื่อจัดการ การเข้าเป็นหนึ่งในองครักษ์คงจะช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น” สายตาขององค์ราชาอาจดูสงบนิ่งทว่าหากมองดีๆ จะเห็นว่าดวงตานั่นกำลังสั่นระริกและแฝงไปด้วยความหวั่นวิตก
หากมีเรื่องเกิดขึ้นกับองค์ชายฮาล์บคนต่อไปอาจเป็นหนึ่งในบรรดาญาติขององค์ราชาหรือองค์ราชินี อีกอย่างองค์ชายฮาล์บปีนี้มีอายุ 22 ปีอีกเพียงปีเดียวจะจบการศึกษาและได้รับแต่ตั้งให้มีอำนาจดั่งพระราชาของประเทศเป็นการฝึกทำหน้าที่ก่อนรับตำแหน่งจริง ถ้าต้องการจัดการองค์ชายช่วงนี้คงเหมาะสมที่สุด
“กระหม่อมพอเข้าใจสถานการณ์แล้ว ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะตามอาลักขาเงียบๆ...”
“ไม่ซิน ข้าจะให้เจ้าเข้าไปเป็นอาจารย์ประจำชั้นของฮาล์บ”
“...กระหม่อมไม่คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมเท่าไร...” เหงื่อบริเวณขมับและหน้าผากเริ่มผุดออกมาจนเปียกชื้นเมื่อได้ยินว่าต้องเข้าไปเป็นอาจารย์
“การเข้าไปเป็นอาจารย์นอกจากจะทำให้สามารถดูแลฮาล์บอย่างใกล้ชิดแล้วยังสามารถจับตามองสิ่งผิดปกติได้ในวงกว้าง หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเจ้าสามารถเข้าไปจัดการได้ทันท่วงที” องค์ราชายังคงบอกเหตุผลไปเรื่อยๆ โดยไม่สนเลยว่าเหงื่อผมหยดลงบนพื้นเป็นแอ่งแล้ว
“พระ...พระองค์คงลืมไปว่ารูปลักษณ์กระหม่อมไม่เหมาะกับการเป็นอาจารย์เท่าไร ทั้งสีผมและสีตาแปลกๆ นี่คงส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ติดขัดได้ แล้วเวทย์แปลงกายเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ถนัดนัก” ผมพยายามหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อปฏิเสธ
ผมไม่ได้ปฏิเสธการปกป้ององค์ชายฮาล์บที่ผมปฏิเสธคือการเป็นอาจารย์ต่างหาก ให้ไปยืนอยู่หน้าห้องต่อหน้านักเรียนหลายสิบชีวิตแค่คิดก็แทบจะวิ่งหาห้องน้ำแล้ว ผมไม่ชินกับการเข้าสังคม ไม่ชินแม้แต่การปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมาก ถึงแบบนี้แล้วยังจะให้เป็นอาจารย์อีกน่ะเหรอไม่มีทาง
ทำไม่ได้จริงๆ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้เวทย์แปลงกายหรอกซิน ข้าเชื่อว่าทุกคนที่เห็นเจ้าจะไม่มองเส้นผมและดวงตาสีขาวนั่นเป็นสิ่งผิดปกติแล้วแน่นอน รูปลักษณ์ของเจ้าจะทำให้ความผิดแปลกนั่นหายไป”
“รูปลักษณ์?” หมายถึงรูปร่างหน้าตาภายนอกของผมเหรอ
“ใช่ อีกอย่างความรู้ด้านเวทมนตร์เจ้าไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว สอนนักเรียนได้สบายๆ ข้าติดต่อกับทางโรงเรียนไว้แล้วอีกสองวันไปสอนได้เลย” น้ำเสียงสบายขององค์ราชาพูดต่อโดยไม่สนใจเหตุผลที่ผมพยายามพูดเลยสักนิด
แถมยังติดต่อไว้เรียบร้อยแล้วอีกด้วย
“ฝ่าบาทควรจะบอกกระหม่อมก่อน...” ไม่ใช่ว่าไปติดต่อแล้วแบบนั้น
“ข้าบอกเจ้าอยู่นี่ไงซิน ข้ารู้ว่าเจ้าจะปกป้องฮาล์บได้ เพราะงั้นฝากลูกชายข้าด้วย” ในเมื่อองค์ราชาเอ่ยปากขนาดนี้จะให้ผมยืนกรานปฏิเสธต่อไปคงไม่ใช่ ที่ทำได้มีเพียงก้มหัวลงพร้อมคำพูดตอบรับเท่านั้น
จากวันนั้นก็ผ่านไป 2 วันอย่างรวดเร็ว เผลอเพียงพริบตาเดียววันที่ต้องมาเยือนโรงเรียนขนาดใหญ่ยักษ์เพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรเวธาณาร์ก็มาถึง โรงเรียนแห่งนี้มีตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงการศึกษาระดับมหาวิทลัยไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือองค์ชายต่างเรียนรวมกันในโรงเรียนแห่งนี้โดยจะแบ่งออกเป็นโซนๆ สำหรับระดับที่ผมต้องสอนคือมหาลัยปีสุดท้าย เรียกว่าไม่ง่ายเลย
ตัวผมยังไม่ได้เข้าโรงเรียนด้วยซ้ำจะให้มาสอนคนระดับปริญญาเนี่ยนะ
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้!
ผมส่ายหัวรัวๆ อยู่หน้าห้องพักอาจารย์ด้วยหัวใจเต้นรัวคล้ายจะหลุดออกมาจากอกซะให้ได้ แค่ตอนเดินเข้ามาแล้วเห็นกลุ่มนักเรียนเดินเรียงรายเข้าด้านในผมก็แทบลมจับ
“ตาย...ผมต้องตายแน่ๆ” นี่มันยากกว่าสั่งให้ไปทำภารกิจสืบข่าวต่างอาณาจักรอีก
ต่อให้คิดอีกกี่รอบก็ไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ
“มาแล้วเหรออาจารย์ไซซิน โอ๊ะ สีผมกับสีตานั่น” ประตูห้องพักอาจารย์เปิดอ้าออกก่อนร่างของชายผมน้ำตาลคนหนึ่งจะเดินออกมาจากห้อง เขาเบิกตากว้างเล็กน้อยกับรูปลักษณ์ผมทว่าไม่มีการถอยหลังหรือท่าทีผิดแปลกอย่างที่คิดไว้
“สะ...สวัสดีครับ” เห็นไหมแค่เจอคนแปลกหน้าผมยังพูดติดขัดเลยประสาอะไรกับนักเรียนหลายสิบชีวิต
“ข้าจินเนส ซันเวิลส์เป็นอาจารย์ประจำห้อง ดีใจมากเลยที่มีอาจารย์มาช่วยสลับสอนหน่อย เด็กในห้องนั้นฝีมือระดับหัวกะทิทั้งนั้นแถมยังมีองค์ชายฮาล์บอีก ข้าล่ะตื่นเต้นทุกครั้งที่เข้าสอนเลย เราเดินไปคุยไปกันดีกว่า ทางนี้ๆ”
ขนาดอาจารย์ประจำยังตื่นเต้นแล้วผมจะไปเหลืออะไร
“...ครับ” ผมทำได้แค่ขานรับแล้วเดินตามอีกฝ่ายไป ระหว่างทางจินเนส ซันเวิลส์พูดคุยไม่หยุดปากขนาดผมไม่โต้ตอบยังพูดต่อได้อีก
โรงเรียนนี้แต่ละระดับชั้นจะแบ่งออกเป็นหลายห้องและแต่ละห้องจะมีอาจารย์เพียงหนึ่งหรือสองคนที่จะคอยสอนในทุกๆ วิชาไม่มีการเปลี่ยนอาจารย์หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัยจริงๆ เห็นว่าเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนตลอดช่วงหลายปีน่ะนะ แต่เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับผม
ตอนนี้หัวใจแทบจะหลุดออกมาวิ่งเล่นอยู่แล้ว
“ถึงแล้ว ห้องนี้แหละ” ทันทีที่ได้ยินทั้งร่างผมก็สะดุ้งเฮือก หัวใจที่เต้นรัวอยู่แล้วกลับเต้นแรงมากขึ้นไปอีก
ผมเดินตามหลังอาจารย์ประจำชั้นอย่างจินเนสเข้าไปจนถึงแท่นยืนกลางห้อง สำหรับผมมันเหมือนแท่นประหารดีๆ นี่เอง
ไม่ไหวแล้ว ขนาดขายังเริ่มสั่นไปด้วยเลย
นักเรียนกว่า 30 คนนั่งอยู่ด้านหน้าเป็นโต๊ะยาวที่ยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ทรงโค้งครึ่งวงกลมคล้ายขั้นบันไดทำให้สามารถมองเห็นนักเรียนทุกคนจากตรงกลางนี้ได้ชัดเจน แน่นอนว่าผมไม่ต้องการจะเห็นเลยสักนิดเดียว ยิ่งถูกสายตากว่า 30 คู่จ้องมาผมก็แทบยากร่ายเวทย์พรางตัวออกมาหนีสถานการณ์นี้ซะเหลือเกิน
การอยู่ท่ามกลางผู้คนมันเกินความสามารถผมเกินไป ยิ่งถูกจับจ้องแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
“เอาล่ะ เงียบๆ กันหน่อยวันนี้ก่อนเริ่มเรียนจะมาแนะนำอาจารย์คนใหม่ที่จะมาสอนคู่กัน เชิญแนะนำตัวเลยอาจารย์” ฝ่ามือที่แตะบนไหล่ทำเอาผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
สายตาของนักเรียนกว่า 30 คู่จับจ้องมายังผมอย่างสำรวจ มีไม่น้อยขมวดคิ้วยามเห็นรูปลักษณ์อันแปลกตานี้ทว่าผมไม่มีเวลามองสายตาเหล่านั้นแค่สงบสติอยู่ได้ก็ถือว่าสุดๆ แล้ว
ไม่...อย่ามองหน้าพวกเขาเชียว
ตั้งสติไว้
คิดซะว่าในห้องไม่มีมนุษย์ จินตนาการสิ ที่นั่งอยู่เป็นกระรอกและนกกระจอกตัวน้อยๆ ที่ส่งเสียงพูดคุยกันในป่าใหญ่ที่ผมมักได้ยินเป็นประจำ
“สะ...สวัสดีทุกคน ผมไซซิน เคอร์เรส จะมาเป็นอาจารย์สลับกับเขา ฝากตัวด้วย” ทุกคำถูกเอ่ยออกไปรัวๆ โดยไม่มีการเว้นวรรคหายใจ ต่อให้จินตนาการก็ไม่อาจกลบความตื่นเต้นนี้ได้ ภายในหัวมีคำว่าสงบสติไว้อยู่เต็มไปหมด
ผมพยายามเกร็งขาทั้งสองข้างไม่ให้เกิดอาการสั่นจนนักเรียนจับได้ สายตาเองก็มองต่ำลงไปยังพื้นกระเบื้องลายไม้ราวกับกำลังจดจำทุกรวดลายบนพื้นนั่น
“เอาล่ะ เมื่อแนะนำตัวเสร็จแล้วเราก็มาทำความรู้จักกันหน่อย มีใครอยากถามอะไรอาจารย์คนใหม่ไหม” ผมหันควับไปมองใบหน้าอาจารย์ประจำห้องด้วยสายตาตื่นๆ
ยังต้องมาทำความรู้จักอะไรอีก ผมอยากออกจากสถานการณ์นี้ใจจะขาดแล้ว
“อยากถามค่า อาจารย์มีชื่อเล่นไหมคะ” เด็กสาววัยรุ่นยกมือก่อนถามออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคล้ายอยากทำความรู้จักเต็มที่ผิดกับผมที่ต้องสูดลมหายใจเข้าปอดไม่ให้พูดโต้ตอบติดขัด
“...ซิน เรียกอาจารย์ซินก็ได้”
“อาจารย์ทำไมมีสีผมกับสีตาเป็นสีขาวล่ะ” เด็กผมน้ำตาลเข้มนั่งอยู่ตรงกลางห้องยกมือถามต่อ
“...มันเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม” ผมตอบอย่างไม่ปิดบัง
“อาจารย์จบจากที่นี่นานรึยังคะ” ครั้งนี้เป็นผู้หญิงผมบลอนแถวหน้าถามบ้าง
อาจารย์ภายในโรงเรียนนี้ ไม่สิ ต้องพูดว่าแทบทุกคนในอาณาจักรเวธาณาร์ต่างจบจากสถานบันนี้เกือบทั้งสิ้น ยังไงอาณาจักเวธาณาร์ก็มีโรงเรียนแค่ที่นี่เท่านั้น ด้วยประชากรที่ไม่มากแต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพคับแก้วทำให้สามารถสู้กับอาณาจักรอื่นได้สบายๆ แต่ทุกคนในอาณาจักรล้วนเกิดมาพร้อมพลังเวทมนตร์ที่ไม่เท่ากัน การเข้าศึกษาจึงช่วยให้แต่ละคนรู้รูปแบบพลังของตัวเองและสามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะในอนาคต
อีกทั้งยังมีค่าเทอมที่ถูกแสนถูก และหลังจากจบออกไปสามารถเข้าทดสอบเพื่อเข้าหน่วยทหาร องครักษ์หรือนักเวทย์ได้ การจะเข้าทดสอบไม่จำเป็นต้องจบระดับมหาลัยเพียงแค่มัธยมปลายก็เพียงพอแล้วทว่าการเรียนถึงระดับปริญาก็มีสิทธิ์ที่จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าได้เร็วกว่า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประชาชนระดับไหนต่างเข้าเรียนที่นี่ทั้งนั้นยกเว้นผม
“ผมไม่ได้เรียนที่นี่หรอก”
“...” คำตอบผมทำเอาทั้งห้องเงียบกริบ ขนาดจินเนสอาจารย์ประจำชั้นยังมามองอย่างไม่เชื่อสายตา
ก็เข้าใจความหมายอยู่ องค์ราชาเองก่อนหน้านี้บอกให้ผมเข้าเรียนแต่ด้วยรูปลักษณ์และนิสัยผมในตอนนั้นค่อนข้างเก็บตัวและไม่อยากสนทนากับใครนักจึงได้ปฏิเสธไป ตั้งแต่ก่อนองค์ราชาจะเก็บมาเลี้ยงผมสามารถใช้เวทมนตร์ได้เป็นอย่างดีด้วยอายุเพียงตัวเลขหลักเดียวผิดกับคนส่วนมากที่ต้องมีการฝึกสอนจึงสามารถใช้พลังเวทย์ได้อย่างเชี่ยวชาญ
ด้วยความที่รู้และสร้างเวทย์ได้ด้วยตนเองฟราวหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาจึงสนใจและขอองค์ราชาว่าจะฝึกสอนผมด้วยตัวเอง ผมกล้าพูดว่าการฝึกกับฟราวไม่แพ้การเรียนในโรงเรียน ดีไม่ดีอาจดีกว่าสำหรับตัวผม ผ่านไปไม่กี่ปีฝีมือผมเทียบชั้นได้ในระดับสูงและขอมาอยู่ในหน่วยองครักษ์เงา เพราะงั้นต่อให้ผมไม่ได้เรียนที่นี่ผมก็มั่นใจในฝีมือตัวเองพอสมควร
“บ้าไปแล้วรึไงโรงเรียนนี้ คิดจะให้คนที่ไม่ได้เรียนมาสอนเวทมนตร์เราในระดับปริญญาเนี่ยนะ น่าขำชะมัด!” น้ำเสียงดูแคลนดังขึ้นจากด้านบนสุดของห้อง เพียงเงยหน้าขึ้นไปมองก็ต้องร้องอ๋อในลำคอ...หนึ่งในลูกของคนในปราสาท
นอกจากเชื้อพระวงศ์อย่างองค์ราชา องค์ราชินีและบรรดาญาติแล้วยังมีพวกเสนาธิการหรือหัวหน้าฝ่ายต่างๆ แบ่งย่อยออกไปอีก ลูกๆ ของพวกเขาจะรับหน้าที่ต่อการเป็นทอดๆ ตั้งแต่ต้นตระกูลจนถึงปัจจุบัน ผมเคยเห็นใบหน้านั้นมาก่อนแต่เพราะไม่สนใจเลยจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร
“ท่าทางแบบนั้นมันเสียมารยาทนะ ทราย์ ปาเปลว” เสียงทุ้มนุ่มดังขัดพร้อมดวงตาสีฟ้าสว่างจับจ้องแกมตำหนิไปยังคนพูดเมื่อครู่ ใบหน้าเรียวคมได้รูปกับดวงตาเรียวสีฟ้านั่นเป็นคนเดียวที่อยู่ในความทรงจำผมมาตลอด 13 ปี น้ำเสียงเปลี่ยนไปจากตอนเด็กมาก
องค์ชายฮาเบลโธสท์ เวธาณาร์
ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มมากขนาดไหนความสว่างไสวก็ยังส่องประกายออกมาเหนือทุกคน ตั้งแต่เดินเข้ามาผมสะดุดร่างขององค์ชายเป็นคนแรก องค์ชายนั่งอยู่ริมหน้าต่างรอบล้อมไปด้วยเพื่อนชายหญิงแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตรไม่ถือตัว
ทราย์ ปาเปลว เหมือนผมจะจำได้แล้วลูกชายของโชนัส ปาเปลวหนึ่งในผู้บริหารเศรษฐกิจของอาณาจักรเวธาณาร์
“โธ่องค์ชาย พระองค์เองก็คิดเหมือนกันนี่จะให้คนที่ไม่รู้ว่าร่ายเวทมนตร์ได้รึเปล่ามาสอนได้ยังไงล่ะจริงไหมพระเจ้าค่ะ” ทราย์ ปาเปลวตอบกลับก่อนจ้องมายังผมด้วยใบหน้าหาเรื่อง
หาเรื่ององค์ชายไม่ได้เลยอยากหาคนลง?
“ข้าไม่คิดว่าทางโรงเรียนจะให้คนที่ไม่เป็นเวทมนตร์มาเป็นอาจารย์ อีกอย่างแค่ดูก็รู้แล้วว่าอาจารย์ไซซินมีความสามารถและอาจมากกว่าอาจารย์จินเนสด้วย จริงไหม” ดวงตาสีฟ้าสว่างมองประสานดวงตาสีขาวของผมก่อนจะเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนส่งมาให้
ดวงตาสีขาวของผมถูกดวงตาสีฟ้านั่นดูดกลืนจนแทบไม่เป็นตัวเอง
เพียงมองความรู้สึกภายในอกก็แทบปะทุออกมา
“...กระหม่อมไม่ได้เก่งถึงเพียงนั้นหรอกพระเจ้าค่ะ องค์ชายทรงชมเกินไป” ผมตอบรับด้วยด้วยการโค้งศีรษะลงเล็กน้อย
“เห็นไหมองค์ชาย เจ้าตัวยังไม่มีความมั่นใจเลย เอางี้สิอาจารย์ แสดงเวทมนตร์ให้พวกเราเห็นทีจะได้หายคาใจไง” ทารย์ ปาเปลวยื่นข้อเสนอด้วยรอยยิ้มเยาะคล้ายอยากทำให้ผมขายหน้า
“เวทมนตร์อะไร” ผมถามอีกฝ่ายกลับ ถ้าการแสดงฝีมือจะช่วยยุติสถานการณ์นี้ได้ผมก็พร้อมจะทำ ให้ยืนอยู่หน้าห้องนานๆ ขาเริ่มเป็นเหน็บชาแล้วด้วยสิ
“พูดเหมือนทำได้ทุกเวทย์เลยเนอะ เอาไงดีลัก” ฝ่ายท้าทายหันไปถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ
“ถ้าดูมั่นใจขนาดนั้นทำไมไม่ลองให้ใช้เวทมนตร์ที่กินพื้นที่ทั้งห้องนี้ดูล่ะ” ข้อเสนอจากปากเพื่อนชื่อลักเรียกเสียงซุบซิบให้ดังขึ้นทั่วห้องแม้แต่องค์ชายฮาล์บยังขมวดคิ้วแน่นหลังได้ยิน
เวทมนตร์ส่วนมากจะใช้พื้นที่เพียงรอบตัวของผู้ร่ายหรือก็คือภายในวงแหวนเวทย์ก่อนจะส่งออกไปแม้จะมีเวทย์ที่ต้องใช้พื้นที่มากทว่าไม่มากนับ 10 เมตรแบบนี้เนื่องจากเป็นการเปลืองพลังโดยใช่เหตุ แต่ละคนมีต้นทุนด้านพลังเวทย์ไม่เท่ากัน ใครมีมากได้เปรียบในการใช้เวทย์ที่มีขนาดใหญ่และกินอาณาเขตมาก ส่วนใครมีพลังเวทย์น้อยต้องหาจุดอื่นมาสร้างความได้เปรียบให้ทัดเทียม
“อาจารย์ไซซินให้ข้าพูดกับเทรย์ให้...”
“ถึงพูดเขาคงไม่ฟังละมั้ง” ผมตอบอาจารย์จินเนสกลับไป
“แต่จะทำยังไง เวทย์ที่คลุมพื้นที่ของห้องมันกว้างมากนะข้ายังทำได้ไม่ถึงครึ่งห้องเลย” อาจารย์จินเนสเดินมากระซิบบอก อย่างที่พูดแหละ ส่วนใหญ่แค่กางวงแหวนเวทย์ให้กว้างเกิน 5 เมตรก็ถือว่าเป็นสุดยอดแล้ว จะให้กินพื้นที่กว่า 10 เมตรแถมร่ายเวทย์อีกไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนในห้องต่างรู้ดีรวมถึงคนเสนอด้วย
มันเป็นเรื่องที่แทบทำไม่ได้ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเวทย์สูง
“ผมจะจัดการเอง” พูดเสร็จผมเดินก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น
“คิดจะทำ? พวกข้าขอยอมรับในความใจกล้าละกัน” เด็กหลังห้องดูตกใจไม่น้อยที่ผมไม่ปฏิเสธ
“หากทำสำเร็จหวังว่าจะจบเรื่องนี้ได้นะ”
“แน่นนอน ถ้าสำเร็จล่ะก็นะ” รอยยิ้มเยาะกับเสียงหัวเราะดังขึ้นหลังพูดจบ
ไม่ว่าที่ไหนก็มีสินะคนแบบนี้น่ะ
ตอนผมจะเข้าหน่วยองครักษ์เงาเองก็เจอเหมือนกัน
ฟราวเลยให้หมอนั่นต่อสู้กับผมที่มีอายุน้อยกว่าเป็นรอบๆ
ส่วนผลของการต่อสู้น่ะเหรอ...น่าจะเดากันได้นะ
“เสียงกระซิบแห่งโลหะจงต่อขยายภายใต้วงเวทย์นี้และผนึกทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตภายใต้อาณัติด้วยโซตรวน...” วงแหวนเวทย์สีขาวส่องสว่างและขยายไปทั่วอาณาเขตห้องขณะร่ายคาถา ระหว่างร่ายโซ่เหล็กหลายสิบเส้นโผล่ออกมาจากวงแหวงเวทย์ด้านข้างของมนุษย์ทุกคนเตรียมพร้อมจะจับกุมสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในอาณาเขตของเวทย์ ทว่าผมเลือกจะหยุดร่ายเพียงเท่านี้และคลายเวทย์ออกจนทั้งห้องกลับมาสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว
หากร่ายจบโซ่พวกนั้นจะตรงเข้าจับกุมผนึกการเคลื่อนไหวด้วยการรัดแน่น แบบนั้นจะเกิดการบาดเจ็บผมจึงไม่ทำ ให้เห็นเท่านี้คงมากพอแล้วล่ะ
เวทมนตร์นี้เป็นเวทมนตร์ประเภทผนึกการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ซึ่งผมค่อนข้างถนัดเป็นพิเศษ เพียงเสี้ยววินาทีของการแสดงเวทมนตร์นี้ก็มากพอจะทำให้คนทั้งห้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกันเป็นแถบ
“...ไม่จริง พลังเวทย์มหาศาลขนาดนี้แถมยังสามารถจับได้ทุกคน...เป็นไปไม่ได้” นักเรียนในห้องต่างตาโตกับภาพเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ ขนาดอาจารย์จินเนสยังเบิกตากว้างมองมาด้วยสายตาขาดไม่ถึง
พลังเวทย์ผมมีเยอะและอาจเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักรด้วยซ้ำ อาจเพราะมีความผิดปกติทางพันธุกรรมจึงทำให้มีบางอย่างผิดแปลกจากปกติ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นข้อดี
ผมสามารถร่ายเวทย์ได้แทบทุกอย่างแต่มีไม่น้อยเลยที่ไม่เชี่ยวชาญอย่างเวทย์แปลงกายเป็นเวทย์หนึ่งที่ผมกล้าพูดได้ว่าตัวเองห่วย ไม่ใช่ห่วยธรรมดาแต่โครตห่วย จะแปลงเป็นผู้หญิงได้ออกมาเป็นร่างผู้ชายมีนม หัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาอย่างฟราวกับองค์ราชายังหัวเราะก๊ากอย่างหมดภาพพจน์เมื่อเห็นสภาพผมหลังร่ายเวทย์เสร็จ
อีกอย่างต่อให้เป็นเวทย์เดียวกัน ร่ายคาถาเดียวกันแต่ด้วยพลังเวทย์ที่ต่างกันทำให้ประสิทธิภาพต่างกันไปด้วย ยกตัวอย่างก็เวทย์ผนึกเมื่อครู่บางคนอาจไม่สามารถจับได้ถึง 30 คน บางคนอาจทำได้แต่ด้วยพลังที่ต้องส่งไปยังเวทย์อาจไม่เพียงพอจนทำให้โซ่เปราะบาง ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ในส่วนของผมมีทุนดีคือพลังเวทย์เยอะสามารถผนึกการเคลื่อนไหวของทั้งห้องได้สบายๆ โดยโซ่ไม่เปราะขาดง่าย
“เท่านี้หวังว่าจะพอใจนะ ผมกลับได้เลยรึเปล่า...วันนี้ไม่ไหวแล้ว” ผมก้าวไปหาอาจารย์ประจำชั้นแล้วเอ่ยถาม
“คงเหนื่อยที่ต้องใช้พลังเยอะสินะไม่มีปัญหาวันนี้แค่แนะนำตัวเฉยๆ เดี๋ยวข้าสอนต่อเอง”
“ขอบคุณ งั้นผมขอตัว” เมื่อได้รับอนุญาตผมก้าวฉับๆ ออกจากห้องโดยไม่ปฏิเสธประโยคที่อาจารย์จินเนสพูด ผมไม่ได้เหนื่อยจากการใช้พลังเยอะแต่ยืนต่อหน้าคนจำนวนมากนานกว่านี้ไม่ไหว
ต่อให้ถูกเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไร
ผมไม่ได้อยากอวดหรือโชว์พลัง เวทย์ที่ร่ายไปใครๆ ก็ทำได้
สถานบันเวทมนตร์แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยสวนทั้งต้นไม้เล็กใหญ่ตามแนวรั้วแหลมสีทองซึ่งจะมีประตูทางเข้าสามทางคือประตูหน้า ประตูหลังและประตูเชื่อมไปยังปราสาทด้านบนที่สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางของเชื้อพระวงศ์
งี๊ด!
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดของสัตว์ไปทราบชนนิดดังแว่วมาระหว่างผมกำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ รอให้องค์ชายเรียนเสร็จจะได้คอยตามอาลักขาเงียบๆ ไปจนถึงปราสาท ผมเปลี่ยนเส้นทางเดินตรงเข้าไปเสียงนั่นโดยไม่รีรอจนพบร่างเล็กของกระรอกป่าตกลงอยู่ข้างรั้วในสภาพบาดเจ็บบริเวณขาขวา
พอเงยหน้าขึ้นไปมองสภาพรอบๆ ผมก็เข้าใจข่ายเวทมนตร์บางๆ ถูกล้อมไว้ตามแนวรั้วสำหรับป้องกันการบุกรุกที่อาจเกิดขึ้น ข่ายเวทย์นี่ใช้อุปกรณ์เวทมนตร์สวมเข้ายังรั้วโดยทิ้งระยะห่างเท่าๆ กัน มันจะทำงานตลอด 24 ชั่วโมงจนกว่าพลังเวทย์ที่สะสมไหวจะหมดลง สำหรับตัวผมคิดว่ามันไร้ประโยชน์ ข่ายเวทย์นี่กันได้แค่บริเวณนึงหากหลบหรือกระโดดข้ามก็เข้ามาได้สบายๆ ไม่รู้ว่าจะติดตั้งไปทำไม และเพราะข่ายเวทย์นี่ทำให้สัตว์เล็กที่ไม่รู้เรื่องราวได้รับบาดเจ็บไปด้วย
“แสงสีเขียวแห่งการปกปักษ์จงรักษาสรรพสิ่งภายใต้แสงอันบริสุทธิ์นี้” ผมร่ายเวทย์ก่อนจะใช้ฝ่ามืออันอบอวนด้วยแสงสีเขียวนวลวางบนบาดแผลของกระรอกตัวน้อย
เวทมนตร์มีคาถามากมายนับไม่ถ้วนแค่เวทย์ฟื้นฟูหรือเวทย์รักษาก็มีนับพันหมื่นคาถาขึ้นอยู่ว่าอยากใช้ในรูปแบบไหน ก่อนหน้านี้ผมเคยใช้รักษาองค์ชายฮาล์บมาก่อนแต่คนละแบบกัน
“ใช้เวทย์ฟื้นฟูได้ด้วย?” เสียงของผู้มาใหม่ทำเอาทั้งร่างสะดุ้งเกร็ง
“องค์ชายฮาล์บ?” ผมมองภาพองค์ชายฮาล์บก้าวเข้ามาด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจ
น่าจะเรียนอยู่ในห้องไม่ใช่เหรอ
ทำไมมาอยู่นี่ได้
“รู้จักข้าใช่ไหม”
“แน่นอนพระเจ้าค่ะองค์ชาย” ไม่มีใครในอาณาจักรเวธาณาร์ที่ไม่รู้จักองค์ชายฮาเบลโธทส์พระโอรสเพียงองค์เดียวขององค์ราชาหรอก
“ไม่...ข้าหมายถึงพวกเราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม” คำถามนั่นมาพร้อมกระแสลมเย็นๆ ที่พานให้เส้นผมสีทองยาวขององค์ชายที่ถูกมัดรวบไว้ด้านหลังสลายตามแรงลม
ดวงตาสีฟ้าสว่างไสว เส้นผมสีทองสดใส และใบหน้าคมคายได้รูป
มองแล้วราวกับเจ้าชายในอุดมคติของนิทานสักเล่มหนึ่งซึ่งก็จริง องค์ชายฮาล์บไม่เพียงเป็นองค์ชายแต่ด้วยนิสัยอ่อนโยนไม่ถือตนเป็นใหญ่แถมยังเป็นมิตรกับทุกคนทำให้หญิงสาวจากทั่วทุกอาณาจักรอยากทำความรู้จักและหวังจะครองหัวใจดวงนั้น ไม่ว่าใครได้เห็นรูปโฉมและนิสัยเหล่านั้นต้องหลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เช่นเดียวกับตัวผมเอง
แค่ครั้งเดียวในชีวิตที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับความอ่อนโยนนั่นก็มากพอแล้ว
เรื่องราวในอดีตองค์ชายฮาร์บคงจำไม่ได้หรือไม่ก็ลืมเลือนไปตามกาลเวลา ในตอนนั้นองค์ชายยังเด็กมากและเด็กมากพอจะทำให้ลืมเรื่องในวันนั้นไปแล้ว แต่อาจมีคลับคล้ายคลับคาอยู่บ้าง สีของดวงตาและเส้นผมนี้หากได้เห็นครั้งนึงคงลืมยาก
“กระหม่อมไม่ทราบว่าพระองค์ทรงพูดเรื่องอะไร”
“...เคยเจอกันจริงๆ สินะ” อีกฝ่ายนิ่งไปสักพักกับคำตอบแล้วจึงพูดต่อ
“องค์ชายฮาล์บ...”
“ข้าเพียงถามว่าเคยเจอกันหรือไม่ หากเป็นปกติคงตอบว่าเคยเจออยู่แล้ว หากไม่เคยเจอจะรู้ว่าข้าเป็นองค์ชายได้อย่างไร แต่เจ้ากลับพยายามทำเป็นไม่เข้าใจแสดงว่านอกจากเคยเจอกันเราต้องมีอะไรต่อกันแน่”
“...” ผมกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ด้วยหัวที่เริ่มเต้นแรงขึ้น
นั่นสิ ผมพลาดเองที่ตอบแบบนั้นไป
แค่ตอบว่าเคยเจอในงานหรือเดินผ่านในสถานบันนี้ก็จบแล้ว น่าแปลกที่ได้ยินเพียงคำพูดเดียวอีกฝ่ายกลับตีความออกมาได้เป็นฉากๆ แถมยังตรงหมดด้วย
ความสามารถของกษัตริย์งั้นเหรอ
“ความเงียบนี่ขอตีความว่าข้าคิดถูกนะ” องค์ชายฮาล์บพูดต่อ ดวงตาสีฟ้าสว่างจับจ้องมายังผมเพื่อดูปฏิกิริยาต่างๆ
“...พระองค์มีธุระอะไรพระเจ้าค่ะ” ผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“สีผมและสีตาของเจ้าทำให้ข้าเริ่มนึกถึงเรื่องบางอย่างที่เคยลืมไปแล้วในอดีต”
“เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เหมือนจะนึกออกแต่กลับนึกอะไรไม่ได้นอกจากสีขาว เพราะงั้นหากเราเคยเจอกันช่วยบอกทีเถอะ” น้ำเสียงอยากรู้กับสายตาที่มองมาทำเอาหัวใจอุ่นวาบ
“การที่พระองค์ทรงลืมนั่นแสดงว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”
“เรื่องนั้นข้าจะตัดสินเองว่าสำคัญหรือไม่หลังได้ฟัง” องค์ชายฮาล์บดื้อดึงกว่าที่คาด เขาไม่ยอมถอยแม้จะพอเดาได้ว่าผมจะไม่เปิดปากบอกอะไร
“พระองค์ควรกลับไปเรียนนะพระเจ้าค่ะ” ผมหันหลังและเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ปล่อยกระรอกตัวเล็กในมือให้ปืนขึ้นกลับไปยังต้นไม้หลังทำการรักษาเสร็จ
“เจ้าจะไม่บอกจริงๆ หรือ”
“กระหม่อมไม่มีอะไรต้องบอกนี่พระเจ้าค่ะองค์ชาย” ผมหันกลับไปมองด้วยใบหน้านิ่งๆ ทั้งที่ในใจกำลังร้อนรน
“ได้ งั้นข้าจะหาเอง...ไว้เจอกันใหม่อาจารย์ซิน” และองค์ชายฮาล์บก็จากไปโดยทิ้งผมให้ยืนอยู่กับหัวใจเพียงดวงเดียวที่เต้นรัวไม่หยุด
เคยคิดว่าหากปล่อยไว้ความรู้สึกนี้จะหายไป
ทว่าเมื่อได้มาเผชิญหน้ากันตรงๆ อีกครั้งในรอบ 13 ปี ผมก็รับรู้ได้ทันว่าต่อให้ปล่อยเวลาผ่านไปเป็นสิบหรือร้อยปีความรู้สึกนี่ก็ไม่หายไปเลยสักนิด ไม่สิ อาจจะหายไปเพียงชั่วขณะหนึ่งแต่พอได้เจอก็ได้ตกลงไปอีกครั้ง
เป็นอีกครั้งที่ผมตกหลุมรักองค์ชายฮาเบลโธสท์ เวธาณาร์หลังจากผ่านไปกว่า 13 ปี
...................................................
จบไปอีกหนึ่งตอน
จากตอนที่แล้วองค์ชายยังเป็นเด็กตัวน้อยมาวันนี้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว
แถมยังรู้สึกคุ้นๆ กับซินซะด้วย
เรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไรต้องติดตามในตอนต่อไปนะคะ
ชอบเวลาได้แต่งฉากใช้เวทมนตร์มากเลย
นึกว่าตัวเองกำลังร่ายอยู่ 555
ไหนๆ ก็ร่ายสักเวทตร์
"อักษรทั้งหลายเอ๋ย จงขยับเคลื่อนไหวหลอมรวมถ้อยคำมากมายก่อกำเนิดเป็นเนื้อเรื่องอันน่าตื่นตาให้นักอ่านได้เชยชม~"
สงสัยเราจะชอบมโนมากไปจริงๆ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าน้าาา
บ๊าบบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
มโนไปไกลละโว้ยยยย!!! 5555
ซินตกหลุมรักองค์ชายมาแล้ว 13 ปี ส่วนเรื่องของข้าวจ้าว 11 ปี หืมมม แต่ละเรื่องช่างมั่นคงจริงๆ
เจ้าชายจะเป็นพวกที่ซ่อนนิสัยจริงๆของตัวเองไม่ให้คนนอกรู้รึเปล่านะ? อยากรู้จังว่าจะเป็นยังไงต่อ ลุ้นๆ
ลืมแล้วเดี๋ยวก็นึกออกเนาะ
ปล. อารักขา เด้อค่า
เราตามอ่านงานของคุณมาทุกเรื่อง ปกติเรายุ่งมากๆ เลยไม่ค่อยมีเวลาได้เขียนความเห็นไว้เท่าไหร่ จริงๆเราชอบทุกๆเรื่องที่คุณแต่งเลยค่ะ งานของคุณเป็นเรื่องราวดีดีในวันแย่ๆขอเราได้เสมอค่ะ ขอบคุณที่สร้างผลงานใหม่ๆ และผลงานดีดีให้เราคอยติดตามเสมอ ขอบคุณมากๆ เราจะคอยตามอ่าน และเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆนะคะ^^