อาณาจักรเวธาณาร์มีอาณาเขตเหนือสุดติดกับทะเลโดยมีอาณาจักรถึง 3 อาณาจักรขนาบข้าง อาณาจักรแรกคืออาณาจักรคาชาโลญซึ่งถือเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกันค่อนข้างมากกับอาณาจักรเวธาณาร์ ยามเกิดสงครามเล็กๆ หรือมีอาณาจักรอื่นคิดก่อสงครามทางนั้นจะส่งคนมาช่วยเช่นเดียวกันที่ทางเราส่งคนไปช่วยยามเกิดอะไรขึ้น มีหลายครั้งที่หน่วยองค์รักษ์เงาอย่างผมได้รับคำสั่งให้ไปจัดการบางอย่างในอาณาจักรนั้นเนื่องจากคนของที่นั่นไม่ค่อยชำนาญด้านการใช้เวทมนตร์ทำให้ถูกอีกอาณาจักรคอยกดราคาค่าส่งออกนำเข้าสินค้าเสมอ
อาณาจักรที่สองคืออาณาจักรโวเรีย เป็นอาณาจักรที่อยู่ติดกับทางใต้ของเวธาณาร์โดยการเดินทางมานั้นจำเป็นต้องผ่านหุบเขาถึง 2 ลูกซึ่งมักจะมีพวกโจรไปสร้างลังอยู่ตลอด ครั้งก่อนผมเพิ่งถูกส่งตัวไปจัดการกองโจรไปหยกๆ ของขึ้นชื่อของโวเรียคือเสื้อผ้าจากขนสัตว์ที่มักจะถูกส่งมาให้ทางเวธาณาร์แทนเครื่องบรรณาการบ่อยๆ สองอาจักรที่เอ่ยไปค่อยอยู่ร่วมกับอาณาจักรเวธาณาร์ได้อย่างสงบสุข ไม่มีอาณาจักรต้องการก่อสงครามและเสียเลือดเนื้อโดยไม่จำเป็น ทว่ากับอาณาจักรสุดที่มีชายแดนติดอยู่กับทางตะวันตกของเวธาณาร์ไม่ใช่แบบนั้น
อาณาจักรกิลซอดถือเป็นอาณาจักรที่ขึ้นชื่อด้านการบ่มเพราะทหารและนักเวทย์ด้วยวิธีการป่าเถื่อนอย่างการส่งให้คนหลายๆ คนไปสู้กันจนกว่าจะเหลือรอดเพียงคนเดียว เป็นวิธีที่ผมได้ยินแล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อีกอย่างคือทางนั้นมักจะทำทีเป็นส่งคนมาเจริญสัมพันธไมตรีอยู่เรื่อยๆ โดยจะใช้โอกาสนั้นประลองฝีมือกับคนของอาณาจักร ตอนเป็นอาจารย์ผมเคยสู้กับคนของกิลซอดมาแล้ว
และนั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอ มีไม่น้อยเลยกับงานกำหลาบผู้บุกรุกจากอาณาจักรทางตะวันตก ทางนั้นเหมือนจะชอบส่งคนมาแหย่คงเผื่อว่าจะฟลุกชนะละมั้ง พวกเราอาจดูเหมือนอวดเก่งทั้งที่ฝ่ายกิลซอลมีประชากรมากกว่าหลายเท่า แต่อย่างที่เคยบอกอาณาจักรเวธาณาร์แม้จะประชากรไม่มากแต่ความสามารถด้านการใช้เวทมนตร์รวมไปถึงการต่อสู้มีมากกว่า
ต่อให้เจอคน 10 คนรุมแต่เชื่อเถอะว่าเราสามารถเอาชนะได้
แต่ดูเหมือนทางนั้นจะไม่คิดแบบนั้น
เพราะถ้าคิดคงไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเราถึงอาณาจักรแบบนี้หรอก
“พวกเราขออภัยที่มาร่วมยินดีช้าไป วันนี้จึงเดินทางมาพร้อมของขวัญเล็กๆ น้อย ขอแสดงความยินดีที่พระองค์ได้เข้ารับตำแหน่งนะพ่ะย่ะค่ะ” คนของกิลซอดโน้มตัวลงต่ำแดงความเคารพพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญมาตรงหน้าองค์ชายฮาเบลโทสธ์ที่ยืนยิ้มอยู่
“ขอบคุณทุกท่านมาก” องค์ชายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ
วันนี้ช่วงเช้าได้มีการติดต่อจากภาชีมว่าคนของกิลซอลจะเดินทางมาเพื่อแสดงความยินดีให้กับองค์ชายจึงได้มีการจัดต้อนรับเล็กๆ ขึ้น แขกในวันนี้นอกจากองค์ชายและคนจากกิลซอดประมาณ 20 คนแล้วยังมีองค์ราชาคาราสร่วมด้วย เหมือนองค์ราชาจะยืนกรานว่าถ้าลูกชายตนไม่ทำเอกสารเขาก็จะไม่ทำด้วย ผมเห็นสายตาของภาชีมแฝงไปด้วยความครุกรุ่นของอารมณ์อยู่ไม่น้อย หากวันไหนองค์ราชาทรงเสด็จสวรรคตอย่างผิดธรรมชาติคงหาคนร้ายได้ไม่อยาก
เพราะไม่มีใครทำงานเอกสารภาชีมและภาชาจึงต้องจัดการทำกันสองคนอยู่ในห้อง แน่นอนว่าการให้องค์ราชาออกมาโดยไม่คนคุ้มกันย่อมไม่ได้ ครั้งนี้เลยเป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่ได้เห็นฟราว ราฟเยอร์หัวหน้าหน่วยองครักษ์เงามายืนอารักขาราชาด้วยตัวเอง
“เชิญพวกท่านนั่งพักให้สบายก่อนเถิด ไม่ได้พบกันเสียนานท่านบิลโจว” ครั้งนี้องค์ราชาเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปหาชายผมสั้นสีดำสนิทที่มีบรรยาการต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน
สมแล้วกับที่เป็นราชาของอาณาจักกิลซอด
บิลโจว กิลซอดคือชื่อของราชาองค์ปัจจุบันของกิลซอด ได้ชื่อว่าเป็นราชาที่เจ้าเล่ห์เพธุบายและชื่นชอบการต่อสู้มากกว่าราชาคนก่อน ได้ยินข่าวมาว่าราชาองค์ก่อนถูกราชาองค์ปัจจุบันสังหารอย่างเหี้ยมโหด
พอได้มาเจอหน้าจริงผมก็รู้เลย
ข่าวนั่นเป็นเรื่องจริงชัว
รูปร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามบวกกับร่างกายอันใหญ่โตนั่นสามารถใช้ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามได้เพียงแค่สบตามอง หากให้เปรียบคนคล้ายกับหมีดำตัวใหญ่ที่แยกเขี้ยวจ้องฉีกกระชากเหยื่อให้ตายคาที่
“ยินดีที่ได้พบท่านคาราส” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่จับมือทักทายก่อนจะเริ่มต้นงานเลี้ยงอาหารกลางวันยังสวนด้านหลังปราสาท
โต๊ะใหญ่สุดมีราชาคาราส องค์ชายฮาล์บและราชาบิลโจวนั่งอยู่บนเก้าอี้สีขาวเข้าชุดกับโต๊ะ กลางกลางโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลายสิบอย่างค่อยๆ ถูกทยอยออกมาเสิร์ฟโดยคนของอาณาจักรกิลซอดที่เหลือนั่งกระจายอยู่ในโต๊ะถัดๆ ไป
ถึงการรับประทานอาหารควรจะปล่อยให้ทั้งสามนั่งคุยกันอย่างผ่อนคลายแต่เพราะทางฝ่ายกิลซาดให้คน 2 คนยืนขนาบอยู่ด้านหลัง ผมและฟราวเลยจำต้องยืนอยู่ด้านหลังนายของตัวเองเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอด ดวงตาสีขาวของผมหันไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลของฟราวด้วยใบหน้านิ่งๆ ทางฟราวเองสื่อสารผ่านทางสายตามาว่าให้ระวังตัวให้มาก
“ซิน” อยู่ๆ เสียงเรียกจากองค์ชายก็ทำให้ผมก้มตัวลงหาอีกฝ่ายเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังไม่หิว” ผมตอบไปตามตรง องค์ชายคงเห็นเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่ายแล้วเลยกังวลว่าผมจหิว ความจริงก็หิวนิดหน่อยแต่ผมไม่อยากห่างองค์ชายไปในตอนนี้
“กินกุ้งไหม” พูดจบก็ส่งยิ้มพลางยกส้อมที่มีกุ้งตัวใหญ่ขึ้นมา
“ทรงทานเถอะพ่ะย่ะค่ะ” จะให้ผมรับส้อมนั่นมากินคงเสียมารยาทเกินไปหรือจะให้ก้มลงไปกินจากมือขององค์ชายยิ่งไม่ใช่การกระทำที่สมควรเข้าไปใหญ่
“ช่างเป็นองครักษ์ที่ดูไม่เป็นงานสักเท่าไหร่เลยนะ” ประโยคหลังเริ่มมื้ออาหารก็พานให้รอยยิ้มขององค์ชายฮาล์บหายวับไปกับตาทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาองค์ชายก็กลับมายิ้มบางๆ อีกครั้ง
คนถูกดูแครนอย่างผมทำเพียงผงกหัวรับคำอีกฝ่ายเท่านั้น
ผมสังเกตนะว่าองค์ราชากับฟราวแอบยกยิ้มคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะอยู่
รูปลักษณ์ภายนอกของผมดูเหมือนคนขี้โรคที่ไม่เคยผ่านแม้แต่การตากแดด แม้ความจริงผมจะนั่งตากแดดทุกวันแต่ผิวก็ไม่ได้เข้มขึ้นเลย สงสัยคงเป็นพันธุกรรมด้อยนี่ละมั้ง
“เขาไม่ใช่องครักษ์” องค์ชายตอบพลางตักอาหารตรงหน้าเข้าปากต่อ
“ไม่ใช่? แปลว่ามาทำหน้าที่แทน?” อีกฝ่ายถามต่อเพื่อหวังล้วงข้อมูล
“เปล่า เขาไม่ใช่องครักษ์แต่เป็นองครักษ์คนสนิทของข้า” ครั้งนี้ดวงตาสีฟ้าสว่างหันไปสบดวงตาสีดำนั่นตรงๆ
“ฮะฮะ...ขออภัยที่เสียมารยาท คือข้าไม่คิดว่าอาณาจักรจะขาดแคนประชากรถึงเพียงนี้ ถ้ายังไงให้ข้าส่งคนมาช่วยเหลือไหม” เสียงหัวเราะนั่นแฝงนัยดูถูกชัดเจนทีเดียว
ผมเหล่มองฟราวที่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มไว้ แค่มองหน้าฟราวผมก็รู้ถึงคำพูดที่อีกฝ่ายอยากพูดได้ทันที...
เป็นประโยคที่ผมกับฟราวคิดอยู่ในหัวตอนนี้
ก้าวเข้ามาในอาณาจักรเวธาณาร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นขุมพลังแห่งเวทมนตร์แถมยังปากกล้าซะขนาดนี้ องค์ราชาคาราสคงไม่ปล่อยให้กลับไปเฉยๆ เป็นแน่ ฝ่ายนั้นน่าจะรู้พลังของเวธาณาร์แต่การที่กล้าพูดกวนโมโหแบบนี้แปลว่าคงมีแผนอะไร หรือไม่ก็ต้องการอะไรบางอย่างจากการยั่วโมโห
ดีไม่ดีอาจไม่คิดวางแผนอะไรไว้ก็เป็นได้
“พอนั่งทานเฉยๆ แล้วน่าเบื่อเหมือนกันเนอะท่านบิลโจว” องค์ราชาเปิดปากพูดบางหลังจากนั่งดูสถานการณ์มาสักพัก
“นั่นสิ ปกติเวลาทานแต่ละมื้อจะมีโชว์การต่อสู้ให้ดู”
“ฮืม...งั้นข้าขอชมการต่อสู้ของอาณาจักรกิลซอดได้หรือไม่” เหมือนราชาคาราสจะอ่านออกว่าอีกฝ่ายต้องการจะให้ทางเราโชว์การต่อสู้ให้ดูแต่มีหรือที่องค์ราชาจะยอมตกลงไปในหลุมง่ายๆ
“...ทางข้าไม่มีปัญหาเพียงแค่มาถึงนี่ทั้งทีก็อยากจะเห็นฝีมือคนของอาณาจักรเวธาณาร์สักหน่อย” ทางฝ่ายนั้นเองก็ไม่ยอมรับข้อเสนอง่ายๆ ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันนิ่ง ทางราชาคาราสยังคงรอยยิ้มส่องสว่างดุจแสงอาทิตย์ได้โดยอีกฝั่งชักเริ่มหงุดหงิดที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ
“งั้นให้ทางอาณาจักรกิลซอดโชว์ก่อนแล้วทางนี้จึงจะโชว์บ้าง ดีไหม” องค์ชายฮาล์บเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติทว่าแฝงไปด้วยความมั่นใจ เข้าไปแทรกบทสนทนาได้ดีเหลือเกิน ขืนปล่อยให้องค์ราชายิ้มยียวนมากไปกว่านี้ทางบิลโจวอาจหยิบดาบที่คาดไว้บริเวณเอวขึ้นมากวัดแกว่งก็เป็นได้
“ถ้าเช่นนั้นก็โอเค เกล ภีนัทออกมาโชว์หน่อย!” ราชาบิลโจวตะโกนเรียกเสียงดัง เจ้าของชื่อทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะด้านหลังแล้วเดินออกไปยืนยังสนามหญ้าด้านข้าง
นึกว่าจะส่งคนที่ยืนเฝ้าอยู่ไปซะอีก
“พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งคู่โค้งตัวลงคำนับแล้วเริ่มเปิดฉากการต่อสู้โดยคนแรกเหวี่ยงหมัดส่วนอีกคนเบี่ยงตัวหลบก่อนใช้เข่าลอยกระแทกเข้าไปยังหน้าท้องเต็มแรง
“อั๊ก!...ไฟสีเพลิงจงแผดเผามันให้มอดไหม้” คนโดนโจมตีทรุดลงไปกองกับพื้นไม่ก็ร่ายเวทย์โจมตีเพื่อตอบโตกลับไป เวทย์ที่ฝ่ายนั้นใช้อาจเรียกได้ว่าเวทย์ทว่ามีพลังทำลายไม่รุนแรงเท่าเวทมนตร์ของเวธาณาร์ คาถาแสนสั้นนั้นอาจทำให้เปลวเพลิงลุกไหม้โจมตีใส่อีกฝ่ายแต่หากเป็นผมหรือฟราวคงปัดป้องการโจมตีนั่นได้ไม่ยาก
“น้ำสีฟ้าจงพุ่งโจมตีใส่มัน” คาถาทื่อๆ จากอีกฝ่ายทำเอาผู้ชำนาญเวทย์น้ำอย่างองค์ชายฮาล์บถึงกับหรี่ตามอง เดาได้ไม่ยากว่าองค์ชายคงกำลังสนใจกับอาคาสั้นๆ นั่น
แถมเวทย์ของกิลซอดยังมีพลังการโจมตีต่ำถึงจะพูดแบบนั้นแต่ใช่ว่าคนของกิลซอดจะไม่น่ากลัว พวกเราอาจชนะด้านพลังเวทย์แต่หากเป็นการต่อสู้จริงการร่ายเวทย์ได้เร็วถือเป็นหัวใจสำคัญ ไม่จำเป็นว่าเวทย์ต้องรุนแรง ใครเป็นฝ่ายร่ายเวทย์สำเร็จก่อนอาจกลายเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ได้ อีกเรื่องคือพลังกายของคนพวกนั้นไม่ใช่ธรรมดา
ดูจากกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกมาอย่างหักโหมแล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าหากโดนเข้าแม้เพียงครั้งเดียวก็อาจลุกไม่ขึ้น ทั้งคู่ผลัดกันร่ายเวทย์และใช้ร่างกายเข้าปะทะกันจนบาดเจ็บได้เลือดกันทั้งสองฝ่าย ใบหน้าอันเต็มไปด้วยบาดแผลกับคราบเหงื่อไหลรินแสดงถึงพลังกายที่ถูกใช้จนใกล้หมดเต็มที
“พอเท่านั้นเถอะ” องค์ชายฮาล์บบอกกับราชาของกิลซอด
เห็นด้วยว่าให้พอ สู้กันต่อไปก็เท่านั้น
คนบาดเจ็บสู้กับคนบาดเจ็บไม่มีอะไรน่าดูเลย
“ได้ งั้นต่อไปคือคนของทางนั้น จะส่งใครมาโชว์ล่ะ อ้อ...เหมือนไม่มีตัวเลือกเพราะมีแค่สองคนนี่นะ” ไม่รู้ว่าเป็นคนตรงๆ หรือต้องการจะก่อสงครามกันแน่ถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกมา
“ฟราว” ผมเดินเข้าไปหาฟราวที่ยังคงปั้นหน้านิ่งทว่าหากมองยังมือจะเห็นว่ากำลังกำหมัดแน่น และแน่นขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไว้ฝ่ายนั้นอาจได้เจอการระเบิดอารมณ์ของหัวหน้าหน่วยองค์รักษ์เงาก็เป็นได้ เพราะแบบนั้นผมจึงกระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายเป็นเชิงบอกให้ใจเย็น
อีกอย่างฝ่ายนั้นก็พูดถูกเพราะทางเราไม่มีตัวเลือกอะไรนอจากผมและฟราวเนื่องจากคนอื่นต่างอารักขาอยู่บริเวณรอบนอกจะให้ไปตามคงเสียเวลา
“ข้าจะอัดมัน” ฟราวพึมพำผ่านไรฟัน
“ระบายออกหน่อยน่าจะทำให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น” ผมบอกอีกฝ่าย
“ระบาย...อ้อ นั่นสิ” ฟราวยกยิ้มเมื่อเข้าใจว่าผมสื่อถึงอะไร
“สรุปทางนั้นจะเอายังไง” บิลโจวถามเร่งเมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเอ่ยอะไรออกไป
“ฟราว ซิน โชว์หน่อยละกัน” องค์ราชาหันมาบอกพวกเราทั้งคู่ ดวงตาสีฟ้าหม่นนั่นราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเอาจริงมากซึ่งผมและฟราวต่างพยักหน้าเข้าใจ
พวกเราเดินออกไปยังสวนด้านข้างโดยเว้นระยะห่างจากโต๊ะประมาณ 5 เมตรเผื่อกรณีใช้เวทย์ทางนั้นจะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย
“อย่าใช้เวทย์ระดับสูง” ฟราวพึมพำเสียงเบา
“คุณบอกตัวเองใช่ไหม?” ผมย้อนถาม ฟราวนั่นแหละตัวดีเลยชอบใช้เวทย์ระดับสูงที่คลุมพื้นที่กว้าง แค่ 5 เมตรนี่เป็นระยะที่น้อยไปด้วยซ้ำ แถมยังอยู่ในโหมดอารมณ์เสียอีก
“หึ บอกเราทั้งคู่แหละ ดูสายตาที่ราชามองมาสิ” พอได้ยินฟราวพูดผมจึงหันไปมองก่อนจะพบว่าสายตาทุกคู่จับจ้องรอดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ราชาบิลโจวมองมาด้วยความสนใจ องค์ชายฮาล์บมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ทว่าองค์ราชาของพวกเรากลับถลึงตามองมาโดยไม่ให้ใครเห็น
“...นี่อย่าบอกนะว่า...” ผมว่าเคยเห็นสายตาแบบนั้นมาก่อนแถมไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแต่มากกว่านั้นไม่รู้กี่เท่า เป็นสายตาที่ใช้มองมาตอนที่หน่วยองครักษ์เงายังไม่มีเวลผู้ที่สามารถสร้างมิติได้มาเข้าร่วม หน่วยของเราเลยฝึกฝนอยู่ในป่าลึกแต่ด้วยพลังเวทย์ของแต่ละคนไม่ใช่ธรรมดาจึงมีหลายครั้งที่เผาป่าไปเป็นแถบบ้าง ขุดน้ำบาดาลขึ้นมาบ้างหรืออยู่ๆก็สร้างพายุฝนปกคลุมไปทั่วอาณาจักรจนเกิดน้ำท่วมฉับพลันบ้าง
เมื่อองค์ราชาเห็นจึงถลึงตามองมาแบบนี้และให้พวกเราจัดการทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม ดังนั้นความหมายของสายตานั่นคือถ้าทำอะไรเสียหายรับผิดชอบด้วย
“คงต้องเป็นเวทย์เบาๆ” ฟราวพูดพลางเกาหัวตัวเอง
คงคิดไม่ออกละมั้งว่าเวทย์เบาๆ คืออะไร อย่าว่าแต่ฟราวเลยผมยังคิดไปออกเหมือนกันว่ามีเวทย์อะไรที่ไม่ทำให้บริเวณโดยรอบเกิดความเสียหาย
“เริ่มกันเถอะ” จะปล่อยให้รอนานกว่านี้คงไม่ดี
ฟราวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวโดยการบุกเข้ามาประชิดพร้อมรัวหมัดซ้ายขวาใส่ผมไม่ยั้ง ด้วยความเร็วที่ยังอยู่ในขั้นวอมพวกเราจึงค่อนข้างช้ากว่าปกติ ผมหลบหมัดไม่นานก็ใช้เตะล่างเล็งไปยังช่วงข้อเท้าที่เป็นศูนย์ถ่วงของร่างกาย แน่นอนว่าระดับฟราวสามารถกระโดดตัวขึ้นหลบการเตะได้ก่อนจะอาศัยจังหวะที่ผมกำลังลดการป้องกันหมุนตัวถีบผมจนลอยไปไกล
บอกให้ระบาย นี่กะระบายเต็มที่เลยนี่นา!
“อึก...สายฟ้า เอ่อ ไอน้ำที่ล่องลอยอยู่กลางท้องนภาจงควบแน่นจนเกิดเป็นปุยเมฆาโอบล้อมจับกุมผู้ขวางทางเบื้องหน้าเรา” ผมร่ายเวทย์พร้อมกับวงแหวนเวทย์สีขาวที่กางออกกว้าง ไอน้ำโดยรอบต่างถูกควบแน่นจนเกิดเป็นปุยเมฆสีขาวโพลนพุ่งเข้าจับกุมฟราว
ได้ชื่อว่าเมฆคิดว่าการโจมตีจะรุนแรงได้สักแค่ไหนล่ะ แค่จะยื้อฟราวไว้ให้ถึงนาทียังทำไม่ได้เลย ตอนแรกกะจะใช้เวทย์สายฟ้าแต่ก็ขึ้นมาได้ว่าหากก่อความเสียหายคงไม่วายต้องมานั่งซ่อมอีก
“อ่อนหัด เปลวเพลิงสีชะ เอ่อ...พฤกษาสีเขียวขจีจงยึดการเคลื่อนไหวนั้นด้วยความทนทานดุจโคลนสีดำ” คาถาเปลวเพลิงขั้นสูงถูกเปลี่ยนกลางครันพร้อมวงแหวนเวทย์สีเทากางออก พื้นหญ้าด้านล่างทำปฏิกิริยาทันทียามร่ายเวทย์จบทว่าผมรู้ทันเลยกระโดยลอยตัวขึ้นบนอากาศพลางมองบริเวณใบหญ้าที่ปรากฏน้ำเหนียวลื่นที่หากโดนคงถูกหยุดการเคลื่อนไหวได้ทันที
“...ละอองสายฝนจงมาเรียงรายเบื้องหน้าเราและกลั่นตัวโฉบเฉี่ยวโจมตีทุกการเคลื่อนไหว” เวทย์ใหม่ด้นสดอีกเวทย์ถูกเอ่ยพร้อมหยดน้ำนับร้อยพุ่งเข้าโจมตีฟราวจนต้องหยุดการเคลื่อนไหว
ดีกว่าเวทย์ก่อนหน้านี้เยอะเลย
เหมือนจะเริ่มจับทริกได้แล้วว่าต้องทำยังไงให้สามารถโจมตีได้รุนแรงโดยไม่ทำลายบริเวณโดยรอบ
“อึก...สายลมกรรโชกจงหอบพาร่ายกายานั้นขึ้นสู่ห้วงนภาอันสงบนิ่ง” เมื่อฟราวตั้งหลักได้ก็ร่ายเวทย์กลับมา ครั้งนี้ร่างผมถูกสายลมพัดขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะปล่อยลงมาสู่เบื้องล่างในเสี้ยววินาที จังหวะที่ดิ่งลงพื้นผมม้วนตัวกลางอากาศแล้วลงพื้นอย่างสวยงามโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
ดวงตาสีขาวของผมประสานกับดวงตาสีน้ำตาลของคู่ต่อสู้อย่างฟราวด้วยสายตากำลังสนุกที่ได้ต่อสู้แบบนี้ ปกติพวกเราจะใช้แต่เวทย์รุนแรงในการโจมตีหรือผนึกนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ต้องมาคิดเวทย์เบาๆ ให้มีประสิทธิภาพในการโจมตี
ชักสนุกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว อยากลองอีกหลายเวทย์เลย...
“แสงอาทิตย์อันเรืองรอง...”
“พอแค่นั้นแหละ” จู่ๆ เสียงห้ามจากราชาคาราสก็ดังขัดเวทย์ผมที่กำลังจะเริ่มร่าย ผมและฟราวต่างจับจ้องไปยังผู้เป็นนายอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมให้หยุดทั้งที่กำลังสนุกขนาดนี้
“พวกข้าอยากเพิ่มอะไรนิดหน่อย พวกเจ้าที่เป็นพวกเดียวกันคงไม่กล้าทำร้ายกันมากเลยจะเปลี่ยนให้คนของข้าเข้าไปร่วมด้วย” ราชาบิลโจวอธิบายด้วยสีหน้าเหมือนแผนที่วางไว้สำเร็จแล้ว
แค่เห็นรอยยิ้มนั้นผมก็เดาสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการได้ในทันที ล่อให้พวกเราต่อสู้กันเองจนเหนื่อยจากนั้นก็ส่งผู้มีฝีมือออกมาจัดการต่อให้จบเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ดีไม่ดีอาจมีการคิดรอบทำร้ายองค์ราชากับองค์ชายก็เป็นได้
ผมคิดว่าองค์ราชาและองค์ราชาต่างรู้ถึงแผนการนี้แล้วทั้งคู่ องค์ชายฮาล์บแม้จะไม่พูดอะไรแต่ดวงตาสีฟ้าสว่างฉายแววกังวลชัดเจนยามมองมายังผมและยิ่งกังวลมากไปอีกเมื่อเห็นคนที่ทางนั้นส่งออกมา ชายสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของราชาบิลโจวมาตลอดในที่สุดก็ก้าวมาหยุดยืนต่อหน้าผมและฟราว ด้วยรูปร่างกำยำและกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งนั่นน่าอันตรายอยู่ไม่น้อย
แค่มองก็รู้แล้วว่าสองคนนี้มีฝีมือสูงสุดในหมู่ทุกคนที่พามาด้วย
“จะให้แข่งแบบทีมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฟราวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งปราศจากความกลัวหรือกังวลแม้รูปร่างจะต่างกันมาก
“ใช่ สองต่อสอง” ราชาคาราสพยักหน้าส่งมา
ตกลงกันตอนพวกเรากำลังเริ่มสนุกกับการต่อสู้สินะ
“งั้น เริ่มการต่อสู้ได้!” ทันทีเสียงประกาศเริ่มดังขึ้นฝ่ายศัตรูก็พุ่งเข้ามากระแทกผมจนร่างกายกระเด็นไปไกลต่างจากฟราวที่หลบได้อย่างเฉียดฉิว
ไม่คิดว่าร่างขายใหญ่โตแบบนั้นจะเคลื่อนที่ได้รวดเร็วขนาดนั้น
“สายฟ้าจงฟาดใส่ศัตรูเบื้องหน้า”
“พายุน้ำจงหล่อหลอมสายฟ้าและจัดการพวกมัน” สองเวทย์ถูกร่ายขึ้นพร้อมกับเกลียวคลื่นน้ำที่ถูกสายฟ้าคลุมไว้พุ่งโจมตีเข้ามาอย่างรุนแรงจนต้องรีบกระโดดหลบ
เพิ่งเคยเห็นการประสานเวทย์แบบนั้นครั้งแรก พลังโจมตีที่ไม่สูงมากกลับเพิ่มระดับขึ้นด้วยการประสานสองเวทย์เข้าด้วยกัน
“อั๊ก!” ผมกระอักเลือดออกมาเล็กน้อยเมื่อถูกหมัดเหวี่ยงใส่ในจังหวะที่กำลังเบี่ยงตัวหลบเวทย์
“ซิน!” องค์ชายฮาล์บตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงตื่นตะหนก
“ป้อมปราการสีน้ำตาลแห่งผืนปฐพีจงโอบอุ้มกายานี้ให้อยู่ภายใต้เงาแห่งการพิทักษ์” ฟราวร่ายเวทย์ป้องกันไม่ใช่แค่ของตัวเองแต่ยังใช้เวทย์นั่นกับผมด้วย
“อย่าหลงไปกับการมอง ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้มากกว่านี้!” ฟราวตะโกนบอก
“ได้” ผมพยักหน้าก่อนจะหลบตาลงเพื่อรวบรวมสติและสมาธิ
“สายลมจงกรรโชกอย่างบ้าคลั่ง กระหน่ำเปลวเพลิงให้ลุกโชดช่วง” เวทย์ประสานอีกเวทย์ถูกร่ายโดยเป้าหมายของการโจมตีคือผมและฟราวที่อยู่ในเกราะป้องกัน
คิดจะใช้เวทย์ไฟประสานกับลมเพื่อทำลายงั้นสิ
“แสงสีทองอันเรืองรองของดวงอาทิตย์อุทัยจงส่องสว่างจ้าโจมตีการทุกหารมองเห็นให้เป็นอัมพาส” ผมร่ายเวทย์ใหม่ที่เพิ่งคิดได้เมื่อครู่ออกไปพร้อมหลับตาลง แสงสว่างจากเวทย์ทำให้ฝ่ายศัตรูส่งเสียงโอดครวญด้วยความโกรธ
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ!” ฟราวพุ่งเข้าไปจัดการเตะเสยปลายคางอย่างแม่นยำจนร่างกำยำนั้นทรุดหวบลงกับพื้น
“ดอกไม้หลากสีสันจงผุดขึ้นท่ามกลางพื้นหญ้าอันเขียวชอุ่มนี้แล้วเติบโตขับเคลื่อนจับกุมเหล่าผู้อาจเหยียบย่ำความงดงามด้วยโซ่หนามสีเขียวสด” เวทย์ผนึกที่ผมร่ายจัดการจับศัตรูอีกคนไม่ให้ขยับ เถาวัลหนามไม่เพียงแค่รัดร่างกายแต่ยังปิดปากไม่ให้สามารถร่ายเวทย์ได้ แม้จะเสียท่าในตอนแรกแต่สุดท้ายก็สามารถจัดการได้สำเร็จ
“ราตรีอันดำมืดจงมอบพลังแก่ข้าง จับกุมและผนึกพวกมันไว้ด้วยโซตรวนสีดำทมิน หากมิได้ไขความปรารถนาสิ่งใดก็มิอาจย่ามกายเข้ามายังพื้นนี้ได้” ทั้งผมและฟราวหันควับไปมองทางต้นเสียงทันทีที่ได้ยินเสียงราชาบิลโจวร่ายเวทย์
ภาพตรงหน้าเรียกดวงตาผมให้เบิกกว้างขึ้น...เวทย์ผนึกแบบมีเงื่อนไข?!
“บ้าจริง องค์ชาย!” ผมรีบวิ่งเข้าไปหาทว่าเมื่อร่างกายกระทบกับเวทย์สีดำความร้อนดุจเปลวเพลิงก็พานให้ต้องล่าถอยออกมา
“คิดจะทำอะไร” ฟราวเดินเข้าไปถามเสียงนิ่ง ภายใต้น้ำเสียงและใบหน้านิ่งๆ นั้นมีอารมณ์โกรธใกล้ปะทุเต็มที ยิ่งเห็นร่างของผู้เป็นนายถูกโซ่ตรวนสีดำรัดแน่นจนขยับไม่ได้ความโกรธก็ทวีมากขึ้น
“ไม่มีอะไรมาก แค่อาณาจักรเวธาณาร์ยอมสวามิภักดิ์แก่กิลซอด” คำประกาศก้องนั่นพานให้บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดในพริบตา
ยอมสวามิภักดิ์แก่กิลซอด...งั้นเหรอ
“นี่พวกท่านไม่รู้รึไงว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร” ฟราวพูดต่อ สายตายังจับจ้องไปยังราชาผู้มาเยือน
“พูดอะไรน่ะ” เหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจว่าพวกเราต้องการสื่ออะไร
“องค์ราชา” ครั้งนี้เป็นผมที่เอยเรียกพลางจ้องมองราชาคาราสเป็นเชิงขอคำสั่ง องค์ชายฮาล์บที่อยู่ใกล้ๆ ทำเพียงมองมานิ่งๆ คล้ายกำลังวิเคราะห์สถานการณ์หรือรออะไรบางอย่าง
“ราชาบิลโจว หากท่านไม่ลงมือทำอะไรข้าก็คิดจะปล่อยไปอยู่หรอกแต่ทำกันขนาดนี้คงให้กลับไปง่ายๆ ไม่ได้” ราชาคาราสระหว่างพูดก็จับจ้องไปยังอีกฝ่าย
“...คิดว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถต่อลองได้รึไง ไม่เห็นรึไงว่าคนของทางนี้ล้อมไว้หมดแล้ว ไอ้สองคนนั่นไม่มีทางจัดการได้ เหนื่อยขนาดนั้นคงร่ายเวทย์ได้อีกแค่หนึ่งหรือสองโดยเฉพาะไอ้ขาวนั่น!” คำพูดดูถูกนั่นเรียกรอยยิ้มจากทั้งองค์ราชาและองค์ชายได้พร้อมๆ กัน
“อย่าดูถูกซินดีกว่านะ เขาสามารถจัดการทุกคนได้ภายในเวทย์เดียวด้วยซ้ำ” องค์ชายฮาล์บบอกเสียงนิ่ง ใบหน้าและสายตาอันอ่อนโยนหายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจ
จำนวนประมาณนี้อย่างน้อยก็ขอสัก 3 เวทย์
“อย่ามัวยืนเฉย จัดการพวกมันเลย!” ราชาบิลโจตะโกนบอกลูกน้อง
“องค์ราชา” ฟราวเรียกเสียงดังเพื่อขอคำสั่งให้ร่ายเวทย์รุนแรงได้
ขืนให้ใช้เวทย์เบาๆ กว่าจะเสร็จคงกินเวลานาโข
“เอาจริงให้ข้ากับลูกชายดูหน่อยฟราว ซิน” คำพูดนั่นราวกับเป็นของขวัญ คำอนุญาตให้เอาจริงได้ในบริเวณปราสาทไม่เคยมีมาก่อน
เพราะงั้นพวกเราถึงตื่นเต้นมาก
“ด้วยหยาดโลหิตสีแดงสดนี้จงปลุกผู้ที่หลับใหลอยู่ใต้ผืนปฐพีให้ตื่นขึ้นภายใต้โซ่ตรวนแห่งพันธสัญญา จงลืมตาตื่นสองชีวิตในหนึ่งร่างอันส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีอันเงียบสงัด” ผมเปิดฉากร่ายเวทย์แรกพร้อมหยดเลือดสีแดงที่ถูกลากยาวบนวงแหวนเวทย์สีขาว
ทันทีที่ร่ายสำเร็จกิ่งก่าสองหัวก็ปรากฏอยู่บนบ่าผม
“อะไรๆ ทำไมสถานการณ์ดูตรึงเครียดล่ะ” ไอล่าถามเมื่อมองไปรอบๆ
“จริงด้วย เกิดอะไรขึ้น” ไลอาพูดต่อ
“ตอนนี้เกิดเหตุฉุกเฉิน ช่วยผมหน่อยนะ” ผมไม่มีเวลามาเล่า
“ได้” หัวสีขาวทั้งสองขยับขึ้นลงก่อนจะกระโดดลงไปด้านเข้าเตรียมร่ายเวทย์
“โลหะสีเงินจงหล่อหลอมผืนนภาในยามนิทราจนก่อเกิดเป็นประกายสีดำยามค่ำคืนอันแสนคบกริบ จงตัดสะบั้นทุกอย่างด้วยการโจมตีดุจพายุคลั่งที่จะตัดทลายทุกสรรพสิ่งที่ขวางทาง” ฟราวร่ายเวทย์พลางกางวงแหวนเวทย์สีน้ำตาลออก ดาบสีดำสนิทปรากฏขึ้นจากการร่ายคาถา...ดาบสีดำนี่เป็นหนึ่งในเวทมนตร์ระดับสูงของฟราว
นอกจากเป็นดาบแสนคมกริบแล้วยังมีความสามารถอย่างป้องกันเวทมนตร์และโจมตีด้วยเวทมนตร์ประสานได้ด้วย ฟราวโชว์ขนาดนั้นผมเองก็ต้องแสดงพลังออกมาบ้างแล้วสิ
“ไอล่า ไลอา!” ผมตะโกนเรียกกิ้งก่าสองหัว
“เข้าใจแล้ว” ไม่จำเป็นต้องอธิบายทั้งคู่พยักหน้าส่งมาทันที
“แสงสีเขียวแห่งความสมบูรณ์ใต้ผืนธรณีจงมอบพลังแห่งการเจริญเติบโตให้แก่เราและวิวัฒนาการผู้ที่อาบแสงนี่ด้วยรูปลักษณ์ใหม่อันทรงพลังอำนาจ!” เวทย์เสริมกำลังถูกร่ายลงบนร่างของกิ้งก่าสองหัว ไอล่าและไลอาที่ถูกเวทย์เสริมกำลังวิวัฒนาการจากกิ้งก่าตัวเล็กเป็นมังกรสีขาวสองหัว
เสียงขู่คำรามทำเอาฝ่ายศัตรูถึงกับผงะด้วยความตื่นกลัว กิ่งก่าสีขาวบัดนี้กลายเป็นมังกรสีเงินตัวใหญ่ยักษ์พร้อมร่ายเวทย์พ่นไฟออกมาจากปากซึ่งมีผมคอยใช้เวทย์ประสานกันอีกทีนึง เพียงไม่กี่นาทีการต่อสู้ก็จบลงโดยฝ่ายที่มีเพียงสองคนเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ
“พวกแก...ทำไมไม่เหนื่อยเลย แถมยังสามารถร่ายเวทย์ทรงพลังแบบนั้นได้อีก!” ราชาบิลโจวดูจะตกตะลึงกับพลังเวทย์ที่พวกเรามี
“เหนื่อย? สู้แค่ไม่ถึงชั่วโมงจะเหนื่อยได้ยังไง เนอะซิน” ฟราวหันมาขอความเห็นผม
“แล้วยังไงล่ะ พวกแกจะช่วยราชากับองค์ชายนี่ยัง ตราบเท่าที่ไม่ปล่อยข้าไปข้าก็จะไม่รับประกันชีวิตมัน!” สุดท้ายจากการสวามิภักดิ์ก็เปลี่ยนเป็นขอให้ปล่อยตัวเองไป
“เรื่องนั้นไม่จำเป็น ร่ายอีกแค่เวทย์เดียวก็จบแล้ว ใช่ไหมซิน” องค์ชายฮาล์บที่มองมาตลอดเอ่ยขึ้นบ้าง ดวงตาสีฟ้าสว่างทอประกายสดใสเมื่อเห็นพวกเราสามารถชนะได้แม้มีจำนวนน้อยกว่า
“พ่ะย่ะค่ะ การหลั่งไหลของพลังเวทมนตร์ซึ่งปกคลุมทั่วผืนปฐพี ท้องนภาและในมหาสมุทรจงหยุดการขับเคลื่อนและสวนกระแสนั้นกลับนั้นไปสู่จุดเริ่มของของวัฏจักร เราขอสังเวยด้วยโลหิตสีแดงฉานนี้จงมอบพลังของผู้ขับเคลื่อนทุกสรรพสิ่งภายใต้อาณาเขตนี้ให้แก่เราผู้อยู่เหนือสุดของห้วงแห่งพลัง” เป็นอีกครั้งที่ผมยอมสังเวยเลือด ทว่าผลของเวทย์ทำให้เวทย์ผนึกของอีกฝ่ายสลายหายไป
องค์ชายฮาล์บเดินมารวมกลุ่มกับพวกผม เขามองสำรวจผมสักพักก่อนจะเอื้อมมือมาสัมผัสบริเวณลำคอ ความเจ็บแปล๊บแล่นเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า ไม่เห็นรู้เลยว่าบาดเจ็บจนกระทั่งองค์ชายสัมผัส
“ไม่เป็นไรนะ” องค์ชายถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“พ่ะย่ะค่ะ แผลแค่นี้กระหม่อมรักษาได้” ผมบอกก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์รักษา
“เอาล่ะราชาบิลโจว” น้ำเสียงขององค์ราชาตอนนี้เหมือนผู้ร้ายในละครสักเรื่องเลย
“อึก...” อีกฝ่ายมีท่าทีหวาดกลัวขึ้นมา เห็นพลังของพวกเราไปขนาดนั้นจะตกใจก็ไม่แปลก
อยากจะบอกเหลือเกินว่าเวทย์ขององค์ราชาน่ากลัวและน่าตกใจกว่านี้เยอะ โดยเฉพาะตอนที่องค์ราชาอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ ทางอาณาจักรกิลซอดกำลังหาเรื่องผิดคน
“ข้าบอกแล้วนะ ทำถึงขนาดนี้คงไม่ปล่อยไปง่ายๆ”
“ทำลายอาณาจักรกิลซอดจนกว่าจะยอมสวามิภักดิ์อย่างแท้จริง” รอยยิ้มมุมปากนั่นทำไมถึงดูชั่วร้ายนักล่ะราชา
“...ทำลาย? คิดว่าจะสามารถทำลายได้ง่ายๆ รึไง” แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ยังมิวายมีความกล้า
“ได้สิ เปลวเพลิงสีฟ้าสดจงลุกไหม้จากความเย็น ณ จุดเยือกแข็งเข้าปกคลุมบริเวณภายใต้การกำหนดแห่งข้าและจงแช่แข็งครึ่งหนึ่งของทุกชีวิตด้วยอำนาจแห่งพลังอันไร้จุดสิ้นสุด แม้ความร้อนแรงของเปลวเพลิงหรือแสงจากดวงอาทิตย์ก็มิอาจหลอมละลายฤดูเหมันต์อันบ้าคลั่งได้” องค์ราชาร่ายคาถาโดยไม่มีวงแหวนเวทย์ปรากฏ พูดให้ถูกคือไม่ได้ปรากฏบริเวณนี้แต่เป็นทั้งอาณาจักรของกิลซอด
เวทย์นั้นคือเวทย์น้ำแข็งที่จะแช่แข็งทุกสิ่งที่มีชีวิตเพียงครึ่งเดียวไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือต้นไม้ คำว่าครึ่งชีวิตหมายถึงถูกทำให้แข็งเพียงครึ่งเดียว นั่นทำให้ได้รับความหนาวเย็นและทรมานอย่างมาก
องค์ราชาของอาณาจักรเวธาณาร์นอกจากมีพลังเวทย์สูงที่จะร่ายเวทย์ครอบคลุมทั้งอาณาจักรแล้วยังเป็นคนซาดิสชอบเห็นคนอื่นทรมาน แค่ก ไม่ใช่...แค่ต้องลงโทษให้ถูกต้องเท่านั้น หากยอมปล่อยไปอาณาจักรกิลซาดอาจก่อปัญหาอีกไม่มีวันหยุด
หลังจากนั้นราชาให้คนเปิดมิติส่งราชาบิลโจวให้เห็นสภาพบ้านเมืองในเวลานี้ เชื่อไหมตอนเขาเห็นก็ทรุดตัวลงพื้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีดก่อนจะยอมสวามิภักดิ์โดยดีเรื่องราวของอาณาจักรกิลซาดจึงจบลงด้วยประการละชะนี้
ช่วงสายในสัปดาห์ต่อมาองค์ชายฮาล์บเปลี่ยนจากนั่งทำงานเอกสารมาออกกำลังกายบ้าง จากการสังเกตองค์ชายจะทุ่มกับการทำเอกสารประมาณหนึ่งอาทิตย์และใช้เวลาประมาณ 3 วันในการเปลี่ยนบรรยากาศโดยการออกไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด ซ้อมกับหน่วยองครักษ์หรือหน่วยทหาร
อย่างวันนี้องค์ชายเลือกกิจกรรมใหม่ที่ผมไม่ค่อยได้เห็นซึ่งก็คือการขี่ม้า ผมรู้ว่าเขาขี่ม้าได้แต่ไม่เคยเห็นจะใช้ม้าขี่ไปไหนหากไม่ใช่งานที่ต้องพบปะประชาชน
“เจ้าจะเลือกม้าตัวไหนซิน” องค์ชายหันมาถามเมื่อเห็นผมยืนเดินไปมาอยู่บริเวณคอกม้าโดยทางองค์ชายได้จูงม้าสีเทาซึ่งเป็นม้าทรงประจำตัวออกมาเตรียมตัวต่างจากผมที่ไม่มีม้าประจำตัวเนื่องจากโดยปกติผมเดินทางด้วยการใช้เวทมนตร์ไม่ใช่ขี่ม้า
ทุกครั้งที่ต้องใช้ม้าก็จะเลือกเอาจากคอกม้านี่แหละ
“...กระหม่อมยังไม่แน่ใจ เอ่อ ตัวนี้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” ใจอยากจะเลือกอีกสักพักแต่เมื่อนึกได้ว่าองค์ชายกำลังรออยู่ก็ไม่ควรให้อีกฝ่ายรอจึงได้ชี้ไปยังม้าสีน้ำตาลที่อยู่ตรงหน้าลวกๆ
“ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลย ตัวนั้นไม่ค่อยดีมั้ง...เห็นว่าขามันเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา” องค์ชายเดินเข้ามาใกล้พร้อมอธิบาย
“...พ่ะย่ะค่ะ” เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเจ้าตัวนี้บาดเจ็บ
“ถ้าไม่ว่าอะไรให้ข้าแนะนำไหม”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ทำไมต้องว่าด้วยล่ะ
“ข้าแนะนำเฟรย์ม้าขาวตัวนี้” พูดจบองค์ชายก็เดินไปจูงม้าขนสีขาวสว่างออกมาจากคอก ม้าตัวนั้นมีดวงตาสีน้ำตาลและขนสีขาวเป็นแพรยาวคล้ายผมที่มีสีขาวเหมือนกัน
“...สวัสดี” ผมเดินเข้าไปใกล้พรางทักทายด้วยความเป็นมิตร
เฟรย์เจ้าม้าขาวเหมือนจะรู้ว่าผมทักทายเลยตอบรับด้วยการดมหน้าผมจนทั่ว ส่วนผมก็ใช้มือลูบขนสีขาวไปมาให้เฟรย์รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“เป็นไง ข้าว่าเหมาะกับเจ้าดี”
“ขอบพระทัย กระหม่อมชอบมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ชอบม้าหรือข้า?” อยู่ๆ องค์ชายก็ยิ่งคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินออกมา
“...องค์ชาย” ทรงถามอะไรเนี่ย
“ชอบข้า?” เป็นอีกครั้งที่คำเรียกถูกแปลความหมายเป็นอย่างอื่น
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยเสียงหลงด้วยความร้อนบนใบหน้าที่เริ่มมากขึ้น
“หมายความว่าเจ้าฝืนใจที่ต้องอยู่กับข้าสินะ ก็เจ้าไม่ชอบข้านี่นา” น้ำเสียงดูแกมหง๋อยปนเศร้านั่นทำเอาผมถึงกับส่ายหัวรัวๆ โดยไม่กลัวเจ็บ
“ถึงเจ้าไม่ชอบข้า แต่ข้าชอบเจ้านะ...ซิน” ประโยคต่อมาดังขึ้นพร้อมดวงตาสีฟ้าสว่างที่ประสานกับดวงตาสีขาวของผม ด้วยอำนาจการดึงดูดส่งผลให้ไม่อาจละสายตาออกไปได้
“... ”ผมเม้มปากแน่น ในหัวเริ่มตีกันมั่วไปหมด
แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์แบบนั้นอีก
ไม่รู้ว่าองค์ชายคิดอะไรอยู่แต่ตอนนี้ผมกำลังดีใจจนแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่
ไม่จำเป็นต้องชอบแบบคนรัก เพียงแค่ได้ยินคำว่าชอบจากปากพระองค์ผมก็แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว
“ซิน...ขึ้นมาเถอะ” องค์ชายมองดใบหน้าปั่นป่วนของผมด้วยรอยยิ้มสักพักก่อนจะเดินกลับไปขึ้นม้าตัวสีเทา
“...พ่ะย่ะค่ะ” แม้ในหัวยังรู้สึกเบลอแต่ก็ยอมทำตามทำพูดนั่นโดยการขึ้นไปนั่งบนหลังม้าตัวสีขาวล้วน
และพวกเราก็ควบม้าออกจากด้านหลังของปราสาทเข้าไปยังป่าตามลำพัง ก่อนหน้าจะมาเลือกม้าองค์ชายได้ออกคำสั่งให้องครักษ์ทั้ง 5 คนไปพักได้ จึงมีเพียงผมคอยตามอารักขาองค์ชาย
บรรยากาศสีเขียวขจีของป่าเต็มไปด้วยต้นไม้สร้างความชุ่มชื่นและสดใส กลิ่นของผืนป่าลอยโชยมาตลอดการควบม้า ผมควบม้าสีขาวตามหลังองค์ชายที่เป็นคนนำโดยไม่ทิ้งระยะหากมาก หากทิ้งระยะมากไปอาจทำให้พลัดหลงกันได้ง่ายๆ
จะว่าไปผมยังไม่รู้จุดหมายของการมาครั้งนี้เลยนี่นา
“องค์ชายฮาล์บ” ผมตะโกนเรียกคนด้านหน้า
“ฮืม?” องค์ชายดึงสายบังคับให้ม้าชะลอความเร็วจนผมตามมาทันจึงหันมาถาม
“พระองค์กำลังจะไปที่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังไม่ได้บอกนี่นะ วันก่อนไปคุยกับท่านพ่อมา เห็นว่าในป่าด้านหลังมีทะเลสาบข้าเลยอยากไปเห็นด้วยตาสักครั้ง” องค์ชายบอกด้วยรอยยิ้ม
“หากเป็นทะเลสาบนั่นให้กระหม่อมนำทางไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมลองเสนอดู ถ้าเป็นทะเลสาบนั่นผมรู้ทางไปดีและทางที่องค์ชายพามาแม้จะเป็นทางตรงไปยังทะเลสาบแต่เส้นทางค่อนข้างลำบากในการใช้ม้า
“เจ้าเคยไป?” องค์ชายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ” เคยมาตามองค์ราชาคาราสที่หนีการทำเอกสาร
“มากับใคร ท่านพ่อหรือ...ข้าขอโทษที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัว” ยังไม่ทันได้ว่าอะไรองค์ชายก็ขอโทษซะแล้ว
“กระหม่อมยังไม่ได้ว่าเลย”
“แปลว่าเจ้าจะตอบ?” ใบหน้าองค์ชายดูสดใสขึ้นทันควัน
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้มากับองค์ราชาแต่มารับกลับปราสาทต่างหาก” นึกแล้วก็อดส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้ ไม่รู้ว่าหาสถานที่พวกนี้เจอได้ยังไง
นอกจากทะเลสาบแล้วยังมีทั้งถ้ำ อุโมงค์หรือแม้แต่บนหลังคาปราสาท
ที่ซ่อนมากมายเหลือเกิน และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพอหาองค์ราชาไม่เจอทุกคนถึงต้องมาถามผมอยู่เรื่อย
“ดูท่านพ่อจะไม่ค่อยชอบงานเอกสาร” องค์ชายชวนคุยเรื่อยๆ ระหว่างควบม้าขนาบข้างกับไป
“พ่ะย่ะค่ะ โชคดีที่พระองค์ไม่เป็นแบบนั้น” ไม่งั้นภาชีมและภาชาคงร้องไห้แน่ๆ
“...แต่ข้าอยากให้เจ้าตามหาข้าเหมือนท่านพ่อนะ”
“เพราะหากหาเจอนั่นแปลว่าเจ้ารู้จักข้ามากพอที่จะรู้ถึงสถานที่ที่ข้าอยู่” น้ำเสียงและสายตาที่ส่งมานั่นทำเอาหัวใจเต้นแรงจนเกือบทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว
“...กระหม่อมรู้จักพระองค์มากกว่าที่ทรงคิดอีก” ผมพึมพำเสียงเบาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินถนัดนัก
“เจ้าว่าอะไรนะ” องค์ชายเร่งควบม้าขึ้นมาถามอีกรอบ
“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ผมส่ายหน้าเบาๆ ส่งไปให้
“...” ผมไม่ตอบแต่หันไปสบดวงตาสีฟ้าสว่างนั่นด้วยความรู้สึกอันล้นหลาม
ตอนนี้เหมือนผมกำลังอยู่ในความฝันเลย
ฝันของตัวเองที่ได้มีช่วงเวลาตามลำพังกับองค์ชาย
ม้าตัวสีเทาและขาววิ่งควบคู่กันมาเรื่อยๆ จนหลุดออกจากบริเวณป่า ภาพหน้าหน้าคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติจนมิดชิด ผืนน้ำสีฟ้าใสที่ถูกแสงอาทิตย์ในยามเที่ยงส่องกระทบนั้นดูแพรวพราวราวกับสระอัญมณีขนาดยักษ์ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองจากปราสาทมาเห็นทะเลสาบอันงดงามนี่
“สวยมาก” องค์ชายพึมพำโดยจับจ้องไปยังภาพตรงหน้า
“...กระหม่อมก็ชอบที่นี่มาก” ตอนเห็นสถานที่นี้ครั้งแรกผมอึ้งกับภาพและบรรยากาศอันงดงามไปนานพอดู ดังนั้นเวลาว่างๆ ผมมักจะมาที่นี่เป็นบางครั้ง ทว่าตั้งแต่รับภารกิจให้ดูแลองค์ชายฮาล์บผมก็ไม่ได้มาอีกเลย
“หาที่นั่งกันสักหน่อยไหม” องค์ชายออกความเห็น
“พ่ะย่ะค่ะ” ผมไม่ปฏิเสธ อยากจะมองภาพสวยๆ นี่อีกสักพัก
ม้าสีเทาขององค์ชายค่อยๆ ก้าวเดินไปตามริมขอบทะเลสาบตามการควบคุมของผู้เป็นนาย พอถึงบริเวณที่มีพื้นราบเต็มไปด้วยหญ้าและมีต้นไม้ขนาบสำหรับให้ร่มเงาองค์ชายจึงลงจากม้าแล้วมองมาเป็นเชิงบอกให้ผมลงด้วย
พวกเราผูกม้าไปกับต้นไม้ข้างก่อนองค์ชายฮาล์บจะกวักมือเรียกผมพร้อมตบยังผืนหญ้าข้างกายสองสามครั้ง ความหมายของการกระทำนั่นผมเข้าใจแต่ก็เลือกขยับออกห่างอีกหน่อย ให้ไปนั่งข้างกายขนาดนั้นผมไม่ชิน และไม่บังอาจด้วย
“มานั่งนี่ซิน” ยังไม่ทันที่ก้นจะได้ถึงพื้นองค์ชายก็เรียกอีกรอบ
“กระหม่อมนั่งตรงนี้ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบก็นั่งลงกับผืนหญ้ามองภาพทะเลสาบตรงหน้า ซึมซับบรรยากาศแสนสงบที่มีองค์ชายฮาล์บนั่งอยู่ไม่ไกล
แค่นี้ก็มีความสุขมากๆ แล้ว
ไม่นานผมก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ขยับมาอยู่ใกล้ เมื่อหันไปมองก็ต้องเบิกตากว้างเพราะองค์ชายที่อยู่บริเวณโคนต้นไม้กลับขยับมานั่งข้างๆ ผมซะแล้ว ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจนักแต่คำตอบที่ได้มีเพียงรอยยิ้มบางๆ
“ตรงนั่งนั้นสบายกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” ผมบอกพลางขยับตัวออกห่างทว่าก่อนขยับกลับถูกองค์ชายคว้าแขนไว้
“ลำบากใจที่ข้ามานั่งด้วยหรือ”
“...” ผมเม้มปากแน่นก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง
ลำบากใจจริงๆ นะ เสียงหัวมันเต้นรัวดังไม่หยุดเลยเนี่ย
“ซิน” แล้วยังมีฝ่ามือที่จับแขนผมไว้ไม่ยอมปล่อยอีก
จะทำให้ผมเป็นบ้าตายเพราะความสุขล้นทะลักรึไงองค์ชาย
“ปล่อยกระหม่อมเถิด” ผมเอ่ยเสียงสั่น
“งั้นเปลี่ยนจากแขนเป็นจับมือได้ไหม” ผมหันควับไปทางต้นเสียงก่อนดวงตาสีขาวจะเบิกกว้างขึ้นยามเห็นใบหน้าหล่อคมคายที่เข้ามาอยู่ในระยะประชิดโดยไม่รู้ตัว
“อะ...องค์ชาย” อยากจะขยับออกแต่แขนถูกรั้งไว้
อยากจะบอกให้อีกฝ่ายถอยไปแต่ปากกลับไม่ขยับตามที่คิด
“ปล่อยกระหม่อม” ผมรีบก้มหน้าซ่อนใบหน้าแดงๆ ของตัวเอง
“แสดงออกขนาดนี้ยังบอกว่าไม่ชอบข้าอีกหรือ” เสียงทุ้มที่กระซิบแผ่วเบาทำเอาร่างกายกระตุกเล็กน้อย
นี่อย่าบอกนะว่าองค์ชายดูออกว่าผม...
“...ปล่อยกระหม่อม” ผมไม่สามารถพูดคำอื่นได้นอกจากประโยคเดิมๆ
“ไม่” องค์ชายย้ำพลางเลื่อนฝ่ามือจากจับแขนมาเป็นกุมมือผมไว้หลวมๆ แทน
“องค์ชาย!” ผมรีบกระตุกมือออกทว่าอีกฝ่ายกลับกระชับแน่นขึ้น ใบหน้าแดงๆ ร้อนผ่าวจนใกล้ลุกไหม้เช่นเดียวกับดวงตาสีขาวสั่นระริกเงยหน้าประสานกับดวงตาสีฟ้าด้วยความตื่นตระหนก เสียงหัวใจเต้นแรงจนแม้แต่ผมยังได้ยิน
จะฆ่ากันให้ตายเลยใช่ไหมองค์ชาย
“อึก...อย่าเรียกกระหม่อมตอนนี้...” หัวใจเหมือนรับไม่ไหว
“ซิน” อีกฝ่ายช่างฟังคำขอผมซะเหลือเกิน
“อยากมองดูภาพทะเลสาบไม่ใช่เหรอ มองไปข้างหน้าสิหรืออยากมองหน้าข้ามากกว่า” องค์ชายพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้างออกมา
“...พระองค์ก็เลิกมองกระหม่อมด้วย” ผมหันหน้าไปมองภาพทะเลสาบตรงหน้าด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นแรง แม้จะไม่มองแต่สัมผัสได้ว่ากำลังถูกจ้องแถมฝ่ามือที่กุมแน่นนั่นมีอิทธิพลต่อผมมากเหลือเกิน
“ถ้าเจ้าไม่มองจะรู้ได้ไงว่าข้ามองอยู่”
“องค์ชายฮาล์บ” อย่าเพิ่งมากวนกันตอนนี้จะได้ไหม
“ข้ามีความสุขมากที่ได้มองเห็นภาพนี้กับเจ้า” น้ำเสียอันอ่อนโยนพานให้หัวใจอุ่นวาบกระชับมือตัวเองกับอีกฝ่ายแน่นอย่างไม่รู้ตัว
“...กระหม่อมเองก็...” ผมหยุดเมื่อรู้ว่าประโยคที่จะพูดต่อมันน่าอายขนาดไหน
“ก็อะไร” องค์ชายฮาล์บไม่ยอมปล่อยผ่านอย่างที่คิด
“ข้ายังเหลือมืออีกข้างนะ” ไม่พูดเปล่าองค์ชายยกมืออีกข้างขึ้นให้ผมเห็น
“...?” เหลือมืออีกข้างแล้วทำไม
“ถ้าไม่ยอมตอบข้าจะสัมผัสนะ...แก้มแดงๆ ของซินน่ะ” ความร้อนบนใบหน้าเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณยามได้ยินประโยคนี้ขององค์ชาย แถมไม่ใช่แค่พูดแต่ยังเอื้อมมือข้างที่ว่างมาใกล้เพื่อกดดันอีก
“ข้าให้เวลา 3 วิ 3...2...1...”
“กระหม่อมเองก็มีความสุขที่ได้มองภาพนี้กับพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!” ผมตะโกนประโยคน่าอายออกไปดังลั่นจนฝูงนกใกล้ๆ บินแตกรังไปเป็นแถบ
บรรยากาศเงียบๆ เรียกดวงตาที่หลับสนิทค่อยๆ ลืมขึ้นแล้วหันไปมองอีกฝ่ายช้าๆ ปกติองค์ชายจะไม่เงียบไปแบบนี้ ทว่าเมื่อหันไปมองผมก็ไม่อาจหันกลับไปมองภาพทะเลสาบอันงดงามได้อีกเนื่องจากถูกดวงตาสีฟ้าสว่างและรอยยิ้มกว้างตรึงสายตาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้
...........................................................
เพิ่งมาสังเกตว่าแต่ละตอนที่อักนั้นยาวมากกกกก
แต่งไปแบบเพลินๆ ไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้
แต่ถึงจะยาวเราก็ไม่อยากจะแยกแบ่งอัพ อัพทีเดียวไปเลยจะได้อ่านกันแบบเต็มๆ
หลังจากอ่านตอนนี้จบก็พูดได้แค่ หวานมากกก
แต่งเองยังคิดเลยว่าถ้าเราเป็นซินคงได้ตายอย่างสงบศพสีชมพูไปแล้ว
เป็นคู่ที่น่ารักมากๆ ของมากๆๆๆ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ปากจะฉีกแล้ววว น่ารักมากๆ
ปล.ราชาเป็นคนตลก ขำมากกับคำบรรยายของซิน
//องค์ราชาเก่งมากกกกกก *O*
องค์ชายรุกหนักจริงๆ
องค์ชายพอรู้ใจตัวเองแล้วรุกซินหนักมากกกกก