*·~หลอม¤ครั้งที่ XIII ~·*
งานวันแต่งตั้งได้ผ่านพ้นไปด้วยดีโดยไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นอย่างที่คิด ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันท่านพ่อเรียกผมเข้าไปคุยเรื่องนี้ในห้องทำงานส่วนตัวเพราะมีความเป็นไปได้ว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นทว่าในความเป็นจริงกลับไม่มีแม้แต่ความผิดปกติเล็กน้อย
ผมไม่รู้ว่าทำไมแต่หากให้คาดเดาก็มีอยู่หลายทิศทางทีเดียว อย่างการคุ้มกันภายในพิธีซึ่งนอกจากจะมีหน่วยทหาร หน่วยนักเวทย์และหน่วยองครักษ์แล้วยังมีอีกหน่วยที่ไม่เคยเห็นออกงานใดอย่างหน่วยองครักษ์เงาด้วย ตลอดงานมีขุนนางหรือบุคคลในห้องหลายคนจ้องมองไปยังหน่วยหน่วยองครักษ์เงาด้วยความสงสัย เพราะไม่เพียงจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาแล้วยังสวมใส่ชุดสีดำสนิทในวันพิธีสำคัญนี้อีก
ขนาดหน่วยอื่นๆ ยังจ้องมองด้วยความสงสัยว่าในอาณาจักรมีหน่วยอื่นนอกจากพวกเขาอีกเหรอ แม้จะถูกสายตามากมายจับจ้องหน่วยองครักษ์เงาก็ยังคงนิ่งและนิ่งตลอดงาน พองานจบลงเชื่อไหมว่าพวกเขาหายตัวกันไปแทบจะทันที การหายตัวนั้นไม่ใช่เดินออกจากห้องอย่างคนอื่นๆ แต่เป็นการที่แต่ละคนร่ายเวทย์และหายไปจากการรับรู้ของทุกคนไม่เว้นแม้แต่องครักษ์คนสนิทที่ผมเพิ่งแต่งตั้งอย่างไซซิน เคอร์เรส ดังนั้นทุกคนในห้องจึงแทบไม่มีโอกาสได้ถามหรือทำความรู้จักหน่วยนี้
ถึงจะไม่เห็นแต่ผมรับรู้ได้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ในเวทย์พรางตัวแสนถนัด
ผมไม่ได้เลือกใครเพิ่มเนื่องจากการเลือกไม่จำเป็นว่าต้องเป็นวันนี้เท่านั้น หากต่อไปมีใครที่น่าสนใจผมสามารถเลือกเขาเข้ามาเพิ่มได้อีก ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็รู้ตัวดีว่าใจร้อนไปหน่อย...รีบเลือกซินเป็นคนแรกคงทำให้หลายๆ คนสงสัยอยู่ไม่น้อย
งานในวันแรกๆ ไม่ใช่งานหนักหรือยากอะไร เป็นเพียงงานเอกสารจำนวนมากจนแทบท่วมศีรษะที่แบ่งมาจากองค์ราชาหรือท่านพ่อเท่านั้น การอ่านเอกสารเปรียบเหมือนการอ่านหนังสือผมจึงทำได้รวดเร็วเพราะชอบการอ่านอยู่เป็นทุนเดิม และไม่รู้ว่าเพราะทำงานได้ดีหรือเสร็จเร็ววันต่อมาเอกสารจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว พอหันไปมองหน้าซินที่ยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายก็ทำเพียงกระซิบตอบกลับมาว่าเป็นรับสั่งขององค์ราชา
หลายอาทิตย์ต่อมาผมยังคงทำงานเอกสารที่ไม่มีวันหมดด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย เริ่มเข้าใจท่านพ่อที่ต้องอ่านเอกสารพวกนี้มาหลายสิบปี เนื้อหาในเอกสารเป็นเรื่องยิบย่อยที่บางอย่างไม่จำเป็นต้องผ่านการตัดสินใจจากเบื้องบนก็สามารถดำเนินการต่อได้ทันทีอย่างสีของถังขยะใหม่ในเมืองจะใช้เป็นสีฟ้าหรือสีทอง
ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องถึงมือผมไหม?
“องค์ชาย” เสียงนุ่มจากองครักษ์คนสนิทดังขึ้นหลังจากเปิดประตูเข้ามา ผมเป็นคนออกคำสั่งหลังทำงานในห้องนี้ได้หนึ่งอาทิตย์ว่าซินไม่ต้องเคาะประตูเนื่องจากแต่ละวันเขาเข้าออกห้องนี้นับสิบครั้งหากต้องเคาะขออนุญาติทุกครั้งคงไม่ใช่เรื่องดี
“มีเอกสารเพิ่มหรือ” ผมเงยหน้าขึ้นไปถาม
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเตรียมมื้อเที่ยงมาให้ เห็นว่าได้เวลาแล้ว” อีกฝ่ายตอบ ผมเพิ่งสังเกตว่าในมือของซินมีถาดอาหารอยู่
“ได้เวลาแล้วจริงด้วย เจ้าทานอะไรรึยัง” ผมถามบ้าง
“กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เหมาะสม...”
“งั้นเปลี่ยน ข้าไปทานกับเจ้าละกัน” ผมเปลี่ยนคำพูดเล็กน้อย
“...นั่นยิ่งไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ” ซินเงียบพลางขมวดคิ้วคล้ายแปลความหมายของประโยคเมื่อครู่เสร็จถึงตอบกลับมา สีหน้าคล้ายคนกำลังครุ่นคิดนั่นน่ามองไปอีกแบบ
“...” ครั้งนี้ผมเลือกที่จะเงียบและเงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาสีขาวสว่างตรงหน้าเนื่องจากผมนั่งและอีกฝ่ายยืนอยู่ถัดออกไป
ทุกครั้งผมมักจะใช้วิธีพูดซ้ำจนกว่าอีกฝ่ายจะตกลง ครั้งนี้ผมจึงลองเปลี่ยนดูบ้างใช้แต่วิธีเดิมๆ ผมกลัวว่าซินจะเห็นว่าผมนิสัยเด็กๆ แม้ว่าการกระทำนี่จะเด็กไม่ต่างกันก็ตาม
ดวงตาสีขาวที่ผมจับจ้องไปเริ่มสั่นระริกคล้ายไม่แน่ใจในการกระทำอันแปลกตาของผมทว่าดวงตาสีฟ้าสว่างของผมก็ยังคงจับจ้องไปโดยปราศจากคำพูด เพียงไม่นานพวงแก้มสีขาวซีดก็เริ่มถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงจางๆ พานเอาคนมองอยากยื่นมือเข้าไปสัมผัสในระยะประชิดซะเหลือเกิน
ด้วยผิวขาวจัดของซินทำให้มองเห็นสีแดงที่แผ่ออกมาได้ชัดเจนกว่าคนอื่น แต่ผมก็ไม่เห็นเขาจะหน้าแดงหรือแสดงสีหน้าอะไรให้คนอื่นเห็นนัก ปกติจะทำหน้านิ่งอยู่ตลอดทั้งวันแต่พอเป็นผมที่มอง ยิ้ม พูดหรือแม้แต่สัมผัสซินกลับแสดงตัวตนออกมาอย่างชัดเจน
ความรู้สึกสนใจมันมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจห้ามได้
ตอนนี้ผมแทบไม่สนแล้วว่าซินเป็นคนเดียวกับคนที่ช่วยผมเหมือสิบกว่าปีก่อนหรือไม่ สำหรับผมซินในตอนนี้มีความหมายและสำคัญมากในหลายๆ แง่
ความจริงการเอาเอกสารมาห้อง เสิร์ฟน้ำชาหรือยกอาหารเข้ามาล้วนแต่เป็นหน้าที่ของคนอื่นทั้งสิ้นแต่ผมอยากเห็นหน้าอีกฝ่ายอยู่ตลอดเลยเลือกให้ทำนั่นทำนี่ซึ่งซินเองก็ไม่ได้มีท่าทีไม่ชอบหรือรำคาญ หน้าที่องครักษ์คนสนิทจะคอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ตลอดก็จริงแต่จะเป็นทางด้านหลังห้องทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าได้ พอจะให้มายืนด้านหน้ามีหรือที่ไซซิน เคอร์เรสจะพูดว่าพ่ะย่ะค่ะและทำตามผมจึงต้องให้อีกฝ่ายหยิบนั่นส่งนี่ตลอด
“เอ่อ...องค์ชายทรงต้องการอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปนานฝ่ายที่ทนไม่ได้จนต้องเอ่ยถามก่อนก็คือซิน
“ข้าบอกความต้องการของตัวเองไปแล้ว” ใช่ ผมบอกไปแล้วนะว่าต้องการอะไร
“...กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
“...” ผมเลือกที่จะเงียบโดยที่ยังสบดวงตาสีขาวกับแก้มสีแดงระเรื่อนั่นต่อ
“เข้าใจแล้ว กระหม่อมจะทานมื้อเที่ยงกับพระองค์เพราะงั้นได้โปรดเลิกมองกระหม่อมเถิด” น้ำเสียงสั่นๆ นั่นฟังกี่ทีก็ยังเรียกความสนใจผมไปได้เสมอ เป็นเสียงของผู้ชายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ชื่อว่ารองหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาของอาณาจักร
“ถ้าข้าไม่เลิกมองล่ะ” ผมถามกลับ หลายครั้งที่ผมสบตากับซิน เจ้าตัวไม่เคยเป็นฝ่ายหลับตาหรือหลบสายตาเลยสักครั้ง พอดวงตาสีฟ้าของผมสบประสานไปดวงตาสีขาวนั่นก็คล้ายจะถูกตรึงไว้
“...หากไม่เลิกมองแล้วกระหม่อมจะไปนำอาหารของตัวเองมาได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ได้” ผมยอมละสายตาออกเมื่อเห็นท่าทางนั่นจนพอใจ ถึงจะอยากมองต่ออีกหน่อยแต่หากไม่รีบจัดการงานวันนี้อาจไม่เสร็จ อีกอย่างแกล้งมากๆ ผมก็กลัวจะโดนเกลียดเหมือนกัน
ผมยัดเยียดหลายๆ อย่างให้เขาโดยไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ อย่างตำแหน่งองครักษ์คนสนิทเองก็เช่นกันหากผมไม่ยอมรับข้อเสนอพบกันครึ่งทางอีกฝ่ายอาจไม่ยอมรับทั้งที่มีหลายคนต้องการตำแหน่งนี้แต่ซินกลับทำเหมือนไม่ต้องการ และไม่ดีใจที่ได้รับตำแหน่งนี้สักเท่าไหร่
มื้อกลางวันผ่านไปก่อนเอกสารปึกใหม่จะถูกยกเข้ามา ครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือซินเพราะเขายืนอยู่ด้านหลังผม คนที่เคาะประตูและเดินเข้ามาคือองครักษ์คนสนิทของท่านพ่อ ฝาแฝดเพียงคู่เดียวที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สุดในอาณาจักร มากไปด้วยความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น
“หม่อมฉันขออภัยเพคะที่ต้องให้พระองค์รับทำงานเอกสารเหล่านี้แทนองค์ราชาที่ตอนนี้กำลังติดภารกิจ” ภาชาน้องสาวฝาแฝดเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
“ไม่เป็นไร” ผมบอก เธอก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนนำเอกสารมาวางไว้บนโต๊ะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอหันไปมองซินที่อยู่ด้านหลังผมคล้ายจะสื่อสารอะไรบางอย่าง พอผมหันไปมองซินก็ทำเพียงยกยิ้มปลงๆ พลางส่ายหน้าเล็กน้อยส่งไปให้
“เป็นไปได้ว่าอาจเป็นป่าด้านหลังของปราสาทบริเวณทะเลสาบ” ซินเอ่ยเสียงเบา คนฟังอย่างผมได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่ากำลังคุยอะไรกัน
“...” ภาชาส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่แน่ว่าอาจเป็นในอุโมงค์”
“...” ภาชาส่ายหน้าอีกครั้งหลังซินพูดจบ
“...งั้นอาจเป็นบนหลังคาปราสาท” พอซินพูดจบภาชาก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะองค์ชายฮาล์บ ซิน ขอบคุณ” เธอเอ่ยลาผมและซินก่อนจะออกจากห้องไปด้วยใบหน้าสดใสขึ้น
“ซิน” ผมเอ่ยเรียกเมื่อห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” จนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจเลยว่าสถานที่พวกนั้นคืออะไร
“ไม่มีอะไร...เอ่อ...ภาชากำลังตามหาองค์ราชาอยู่พ่ะย่ะค่ะ” เหมือนตอนแรกซินจะไม่ตอบแต่ก็เปลี่ยนใจ
“หาท่านพ่อ?” ไหนบอกว่ากำลังติดภารกิจไม่ใช่
“องค์ราชาไม่ค่อยโปรดงานเอกสาร เกือบทุกครั้ง ไม่ใช่...บางครั้ง...องค์ราชาก็มักจะชอบหายตัวไปบ่อยๆ แล้วให้คนอื่นจัดการเอกสารแทน” ผมรับฟังคำอธิบายนั่นด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก
ก็รู้ว่าท่านพ่อค่อนข้างร่าเริงและรักสนุกแต่ไม่คิดว่าจะมีการหนีไม่ยอมทำงานแบบนี้ด้วย
“แล้วเจ้ารู้ว่าท่านพ่ออยู่ไหนได้ยังไง” สถานที่หลายแห่งเมื่อครู่คงไม่พ้นสถานที่ที่ท่านพ่อน่าจะอยู่
“กระหม่อมเคยเป็นคนตามหาองค์ราชาบ่อยๆ เลยรู้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮืม...สนิทกับท่านพ่อมากสินะ” ผมไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงตัวเองถึงดูไม่ปกติถึงขนาดนี้
คล้ายจะไม่พอใจแฝงไปด้วยความอิจฉาเล็กๆ
“ไม่ได้สนิทมากแต่ก็ไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบค่อนข้างกำกวมทีเดียว
“เทียบกับข้าล่ะ” โดยไม่รู้ตัวผมก็หลุดปากออกไปซะแล้ว
“...กระหม่อมไม่เข้าใจความหมาย”
“ถ้าเทียบท่านพ่อกับข้า เจ้าสนิทกับใครมากกว่ากัน” ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าทำไมถึงได้ถาม หรือแม้แต่ต้องการคำตอบแบบไหนก็ไม่รู้เช่นกัน
“...มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซินไม่ตอบแต่ถามกลับแทน
“ถ้าให้เทียบกระหม่อมคงสนิทกับองค์ราชามากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“...” ผมเงียบลง ถึงจะพอเดาคำตอบได้แต่ไม่คิดว่าจะรู้สึกไม่พอใจแบบนี้ทั้งที่อีกฝ่ายคือพ่อของตัวเอง
อยากชนะหรืออยากเหนือกว่าท่านพ่อเหรอ
ถ้าเป็นเรื่องซินผมคงตอบว่าใช่
อยากรู้เรื่องของอีกฝ่ายและอยากสนิทกันมากกว่านี้
“...” ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ซินขมวดคิ้วแน่นราวกับกำลังพยายามทำความเข้าใจคำถาม
“ข้าอยากรู้เกี่ยวกับเจ้า และอยากสนิทด้วยมากขึ้นไม่ได้หรือ” ผมหมุนเก้าอี้ไปทางด้านหลังก่อนจะลุกขึ้นยืนให้สายตาอยู่ในระนาบเดียวกัน ส่วนสูงผมมากกว่าซินอยู่พอสมควรแต่ไม่มากถึงขนาดอีกฝ่ายต้องเงยคอขึ้นมา เรียกว่าอยู่ในระดับพอดีที่พอยืนแล้วสายตาของพวกเราจะประสานกันได้
“กระหม่อมไม่ได้บอกว่าไม่ได้ เพียงแค่ไม่เข้าใจคำถามเท่านั้น” ซินขยายความ
“ชอบทานอะไร” คำถามแรกของผมอาจกว้างไปสักหน่อยผมจึงถามใหม่อีกครั้ง
“...กระหม่อมทานได้หมดทุกอย่าง”
“ไม่มีที่ชอบเป็นพิเศษเลยหรือ” น่ามีที่ชอบโดดขึ้นมาสักอย่างสองอย่าง
“...ซุปเนื้อพ่ะย่ะค่ะ” คิดสักพักซินจึงตอบออกมา
“มีหลายอย่างแต่ถ้าชอบที่สุดก็กิ้งก่า”
“เอ่อ พวกธรรมชาติไม่ก็หอสมุด”
“เวลาว่างเจ้าทำอะไร” ผมยังคงยิงคำถามต่อ ไม่รู้ว่าซินจะยอมตอบอีกนานแค่ไหนผมจึงต้องใช้โอกาสนี้เก็บข้อมูลสักหน่อย
“อ่านหนังสือ ฝึกเวทย์และการต่อสู้พ่ะย่ะค่ะ”
“...สีฟ้า” ดวงตาสีขาวเหมือนจะสั่นเล็กน้อยยามตอบคำถามนี้
“ถนัดเวทย์แนวไหนมากที่สุด”
“แล้วคนที่ชอบล่ะ” ผมอาศัยจังหวะตอนที่อีกฝ่ายกำลังเหม่อๆ ระหว่างตอบยิงคำถามที่อยากรู้ที่สุด
“องค์...อ๊ะ องค์ชาย” เหมือนจะเอ่ยอะไรออกมาแต่กลับหยุดกะทันหัน ใบหน้าขาวเริ่มแดงระเรื่อไม่รู้ว่าโกรธหรืออายที่โดนถามเรื่องส่วนตัว
“ชอบข้า?” ผมชี้นิ้วมายังตัวเองพลางคลี่ยิ้มหมายจะแกล้งอีกฝ่ายให้รนราน
“มะ ไม่ใช่นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้...” น้ำเสียงสั่นๆ และเส้นผมสีขาวที่สะบัดไปมาเพื่อย้ำคำปฏิเสธนั่นทำเอาคนมองถึงกับพูดไม่ออก ภาพตรงหน้าดึงดูดสายตาให้จบจ้องไป
ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อครู่กลับแดงจัดจนเหมือนผลไม้สุก ดวงตาสีขาวสั่นระริกราวกับเก็บงำความรู้สึกภายในไว้ไม่มิด อีกทั้งยังท่าทางแสนน่ามองอย่างการส่ายหัวรัวๆ นั่นอีก ทุกอย่างนั่นทำให้เสียงหัวใจของผมเต้นดังขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ไม่กี่วันต่อมาผมเปลี่ยนจากนั่งทำเอกสารบนโต๊ะมาเป็นสถานที่ขึ้นชื่ออีกแห่งของอาณาจักรเวธาณาร์ เป็นที่เป็นรู้กันดีว่าบนสุดของอาณาจักรคือปราสาทถัดลงมาเล็กน้อยคือสถาบันสอนเวทมนตร์ ด้านข้างของสถาบันเวทมนตร์มีตึกอิฐสีส้มขนาดยักษ์ตั้งตะหง่านอยู่ ตึกที่ว่าคือหอสมุดขนาดใหญ่ที่สุดในอาณาจักร แน่นอนว่าภายในเต็มไปด้วยหนังสือแทบทุกประเภทตั้งแต่หนังสือสำหรับเด็กไปจนถึงหนังสือเวทมนตร์ขั้นสูง
ด้วยสถานะองค์ชายของอาณาจักรเมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็มีคนมาเตรียมต้อนรับทันที ด้านหลังของผมมีซินและเหล่าองครักษ์เดิม 5 คนคอยตามไปแทบทุกที่
“กระหม่อมยินดีมากที่พระองค์เสด็จมาเยือนที่นี่ ไม่ทราบว่าต้องการหนังสือเล่มใดกระหม่อมจะให้เด็กหามาถวายพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหน้าที่ดูแลหอสมุดพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะเดินดูเอง พวกเจ้าก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเถอะ” ผมไม่ชอบให้คนมาคอยตามติดหรือคอยเอาใจนัก การมีคนล้อมรอบอาจทำให้เกิดมิตรภาพแต่ก็มาพร้อมกับความอึดอัดแปลกๆ เช่นกัน
“พวกเจ้าก็ตามสบายข้าจะอยู่นี่สักครึ่งวัน” ผมหันไปบอกกับองครักษ์ด้านหลัง
“รับด้วยเกล้า” องครักษ์ทั้ง 5 และซินรับคำก่อนจะทยอยเดินแยกย้ายมีทั้งเฝ้าอยู่ด้านหน้าและตามผมเข้ามาด้านใน พวกเขารู้ดีว่าจะตามดูยังไงไม่ให้ผมรู้สึกอึดอัดมากเกินไป
ผมเดินขึ้นไปยังชั้น 5 ของหอสมุดโดยมีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งตามมาด้วย ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าคนตามเป็นใคร มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คอยตามดูแลปกป้องผมไม่ให้ห่าง ขนาดตอนดึกยังคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ทั้งแบบนั้นผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิดเดียว
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” อีกฝ่ายขานรับทันที
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าหน่อย”
“...พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงตอบรับงงๆ นั่นราวกับจะบอกว่าผมจะขอทำไม
“เจ้าคอยดูข้าตลอดแบบนี้ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือ” ผมถามไปตามที่คิดระหว่างขึ้นบันไดต่อไปยังชั้น 6 ยิ่งขึ้นไปชั้นสูงๆ ก็จะเต็มไปด้วยหนังสือหายากและตำราเวทมนตร์ระดับสูง มีแต่คนที่กระหายความรู้จริงๆ เท่านั้นถึงจะขึ้นมาถึงชั้นบนสุด
หลายคนอาจคิดว่าแค่ร่ายเวทย์ก็สามารถทุ่นแรงได้มาก ซึ่งบอกเลยว่าคิดผิดตึกนี้ถูกสร้างขึ้นจากอิฐสีส้มที่มีอำนาจในการต่อต้านเวทมนตร์เพื่อเอาไว้กันการร่ายเวทย์ด้านในจนหนังสือเกิดความเสียหาย
“ข้าไม่ค่อยเชื่อ เจ้าต้องคอยตามข้าไปทุกที่และดูตลอดเวลาจากตอนนั้นก็ผ่านมาจะครบปีแล้วจะบอกว่าไม่รู้สึกเบื่อเลยคงไม่น่าเชื่อนัก” ผมรู้ว่าเขามีนิสัยยังไง คิดก่อนพูดและค่อนข้างเกรงใจ คงจะคิดละมั้งว่าหากตอบว่าเบื่อจะทำให้ผมรู้สึกไม่ดี
ความจริงก็รู้สึกไม่ดีนิดๆ ล่ะนะ
“กระหม่อมไม่เคยเบื่อเวลาอยู่กับพระองค์สักนิด จริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ” คนด้านหลังพูดเสียงดังและหนักแน่นขึ้น
“...” ผมหยุดก้าวและหันกลับไปประสานดวงตาสีขาวตรงๆ แววตานั้นกำลังบอกว่าไม่ได้โกหก
น่าแปลกที่อยู่ๆ หัวใจก็พองโตซะอย่างงั้น
“...องค์ชายทรงเบื่อที่กระหม่อมคอยตามหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าผมเงียบอีกฝ่ายจึงถามกลับบ้าง
“ทำไมคิดแบบนั้น” คิ้วข้างนึงยกขึ้นเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถามแบบนั้นออกมา
ผมชอบเวลาเรียกแล้วอีกฝ่ายคอยขานรับ
ชอบเวลาที่หันไปมองแล้วเจอดวงตาสีขาวทอประกาย
ชอบเวลาใบหน้าขาวๆ นั่นแดงระเรื่อ
“ก็องค์ชายตรัสเหมือนจะบอกว่าเบื่อที่กระหม่อมคอยตามติดจนพระองค์รู้สึกไม่ดี...”
“ข้าพูดแค่คอยตาม ไม่ได้พูดว่าตามติด และบอกตอนไหนว่ารู้สึกไม่ดี” ผมรีบพูดแทรก ซินแต่งเติมเอาเองจนแทบไม่เหลือเค้าประโยคเดิม
“ข้าไม่เคยเบื่อเวลามีจ้าอยู่ข้างๆ ยิ่งรู้สึกไม่ดียิ่งไม่เคย ถ้าเจ้าพูดผิดอีกข้าจะลงโทษ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซินโค้งศีรษะลงเล็กน้อยน้อมรับคำสั่ง
“แต่ข้าไม่รู้จะลงโทษอะไร เพราะงั้นห้ามพูดผิดเชียว” ผมเผยรอยยิ้มหลังจากทำหน้าหน้านิ่งเคร่งเครียดส่งให้ซิน
“...พ่ะย่ะค่ะ” บรรยากาศหนักๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แม้จะทำหน้านิ่งๆ แต่ผมสังเกตว่ามุมปากของซินยกขึ้นนิดนึง ทั้งที่อยากเห็นตอนยิ้มอีกแท้ๆ
“เจ้าบอกว่าชอบมาหอสมุด” ผมถามต่อหลังจากขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดของหอสมุดแล้ว
ในชั้นบนสุดหรือชั้น 11 เป็นชั้นที่สว่างที่สุดเนื่องจากมีหนังสืออยู่ไม่มากหากเทียบกับชั้นอื่นๆ ขนาดห้องจึงเล็กกว่าและมีพื้นที่นั่งเพียง 2 ที่คือโซฟา 2 ตัวริมผนัง หนังสือเวทมนตร์ระดับสูงไม่ใช่หนังสือที่คนทั่วไปอยากอ่านเนื่องจากเป็นเวทย์ที่ยากทั้งการจำ การร่ายและการควบคุม
“พ่ะย่ะค่ะ ชั้นนี้มีคัมภีร์มหาเวทย์อยู่ด้วย หนังสือเล่มอื่นๆ เองก็น่าสนใจไม่น้อย” ไม่บ่อยนักที่ผมจะเห็นประกายความสนใจในสิ่งใดจากซิน แปลว่าชอบหนังสือจริงๆ
“เจ้าคงอ่านหมดแล้ว” ผมลองเกริ่นดู
“ยังพ่ะย่ะค่ะ...แค่ส่วนมาก”
“งั้นพวกเราก็หยิบอ่านกันสักครึ่งวันละกัน” พูดจบผมก็เดินเข้าไปดูหนังสือในชั้นไม้โอ๊คสีน้ำตาลเข้ม สันหนังสือแต่ละเล่มมีชื่อเขียนกำกับเอาไว้ช่วยให้เดาเนื้อหาด้านในได้พอสมควร
ถึงผมจะชอบอ่านแต่ไม่ได้ชอบมากถึงขนาดซิน อย่างหอสมุดนี่ก็เคยมาอยู่ไม่กี่ครั้ง ชั้นนี้เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกเพราะหนังสือเวทย์ในปราสาทเองก็มีอยู่พอสมควร
ซินก้าวเดินไปยังชั้น เพียงพริบตาหนังสือประมาณ 3 เล่มถูกหยิบออกมาไว้ในอ้อมแขนราวกับรู้ที่อยู่ของหนังสือเล่มต่างๆ เป็นอย่างดี ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายคงเดินไปนั่งก่อนทว่ากลับเดินตรงมาหาผมพลางยื่นหนังสือในมือทั้ง 3 เล่มมาตรงหน้า
“กระหม่อมคิดว่าพระองค์อาจจะทรงหาหนังสือแนวนี้อยู่ หากเคยอ่านแล้วกระหม่อมจะไปหาเล่มอื่นให้พ่ะย่ะค่ะ” ซินขยายความ อาจเห็นว่าผมทำหน้างงละมั้ง
“ขอบคุณ” ผมรับหน้าหนังพวกนั้นมาและเริ่มอ่านชื่อเป็นอันดับแรก
เวทย์ขั้นสูงสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านเวทย์น้ำ เป็นชื่อหนังสือเล่มแรกในมือพอไล่ดูชื่ออีกสองเล่มที่เหลือรอยยิ้มของผมก็ปรากฏขึ้นและค้างอยู่แบบนั้น อยากจะหุบแต่ก็หุบไม่ได้ ซินรู้ว่าผมต้องการหนังสืออะไรและถนัดการใช้เวทย์แบบไหน ถึงจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่อดดีใจไม่ได้
“ทรงอ่านรึยังพ่ะย่ะค่ะ” คนรอคำตอบเอ่ยถามอีกครั้ง
“ยังไม่เคยเลย เจ้ารู้ใจข้าจริงๆ นะซิน” ไม่รู้ว่ารอยยิ้มนี่จะหุบได้เมื่อไหร่แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้
โซฟาสำหรับใช้นั่งอ่านอยู่คนละมุมกัน ซินให้ผมเลือกก่อนว่าจะนั่งมุมไหนแล้วเขาจึงเดินไปนั่งยังอีกมุมแทน ผมค่อนข้างไม่พอใจที่นั่งของหอสมุด...จะห่างกันอะไรขนาดนี้
อ่านไปได้สักพักผมเงยหน้ามองซินที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมืออย่างไม่ระมัดระวังตัว ดวงตาสีขาวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับมือที่เปลี่ยนหน้าหนังสือทันทียามอ่านจบ แต่ละหน้าใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ
อ่านเร็วขนาดนั้นจะจำเนื้อหาได้เหรอ
ผมคาใจจนกระทั่งได้เห็นริมฝีปากบางๆ ขยับพึมพำคาถานั่นแหละ
จะให้พูดกี่ครั้งก็ได้ว่าไซซิน เคอร์เรสสุดยอด
ระหว่างกำลังคิดอะไรเพลินๆ ไฟทั้งชั้นก็ดับลงอย่างกะทันหัน พอมองลงไปด้านล่างก็เห็นว่าชั้นอื่นๆ เองก็ดับสนิทเช่นกัน โครงสร้างตึกเป็นบันไดแบบวนโดยแต่ละชั้นจะมีห้องเข้าไปอีกนั่นทำให้เมื่อมายืนตรงบันไดสามารถมองเห็นด้านล่างได้ชัดเจน
“องค์ชายทรงระวังตัวด้วย” ซินเอ่ยพลางเดินเข้ามาใกล้ผม แม้แต่เสียงฝีเท้าของซินยังเบาจนแทบไม่ได้ยิแสดงถึงฝีมือในระดับไม่ธรรมดา
“กระหม่อมไม่อยากทิ้งความเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ” ผมพยักหน้ารับรู้ เข้าใจที่ซินพูดเราไม่สามารถฟันธงได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวผมไหมแต่ก็ไม่ควรคิดว่าไม่เกี่ยว
กระจกด้านบนแตกพร้อมกับร่างของชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ซินไม่มีท่าทีชะงักแม้แต่นิดเขาวิ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็วพร้อมปล่อยหมัดซ้ายขวา แม้ไฟจะดับแต่ด้วยความที่มีหน้าต่างและเวลานี้ไม่ใช่กลางคืนจึงมีแสงสว่างพอให้สามารถมองเห็นได้
ผมกำลังคิดว่าจะเข้าไปช่วยซินดีไหม ทว่ายังไม่ทันคิดได้ผู้บุกรุกอีกสองคนก็เข้ามาทางบานหน้าต่างที่แตก ผมไม่รอช้าวิ่งเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วยทันที ลูกเตะล่างที่โจมตีเข้ามาผมหลบได้เช่นเดียวกับหมัดซ้ายจากอีกคน ซินเองหลบเลี่ยงการโจมตีของอีกฝ่ายได้ดีไม่แพ้กัน พอมีจังหวะทั้งผมและซินต่างโจมตีกลับไป หากฝีมือแค่นี้ต่อให้ร่ายเวทย์ไม่ได้ก็สามารถเอาชนะได้ไม่อยาก
คิดไปนั้นได้ไม่ถึง 5 วินาทีอีกฝ่ายก็หยิบอุปกรณ์เวทมนตร์ขึ้นมา ถึงจะบอกว่าร่ายเวทย์ในตึกนี้ไม่ได้แต่ไม่เคยบอกว่าอุปกรณ์เวทย์ไม่สามารถทำงานได้
ไม่มีเวลาแม้จะหันไปสบตาสื่อสารกับซิน ผมรู้เพียงว่าหากถอยไปตั้งหลักจะเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ผมจึงเลือกที่จะเข้าประชิดตัวแล้วปัดอุปกรณ์นั้นให้พ้นทางพร้อมโจมตีไปยังบริเวณท้องซึ่งเป็นจุดที่ง่ายต่อการโจมตี หันไปมองด้านซินเองก็ทำเช่นกัน อุปกรณ์เวทยมนต์ 3 ชิ้นกลิ้งอยู่บนพื้นโดยที่เจ้าของของพวกมันกองอยู่บนพื้นไม้ถัดไปไม่ไกล
“ตายซะให้หมด!” เสียงจากนอกหน้าต่างดังขึ้นพร้อมอุปกรณ์เวทมนตร์ที่โยนเข้ามาด้านใน อุปกรณ์นั่นคงทำงานทันทีหลังจากกระทบพื้นไม่ก็ปลดชนวน
“ซิน!” ผมตะโกนเสียงดังเมื่อร่างกายโปร่งบางเคลื่อนไหวมาอยู่ด้านหน้าและจัดการหมุนตัวเตะโด่งอุปกรณ์เวทมนตร์ออกไปด้านนอกหน้าต่างท่ามกลางความตกตะลึงของผมและคนโยน
“อย่าคิดว่าจะสามารถแตะต้ององค์ชายได้!” ซินประกาศกร้าวพร้อมใช้มือจับยึดชันหนังสือและใช้แรงนั้นส่งตัวเองขึ้นไปยังหน้าต่างบานที่แตก
ผู้บุกลุกรีบถอยหนีทว่าไม่อาจหลบพ้นซินที่กระโดดตามออกไปได้ ผมวิ่งไปยังหน้าต่างอีกบานที่อยู่ด้านแล้วก้มดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซินจับตัวชายคนนั้นไว้แน่นก่อนจะใช้เข่าพุ่งเข้ายังใบหน้านั้นแม้ร่างกายจะลอยอยู่กลางอากาศทั้งคู่ เมื่ออีกฝ่ายสลบเวทย์ลอยตัวก็คลายทั้งสองจึงล่วงลงไปด้านล่างด้วยความเร็วสูง
“ซิน สายน้ำสีฟ้าใสจงเคลื่อนย้ายของเหลวแสนอบอุ่นไปยังผืนปฐพีและโอบอุ้มผู้ที่ตกลงสู่ผืนน้ำนั้นด้วยความนิ่มนวลเฉกเช่นกระแสน้ำวนอันนิ่งสงบ” เพราะรู้ว่าภายในหอสมุดร่ายเวทย์ไม่ได้ผมจึงได้ตัดสินใจกระโดดตามซินลงมาพร้อมกับร่ายเวทย์
ดวงตาสีขาวของซินทอประกายตกตะลึงยามเห็นผมและสายน้ำที่โอบอุ้มพวกเราเอาไว้ด้วยกันทำให้สามารถลงพื้นได้โดยไม่บาดเจ็บ ร่างของผู้บุกรุกซินเหวี่ยงลงพื้นคล้ายจะไม่สนใจก่อนซินจะเดินตรงมาหาผมด้วยสีหน้าเหมือนกำลังโกรธ โมโห และไม่เข้าใจ
“องค์ชายทรงกระโดดลงมาทำไมพ่ะย่ะค่ะ” ซินเปิดฉากถามก่อนด้วยสีหน้าตึงๆ
“...ก็ข้าเห็นเจ้าตกอยู่ในอันตราย” ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องพูดเสียงอ่อยคล้ายกำลังสำนึกผิดด้วย
“กระหม่อมไม่เป็นไรก่อนถึงพื้นสามารถร่ายเวทย์ได้ทันแน่นอน แต่การที่พระองค์กระโดดลงมารู้ไหมว่ากระหม่อมรู้สึกตกใจขนาดไหน”
“...รู้” เห็นสีหน้าตกใจขนาดนั้นไม่รู้คงแปลก
“พระองค์ไม่ควรทำเช่นนี้หากเป็นอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง”
“...” ผมไม่พูดอะไรได้แต่ยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายบ่นต่อ
“กระหม่อมรู้ว่าองค์ชายมีพระปรีชาคงจะสามารถร่ายเวทย์ได้ทันแต่การตกลงมาจากชั้น 11 อาจทำให้ร่างกายของพระองค์ได้รับความเสี่ยง...”
“...” ผมยังคงยืนนิ่ง แต่ปากผมไม่อาจนิ่งได้เหมือนใบหน้า
ผมกำลังยิ้มและยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่กำลังถูกบ่นไม่หยุด
“แรงอัดอากาศอาจส่งผลให้เกิดบาดแผลนอกได้ง่ายๆ ...พระองค์ทรงยิ้มอะไร” เหมือนซินจะสังเกตเห็นแล้วว่าผมกำลังยิ้มอยู่ ซินไม่ใช่พูดมากหรือชอบพูดดังนั้นจึงไม่บ่อยที่จะเห็นเขาพูดยาวๆ ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแบบนี้
ครั้งก่อนผมก็ถูกบ่นเพราะเข้าไปช่วยกันไม่ให้ซินได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าห่วงข้า” ผมเอ่ยไปเพียงประโยคเดียวใบหน้าตึงๆ ปนเคร่งเครียดก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พวงแก้มสีขาวเริ่มแดงระเรื่ออย่างน่ามอง ริมฝีปากที่กำลังพ่นคำแสดงความเป็นห่วงอ้าๆ หุบๆ คล้ายไม่รู้จะเอ่ยอะไร
“...ฟังที่กระหม่อมพูดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ตั้งสติได้ก็กลับมาทำหน้านิ่งอีกรอบ
“อืม ฟังอยู่ เจ้าห่วงข้า”
“จะบอกว่าไม่ห่วงข้า?” พอผมถามกลับอีกฝ่ายก็ถึงกับสะอึกเส้นผมสีขาวสะบัดไปมาเพื่อปฏิเสธ
“ไม่ใช่ เอ่อ ที่กระหม่อมพูดหมายถึงพระองค์ไม่ควรกระโดดลงมา” ซินพูดเสียงเบากว่าเดิม ดวงตาสีขาวตอนแรกมีความโมโหและไม่พอใจแต่บัดนี้กลายมาเป็นร้องขอ
“หัวใจกระหม่อมเกือบหยุดเต้นเมื่อเห็นพระองค์กระโดดลงมา ทั้งร้อนรนทั้งเป็นห่วง เพราะงั้นอย่าทำแบบนี้อีกได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเองก็ตกใจที่เจ้ากระโดดลงไปไม่ต่างกัน จะให้อยู่นิ่งๆ รอเจ้าตกลงไปข้าทำไม่ได้” ทำไม่ได้จริงๆ
“พระองค์ไม่จำเป็นต้องสนใจกระหม่อม...”
“ขอโทษ ข้าคงทำแบบนั้นไม่ได้”
นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นผ่านไปซินได้นำอุปกรณ์เวทมนตร์ไปตรวจสอบและได้พบว่าเวทย์ด้านในเป็นเวทย์โจมตีและเวทย์ผนึกแบบผสาน หากโดนเข้าไปอาจเกิดอันตรายครั้งใหญ่ การไม่รู้ว่าใครคือตัวการทำให้ต้องระวังตัวอยู่ตลอดยิ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซินถูกองค์ราชาเรียกให้ไปทำอะไรสักอย่างบรรยากาศจึงค่อนข้างตรึงเครียดเนื่องจากมีองครักษ์คอยตามผมมากกว่าปกติในระหว่างนั้น
พูดตรงๆ ว่าผมค่อนข้างอึดอัดกับการถูกตามเฝ้าจนถึงหน้าห้องนอนถึง 5 คน แต่แล้วบรรยากาศก็ผ่อนคลายขึ้นมากยามซินกลับมาทำหน้าที่ปกติในสัปดาห์ต่อมา
อาจเพราะเหตุการณ์ร้ายๆ หลายครั้งรู้ไปถึงองค์ราชินีหรือท่านแม่จึงได้เรียกผมไปหาเพื่อพูดคุยผ่อนคลายในสวนด้านหลังของคฤหาสน์หลังหนึ่งของท่านแม่ นอกจากปราสาทแล้วมีคฤหาสน์ส่วนตัวอยู่อีกหลายแห่งเวลาต้องการพักผ่อนมักจะออกมาอยู่นี่มากกว่าปราสาท
คฤหาสน์ของท่านแม่ค่อนข้างเล็กแม้จะมีเนื้อที่มากเพราะพื้นที่ส่วนมากใช้ไปกับการจัดสวนเตี้ยๆ สไตล์ต่างชาติที่จะมีหินและต้นไม้พุ่มเล็กๆ จัดประดับตกแต่ง ตรงกลางสวนมีศาลาสำหรับนั่งคุยถัดออกไปไม่ไกลมากเป็นสวนกุหลาบขนาดประมาณอกปลูกเรียงรายคล้ายเขาวงกต
“ฉันขอคุยกับลูกชายตามลำพังนะซิน” น้ำเสียงของท่านแม่ไม่ได้เหมือนกำลังออกคำสั่งแต่คล้ายจะของเวลาส่วนตัว
“ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขออนุญาตจะไปอยู่ทางสวนกุหลาบนั้นได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจากไปซินขออนุญาติอีกรอบ
“ได้แน่นอนจ๊ะ ช่วยดูหน่อยก็ดีกุหลาบพวกนั้นช่วงนี้ไม่ค่อยออกดอกเลย”
“กระหม่อมไม่แน่ใจว่าจะช่วยเรื่องนี้ได้” ซินทำหน้าไม่แน่ใจระหว่างพูดแต่ก็รับปากว่าจะพยายามหาทาง
ศาลากลางสวนจึงเหลือเพียงผมและท่านแม่ น้ำชายยามบ่ายเสิร์ฟพร้อมของว่างง่ายๆ ตั้งแต่มาถึงศาลานี่ไม่นาน แม้จะเป็นช่วงบ่ายทว่าอากาศกลับไม่ร้อนอบอ้าวนัดยิ่งศาลาหลังขาวนี่มีหลังคายิ่งทำให้ไม่ร้อน ลมแย็นๆ พัดเข้ามาไม่ขาดสาย
“ท่านแม่รู้จักซินด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถามหลังยกแก้วชาขึ้นมาจิบ
“แน่นอนจ่ะ ไซซิน เคอร์เรสเป็นเด็กที่พ่อของลูกพามาอยู่ด้วยเมื่อประมาณเกือบ 20 ปีมาแล้วมั้ง” ท่านแม่ทำท่านึกระหว่างเล่า
“ท่านพ่อพามา?” เรื่องนี้ไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย
“ตอนแรกที่แม่เห็นสภาพเขาค่อนข้างแย่ นอกจากตัวเล็กแล้วยังผอมมากๆ ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะอ้วนขึ้นมาได้ แต่ปัญหาอยู่ตรงเขาไม่ชอบการสื่อสารกับใครเลยค่อนข้างเก็บตัว เหมือนจะได้ยินคาราสบอกว่าเกลียดสีผมกับสีตาของตัวเอง” ท่านแม่เล่าต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ผมพยักหน้ารับเป็นพักๆ
เรื่องพวกนี้ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ซินไม่เคยเล่าให้ผมฟัง...แต่จะให้เล่าคงไม่ได้เพราะผมไม่เคยถาม
ข้อมูลเดียวเกี่ยวกับครอบครัวของซินคือไม่มีใคร
ไม่รู้เลยว่าเส้นผมสีขาวกับดวงตาสีเดียวกันนั่นจะเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายเกลียด สำหรับผมไม่ว่ามองกี่ครั้งก็รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้สายตาจับจ้อง สีขาวซึ่งเป็นความผิดปกติของพันธุกรรรมที่หาได้ยากยิ่งไม่เห็นน่าเกลียดเลยสักนิด
“ท่านแม่รู้ไหมว่าทำไมถึงเกลียดสีตาและสีผมตัวเอง”
“เรื่องนี้แม่ไม่รู้เหมือนกันนะ ลูกลองไปถามเขาเองเถอะ อ๊ะ!...แต่ค่อยไปถามหลังจากคุยกับแม่เสร็จแล้วนะ” ท่านแม่รีบพูดดักเผื่อผมจะลุกหนี
“ลูกเองก็อยากคุยกับท่านแม่เช่นกัน” ช่วงนี้ท่านแม่ไม่ได้อยู่ในปราสาทแต่มาอยู่นี่แทนผมจึงไม่ค่อยได้เจอนัก
พวกเราแม่ลูกคุยกันอยู่สักพักใหญ่ในเรื่องทั่วๆ ไปอย่างการทำงานหรืออาหารที่กินในแต่ละมื้อว่าเป็นยังไงบ้าง ผมฟังท่านแม่พูดเรื่องต่างโดยมีไม่น้อยเลยสายตาผมมักจะหันไปมองยังสวนกุหลาบด้านข้าง เส้นผมสีขาวของซินแม้จะอยู่ไกลก็ยังเป็นจุดเด่นอยู่ไม่น้อย ตอนนี้อีกฝ่ายกำลังก้มๆ เงยท่ามกลางต้นกุหลาบสีขาวสะอาดตา ดวงตาสีขาวเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามคล้ายกำลังคิดบางอย่าง
การกระทำเหล่านั้นดึงดูผมให้จับจ้องไป
“...แล้วรู้ไหมว่าพ่อเจ้าพูดว่าแม่อ้วนขึ้นจนแม่ต้องอดของหวานไปสองอาทิตย์เต็มๆ แม่อ้วนตรงไหนชุดก็ยังใส่ได้...ถึงจะคับนิดหน่อยก็เถอะ” ท่านแม่ยังคงเล่าถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน
“ท่านพ่อเป็นห่วงสุขภาพของท่านแม่จึงได้พูดแบบนั้น” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถึงแบบนั้นก็เถอะ ผู้ชายหยาบคาย เห่อลูก” ผมหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อฟัง ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ต่างรักผมมากกว่าใคร เอาใจใส่ดูแลและมอบความรักให้อย่างดี
ผมสามารถสัมผัสถึงความรักได้อย่างชัดเจน หากพูดถึงความเห่อลูกผมคิดว่าพวกเขาคงมีเท่าๆ กัน
“คุยอะไรกันสนุกเลยทั้งสองคน” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นพร้อมร่างบอบบางในชุดเดรสสีม่วงอ่อนจะเดินเข้ามายังศาลาด้วยรอยยิ้ม
“น้าเบลญ่า ยินดีที่ได้พบท่าน” ผมเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท น้าเบลญ่าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของท่านแม่ ผมมักจะได้เจอเธอตามงานเลี้ยง เคยได้ยินว่าก่อนท่านพ่อจะพบรักกับท่านแม่พระองค์เคยถูกให้หมั้นหมายกับน้าเบลญ่า แต่พอเจอหน้าท่านแม่ท่านพ่อก็ขอถอนหมั้นและแต่งกับท่านแม่แทน
“ยินดีเช่นกันเพคะองค์ชาย พระองค์โตขึ้นมากและช่างหล่อเหลาเหมือนบิดาท่านไม่มีผิด ข้าขอร่วมวงด้วยได้หรือไม่” น้าเบลญ่าหันไปถามประโยคสุดท้ายกับท่านแม่
“แน่นอนพี่เบลญ่า วันนี้เซนเบลไม่มาด้วยหรือ” ท่านแม่ถามกลับ
เซลเบลคือลูกชายของน้าเบลญ่า เป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่อายุมากกว่าผมประมาณ 4 ปี เห็นว่าตอนนี้เข้ารับตำแหน่งนักการทูตด้วยความสามารถทางการสื่อสารเป็นยอดบวกกับหน้าตาและรอยยิ้มอันอ่อนโยน ผมเคยเจอเขาล่าสุดเมื่อหลายเดือนก่อนจะได้เจอกันซิน
“มาสิ เห็นว่าขอไปเดินเล่นในสวนกุหลาบหน่อย นั่นไง” ทันทีที่คำว่าสวนกุหลาบดังขึ้นผมก็แทบจะหันควับไปด้านข้างด้วยความเร็ว
ภาพของซินที่เมื่อครู่ยืนอยู่ตามลำพังบัดนี้มีร่างของชายรูปร่างสูงผมสีน้ำตาลและดวงตาสีเดียวกันยืนอยู่เคียงข้างโดยที่ชายคนนั้นจับจ้องไปยังซินด้วยสายตาอ่อนโอนและรอยยิ้มละมุน หญิงสาวคนใดได้เห็นคงจะหลงเสน่ห์ทั้งรูปลักษณ์และท่าทางของเขาเป็นแน่
ภายในอกผมเริ่มสั่นไหวด้วยความรู้สึกไม่ชอบปนไม่พอใจแปลกๆ ยามเห็นภาพทั้งคู่พูดคุยกัน ซินเองไม่ได้มีทีท่าแสดงออกมากมายเขาก้มหัวเล็กน้อยเพื่อทักทายก่อนเซนเบลจะเปิดบทสนทนาต่อแทบจะทันที
“เหมือนพวกเขาจะเข้ากันได้ดีนะ” ท่านแม่ตรัสบอก
“เขาคนนั้นเป็นใครหรือ” น้าเบลญ่าถาม
“องครักษ์คนสนิทของหม่อมฉันเอง” ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดคำว่าคนสนิทด้วยทั้งที่แค่อธิบายว่าเป็นองครักษ์ของตัวเองก็น่าจะเพียงพอแล้ว
“เป็นเช่นนี้เอง ฝีมือเขาคงจะต่างกับหน้าตามากพอดูเจ้าถึงได้เอาไว้ข้างกายเช่นนี้” ผมไม่รู้ว่าความหมายของประโยคจากน้าเบลญ่าคืออะไรแต่ก็ไม่อยากคิดหรือเอามาใส่ใจมากนัก
“เขาเก่งกว่าคนอื่น” เก่งกว่ามากๆ ในสายตาผม
เมื่อมีบุคคลที่สามอย่างน้าเบลญ่าเข้ามาร่วม บนสนทนาจึงเปลี่ยนหัวข้อไปทางสองสาวนิทาสามีผมที่เป็นชายจึงได้แต่พยักหน้ารับฟังโดยปรายตาจับจ้องไปยังซินที่ตอนนี้ยังคงพูดคุยกับเซนเบลไม่จบ ความรู้สึกไม่พอใจแปลกๆ ยิ่งมีมากขึ้นแต่ผมก็สะกดมันไว้ให้อยู่ลึกที่สุด
ทว่าเพียงการกระทำเดียวทำเอาสิ่งที่สะกดไว้ปะทุขึ้นอย่างฉับพลัน ใบหน้าของเซนเบลประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเสมอแม้แต่ตอนที่เอื้อมมือไปยังใบหน้าขาวของซิน ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ท่ามกลางความตกใจของอีกสองคนแต่ผมไม่แม้จะไขข้อสงสัยเดินตรงไปหาซินด้วยใบหน้าตึงๆ จนตัวเองยังรู้สึกได้
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้” ผมได้ยินเสียงซินเมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้น ซินก้าวถอยหลังเว้นระยะจากอีกฝ่ายซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
“ข้าอยากรู้จักเจ้ามากขึ้น บอกชื่อให้ข้ารู้หน่อยได้ไหม” เซนเบลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและรอยยิ้ม
“...ไซซิน เคอร์เรส” ความรู้สึกดีๆ เมื่อครู่หายวับไปกับตาเมื่อซินทำตามความต้องการขออีกฝ่าย
“เป็นชื่อที่แปลกดี ข้าเซนเบล มาเจนโนสว์”
“เจ้าเหมือนไม่ค่อยอยากทำความรู้จักกับข้าสักเท่าไหร่”
“...” ซินเลือกที่จะให้ความเงียบเป็นคำตอบ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวรู้จักกันไปเจ้าจะอยากรู้จักข้าเอง ไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันไหม” คำถามใหม่ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเดิมๆ
“ขออภัยพอดีเขามีนัดกับข้าแล้ว” ผมไม่รู้ว่าซินจะตอบรับหรือปฏิเสธแต่ผมชิงตอบปฏิเสธให้ก่อนแล้ว
“...ยินดีที่ได้พบองค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์” อีกฝ่ายไม่ได้ตกใจเพียงแค่แปลกใจเล็กน้อยที่ผมเข้ามาขัดจังหวะสนทนา
“ยินดีเช่นกัน” ผมเดินไปยืนขนาบข้างซินคล้ายจะแสดงความเป็นเจ้าของกลายๆ อย่างไม่รู้ตัว
“องค์ชายทรงคุยเสร็จแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซินหันมาถาม
“ข้าอยากเดินเล่นบ้าง” ผมตอบพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ไซซินจริงหรือที่เจ้ามีนัดกับองค์ชายแล้ว?” เซนเบลเอ่ยถามแทรกประโยคที่ซินกำลังจะพูด
ซินกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะเบนสายตามาสบดวงตาสีฟ้าสว่างของผม ความจริงคือผมไม่ได้นัดกับเขาไว้เพียงแค่พูดขึ้นเพื่อกันไม่ให้ซินไปกินข้าวกับเซนเบลเท่านั้น หากซินอยากทำความรู้จักอีกฝ่ายคงจะบอกว่าไม่ใช่และตอบรับคำชวน
“...ขอรับ” ซินพยักหน้าตอบกลับ
ผมแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่ซินปฏิเสธ
“เสียดายจัง ข้ารู้สึกชอบเจ้าขึ้นมาซะแล้วสิ” คำพูดเหมือนเกี้ยวสาวนั่นทำให้คนฟังอย่างผมถึงกับขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พอใจบอกไม่ถูก
“แปลว่าเจ้าตอบรับความรู้สึกข้า?” เซนเบลถามกลับในจังหวะเดียวกับสายตาผมหันควับไปมอง
ทำไมต้องขอบคุณ ทำเหมือนจะตอบรับความรู้สึกนั้นงั้นแหละ
“ข้าไม่รีบร้อน ไว้เจอกันครั้งหน้าค่อยให้คำตอบก็ได้ แล้วเจอกันใหม่นะไซซิน ขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” และแล้วเซนเบลก็จากไปด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศเงียบๆ เกิดขึ้นเมื่อพวกเราต่างไม่เปิดปากพูดอะไรออกมาสักคำ สายลมแผ่วเบาพัดโชยความเย็นให้มากระทบร่างช่วยคลายความรู้สึกครุกรุ่นที่ไม่เคยเกิดขึ้นนี้ให้ทุเลาลงบ้างเล็กน้อย
“องค์ชายทรงกริ้วอะไรพ่ะย่ะค่ะ” เงียบกันได้สักพักซินเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน อีกฝ่ายหันหน้ามาเผชิญกับผมโดยตรง ดวงตาสีขาวนั่นทอประกายสงสัยแฝงไปด้วยความไม่เข้าใจ
“...ข้าหรือ” ผมถามกลับตรงๆ
ใบหน้าผมแสดงออกแบบนั้นเหรอ
“พ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่เดินมาพระองค์ทำหน้าเหมือนกำลังกริ้ว” ซินอธิบายขยายความเพิ่ม
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแสดงออกทางสีหน้าจนถูกจับได้ง่ายๆ เพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองสามารถปิดและสะกดอารมณ์ได้ดี การอยู่ท่ามกลางคนมากมายการสะกดอารมณ์เป็นสำคัญและจำเป็น จะแสดงออกทุกอย่างที่รู้สึกไม่ได้
หากมีแววตาหรือท่าทางไม่มั่นใจหรือกังวลจะส่งผลกระทบโดยตรงกับคนที่มองหรือรับคำสั่ง ผมจึงมักจะแสดงออกด้วยความมั่นใจอยู่เสมอแม้บางครั้งผมจะลังเลมากก็ตาม
เพราะแบบนั้นผมเลยไม่คิดว่าจะแสดงสีหน้าโกรธออกไปตรงๆ จนซินเอ่ยทักแบบนี้
“...เจ้ารู้จักกับเซนเบล?”
“เคยได้ยินชื่อมาก่อนแต่เพิ่งได้เจอตรงๆ วันนี้พ่ะย่ะค่ะ” ซินตอบโดยไม่ปิดบัง
“หมายถึงยังไงพ่ะย่ะค่ะ” ซินเอียงคอเล็กน้อยยามไม่เข้าใจความหมายของคำถาม
“เขาบอกว่าชอบเจ้า เจ้าเองก็ชอบเขาหรือ” ผมพูดตรงๆ ว่าต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวในการพูดประโยคนี้ออกไป แต่หากไม่พูดคืนนี้ผมอาจนอนไม่หลับก็เป็นได้
“กระหม่อมไม่ได้ชอบเขา” ตอบเสร็จก็ส่ายหน้าเพื่อย้ำ
“แต่เจ้าพูดว่าขอบคุณ” ถ้าไม่ได้รู้สึกเหมือนกันทำไมต้องขอบคุณคนที่บอกชอบด้วย
“...กระหม่อมเพียงแค่ขอบคุณที่เขาชอบเท่านั้น การมีคนชอบย่อมดีกว่ามีคนเกลียด...กระหม่อมไม่ควรพูดขอบคุณหรือพ่ะย่ะค่ะ” อยู่ๆ คนถูกถามกลับถามกลับซะอย่างนั้น
“กระหม่อมไม่เคยถูกบอกชอบ” ซินตอบเสียงแผ่วแล้วพยายามหันหน้าหนีเพื่อซ่อนรอยแดงจากบนใบหน้า
“แปลว่าเจ้าไม่เคยมีแฟน?” ผมรีบถามต่อ
“...พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะหันหน้าหนีก็ยังตอบคำถามผม
ใบหน้าตึงๆ ของผมปรากฏรอยยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่ได้ยินคำพูดแสนธรรมดา
“เจ้าควรปฏิเสธไปตรงๆ คำว่าขอบคุณทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเจ้ามีใจให้”
“กระหม่อมไม่ได้ชอบเขา” ซินเบิกตากว้างคล้ายตกใจที่คำพูดตัวเองสามารถแปลความหมายได้แบบนั้น
“คราวหน้าก็บอกเขาไปตรงๆ ซะ”
“เจ้าไม่ควรไปเจอกันสองคน หากจะไปเจอให้บอกข้าจะไปด้วย” ผมพูดเสริมอีกนิด
“...พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะมีแววสงสัยแต่อีกฝ่ายก็พยักหน้าโดยดี
เอาล่ะ ผมว่าตัวเองชักแปลกที่รู้สึกอารมณ์ดีกับสถานการณ์นี้แล้วสิ
“เซนเบลพูดอะไรกับเจ้าก่อนข้ามาบ้าง” ผมยังไม่ยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เขาเข้ามาทักทายปกติพะเจ้าค่ะ คุยเรื่องดอกกุหลาบกับถามว่าเป็นใคร” ซินทำท่านึกระหว่างเล่า
“...กระหม่อมเป็นองครักษ์ของพระองค์” ซินกระพริบตาสองสามครั้งคล้ายจะไม่เข้าใจว่าผมถามทำไม
“เจ้าไม่ใช่องครักษ์ข้า” ผมแย้ง
“...” ซินทำหน้าตื่นทันทีที่ได้ยิน
“ครั้งหน้าถ้ามีใครถามเรื่องนี้ให้เจ้าตอบว่าเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์” ผมแก้ประโยคให้
คำว่าองครักษ์ไม่มีความหมายมากพอสำหรับเขา
“พ่ะย่ะค่ะ” ริมฝีปากบางๆ เม้มเข้าหากันแน่นคล้ายจะปิดบังไม่ให้รอยยิ้มถูกคลี่ออกมาให้เห็น
ยามมองรอยยิ้มที่พยายามปิดบังนั่นก็พานให้ผมเผลอยิ้มตามไปด้วยอีกคน สายตาของซินจับจ้องมายังรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นของผมนานกว่าปกติราวกับกำลังมองรอยยิ้มผมเปรียบเทียบกับอะไรบางอย่าง
“คิดอะไรอยู่ซิน” ถึงจะคิดผมคงคิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีอะไรอยู่ในหัวจึงเลือกที่จะถามออกไปตามตรง
“ข้าเคยบอกแล้วว่าเวลาเจ้าโกหกมันดูออกง่ายมาก” ผมย้ำให้อีกฝ่ายรู้ ซินเป็นคนมองออกง่ายมากหากไม่ได้ทำหน้านิ่งๆ ทุกอย่างที่คิดแสดงออกมาหมดเปลือกทว่าเมื่อทำหน้านิ่งไม่ว่าจะคิดอะไรผมไม่สามารถมองออก
“เอ่อ...กระหม่อมเพียงแค่...”
“แค่?” ไม่ได้เร่งนะแค่อยากรู้เร็วๆ
“เพียงแค่คิดว่าต่างกันจังเลยเท่านั้นเอง” น้ำเสียงแผ่วจนเกือบไม่ได้ยินนั่นถ้าอยู่ไกลกว่านี้คงต้องถามใหม่
“อะไรต่าง?” ผมยังไม่ยอมหยุดแน่นหากไม่ได้รับคำตอบ
“รอยยิ้ม? ของข้ากับใคร?” การที่มองผมคิดได้แค่ว่านำรอยยิ้มของผมไปเปรียบกับใครอีกคน
“ของพระองค์กับท่านเซนบาล...พ่ะย่ะค่ะ” ไม่รู้ว่าผมแสดงอารมณ์ทางสีหน้าออกไปยังไงซินจึงได้พูดเบาลงเรื่อยๆ
“อธิบาย” ผมต้องการคำอธิบาย
รอยยิ้มของผมและเซนบาลถูกเปรียบเทียบ แล้วยังมีคำพูดว่าแตกต่างจังนะอีก
“องค์ชาย...องค์ราชินีทรงรออยู่...”
“ซิน ตอบข้า” ผมไม่ยอมให้อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงไม่ตอบแน่ๆ
“...กระหม่อมไม่รู้ว่าพระองค์ต้องการให้อธิบายอะไร”
“ที่บอกว่ารอยยิ้มข้ากับเซนเบลต่างกันหมายถึงยังไง”
“รอยยิ้มของท่านเซนเบลดูเผินๆ อาจสว่างไสวและอ่อนโยนแต่กระหม่อมคิดว่าไม่ใช่...เขาเหมือนกำลังแสร้งยิ้ม หากเทียบกับรอยยิ้มขององค์ชาย...เอ่อ...” พูดมาถึงตรงนี้ใบหน้าขาวๆ ก็ขึ้นสีอีกรอบ ยิ่งซินเงยหน้าขึ้นมามองรอยยิ้มของผมหน้าก็ยิ่งแดงเข้าไปอีก
“รอยยิ้มขององค์ชายทรงอ่อนโยนและอบอุ่นกว่า”
“เจ้าชอบรอยยิ้มข้ามากกว่าของเซนเบล?” ผมแทบจะหุบยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกชมเรื่องรอยยิ้ม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกดีใจจนหัวใจพองโตขึ้นมา
“ไม่ใช่?” พอเห็นว่าอีกฝ่ายส่ายศีรษะผมก็ขมวดคิ้ว
“สรุปใช่หรือไม่ใช่” ผมยิ้มกับท่าทางน่าเอ็นดูทั้งที่อีกฝ่ายอายุมากกว่าหลายปี ริมฝีปากบางพยายามเอ่ยพูดทั้งที่ลิ้นเหมือนจะพันกันอยู่เช่นเดียวกับศีรษะที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างพยักหน้ากับส่ายหัว
“...ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ซินนิ่งไปสักพักเพื่อรวบรวมสติแล้วจึงตอบกลับมา
“อย่าทรงแกล้งกระหม่อม” ท่าทางกระวนกระวายปนร้อนรนนั่นตรึงสายตาผมจนไม่เห็นสิ่งรอบตัว
“ข้าเปล่า แค่อยากรู้” ไม่ได้แกล้ง...แค่อยากได้ยินชัดๆ
“องค์ชาย...” ดวงตาสีขาวสว่างสั่นระริกคล้ายกำลังร้องขอความปราณี
“ตอบข้าซิน เจ้าชอบรอยยิ้มข้ามากกว่าเซนเบลใช่ไหม” มีหลายครั้งที่ซินพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบแต่เมื่อยื้อไปมาสักพักอีกฝ่ายก็ต้องเป็นฝ่ายยอมทุกครั้งไป
ผมอยากได้ยินคำว่าชอบจากปากซิน
“...พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมชอบรอยยิ้มของพระองค์มากกว่า” ราวกับกำลังกลั้นหายใจตอบ ซินพูดรัวๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสแก้มแดงที่เห่อร้อนจากความเขินอายตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุขกว่าปกติ
สายตาจ้องมองปฏิกิริยาของซินคล้ายจะไม่ให้พลาดแม้แต่การเคลื่อนไหวเดียว
ยิ่งอยากสัมผัสยิ่งอยากครอบครอง
ความรู้สึกแบบนี้คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากชอบ
ผมคงหลงรักองครักษ์คนสนิทคนนี้เข้าซะแล้ว
.........................................................
ความหวานล้ำที่มาพร้อมความหึงหวงนี่ชวนให้ใจละลายจัง
ตอนเราอ่านทวนก็ลงก็รู้สึกเขินขึ้นมา
นี่เราแต่งหวานได้ขนาดนี้เลยเหรอ 555
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
พี่สาวของแม่เรียกว่า 'ป้า' ค่ะ
2 แม่ลูกไม่น่าไว้ใจ ส่วรองค์ชายเราก็หึงขนาด หึงแรงมากๆ
ยอมรับตัวเองแล้วด้วย เหลือทางซินนี่แหละนะ
//มีตัวละครใหม่มาแล้ว จะมีอะไรมั้ยน้าาา -0-