เมื่อผ่านพิธีการจบการศึกษาไปพระโอรสเพียงองค์เดียวของราชาคาราสอย่างองค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์ก็ไม่ได้อยู่เฉยแต่ละวันเขาออกไปฝึกปรือฝีมือทั้งทักษะการต่อสู้กับหน่วยทหารไปจนถึงการฝึกใช้เวทมนตร์กับหน่วยจอมเวทย์ของอาณาจักร แน่นอนว่าหน้าที่ติดตามผมยังคงทำอยู่ตลอดเพียงแค่เปลี่ยนจากตามลับๆ เป็นตามในระยะประชิดซึ่งผมไม่ค่อยชินกับสายตาหลายคู่ที่มองมาด้วยความสงสัยสักเท่าไหร่
อย่างที่เคยบอกว่าหน่วยองครักษ์เป็นหน่วยพิเศษที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จัก หลายคนที่เอ่ยถามองค์ชายถึงตัวตนของผม อีกฝ่ายก็จะตอบกลับไปเพียงเป็นคนสนิท ความรู้สึกภายในใจผมตั้งแต่ได้อยู่กับองค์ชายมันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพยายามหยุดมันสักเท่าไหร่ความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยจะลดน้อยลงเลย
รอยยิ้ม ดวงตา คำพูดหรือแม้แต่แต่น้ำเสียง
ทุกอย่างล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อผม และหลายๆ การกระทำขององค์ชายทำให้ผมคิดแต่ก็ต้องรีบสะบัดมันออกไปทันทีเพราะรู้ดีว่าองค์ชายมีนิสัยเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ต่างมีความรู้สึกดีๆ ให้ทั้งนั้น
จะให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าพิเศษ...
“ซิน เหม่ออะไร” เสียงเรียกจากองค์ชายฮาล์บทำให้ผมที่เหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างหันกลับไปยังต้นเสียง
ตอนนี้พวกเราอยู่ในร้านตัดเสื้อผ้าหรูทางตอนเหนือของเมืองซึ่งอยู่ด้านล่างปราสาทถัดจากสถาบันเวทมนตร์ไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ตึกร้านค้าบริเวณนี้จะเป็นสีอิฐส้มให้ความรู้สึกหรูหรากว่าที่อื่นมาก ไม่เพียงแค่ร้านตัดเสื้อผ้าแต่ยังมีร้านค้าระดับสูงอย่างพวกร้านเครื่องเพชร ร้านค้าอัญมณีหรืออาวุธเวทมนตร์และร้านค้าอื่นอีกมากมาย
คนในปราสาทส่วนมากมักจะเรียกใช้บริการหรือมาเดินเลือกซื้อของแถวนี้มากกว่าบริเวณอื่น สำหรับองค์ชายฮาล์บตอนแรกทางปราสาทจะเรียกให้ทางร้านนี้เข้าไปทำการวัดไซด์ตัดชุดถึงห้องทว่าองค์ชายกลับอยากเดินมาร้านเองมากกว่า ยิ่งคลุกคลีอยู่กับองค์ชายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าองค์ชายฮาล์บเหมาะที่จะขึ้นไปเป็นพระราชามากกว่าใคร
“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่เห็นท้องฟ้าตอนนี้ดูสวยดีเท่านั้น” ผมตอบกลับพลางมององค์ชายกำลังถูกวัดสายวัดวัดส่วนรอบอกอยู่
ภายในร้านเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ถูกตัดเสร็จเรียบร้อยอยู่ด้านหน้าโดยที่ด้านในจะมีห้องสำหรับวัดไซด์เสื้อ เลือกรูปแบบไปจนถึงการเลือกสีและเนื้อผ้ามากมาย เห็นแว๊บแรกผมยังอดอึ้งไม่ได้เลย
แค่ม้วนผ้าก็ไม่รู้ว่ามีกี่พันม้วน
“เมื่อช่วงเช้ามืดมีฝนตกลงมาทำให้ท้องฟ้าตอนนี้ค่อนข้างโปร่ง” องค์ชายพูดพร้อมมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกผ่านทางกระจกตามผมบ้าง
“วัดขนาดเรียบร้อย กระหม่อมจะเผื่อขนาดไว้เล็กน้อยนะพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของร้านตัดเสื้อสุดหรูได้เข้ามาดูแลองค์ชายด้วยตัวเองพ่วงด้วยพนักงานชายและหญิงอีกประมาณ 4 คนคอยช่วย
“อืม อีกห้องก็คงวัดเสร็จแล้วเหมือนกันใช่ไหม” องค์ชายถามต่อ อีกห้องที่ว่าหมายถึงห้องที่องครักษ์ทั้ง 5 คนถูกองค์ชายฮาล์บบอกว่าจะตัดชุดใหม่ให้ แน่นอนว่าผมเองก็ถูกองค์ชายบอกเช่นเดียวกันแต่ผมได้ปฏิเสธไปแล้วเนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องตัดชุดใหม่ขนาดนั้น การมาตัดเสื้อในวันนี้เอาไว้ใช้ในสองโอกาสสำคัญ
โอกาสแรกคืองานวันเกิดขององค์ชายที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ส่วนอีกงานคืองานเข้ารับการแต่งตั้งจากราชาคาราสให้เป็นผู้มีอำนาจเฉกเช่นราชา
“กระหม่อมจะส่งคนไปดูให้ แอนนี่” เจ้าของร้านหันไปเรียกพนักงานหญิงข้างๆ ให้ไปดูอีกห้อง
“หากวัดเสร็จแล้วก็บอกให้พวกเขาไปรอข้างด้านอก”
“อ้อ ช่วยวัดไซส์ของเขาด้วย” องค์ชายฮาล์บเบนสายตามาทางผมระหว่งพูดกับเจ้าของร้าน
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” อีกฝ่ายผงกหัวก่อนจะเดินมาหาผม
“องค์ชาย กระหม่อมบอกว่าไม่ต้อง...”
“เจ้ากล้าสั่งข้าเหรอซิน” แม้ประโยคจะดูเหมือนกำลังไม่พอใจทว่าน้ำเสียงและรอยยิ้มทำให้ผมรู้ว่าองค์ชายรู้สึกสนุกที่ได้แหย่ผมเล่น
“...กระหม่อมไม่บังอาจเพียงแต่...”
“หรือเจ้ามีชุดใส่เข้าร่วมงานวันเกิดและงานรับตำแหน่งของข้าแล้ว” องค์ชายเอ่ยถามต่อโดยไม่รอให้ผมพูดจบประโยค
“กระหม่อมจะไปตัดที่ร้านอื่นพ่ะย่ะค่ะ ร้านนี้ค่อนข้างมากเกินไปสำหรับกระหม่อม” แปลเป็นภาษาง่ายๆ คือแพงเกินไปนั้นเอง อีกอย่างผมไม่จำเป็นต้องตัดถึง 2 ชุดเพราะเพียงชุดเดียวก็สามารถใช้ใส่ทั้งสองงานได้แล้วจะเปลืองเงินตัดถึง 2 ชุดทำไม ยังไงก็ไม่มีใครสนใจเสื้อผ้าที่ผมใส่หรอก
จะว่าไปงานรับตำแหน่งผมมีชุดใส่อยู่แล้วเนื่องจากทุกคนที่เข้าร่วมจำเป็นต้องใส่ชุดตามสังกัดของตัวเอง พูดให้ถูกคือผมที่อยู่หน่วยองค์รักษ์ก็ต้องใส่ชุดประจำหน่วยนั่นเอง
“ข้าออกให้” รอยยิ้มนั่นไม่ได้ทำให้ผมถอนหายใจเบาๆ
“...” ผมถึงกับเงียบเมื่อเจอประโยคต่อมา
ใช่ ผมรู้ว่าองค์ชายฮาล์บมีเงินมากพอจะจ่ายค่าชุดให้แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่อยากรบกวน มันไม่จำเป็นเลยที่ต้องตัดเสื้อในร้านหรูหราขนาดนี้
“ไปวัดไซส์เขา” เมื่อเห็นผมไม่พูดอะไรองค์ชายก็หันไปพูดกับเจ้าของร้านอีกรอบ
“อยู่นิ่งๆ นี่เป็นคำสั่ง” ผมที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอเพียงแค่ได้ยินคำว่าคำสั่ง
แม้จะไม่ค่อยอยากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนนิ่งๆ ให้เจ้าของร้านวัดขนาดตัว ดวงตาสีฟ้าสว่างขององค์ชายทอประกายพอใจเมื่อเห็นว่าผมไม่ต่อต้านอีก
ต่อจากการวัดไซส์หรือขนาดตัวต่อมาคือการดูดีไซน์ของชุด รูปแบบหลากหลายถูกใส่ไว้ในอัลบั้มให้เลือกดูได้สะดวก ดูเหมือนอัลบั้มที่องค์ชายกำลังดูจะเป็นดีไซน์พิเศษที่เพิ่งถูกคิดขึ้นมาสำหรับงานโอกาสพิเศษขององค์ชายแห่งอาณาจักรเวธาณาร์โดยเฉพาะ
“อัลบั้มนี้เป็นดีไซน์สำหรับองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของร้านยื่นอีกอัลบั้มส่งมาให้
“อืม ซินให้เจ้าเลือกรูปแบบให้องครักษ์ของข้า” องค์ชายส่งต่ออัลบั้มในมือมาให้
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมรับคำพร้อมกับเปิดภาพแต่ละรูปแบบดู แต่ละดีไซน์ของชุดองครักษ์มีจุดเหมือนคือความเรียบของชุดที่เป็นแขนยาวและขายาว ส่วนต่างคือรูปแบบของคอปก แขนเสื้อหรือตำแหน่งและรูปแบบของกระดุม
สำหรับเครื่องประดับองครักษ์แต่ละคนจะมีเพื่อบ่งบอกตัวตนของตัวเองอยู่แล้ว อย่างองครักษ์จะมีสัญลักษณ์นกอินทรีกางปีก หน่วยทหารจะเป็นรูปกระทิงและหน่วยจอมเวทย์จะเป็นรูปปลาหางนกยูงมีจุดเด่นอยู่ที่ส่วนหางที่จะยาวออกมา
แต่ละสัญลักษณ์ต่างมีความหมายเป็นของตัวยกตัวอย่างหน่วยองครักษ์ รูปอินทรีหมายถึง ความแข็งแกร่ง ความเฉียบคม ความแน่วแน่และไหวพริบ สื่อถึงความสามารถทางด้านร่างกายความคู่ไปกับความสามารถทางด้านเวทมนตร์มนต์ที่จำเป็นต้องมีไหวพริบในการเลือกใช้ สำหรับหน่วยองครักษ์เงาเองก็มีสัญลักษณ์เดียวกันเพียงแต่ไม่ใช่สีเงินเหมือนอย่างหน่วยอื่นแต่เป็นสีดำสนิท
นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์ย่อยๆ อีกมากมายตามความสามารถแต่ละบุคคลอย่างบางคนมีทักษะการยิงธนูก็จะมีตราสัญลักษณ์รูปธนูเพื่อบ่งบอกถึงสามารถ ไม่เพียงแค่ทักษะทางกายแต่ยังมีทักษะด้านเวทมนตร์ด้วยผมเองก็มีสัญลักษณ์ที่ได้รับมาถึงจะไม่เคยติดเลยสักครั้งก็ตาม
“ซิน เจ้าว่ารูปแบบนี้เป็นยังไง” องค์ชายเรียกผมให้เข้าไปดูรูปแบบของชุดในมือ
“เหมาะกับพระองค์มากพ่ะย่ะค่ะ” ผมมองรูปแบบคร่าวๆ ก็ตอบกลับไป ผมว่าองค์ชายฮาล์บใส่อะไรก็ดูดีไปหมดแหละนะ
“งั้นชุดวันรับตำแหน่ง เป็นแบบนี้ดีไหม” องค์ชายเปิกอีกหน้าที่ใช้นิ้วคั่นไว้ให้ผมดูต่ออีก
“ชุดนี้เองก็ดีไซน์ออกมาได้ดีมากเช่นกัน” อีกชุดที่ผมมองถือว่าดีไซน์ออกมาได้สวยงามมากแม้จะมีลวดลายบนเสื้อแต่เป็นลวดลายเรียบๆ ที่สวยมาก
“ถ้าเจ้าชอบก็ดี สองชุดนี้ตัดให้เขา” องค์ชายยื่นอัลบั้มไปให้ทางเจ้าของร้ายแล้วชี้มายังผม
“พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะดูงงๆ แต่อีกฝ่ายรับคำสั่งโดยไม่ถามมากความ
“...องค์ชายบอกว่า 2 ชุดนั้นเป็นของกระหม่อม?” ผมถามย้ำเผื่อจะได้ยินอะไรผิดไป
“องค์ชายฮาล์บ” ผมเสียงดังขึ้นเล็กน้อยแสดงถึงความไม่พอใจ อัลบั้มชุดนั้นเป็นดีไซน์สำหรับองค์ชายแต่ดันมาตัดให้ผมใส่แบบนี้จะเหมาะสมได้ยังไงกัน
“ข้าเลือกของตัวเองแล้วเลยถือโอกาสเลือกให้เจ้าเลย” องค์ชายไม่สนใจท่าทางไม่พอใจที่ผมแสดงออก
“แต่องค์ชายบอกให้กระหม่อมเลือกรูปแบบ” แล้วที่ผมยืนพลิกไปมานี่คืออะไร
“ใช่ เลือกให้องครักษ์ 5 คนไง”
“...” ผมยืนเงียบ ในหัวกำลังแปลความหมายของประโยคด้านบน
หมายความว่าผมเป็นฝ่ายเข้าใจผิดเองแต่แรกแล้ว?
“โกรธข้าหรือ” องค์ชายทำสายตาเศร้าๆ มองมา
“...กระหม่อมไม่ได้โกรธ เพียงแค่พระองค์ไม่ควรทำแบบนี้ ดีไซน์ชุดพวกนั้นเป็นดีไซน์สำหรับพระองค์ไม่ใช่กระหม่อม” ถึงรูปแบบของชุดจะใกล้เคียงกันแต่ด้วยดีไซน์หลายๆ อย่างทำให้ชุดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“แต่ข้าว่าเหมาะกับเจ้าออก แล้วเลือกรูปแบบได้รึยัง” องค์ชายถามต่อ
“ให้กระหม่อมใส่ชุดแบบเดียวกับทุกคนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมไม่อยากเป็นจุดเด่น พระองค์ทรงรู้ถึงตัวตอนของกระหม่อมดีหากทำตัวเด่นมากๆ อาจมีคนสงสัยได้” ผมรีบพูดเพิ่มเติมโดยไม่ให้องค์ชายฮาล์บมีโอกาสได้พูด
หวังว่าน้ำเสียงจริงจังจะทำให้องค์ชายเปลี่ยนใจได้นะ
“...ก็ได้ อย่าทำหน้าจริงจังแบบนั้นสิ” สุดท้ายองค์ชายก็ต้องยอม
“งั้นต้องให้ข้าเป็นคนเลือกผ้าสำหรับตัดชุดให้” องค์ชายพูดต่อ
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมพยักหน้าตกลง หากรูปแบบเป็นเหมือนคนอื่นๆ เรื่องเนื้อผ้าคงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่
“ดี เจ้าห้ามตามข้าเข้าไปเลือกผ้า รออยู่หน้าห้อง” องค์ชายฮาล์บบอกระหว่างเจ้าของร้านนำทางไปยังอีกห้องหนึ่ง
“...ได้พ่ะย่ะค่ะ” ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ แค่ไม่เข้าใจว่าแค่เลือกเนื้อผ้าทำไมต้องไม่ให้เห็นด้วย
ผมยืนรอองค์ชายอยู่ด้านหน้าประตู ประตูบานนี้มีกระจกอยู่ส่วนครึ่งบนทำให้มองเห็นองค์ชายเดินเลือกผ้าซึ่งผมก็คอยรอบระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นตลอดเวลา
เหตุการณ์วันจบการศึกษาทำให้ผมค่อนข้างกังวลเพราะคนที่จ้องเร่งงานองค์ชายต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากพอขนาดปลอมแปลงสารได้ เวทย์สื่อสารเมื่อมาถึงผู้รับและแสดงข้อความเสร็จมันก็จะสลายหายไปทำให้ไม่อาจสืบได้ว่าใครเป็นผู้ส่งมา
ระหว่างกำลังใช้ความคิดไม่นานองค์ชายก็เดินออกมาจากห้องพอดี ผมเดินตามองค์ชายออกไปยังหน้าร้าน เหล่าองครักษ์ทั้ง5ที่ยืนอยู่ไม่ไกลรีบวิ่งเข้ามาทำคาวามเคารพก่อนพวกเราจะออกเดินทางกลับปราสาท การเดินทางส่วนมากองค์ชายจะเดินมากกว่านั่งรถม้าด้วยเหตุผลคือการเดินเป็นการออกกำลังที่ดี จะมีนั่งรถม้าก็เฉพาะช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุมไปทั่วจนเดินไม่ได้
“ซิน” ระหว่างขากลับองค์ชายเอ่ยเรียก
“พ่ะย่ะค่ะ” ผมขานรับทันที
“เดือนหน้าจะถึงวันเกิดข้า”
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อใช้ความคิดเนื่องจากไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น คนทั้งอาณาจักรต่างรู้จักวันเกิดขององค์ชายเพียงองค์เดียวของอาณาจักรอยู่แล้ว ทุกๆ ปีจะมีการจัดงานอย่างหรูหราโดยจะมีการออกไปพบปะประชาชนและปิดท้ายด้วยงานในห้องโถงของปราสาท
ประโยคนั้นคือประโยคสุดท้ายก่อนพวกเราจะเดินทางกลับมายังปราสาท ในช่วงก่อนวันงานเรียกว่าเป็นช่วงที่องค์ชายฮาล์บยุ่งมากที่สุดเนื่องจากต้องมีการเตรียมการหลายๆ อย่างตั้งแต่โทนสีของงาน การจัดห้องโถงไปจนถึงอาหารและกำหนดการต่างๆ
หากเป็นอาณาจักรอื่นองค์ชายคงไม่ต้องลงมาดำเนินการเองอย่างนี้แต่อาณาจักรเวธาณาร์ไม่ใช่ ไม่ว่าจะเป็นองค์ราชา องค์ราชินีหรือองค์ชายเมื่อมีการจัดงานขึ้นแต่ละคนต้องลงมือคิดทุกอย่างด้วยตัวเองโดยจะมีเหล่าผู้ช่วยนับร้อยคนคอยสนับสนุนให้เป็นไปตามต้องการ
ดังนั้นงานแต่ละงานของอาณาจักรนี้จึงเปรียบเหมือนงานเทศกาลที่จะมีรูปแบบไม่ซ้ำเพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกันอย่างองค์ราชาคาราสจะชอบสีเหลืองนวลและสีทอง งานส่วนมากจึงจะใช้โทนสีนั้นจัดในทางกลับกันองค์ราชินีเอโดร่าชอบสีชมพูอ่อนการจัดงานจึงมีสีสันน่ามองสบายตามาก
ในช่วงค่ำที่องค์ชายฮาล์บกลับเข้าไปในห้องตัวเองแล้วผมก็ยังคงคอยอารักขาอยู่บนต้นไม้เหมือนเดิมแม้จะถูกบอกให้ไม่ต้องตามขนาดนี้แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้ รู้ว่าองค์ชายฮาล์บเก่งแต่แค่เก่งไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป ยิ่งใกล้วันงานผมยิ่งต้องรอบคอบกว่าเดิม ขนาดองครักษ์ทั้ง 5 คนยังสลับเวรกันเฝ้าหน้าห้ององค์ชายในช่วงดึกเลย
นอกจากจะต้องคอยอารักขาองค์ชายแล้วผมยังต้องใช้เวลาที่มีไม่มากหลังแยกกับองค์ชายเพื่อทำของขวัญ เล่นพูดออกมาเต็มปากว่าอย่าลืมของขวัญจะให้ผมทำเฉยคงไม่ได้ ทุกๆ ปีองค์ชายได้รับของขวัญมากมายจากทั้งคนในปราสาทและประชาชนของอาณาจักร แน่นอนว่าผมไม่เคยให้ของขวัญเขาเลยสักครั้งเนื่องจากหน่วยผมไม่ได้เข้าร่วมพวกงานต่างๆ อยู่แล้ว
ครั้งนี้ผมต้องคอยตามองค์ชายตลอดการเข้าร่วมงานโดยไม่ของขวัญให้เจ้าของงานดูจะไม่ดีเท่าไหร่ผมจึงได้คิดล่วงหน้าแล้วว่าจำอะไรบางอย่างให้
“ความร้อนจากใต้พื้นธรณีจงกลายเป็นหอกอันแหลมคมที่หลอมละลายเหล็กกล้าให้กลายเป็นดังสายน้ำที่จะแปรเปลี่ยนรูปได้ดั่งใจเรา” วงเวทย์เวทย์สีขาวถูกกางออกภายในเวทย์พรางตัวก่อนก้อนโลหะเบาจะถูกโยนขึ้นไปท่ามกลางเวทมนตร์บทใหม่ที่ถูกร่าย ความร้อนของเวทย์เข้าหลอมละลายก้อนโลหะให้เหลวและความคุมความเหลวนั่นให้เริ่มเปลี่ยนรูปท่ามกลางความร้อนนั้น
ผมพยายามอย่างมาที่จะนึกภาพทรงกระบอกที่กลางกลวงอยู่ในหัวแต่เมื่อมองดูภาพตรงหน้าผมก็ต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ เป็นรอบที่ร้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมลองทำ ลองมาหลายสิบวันแล้วผลก็ยังออกมาเหมือนเดิมคือไม่สำเร็จ
เวทย์ที่ผมร่ายเป็นเวทย์เฉพาะสำหรับพวกช่างทำโลหะต่างๆ ในอาณาจักรเวธาณาร์ไม่มีการถือเครื่องมือและจัดการกับสิ่งตรงหน้า ทุกอย่างล้วนใช้เวทมนตร์ทั้งสิ้นอย่างการทำอาหารพวกเราไม่ใช้มีดแต่เป็นการร่ายเวทย์เพื่อหั่นวัตถุดิบจากนั้นก็ใช้เวทย์ในการคนหม้อหรือแม้แต่จัดการ
อาจดูเหมือนง่ายทว่าความจริงไม่ใช่ การจะใช้เวทมนตร์ในการทำสิ่งละเอียดอ่อนได้อย่างเชี่ยวชาญไม่ใช่เรื่องง่ายจึงมีเพียงไม่กี่คนที่มีฝีมือมากพอขนาดเปิดร้านได้
ของขวัญสำหรับองค์ชายฮาล์บผมจะให้ที่มัดผมแบบโลหะเบาสีเงิน ผมคิดว่าคงเป็นของขวัญที่ไม่ค่อยมีใครให้เท่าไหร่ เส้นผมสีทองยาวขององค์ชายต้องเข้ากันได้ดีกับสีเงินแน่ๆ เลยอยากจะให้ของชิ้นนี้ ส่วนเหตุผลที่อยากทำเอง ก็ง่ายๆ เพราะผมไม่ชอบซื้อของแบบสำเร็จ
เพราะแบบนั้นผมจึงเลือกที่จะสร้างที่มัดผมนั้นขึ้นมาเอง
“...กลับคำตอนนี้ทันไหม” ผมพึมพำเสียงเบากับตัวเอง อีกหนึ่งอาทิตย์จะถึงวันงานแต่ผมยังทำไม่ได้เลย
ไม่คิดว่าการสร้างจะต้องใช้ทักษะมากขนาดนี้
“ต้องทำได้สิน่า” ผมให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์ใหม่อีกรอบ
และแล้วก่อนวันงานหนึ่งวันองค์ชายก็นำเสื้อผ้าที่ตัดเสร็จแล้วให้กับผมและองครักษ์อีก 5 คน ถุงกระดาษสีทองด้านในมีกล่องสีขาวใส่เสื้อผ้าที่ถูกตัดเย็บไปอย่างเรียบร้อย
“ขอบพระทัย” ผมเอ่ยพร้อมกับถุงนั้นมา เสื้อผ้าที่ถูกตัดจากร้านอันดับของอาณาจักรขึ้นชื่อเรื่องความประณีตและไม่เคยถูกเคลมเนื่องจากวัดขนาดผิดมาก่อนจึงหมดกังวลว่าจะใส่ไม่ได้
“ข้าหวังว่าทุกคนจะชอบ วันงานในวันพรุ่งนี้คงต้องรบกวนทุกคนด้วย” องค์ชายฮาล์บคงหมายถึงการขี่ม้าพบปะประชาชนในวันพรุ่งนี้
“ซิน เจ้าต้องใส่ชุดที่ข้าตัดให้นะ” องค์ชายพูดต่อ
“...ได้พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะงงๆ กับคำพูดนั้นแต่ผมก็พยักหน้าตอบกลับไป
พูดเหมือนกับว่าถ้าผมเห็นแล้วจะไม่ยอมใส่งั้นแหละ
ผมหันไปมององครักษ์ที่เหลือเปิดกล่องด้านในมีชุดสีขาวแกมเงินใส่อยู่ ทั้งรูปแบบและสีของชุดดูหรูหราแต่ไม่มากเกินไป ยังไงรูปแบบของชุดก็เป็นผมเองที่เลือกแต่นึกว่าองค์ชายจะเลือกผ้าสีสดใสกว่านี้แต่ถ้าสีนี้ผมยังได้อยู่
“อย่าเพิ่งเปิดตอนนี้” ดวงตาสีขาวของผมก้มลงมองกล่องในถุงแล้วเตรียมจะหยิบกล่องด้านในขึ้นมาเปิดดูถ้าไม่ติดว่ามีเสียงห้ามดังขึ้นซะก่อน
“ทำไมถึงไม่ให้กระหม่อมเปิด” แบบนี้มันน่าสงสัยไปแล้ว
“ไว้ไปเปิดที่ห้อง” องค์ชายไม่ตอบแต่เลี่ยง
นั่นยิ่งทำให้ความสงสัยที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
“พระองค์คงไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบชุดของกระหม่อมใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมยิงคำถามต่อ ตอนเลือกรูปแบบชุดองค์ชายเหมือนจะอยากให้ผมใช่ชุดแบบอื่นไม่แน่ว่าตอนเข้าไปเลือกผ้าอาจจะ...
“ข้าไม่ทำหรอก สัญญาแล้วนี่ว่าข้าจะเลือกเนื้อผ้าให้”
“...ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมก็ขออภัยที่สงสัย” บอกตรงๆ ว่าความคราแครงใจยังคงมีเหลืออยู่
“วันนี้ข้าจะไปพักแล้ว เจอกันพรุ่งนี้” องค์ชายปิดการสนทนาแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองโดยมีองครักษ์ 2 คนตามไปด้วย
ผมเดินเลี่ยงกลับมายังห้องตัวเองที่นานๆ ทีจะได้กลับมาเยือน วันนี้องค์ชายฮาล์บบอกตั้งแต่ช่วงบ่ายว่าให้ผมพักผ่อนให้เต็มที่เพราะไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจมีอะไรเกิดขึ้น ความเงียบสงบในช่วงนี้เหมือนเป็นความเงียบก่อนพายุลูกใหญ่จะเกิด
เรื่องชุดในกล่องผมลืมไปแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน การคอยอารักขาแทบตลอด 24 ชั่วโมงทำให้ผมนอนไม่ค่อยพอเท่าไหร่ ความนิ่มของหมอนที่หนุนและเตียงที่นอนพานให้สติล่องลอยหายไปในห้วงของความฝันจนถึงเช้าของวันงาน
เส้นผมสีขาวยาวประบ่าถูกรวบแบบครึ่งหัวแล้วปล่อยเป็นหางม้าตามปกติเช่นเดียวกับดวงตาสีขาวที่จับจ้องไปยังเจ้าของงานที่เดินลงมาด้านล่างเพื่อเตรียมออกไปพบปะประชาชนในอาณาจักร ทุกอย่างของวันใหม่เต็มไปด้วยบรรยากาศคล้ายงานรื่นเริง...
“องค์ชายฮาล์บ” ผมกัดฟันเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่มีหลายอารมณ์ปะปนกันไปหมด
ก็ว่าแล้วต้องมีอะไรแน่ๆ ที่ไม่ให้เปิดกล่องดูแต่ใครจะคิดว่าจะเป็นแบบนี้
องครักษ์ทั้ง 5 คนด้านหลังผมยืนหลังตรงในชุดสีขาวแกมเงินดูสะอาดสะอาดและเรียบร้อยเหมาะสมกับการเป็นองครักษ์ ต่างจากชุดผมลิบลับ
“เหมาะกับเจ้าจริงๆ ด้วย” องค์ชายพยักหน้าขึ้นลงเมื่อมองมายังชุดสีฟ้าอ่อนของผม แม้จะเป็นรูปแบบเดียวกันกับอีก 5 คนด้านหลังทว่าทั้งสีและเนื้อผ้าต่างกันจนแทบไม่เหมือนเลย คนอื่นใส่สีพื้นอย่างสีขาวแต่ดันให้ผมใส่สีฟ้า พอไปยืนรวมผมเลยเด่นขึ้นมาอยู่คนเดียว
“กระหม่อมบอกแล้วว่าไม่อยากเด่น” ตอนแรกผมกะจะไม่ใส่ชุดนี้มาแล้วถ้าไม่ติดที่ว่าผมสัญญาไว้
“ข้าเลือกสีโทนอ่อนให้ ไม่เด่นหรอก” องค์ชายตอบ
“เด่นพ่ะย่ะค่ะ พอยืนรวมกับองครักษ์กระหม่อมเด่นขึ้นมาทันที” ผมรีบพูด
“ถ้ายืนรวมกับองครักษ์อาจจะเด่นไปหน่อยแต่ถ้ายืนข้างข้าก็หมดปัญหาแล้ว” ผมวิเคราะห์คำพูดนั้นพลางมองชุดขององค์ชายฮาล์บ เสื้อสูทแขนยาวสีน้ำเข้มด้านนอกตัดกับเสื้อด้านในสีเงินได้อย่างลงตัวอีกทั้งยังมีตราสัญลักษณ์ประดับบริเวณอกเสื้ออีกหลายชนิด
เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดหากผมไปยืนข้างๆ องค์ชายคงจะไม่เด่นเพราะเจ้าตัวแผ่ออร่าเป็นประกายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งบวกกับรอยยิ้มและดวงตาสีฟ้าสว่างและเส้นผมสีทองอร่ามยิ่งเสริมความเป็นเจ้าชายอีกหลายเท่า
อ๊ะ! เดี๋ยวสิ นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย
นี่แปลว่าองค์ชายวางแผนไว้?
“อย่ามองเหมือนข้าวางแผนไว้สิ ข้าเพียงแค่คิดว่าชุดสีขาวจะกลืนกับตัวเจ้ามากไปเลยเปลี่ยนสีให้แค่นั้นเอง” เหมือนองค์ชายจะอ่านความหมายของสายตาที่ส่งไปให้ออกจึงอธิบาย
“...ถึงแบบนั้นกระหม่อมก็ไม่อยากเด่น” แม้การใส่ชุดสีขาวจะทำให้ร่างผมแทบส่องสว่างก็ตาม ด้วยความที่เส้นผม สีตาและสีผิวล้วนเป็นสีขาวพอใส่ชุดขาวเข้าไปอีกก็ยิ่งเพิ่มความขาว
หากเดินออกไปตอนดึกอาจมีคนร้องกรี๊ดก็เป็นได้
“ถึงได้บอกให้อยู่ข้างข้าไง หรือเจ้าจะไม่คอยตามข้าแล้ว”
“กระหม่อมจะคอยปกป้องพระองค์” ผมตอบกลับทันควัน
“ดี งั้นไปกัน ท่านพ่อกับท่านแม่คงรออยู่ด้านหน้าแล้ว” พูดจบองค์ชายจึงเดินนำออกไปด้านหน้าประตู
ด้านหน้าประตูจะเป็นถนนสายหลักยาวไปจนถึงรั้วปราสาทโดยจะมีพวกไม้พุ่มประดับตกแต่งไว้ ขบวนของงานวันนี้จะนำหน้าด้วยหน่วยทหารและหน่วยจอมเวทย์ก่อนจะตามด้วยองค์ชายฮาล์บบนหลังม้าสีขาวถัดไปด้านหลังอีกนิดเป็นรถม้าที่มีองค์ราชาและองค์ราชินีนั่งประทับอยู่ด้านหลัง ส่วนองครักษ์คนสนิทของทั้ง 3 พระองค์จะอยู่ขนาบทั้งซ้ายขวาอย่างผมอยู่ทางขวามือขององค์ชายฮาล์บ ขบวนนี้จะปิดท้ายด้วยหน่วยองครักษ์ สำหรับหน่วยผมอย่างที่เคยบอกไปว่าพวกเราไม่เข้าร่วมงานอะไรของอาณาจักรนัก อาจมีบ้างเข้ามาปะปนในงานเพื่อหาของอร่อยกิน
กำหนดการในช่วงเช้าคือการเดินขบวนไปตามถนนสายหลักจนถึงทางตอนล่างเขตตลาดก่อนจะวนกลับขึ้นมายังปราสาท ซึ่งตลอดการเดินขบวนมีประชาชนมากมายมายืนรอแสดงความยินตลอดเรียกว่ามาจากทุกทิศของอาณาจักรก็ว่าได้ แม้บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความยินดีแต่ผมก็ยังไม่ลดการป้องกันลงเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ในใจผมค่อนข้างมั่นใจเกินครึ่งว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนื่องจากขบวนนี้มีทั้งทหาร นักเวทย์และองครักษ์ระดับสูงร่วมอยู่
ไม่ใช่เรื่องดีเลยหากคิดจะลองดีกับพวกเขา
องค์ชายฮาล์บทำหน้าที่องค์ชายได้อย่างดี เขาส่งยิ้มพลางยกมือขึ้นบอกทักทายบ้างพอเป็นพิธีทำเอาสาวๆ แทบเป็นลมล้มไปกับความสง่างามที่ได้เห็นในระยะใกล้ แม้ระยะทางในการเดินขบวนจะไม่ได้มากมายแต่ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง กว่าจะกลับมาถึงปราสาทพระอาทิตย์ได้เลยศีรษะไปแล้ว องค์ชายมีเวลาพักเหนื่อยไม่กี่ชั่วโมงงานเลี้ยงภายในห้องโถงด้านล่างของปราสาทก็เริ่มต้นขึ้น ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายก็เหมือนเจ้าของงานที่ต้องออกมาต้อนรับเหล่าแขกที่ทยอยกันเข้ามาภายในงาน
ชุดในงานเลี้ยงช่วงเย็นนี้ไม่ใช่ชุดเดียวกับตอนเช้า สูทสีน้ำเงินถูกเปลี่ยนเป็นสีฟ้าน้ำทะเลโดยเสื้อด้านในเป็นสีเหลืองนวลให้ความรู้สึกสดใสปนสดชื่นบวกกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าไม่ว่าใครต่างก็ต้องหลงใหลในเสน่ห์นั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
งานในช่วงเย็นนี้เป็นงานที่เชิญแขกระดับสูงของอาณาจักร เหล่าผู้ทำงานในปราสาทไปจนถึงบันดาญาติขององค์ราชาและองค์ราชินี เหล่าลูกสาวของบุคคลเหล่านั้นต่างแต่งหน้าแต่งตัวกันในชุดหลากหลายแนวทั้งน่ารัก สวยและสง่าคล้ายจะอยากให้ตัวเองได้เข้าไปอยู่ในสายตาขององค์ชายเพียงหนึ่งเดียวของอาณาจักรแม้เพียงสักนิด
เมื่อแขกมาได้พอสมควรงานเลี้ยงเนื่องในวันเกิดก็เริ่มเปิดฉากขึ้น องค์ราชาคาราสและองค์ราชินีเอโดร่ากล่าวเปิดงานพร้อมขอบคุณแขกทุกคนจากนั้นองค์ชายฮาล์บจึงขึ้นไปพูดบ้าง ต่อมาคือการมอบของขวัญภายในห้องโถงขนาดใหญ่นี่จะมีโต๊ะสีขาวยาว 4 ตัวต่อติดกันเอาไว้ใช้สำหรับวางของขวัญที่ถูกมอบให้นับร้อยนับพันกล่อง
เป็นผมคงเมื่อยตั้งแต่คนที่ร้อยแน่แต่องค์ชายกลับมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดการมอบของขวัญ ผมขอชื่นชมจากใจจริงๆ
เสียงดนตรีคลาสสิกถูกเล่นคลอไปเรื่อยๆ จนหมดช่วงมอบของขวัญจึงเปลี่ยนจังหวะเป็นอีกแบบ ตามกำหนดการณ์คือการเต้นรำ คู่เปิดแน่นอนว่าต้องเป็นองค์ชายฮาล์บและฝ่ายหญิงคงจะเป็นหนึ่งในหญิงสาวภายในงาน ดวงตาสีฟ้าสว่างมองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดลงยังผมพร้อมรอยยิ้ม
ผมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เข้าใจว่ามองตัวเองทำไม มองมาสักพักองค์ชายฮาล์บก็เปลี่ยนขาที่ก้าวมาหาผมไปเป็นองค์ราชินีหรือท่านแม่ของตนเองแทน องค์ราชินีที่ถูกลูกชายยื่นมือไปหาก็เผยรอยยิ้มกว้างก่อนจะสัมผัสมือนั่นเพื่อออกไปเต้นยังใจกลางห้องโถง
วงดนตรีเล่นเพลงแรกจบเพลงต่อมาอีกหลายคู่ๆ จึงออกมาร่วมเต้นด้วย มีหญิงสาวมากมายเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาองค์ชายและบอกว่าอยากขอเต้นรำด้วย องค์ชายเองตอบรับคำชวนนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเต้นรำมรทอนขององค์ชาย พอสาวคนแรกเต้นจบสาวสวยอีกคนก็เข้ามาไปขอบ้าง ด้วยนิสัยขององค์ชายคงไม่ปฏิเสธคำพูดจากสาวๆ เหล่านั้น
ผมมองภาพกลางห้องโถงด้วยหัวใจโหวงๆ ทั้งที่รู้ตัวว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังจากการกระทำหลายๆ อย่างจากองค์ชาย ผมไม่ได้เกลียดหัวใจตัวเองที่ยังรักองค์ชายแต่เกลียดความรู้สึกอิจฉาในภายส่วนลึกนี่ต่างหาก
องค์ชายเวลายืนคู่กับผู้หญิงช่างดูเหมาะสม ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังนึกอิจฉา ยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้นผมเริ่มควบคุมจิตใจตัวเองได้อีกครั้ง ควบคุมได้ไม่นานความรู้สึกมึนปนปวดหัวก็แล่นเข้ามาพานทำผมอยากจะออกไปจากงานนี้ซะเหลือเกิน ผมเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชินกับการอยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากแต่นี่นอกจากจะมากแล้วยังมีประกายจากเครื่องประดับหรูหราทอประกายแยงตาจนแสบไปหมดแถมเสียงยังดังไม่แพ้กันด้วย
ไม่ได้ ต้องคอยดูแลองค์ชาย
“ซิน ไม่เป็นไรนะ” เสียงอันคุ้นเคยขององค์ชายังกระซิบข้างใบหู ผมหันหน้าเข้าหาต้นเสียงด้วยความตกใจจนร่างกายขยับหันกลับไปหาต้นเสียงโดยไม่รู้ตัวนั่นทำให้ปลายจมูกผมสัมผัสโดนแก้มองค์ชายพอดิบพอดี
“...ขออภัย” พอรู้สึกตัวผมรีบเด้งตัวออกมาด้วยใบหน้าเห่อแดง เสียงหัวใจภายในอกเต้นรัวขึ้น
“...ไม่เป็นไร” องค์เองดูเหมือนจะตกใจกับสถานการณ์เมื่อครู่ไม่น้อยเช่นกัน
“ทรงมีธุระอะไรกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถามเพื่อปกปิดเสียงหัวใจตัวเอง
“ไปกัน” พูดจบข้อมือผมก็ถูกคว้าก่อนจะออกแรงดึงให้เดินตามออกไปด้านนอก
“จะไปไหนพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ผมเอ่ยถาม
“เจ้าไม่ไหวแล้วนี่ ตอนแรกกะจะให้เจ้าออกมาเต้นรำด้วยซะหน่อยแต่เห็นทำหน้าไม่ไหวเลยเปลี่ยนใจ” องค์ชายพูดพลางดึงผมให้ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร ข้าบอกท่านพ่อและท่านแม่แล้ว” ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบประโยคองค์ชายก็เอ่ยอธิบายทันที
บานประตูสีขาวแสนคุ้นเคยถูกเปิดออกกว้างก่อนองค์ชายจะดึงผมให้เข้าไปด้านแล้วจัดการปิดประตู บรรยากาศแปลกๆ ทำให้ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ยืนนิ่งๆ อยู่หน้าประตู ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดขืนแรงอีกฝ่ายไม่ได้ทว่าผมเลือกจะไม่ขืนด้วยเหตุหลายๆ อย่าง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการก้าวเข้ามาในห้องผมจึงไม่ได้รู้สึกเกร็งเท่าไหร่ถ้าไม่ติดว่าองค์ชายกำลังจ้องมาอยู่ละก็นะ
“เอาล่ะ ซิน” มือข้างหนึ่งแบและยกขึ้นมาในระดับสายตาผม ดวงตาสีฟ้าสว่างกับรอยยิ้มนั่นคล้ายกำลังคาดหวังบางสิ่ง
“...อะไรพ่ะย่ะค่ะ” ผมไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกว่าทำไมถึงต้องพาผมมานี่ด้วย
“วันนี้วันอะไร” องค์ชายไม่ตอบแต่ถามกลับแทน
“วันเกิดของพระองค์” ผมตอบทันที
“ใช่ มี 2 อย่างที่เจ้ายังไม่ได้ทำให้ข้าในวันเกิด”
“ 2 อย่าง?” คำพูดขององค์ชายทำเอาผมขมวดคิ้วแน่นกับสิ่งที่ได้ยิน
“ใช่ คำอวยพรและของขวัญ” น้ำเสียงจริงจังนั่นทำให้ผมเผยรอยยิ้มของมาอย่างอดไม่อยู่ สภาพเจ้าชายยืนแบมือขอคำอวยพรและของขวัญเหมือนเด็กๆ น่ามองมากสำหรับผม
“สุขสันต์วันเกิดพ่ะย่ะค่ะองค์ชายฮาล์บ ขอให้พระองค์พบเจอแต่ความสุขสมหวัง” ผมเอ่ยคำอวยพรด้วยรอยยิ้ม ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะยิ้มได้นานขนาดนี้
“ขอบคุณ ของขวัญล่ะ” มือที่แบยื่นมาใกล้ผมอีกนิดระหว่างพูด
ท่าทางเหมือนอยากได้ของขวัญจากผมทำให้รู้สึกว่าตัวเองพิเศษอย่างบอกไม่ถูก
“นี่พ่ะย่ะค่ะ” ผมหยิบกล่องของขวัญสีฟ้าขนาดเล็กในกระเป๋าเสื้อวางบนฝ่ามือนั้นด้วยความเขินปนอาย
ใช้เวลาหลายอาทิตย์ในที่สุดก็ทำสำเร็จจนได้
“ข้าเปิดเลยได้ไหม” ผมพยักหน้าตอบคำถามนั้น
องค์ชายค่อยๆ เปิดฝากล่องของขวัญออก ของด้านในคือที่มัดผมโลหะสีเงินลวดลายเรียบๆ มีจุดเด่นอยู่ตรงกลางจะมีอัญมณีสีฟ้ารูปหยดน้ำประดับไว้ อัญมณีไม่ใช่อัญมณีธรรมดาแต่เป็นสิ่งที่ผมสร้างโดยการร่ายเวทย์เดิมซ้ำกันหลายสิบครั้งเพื่อให้เวทมนตร์นั่นตกผนึกเป็นอัญมณี นอกจากจะสวยงามแล้วยังมีความสามารถในการสำแดงเวทมนตร์ที่ร่ายลงไปได้ เวทย์ที่ผมร่ายลงไปคือเวทย์ป้องกันหากองค์ชายติดตัวเอาไว้แล้วเกิดมีอันตรายไม่คาดฝันเวทย์นั้นก็จะทำงาน
“อาจไม่ใช่ของดีหรือแพงนักนะพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป
“ข้าไม่ได้ชอบของที่ดีหรือแพง ที่รัดผมชิ้นนี้ข้าสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ ขอบคุณที่พยายามทำของขวัญชิ้นนี้ให้ข้า” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้น
“...องค์ชายรู้ได้ยังไงว่ากระหม่อมทำเอง” ผมใช้เวลาในการแปลความหมายของประโยคสักพักนึง
“ข้าเห็น” คำตอบง่ายทำเอาดวงตาสีขาวเบิกกว้างขึ้น
ผมนั่งทำบนต้นไม้ระหว่างเฝ้าองค์ชายในเวทย์พรางตัวการที่จะเห็นได้มีเพียงทางเดียวคือองค์ชายใช้เวทมนตร์เพื่อดูว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงเพิ่งนึกได้นะว่าต่อให้อยู่ในเวทย์พรางตัวองค์ชายก็สามารถมองเห็นได้
แล้วแบบนี้ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
“...ทรงลืมไปได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“เสียใจด้วยเพราะข้าจำได้แม่นเลย”
“ทำไมต้องทรงแกล้งกระหม่อมด้วย” ผมเอ่ยถาม รอยยิ้มกว้างนั่นไม่อ่อนโยนเหมือนเมื่อครู่สักนิด
“กระ...กระหม่อมไม่ได้น่ารัก!” ผมเอ่ยค้านเสียงสั่น
“น่ารักสิ ของขวัญชิ้นนี้ข้าชอบมาก จะรักษาอย่างดีเลย”
ใบหน้า น้ำเสียง ท่าทางรวมไปถึงรอยยิ้มผมจดจำทุกอย่างเอาไว้แม้จะอายจนแทบมุดดินหนีก็ตาม และแล้วงานวันเกิดขององค์ชายฮาล์บก็ได้ผ่านไปเผลอเพียงครู่เดียวก็ถึงงานต่อมาซะแล้ว งานวันเกิดที่ว่ายิ่งใหญ่ยังเทียบไม่ได้กับงานวันรับตำแหน่งผู้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งราชาองค์ต่อไป ความหรูหราของเครื่องประดับตามผ้าหรือพรหมนี่เรียกว่าสุดยอด ขนาดบนพรหมที่เดินยังถูกประดับด้วยมุกเลย
งานแต่งตั้งนี้ถูกจัดขึ้นยังห้องโถงอีกห้องซึ่งห้องนี้มีขนาดเล็กกว่าเนื่องจากมีเพียงคนบุคคลระดับสูงของอาณาจักรเข้าร่วมเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีหน่วยทหาร หน่วยจอมเวทย์และหน่วยองครักษ์ยืนอยู่สลับซ้ายขวาโดยตรงกลางด้านในสุดมีองค์ราชาคาราสและองค์ราชินีนั่งอยู่บนเก้าอี้
เหล่าบริวารรอบๆ พากันยืนอย่างนอบน้อมและยิ่งนอบน้อบกว่าเดิมเมื่อประตูห้องถูกเปิดอ้าพร้อมร่างขององค์ชายฮาล์บเดินเข้ามาด้านใน องครักษ์ทั้ง 5 คนพากันเดินตามหลังมาส่วนผมไม่ได้เข้าไปร่วมเนื่องจากวันสำคัญนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่งานที่หน่วยองครักษ์เงาจะได้ปรากฏตัว หลายคนที่รู้อยู่แล้วไม่ได้มีสีหน้าตกใจอะไรแต่มีหลายคนที่ไม่รู้จึงแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างชัดเจนก็มี
หากไม่ติดว่าอยู่ในพิธีอาจจะได้ยินเสียงเอ่ยถามก็เป็นได้
“งานจะจบเมื่อไหร่ ข้าง่วงแล้วนะ” เสียงบ่นงึมงำจากรีเฟ่นด้านหลังผมถูกสายตาคมกริบของฟราวหันไปสบในเสี้ยววินาทีก่อนหันหน้ากลับมาดังเดิม ผมไม่ได้หันไปมองด้านหลังเลยไม่รู้ว่าที่เงียบนี่คือสลบไปหรือยังไงแน่
“ฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์ข้าของแต่งตั้งให้เจ้าเป็นรัชทายาท และเมื่อเจ้ามีความสามารถเหมาะสมข้าจะแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นราชาคนต่อไป” น้ำเสียงจริงจังขององค์ราชาดังขึ้นทามกลางความปลาบปลื้มของผมที่แทบจะไม่เคยได้ยินน้ำเสียงจริงจังแบบนี้เลย
“พ่ะย่ะค่ะ หน้าที่นี้กระหม่อมจะทำให้ดีที่สุด” องค์ชายฮาล์บก้มหัวลงโค้งคำนับแสดงความเคารพและขอบคุณก่อนจะรับสัญลักษณ์ผู้มีอำนาจเฉกเช่นราชามาครอบครอง
“ข้าคาดหวังอยู่นะ ต่อไปเจ้าเลือกองครักษ์คนใหม่ได้ ในที่นี้มีผู้ที่มากความสามารถอยู่มากมายหากเจ้าต้องการใครสามารถเลือกได้ตามต้องการ” องค์ราชาพูดต่อ
นี่เป็นเหมือนธรรมเนียมละมั้ง ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้มีสิทธิ์เลือกองครักษ์หรือผู้ติดตามเพิ่มได้ตามต้องการ หรือหากไม่ชอบองครักษ์คนเดิมสามารถเปลี่ยนได้เช่นกัน
“ท่านพ่อ ลูกสามารถเลือกใครก็ได้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายฮาล์บถามย้ำ
“แม้แต่ผู้ที่อยู่ใต้อาณัติของท่านพ่อก็ตามหรือพ่ะย่ะค่ะ” คำถามต่อมาทำเอาผู้เข้าร่วมพิธีหลายคนหันซ้ายขวามองมาด้วยความสงสัย
“ใช่ ยกเว้นองครักษ์คนสนิทของพ่อ” องค์ราชาคาราสตอบพลางยกยิ้มขึ้น ผมสังเกตนะว่าสายตาของราชาหันมามองทางผมแว็บนึง
“กระหม่อมขอเลือกไซซิน เคอร์เรส” ประโยคนี้เองก็เรียกความสงสัยจากผู้คนนับร้อยได้เช่นกัน หลายคนคงคิดว่าองค์ชายคงเลือกหัวหน้าหน่วยหรือคนระดับสูงที่มีชื่อเสียงไม่ใช่ใครก็ไม่รู้อย่างผม มีเพียงองค์ราชาและอีกไม่กี่คนที่รู้ว่าผมเป็นใคร
“ไซซิน เคอร์เรสก้าวออกมายืนต่อหน้าองค์ชายสิ” องค์ราชาเอ่ย
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมก้าวออกไปยืนด้านข้างองค์ชาย
“เจ้าจะตอบรับหรือไม่” องค์ราชาถามต่อ น้ำเสียงนิ่งๆ นั่นไม่สามารถปกปิดสายตาที่ทอประกายคล้ายกำลังดูเรื่องสนุกได้เลย
กำลังสนุกที่ได้เห็นผมทำตัวไม่ถูกชัดๆ
แม้จะดีใจที่ถูกเลือกและได้รับการยอมรับแต่ผมคง...
“กระหม่อมรู้สึกซาบซึ้งและดีใจมากที่องค์ชายทรงเลือกกระหม่อมทว่า...”
“กระหม่อมขอเลือกไซซิน เคอร์เรส” ยังไม่ทันได้เอ่ยคำว่าทว่าจบองค์ชายฮาล์บก็พูดเสียงดังอีกหนึ่งรอบ ทั้งห้องไม่เว้นแต่องค์ราชาหรือองค์ราชินีต่อมีสีหน้าสงสัยว่าจะพูดซ้ำอีกรอบทำไม
ใช่ คนอื่นอาจไม่เข้าใจแต่ผมน่ะเข้าใจดีเลย
ไม่คิดว่าองค์ชายฮาล์บจะกล้าใช้วิธีนี้ในพิธีอันสำคัญยิ่งอย่างนี้!
ดวงตาสีขาวของผมเงยขึ้นไปสบกับดวงตาสีฟ้าสว่างตรงหน้าเพื่อสื่อสารว่าผมจะไม่ยอมให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายคิด เขาคิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะยอมตกลงโดยดีล่ะก็ผิดแล้ว
ผมคิดมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รับภารกิจจากองค์ราชา ผมจะคอยอารักขา ดูแลและปกป้ององค์ชายจนกว่าจะรู้ตัวผู้อยู่เบื้องหลัง จากนั้นผมก็จะกลับไปอยู่ยังที่ของตัวเอง จริงอยู่ที่ต่อให้อยู่ในหน่วยก็ไม่อาจเลี่ยงองค์ชายได้แต่ก็ไม่ได้ตามติดเหมือนอย่างตอนนี้
การถูกเลือกไปเป็นองครักษ์ส่วนตัวผมต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับองค์ชาย นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับเรื่องหลังจากนี้ หากผมตอบรับวันหนึ่งที่องค์ชายต้องไปดูตัว พาผู้หญิงไปเดทหรือแม้แต่แต่งงานผมก็จำต้องอยู่ข้างกายองค์ชายตลอด จะให้พูดด้วยน้ำเสียงปกติ ส่งยิ้มแสดงความยินดีหรือแม้แต่คอยมองด้วยความชื่นชม
“องค์ชายฮาล์บ...” ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้องค์ชายก็ก้าวเข้ามาใกล้ ผมไม่ได้ถอยหนีเพราะกำลังคิดอยู่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ยังคิดไม่ได้ฝ่ามืออุ่นๆ ก็แนบเข้ากับใบหน้าผมท่ามกลางความตะลึงของคนทั้งห้องแม้แต่ผมเองยังเบิกตากว้างแล้วถอยหลังหนีทว่าองค์ชายกลับก้าวตามมาไม่ยอมปล่อย
“มาอยู่ข้างข้าซิน” รูปประโยคเดิมๆ ถูกปรับเปลี่ยนจนสามารถตีความหมายได้หลายแง่ ไม่รู้ว่าตัวผมตีความหมายออกมาในแง่ไหนหัวใจถึงได้เต้นรัวขนาดนี้
น้ำเสียงและดวงตาจริงจังนั่นสื่อความหมายมาอย่างชัดเจนว่าต้องการผม
“...จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง” ผมพึมพำเสียงเบาด้วยน้ำเสียงยอมแพ้
หวังว่าองค์ชายจะยอมรับข้อเสนอนี้นะ
“ได้ ข้าจะเปลี่ยนใจเจ้าทีหลังเอง” น้ำเสียงหนักแน่นดังคล้ายคำสัญญาที่ต้องทำให้เป็นจริง
“สรุปยังไงไซซิน เคอร์เรสห้ามซุบซิบในพิธีอันศักสิทธิ์รู้ไหม” องค์ราชาคาราสเอ่ยอีกรอบพลางส่งสายตาตำหนิมาให้ สายตานั่นอาจดูเหมือนตำหนิแต่จริงๆ ไม่ใช่ หากนำมารวมกับประโยคก่อนหน้าจะได้ความหมายจริงๆ ออกมาคืออย่ากระซิบกันอยู่สองคนให้ข้าได้ยินด้วยสิ
นั่นแหละคือความหมายจริงๆ ของประโยคและสายตาตำหนิ ขนาดภาชีม ภาชารวมไปถึงฟราวยังหันไปมองหน้าองค์ราชาพร้อมกันเลย คงจะแปลความหมายได้แบบเดียวกันละมั้ง ผมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีฟ้าสว่างอีกรอบก่อนจะคุกเข่าข้างนึงลงกับพื้นแสดงความเคารพสูงสุดแล้วตอบคำถามขององค์ราชา...
“กระหม่อมจะคอยอารักขาและปกป้ององค์ชายฮาเบลโทสธ์ เวธาณาร์ด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดีตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
....................................................................
จบกันไปอีกหนึ่งตอนกับความหวานที่ชวนให้ใจละลาย
ที่เราตั้งชื่อเรื่องว่าหลอมดวงใจให้เป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่แค่หลอมหัวใจของซินและฮาล์บเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงหัวใจของนักอ่านด้วย
มาละลายไปกับความหวานของทั้งคู่กันนะคะ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนปล่อยมาก ทั้งร้อน ทั้งฝน ทุกคนก็รักษาสุขภาพกันด้วยน้าา
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าปลายๆ อาทิตย์
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
เขินมาก องค์ชายจะเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะ รีดจะตายแล้ว
ซินเอ๊ยจะต้านทานพ่อคนหน้ามึนแบบหน้ายิ้มได้ยังไงไหว