เป็นเวลา 2 เดือนสำหรับเวลาให้นักเรียนชั้นปี 4 ทุกคนได้หยุดเพื่อคิดค้นเวทย์ใหม่อย่างน้อย 3 เวทย์ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดวันสอบก็มาถึง...เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญทำให้ทั้งนักเรียนและอาจารย์ทุกคนต่างมารวมตัวกันยังสนามสอบตั้งแต่ช่วงเช้า
ด้วยความที่เป็นฤดูหนาวและมีหิมะตกแม้จะเบาบางไม่หนักแต่ก็อาจส่งผลต่อเวทย์ที่นักเรียนจะใช้แสดงได้ทางสถาบันจึงได้ใช้นักเวทย์จำนวน 8 คนยืนรอบสนามและกางเวทย์ให้บริเวณด้านในเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ เพียงแค่ผมก้าวผ่านเขตแดนความหนาวเย็นก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนอยากดึงผ้าพันคอหนาบนคอทิ้งไปซะให้รู้แล้วรู้รอด
ขืนให้เข้าออกสองสามครั้งได้ป่วยเพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันแน่
“องค์ชาย อย่าเพิ่งถอดผ้าพันคอนะพ่ะย่ะค่ะ” ผมเข้าไปบอกองค์ชายที่กำลังจะดึงผ้าพันคอออก องครักษ์ทั้ง 5 คนไม่มีทีท่าอะไรเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ดูเหมือนองค์ชายฮาล์บจะไปบอกกับองครักษ์ทุกคนว่าผมเป็นคนที่ถูกส่งมาให้ดูแลเขาละมั้ง
ผมไม่ค้านอะไรกับการบอกนั้น จากที่เฝ้าดูมานานองครักษ์ทั้ง 5 คนล้วนเป็นผู้มีความภักดีสูงมาก แทบเป็นไปไม่ได้เลยหากพวกเขาจะทรยศองค์ชาย ถึงจะมีโอกาสทรยศได้แต่หากรู้ว่าผมถูกส่งมาให้ดูแลองค์ชายฮาล์บในระยะประชิดพวกเขาคงไม่กล้าลงมือง่ายๆ
“องค์ทรงเพิ่งหายป่วยได้ไม่นานต้องรักษาตัว...”
“ไม่ต้องห่วงข้าขนาดนั้นซิน ถึงข้าจะดีใจก็ตามที” รอยยิ้มสว่างดุจแสงของดวงอาทิตย์ทำเอาผมลืมคำพูดก่อนหน้าไปหมด
“...ทรงอย่าฝืนร่างกายนักเลย”
“ข้าหายดีแล้ว วันนี้ข้าจะโชว์เวทย์ให้เจ้าดู”
“กระหม่อมได้เห็นเวทย์ของพระองค์ก่อนหน้านี้แล้ว” ผมเอ่ยเสียงเบา ก่อนหน้านี้ผมเคยถูกองค์ชายเรียกให้ไปสอนทริกการใช้เวทย์ผสาน และนั่นทำให้เห็นเวทย์ที่จะใช้สอบวันนี้แล้ว
“เวทย์ที่ข้าจะใช้สอบไม่ใช่เวทย์ที่เจ้าเคยเห็นแน่นอน” คำพูดขององค์ชายฮาล์บทำให้ผมเริ่มขมวดคิ้วพลางตีความหมายของประโยค
“องค์ชายจะบอกว่าแอบคิดและฝึกเวทมนตร์อื่น?” ผมตามติดองค์ชายแทบ 24 ชั่วโมง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เห็นตอนเวลาอีกฝ่ายฝึกซ้อมเวทย์
“จริงอยู่ที่ข้าแอบคิด แต่ไม่ได้แอบฝึกนะ” คำตอบเรียบๆ นั่นยิ่งทำให้ดวงตาสีขาวผมเบิกกว้างขึ้นเพราะเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
“พระองค์จะใช้เวทย์ที่คิดโดยไม่ได้ฝึกกับการสอบที่สำคัญขนาดนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” จะให้ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบคงไม่ได้ ต่อให้เป็นผมการใช้แสดงเวทย์ออกมาโดยไม่เคยฝึกอาจทำได้แต่ใช่ว่าจะทุกครั้ง องค์ชายเองมีฝีมือหากได้ลองฝึกร่ายสักครั้งสองครั้งต้องใช้เวทย์นั้นได้คล่องแคล่วแน่ แต่นี่กลับทำเพียงแค่คิดแล้วใช้จริงตอนวันสอบ
หากพลาดจะกลายเป็นว่าคะแนนจะตกลง
“จะให้เห็นเวทย์เดิมซ้ำคงน่าเบื่อเกินไป”
“กระหม่อมไม่เบื่อพ่ะย่ะค่ะ ทรงใช้เวทย์เดิมเถอะ” ผมรีบทักท้วง
“ไม่” คำปฏิเสธทำเอาผมเริ่มร้อนรน ใบหน้านิ่งขององค์ชายเริ่มอมยิ้มก่อนจะหลุดขำออกมาเล็กน้อย
“...องค์ชายทรงแกล้งกระหม่อม” ผมสรุปได้เพียงแค่นี้
“จะไม่ให้กระหม่อมเครียดได้ยังไงในเมื่อพระองค์...”
“ซิน เจ้าคิดว่าข้าจะทำพลาดรึเปล่า” องค์ชายฮาล์บเรียกก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่พลาดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เป็นอีกครั้งที่ผมตอบโดยไม่ต้องคิด
แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
“งั้นก็อย่าห่วง ข้าไปเตรียมตัวก่อนล่ะ เสร็จแล้วกลับด้วยกันนะ”
“กระหม่อมกลับเองได้พระองค์ไม่จำเป็นต้องลำบาก” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เมื่อเช้าเองพอเห็นว่ามีหิมะองค์ชายก็เรียกให้ผมขึ้นรถม้ามาด้วย ถึงจะปฏิเสธหลายรอบยังไงดูเหมือนองค์จะไม่ฟังดึงผมเข้าไปในรถซะงั้น
“ข้าไม่ได้ลำบาก จะตามกลับทั้งที่หิมะตกไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ ถ้าป่วยไปจะทำยังไง” อีกฝ่ายบอก
“กระหม่อมไม่เคยป่วย” สิ่งที่ผมพูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
“ไม่เคยเลยหรือ” ดวงตาสีฟ้าสว่างเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยคล้ายกำลังตกใจ
“พ่ะย่ะค่ะ” ตั้งแต่จำความได้ผมไม่เคยป่วยมาก่อนนั่นอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่โตมาก็เป็นได้ ต่อให้ตากหิมะ ตากแดดร้อนๆ หรือแม้แต่ให้ยืนตากลม
“ถึงแบบนั้นก็ใช่ว่าจากนี้จะไม่ป่วยนี่ เสร็จแล้วกลับกับข้านะ”
“เสร็จแล้วกลับกับข้านะ” คำถามเดิมถูกกล่าวซ้ำเป็นครั้งที่ 3
“องค์ชายอย่าทรงทำแบบนี้ยังไงมันก็ไม่...”
“...” ผมอ้าปากคล้ายจะบ่นแต่ก็เปลี่ยนเป็นถอนหายใจแทน องค์ชายฮาล์บเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เขาสามารถอ่านท่าทีของแต่ละคนได้จากการมอง แต่ครั้งนี้ถึงเขาจะมองว่าผมลำบากใจก็ยังจงใจถามคำถามเดิมไม่เลิก
“ซิน กลับกับข้า” นอกจากจะไม่ให้ปฏิเสธแล้วยังเร่งอีก
แล้วให้ผมตอบอะไรล่ะ มีแค่คำตอบเดียวเท่านั้นแหละที่จะช่วยยุติการสนทนานี่ลงได้
การทดสอบจะเริ่มต้นในเวลา 9 โมงโดยจะไล่ตั้งแต่ห้อง 5 ไปจนถึงห้อง 1 ตามลำดับ อาจดูเหมือนนานแต่ในความจริงไม่ได้นานขนาดนั้นแม้จะมีนักเรียนรอสอบกว่า 150 คนทว่าการร่ายคาถานั้นใช้เวลาไม่ถึง 2 นาทีต่อหนึ่งเวทย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นคนนึงจะใช้เวลาอย่างมากไม่เกิน 10 นาที
มีไม่น้อยเลยที่สามารถร่ายเวทย์ได้เร็วมากทำให้จบการสอบไปได้อย่างสบายๆ
ตอนนี้นักเรียนของห้อง 1 กำลังทยอยเข้ารับการสอบโดยจะมีคนเรียกชื่อ เมื่อถูกเรียกให้ออกมายืนกลางสนามก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์อย่างน้อย 3 เวทย์ แต่ละคนทำได้ค่อนข้างดีไม่ว่าจะเป็นเวทย์ใหม่หรือเวทย์ผสานต่างเป็นเวทย์ที่ไม่เคยเห็นตามที่ทางสถาบันต้องการ
มีหลายเวทย์ที่ผมถึงกับแอบจำคาถาไว้เผื่อจะเอาไปใช้บ้าง
“หินผาสีดำเงาจงระเบิดออกด้วยพลังแห่งข้าและเคลือบความแข็งแกร่งสีดำนั้นด้วยลาวาสีแดงฉานดุจเปลวเพลิงลุกไหม้ท่ามกลางความมืด” เวทย์ใหม่จากทราย์ ปาเปลวเรียกดวงตาสีขาวผมให้มองไปอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าจะมีความสามารถขนาดย่อการผสานเวทย์ให้สั้นได้ขนาดนี้ ถึงพลังจะยังไม่รุนแรงนักแต่ใช้ได้เลยทีเดียว
“คนต่อไป องค์ชายฮาเบลโทธส์ เวธาณาร์” เมื่อได้ยินชื่อจากการประกาศบรรยากาศของทั้งสนามก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เหล่านักเรียนต่างเลิกทำสมาธิและเดินมาดูการใช้เวทมนตร์ของชายที่จะได้ขึ้นเป็นราชาองค์ต่อไป
คณาจารย์และผู้อำนวยการเองก็ต่างจับจ้องไปยังภาพตรงหน้าด้วยความคาดหวัง เพราะได้ชื่อว่าเป็นราชาองค์ต่อไปความคาดหวังจากทุกคนจึงไม่ใช่เวทย์ง่ายๆ ที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ สำหรับผมคิดว่าเวทย์ก่อนหน้านี้ที่องค์ชายเคยแสดงให้ดูถือว่าสุดยอดมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวทย์ผสานผนึกโจมตีหรือเวทย์ที่ใช้มองทะลุเวลาพรางตัวทว่าองค์ชายกลับเลือกจะใช้เวทย์อื่นผมจึงกังวลอยู่ไม่น้อย
“องค์ชาย” ผมพึมพำพลางมองร่างตรงกลางสนามที่เงยหน้าขึ้นมาสบ ดวงตาสีฟ้าสว่างจับจ้องมายังดวงตาสีขาวของผมก่อนจะคลี่ยิ้มคล้ายจะบอกว่ารอดูนะมาให้
“เกลียวคลื่นใต้มหาสมุทรสีครามจงทะยานขึ้นสู่ท้องนภาด้วยพายุคลั่งของสายลมอันเกลี้ยวกาจและจงแตกกระจายดั่งสายฝนที่ซ่อนพลังกำลังแห่งความบ้าคลั่งของวายุและวารี ฉีกกระชากทุกสิ่งที่สัมผัสภายให้การชี้นำแห่งข้า” วงแหวนเวทย์สีฟ้าสว่างปรากฏขึ้นพร้อมกางออกจนครอบคลุมพื้นที่สนามทั้งหมดก่อนเกลียวคลื่นจะรวมเข้ากับพายุและกระจายตัวออกไปเป็นหยดน้ำเล็กๆ เหมือนสายฝน ทว่าหากมองดีๆ จะเห็นว่าฝนแต่ละเม็ดนั้นมีการหมุนอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายใน เชื่อเลยว่าพลังทำลายต้องรุนแรงต่างจากรูปลักษณ์อันบอบบางของหยดน้ำแน่ๆ
เพียงแค่เวทมนตร์แรกก็ทำเอาทั้งสนามเงียบกริบ นี่ไม่ใช่การผสานแต่เป็นการสร้างเวทย์ใหม่อย่างแท้จริง ผมเคยเห็นเวทย์พายุมาหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่เคยเห็นใครกล้านำความรุนแรงของพายุเข้าไปใส่ในรูปลักษณ์อันบอบบางอย่างหยดน้ำมาก่อนในชีวิต
แทบไม่น่าเชื่อว่าองค์ชายที่มีอายุเพียง 22 ปีกว่าจะสามารถสร้างเวทย์ระดับนี้ได้ คะแนนของเวทย์แรกผมให้เต็มโดยไม่มีของกังขาใดๆ ซึ่งคนอื่นๆ เองคงเห็นด้วยกับผมเช่นกัน
“ปราพกที่มอดไหม้จงรับการพัดโบกจากสายลมเพื่อกระหน่ำเปลวเพลิงสีแดงให้ลุกโชดช่วง กูณฑ์สีแดงเพลิงเอ๋ยจงแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ สลายปีกโผลบินสู่ท้องฟ้าสีสดด้วยเปลวเพลิงนั้นแล้วพุ่งโฉบเฉี่ยวผู้ใดก็ตามที่ก้าวเข้ามาในอาณาเขตนี้” เวทย์ที่สองถูกร่ายออกมาติดๆ กัน แน่นอนว่าเวทย์เมื่อครู่ทำเอาผมอึ้งไปแล้วแต่เวทย์นี้กลับสร้างความตกตะลึงยิ่งกว่า และไม่ใช่แค่ผมที่ตกตะลึงแต่ทุกคนต่างตกตะลึงไม่ต่างกัน
ทุกคนในอาณาจักรเวธาณาร์ต่างรู้ดีว่าองค์ชายฮาล์บชอบเวทย์น้ำมากเป็นพิเศษดังนั้นเกือบทุกเวทย์ขององค์ชายจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบ แต่เวทย์นี้กลับฉีกความเป็นตัวตนขององค์ชายอย่างสิ้นเชิง เวทย์ไฟผสานกับเวทย์ลมโจมตีจนเกิดเป็นเวทย์ใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้คาถาร่ายมากมายอย่างการผสานเวทย์ปกติ
เวทย์สุดท้ายที่ร่ายเป็นเวทย์ผนึกที่ไม่ใช่โซ่แต่เป็นเสาเหล็กแหลมผสานกับสายฟ้าจนก่อเกิดเป็นการจับกุมอันทรงพลัง ยิ่งไปกว่านั้นเวทย์ที่ใช้กลับเป็นเวทย์ที่ทำได้แค่คิดยังไม่ได้มีการลองร่ายจริงมาก่อนก็จริงสร้างความตกใจให้มากขึ้นไปอีก ไม่ง่ายเลยที่จะคิดและสามารถใช้เวทย์นั้นออกมาได้ในทันที
สมแล้วกับที่มีพลังเวทย์มหาศาล
หรือสมแล้วกับความสามารถขององค์ชาย
ไม่สิ ต้องพูดว่าสมแล้วกับที่เป็นองค์ชาย
คะแนนสอบสูงสุดของปี 4 คือคะแนนเต็มซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ทุกคนที่เห็นเวทย์ทั้ง 3 เวทย์ขององค์ชายฮาล์บคงไม่มีใครเกิดข้อสงสัยขึ้นมาแน่
การสอบผ่านพ้นไปจนกระทั่งวันจบการศึกษาจากสถาบันเวทมนตร์แห่งนี้ การเตรียมงานเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ให้สมกับการส่งท้ายนักเรียนชั้นปี 4 สถานที่จัดงานเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ยักษ์ตรงกลางจะมีเวทีสำหรับขึ้นไปรับประกาศนียบัตรและหนังสือเวทมนตร์คนละ 1 เล่ม เห็นว่าผู้ที่จบชั้นสูงสุดจะได้รับหนังสือเวทมนตร์ระดับสูง
ผมเองรู้สึกสนใจหนังสือนั่นอยู่ไม่น้อย
ผู้มอบประกาศนียบัตรคือผู้อำนวยการของสถาบันเวทมนตร์แห่งนี้ ส่วนหนังสือเวทย์จะได้รับจากมือขององค์ราชาแห่งอาณาจักรเวธาณาร์ ราชาคาราสนั่นเอง
อาจารย์หลายสิบท่านนั่งเรียงยังเก้าอี้ด้านข้างเวทีทั้งสองฝั่งคอยมองเหล่านักเรียนขึ้นไปรับประกาศนียบัตรและหนังสือเวทมนตร์ นักเรียนที่จบจะนั่งอยู่แถวหน้าส่วนแถวกลางไปจนถึงแถวหลังจะเป็นนักเรียนของสถาบันเวทมนตร์ที่มาร่วมแสดงความยินดีให้กับผู้จบ เป็นธรรมเนียมสานต่อกันมาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน
เมื่อทุกคนรับเสร็จผู้อำนวยการสถาบันเวทมนตร์จึงก้าวออกมาพูดคุยก่อนจะส่งต่อให้องค์ราชาพูดปิดพิธีในวันนี้ เสียงขององค์ราชาผมได้ยินบ่อยมากโดยเฉพาะเวลาถูกเรียกให้ไปฟังเรื่องต่างๆ ดังนั้นหากฟังนานๆ ร่างกายผมเลยมีปฏิกิริยาทันที ความเบื่อและความง่วงค่อยๆ เข้ามาคืบคลานกัดกินสติทีละน้อย
“...ดังนั้นข้าจึงรู้สึกยินดีและปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่อาณาจักรของเราได้มีบุคคลมากความสามารถอย่างพวกเจ้าทุกคน สุดท้ายข้าขอให้ทุกคนก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่เลือกอย่างมีความสุข ก่อนจะจากกันไปข้าอยากให้อาจารย์ไซซิน เคอร์เรสมาปิดท้ายงานนี้ด้วยการแสดงเวทย์อันยิ่งใหญ่ให้เหมาะกับวันจบการศึกษาและถือเป็นการบอกลานักเรียนรวมถึงอาจารย์ทุกๆ คนด้วย”
“...ว่าอะไรนะ?!” ผมที่กำลังจะหลับถึงกับสะดุ้งตัวจับจ้องไปยังราชาของอาณาจักรด้วยความไม่เข้าใจ
เมื่อครู่บอกให้ทำผมอะไรนะ
“มาสิ อาจารย์ไซซิน เคอร์เรส” เมื่อถูกเรียกอีกครั้งผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากลุกขึ้นแล้วเดินไปทางองค์ราชา
“องค์ราชา...จะให้กระหม่อมทำอะไร...”
“ไหนๆ เจ้าก็จะไม่อยู่แล้วบอกลาทุกคนแล้วปิดงานวันนี้หน่อยละกัน”
“ปิดงาน? หมายถึงให้กระหม่อมทำอะไร” ถึงจะเอ่ยถามต่อทว่าองค์ราชากลับทำเพียงส่งยิ้มแล้วเดินกลับไปนั่งยังที่ของตัวเองปล่อยให้ผมยืนนิ่งอยู่กลางเวทีด้วยหัวใจที่เต้นรัวขึ้นเนื่องจากมีสายตานับพันคู่จับจ้องมาเป็นจุดเดียว
ตอนนี้ผมสามารถแข็งเป็นหินโดยไม่ต้องถูกร่ายเวทย์ใส่ด้วยซ้ำ!
วันนี้นอกจากจะเป็นวันจบการศึกษาแล้วยังเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะทำหน้าที่อาจารย์ด้วย ทั้งที่อยากจากไปแบบเงียบๆ แต่ตอนนี้คงทำตามความหวังนั้นไม่ได้แล้ว
“เอ่อ...การได้เข้ามาสอนยังสถาบันเวทมนตร์แห่งนี้ถือเป็นครั้งแรก แม้จะมีหลายๆ อย่างไม่เข้าใจแต่การได้สอนนักเรียนก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ทุกเวทมนตร์ที่ได้สอนหรือทำให้ดูนั้นสามารถนำไปปรับใช้ได้ตามแบบฉบับของตัวเอง...ขอบคุณ” ผมพูดมาสักพักก็ปิดประโยคได้สำเร็จ
การยืนพูดต่อหน้าคนมากมายใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ
“เวทย์สุดท้ายเพื่อปิดงานวันนี้ล่ะซิน” องค์ราชาที่อยู่เยื้องไปด้านหลังพึมพำเสียงเบาให้ได้ยิน
แม้ในใจจะเกิดคำถามแต่ผมก็ทำเพียงสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมทั้งกางวงแหวนเวทย์สีขาวออกกว้างจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งห้องไว้...
“ประกายแสงแห่งอัญมณีอันเลอค่าจงส่องประกายสอดประสานกับแสงแห่งสุริยาสีเหลืองทอง จงปกคลุมห้องนี้ด้วยไออุ่นดุจดั่งแสงอาทิตย์ในยามเช้าและจงแผดสีสันทั้งเจ็ดประดับความงดงามนี้ให้ตราตรึงทุกสายตาที่จับจ้อง” เมื่อร่ายเวทย์จบทั้งห้องก็ถูกย้อมไปด้วยสีเหลืองทองของแดดก่อนสีสันนับล้านจะทอประกายเป็นคลื่นแสงอัญมณีอันงดงามตรึงสายตาทุกคู่ให้จ้องงมองจนแทบไม่กระพริบ
ผมขอมอบเวทย์นี้ให้กับนักเรียนทุกคนโดยเฉพาะกับผู้ที่เรียนจบจากสถาบันเวทมนตร์แห่งนี้...
ทันทีที่งานจบผมถูกองค์ราชาคาราสเรียกพบเป็นการส่วนตัวจึงไปบอกกับองค์ชายฮาล์บให้กลับไปก่อน องค์ชายเองก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับบอกว่าถูกองค์ราชินีเรียกไปพบดี ดังนั้นพวกเราจึงแยกกันไปคนละทาง
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าองครักษ์ทั้ง 5 คนสามารถคุ้มกันองค์ชายฮ์บให้ปลอดภัยได้ แต่ถึงจะมั่นใจแต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี
“เหม่ออะไรน่ะซิน” องค์ราชาเรียกสติผมโดยการโบกมือไปมาตรงหน้าผม
“...ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ องค์ราชามีเรื่องอะไรถึงเรียกกระหม่อมมาหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถาม
ตอนนี้ผมเดินตามหลังองค์ราชาอยู่ในสวนด้านข้างตึกเรียน ถึงจะพูดว่าสวนแต่ในฤดูนี้ก็เห็นเพียงสีขาวของหิมะที่ประดับปกคลุมไปทั่วเท่านั้น สถานที่นี้คงปลอดภัยมากกว่านั่งคุยกันอยู่ในห้องแถมยังป้องกันการดักฟังด้วย
“จากการสืบข้อมูลและใช้เวทมนตร์สืบสวน เหมือนคนที่จ้องเร่งงานฮาล์บจะเป็นหนึ่งในบรรดาญาติของข้าไม่ก็เอโดร่าน่ะ” ราชาคาราสเปิดประเด็นอย่างรวดเร็ว
“เรื่องนี้พระองค์น่าจะทรงรู้อยู่ก่อนแล้ว” ผมไม่ได้แปลกใจเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ องค์ราชาเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าคนที่จ้องเล่งงานองค์ชายเป็นหนึ่งในบรรดาญาติไม่ฝั่งใดก็ฝั่งหนึ่ง เอโดร่า เวธาณาร์คือชื่อขององค์ราชินีของอาณาจักรนั่นเอง
“พระองค์ทรงไม่เรียกกระหม่อมมาเพียงเพื่อบอกเรื่องนี้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผมถามออกไปตามตรง
“ถูก...ข้าจำกัดวงให้แคบลงได้แล้ว เป็นญาติทางฝั่งเอโดร่า”
“...แบบนี้ค่อนข้างยากทีเดียว” ผมพึมพำด้วยใบหน้าคิดหนัก
ราชินีเอโดร่ามีญาติอยู่หลายสิบคน แค่ในครอบครัวราชินีก็เป็นพระธิดาองค์ที่ 7 แปลว่ามีพี่สาวอีก 6 คนและแต่ละคนต่างแต่งงานและมีครอบครัว นี่ยังไม่นับญาติฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่อีกนะ
อย่าเรียกว่าจำกัดวงให้แคบเลย
“ข้าเลยอยากให้เจ้าช่วยอะไรอีกหน่อย”
“ช่วยดูแลฮาล์บให้ดีโดยเฉพาะช่วงนี้จนกว่าจะถึงวันรับตำแหน่งจากข้าในอีก 2 เดือนหลังวันเกิดฮาล์บ” องค์ราชาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเครียด
“รับด้วยเกล้า” ผมเข้าใจความต้องการขององค์ราชา
หากพวกนั้นต้องการตำแหน่งว่าที่ราชาองค์ต่อไปจำเป็นต้องกำจัดองค์ชายฮาล์บให้พ้นทาง ในเมื่อตลอดครึ่งปีมานี่ส่งคนมาเร่งงานหลายต่อหลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพวกนั้นต้องลงมืออีกในช่วงนี้ไปจนถึงก่อนวันงานในอีก 2 เดือน
“ข้าวางใจถ้าฮาล์บมีเจ้าอยู่ข้างๆ”
“กระหม่อมไม่ได้เก่งขนาดนั้น”
“แต่เก่งมากว่านั้นล่ะสิ ข้ารู้ฝีมือเจ้าดีถึงได้กล้าฝากฮาล์บไว้ เพราะข้าเรียกมาวันนี้เลยตามฮาล์บกลับปราสาทไม่ได้เลยนะ” องค์ราชาพูดต่อ พวกเราเดินวนรอบสวนและกำลังจะเดินกลับไปยังรถม้าของราชาคาราสที่อยู่ไม่ไกล
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายถูกองค์ราชานิเรียกไปป่านนี้คงกำลังคุยกันอยู่กระหม่อมไม่อยากละเมิดความเป็นส่วนตัวมากนัก”
“...เจ้าว่าฮาล์บถูกใครเรียกนะ” ดวงตาสีฟ้าหม่นขององค์ราชาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถามกลับอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเองเริ่มมีความตึงเครียดเกิดขึ้น
“องค์ราชินีเรียกพ่ะย่ะค่ะ” ผมพูดซ้ำอีกรอบ
“เป็นไปไม่ได้ วันนี้ก่อนออกมาจากปราสาทเอโดร่ายังฝากให้มาบอกฮาล์บอยู่เลยว่าวันนี้จะไม่อยู่ปราสาทให้กินมื้อเย็นกันแค่ 2 คนพ่อลูก” คำพูดจากองค์ราชาทำให้ดวงตาสีขาวของผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ภายในหัวประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
“...มีคนส่งสารปลอม” ผมพูดเสียงเบาพร้อมขบเม้มริมฝีปากแน่น
“พ่ะย่ะค่ะ ประกายแสงสีขาวจากหมู่มวลเวทมนตร์อันทรงพลังจงแนบชิดกายาและสยายปีกขาวล้วนดั่งนกที่โลดแล่นบนท้องนภาให้แก่เรา” เพียงคำเดียวที่ราชาเรียกผมก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ผมร่ายเวทย์ปีกบินขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งตรงไปยังทิศที่องค์ชายใช้เดินทางกลับ
สายลมเย็นๆ กับละลองหิมะที่กำลังเริ่มตกจากฟากฟ้าทำให้การมองเห็นรวมไปถึงการเคลื่อนที่ค่อนข้างลำบากพอสมควร ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มากพอจะเรียกว่าอุปสรรคได้
ปีกสีขาวบริสุทธิ์สยายพร้อมกระพือขึ้นลงชะลอความเร็วลงเมื่อมาถึงจุดหมายบริเวณถนนสายเดี่ยวที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ถนนสายนี้เป็นถนนพิเศษตัดผ่านป่าจากปราสาทมายังสถาบันเวทมนตร์ทำให้มีเพียงบุคคลระดับสูงที่สามารถใช้เส้นทางนี้ได้
ด้านล่างมีรถม้าขององค์ชายที่ถูกคลุมด้วยเกราะสีใสโดยมีองครักษ์ทั้ง 5 คนยืนล้อมรอบรถม้าเพื่อป้องกันการโจมตีที่กำลังเกิดขึ้น เปลวเพลิงสีแดงพุ่งเข้าโจมตีจากรอบทิศทางเหล่าองครักษ์ร่ายเวทย์เพื่อป้องกันตัวเองทว่าเวทย์นั้นกลับไม่ได้โจมตีไปยังกลุ่มองครักษ์แต่เป็นเกราะสีใสที่ห่อหุ้มรถม้าอยู่ในจุดเดียวกัน
เกราะสีใสอาจแข็งแกร่งแต่เมื่อถูกโจมตีไปยังจุดเดียวแถมพลังของเวทย์ยังสูงมาก ผลที่เกิดขึ้นคือเกราะสีใสนั่นแตกละเอียด ด้วยพลังที่เสมอกันเวทย์ทั้งสองจึงสลายหายไป ผมถอนหายใจด้วยความโล่งได้ไม่นานการโจมตีอันรวดเร็วละลอกต่อมาทำเอาดวงตาสีขาวของผมเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง เวทย์โจมตีขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นเหนือรถม้ากับองครักษ์ทั้ง 5 และพุ่งตกลงมาเพียงเสี้ยววินาที
“องค์ชายฮาล์บ!!” ผมตะโกนเรียกพร้อมบินโฉบลงไปด้านล่าง ควันจากการโจมตีเมื่อครู่ยังคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สิ่งแรกที่เห็นหลังควันเริ่มจากคือร่างขององครักษ์ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นเช่นเดียวกับเศษรถม้าที่ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
ผมวิ่งเข้าไปด้านในควันเพื่อหาองค์ชายโดยในใจกำลังต่อว่าตัวเองถึงสาเหตุที่ไม่ยอมร่ายเวทย์ทันทีที่มาถึง ปล่อยให้พวกนั้นโจมตีซ้ำหลายครั้งแบบนี้ได้ยังไง แบบนี้ยังมีหน้าไปบอกว่าจะปกป้ององค์ชายอยู่ได้เหรอหากองค์ชายเป็นอะไรไป
“ซิน?” แม้จะเป็นเสียงเรียกอันแผ่วเบาแต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมก้าวไปยังต้นเสียง ควันสีเทาถูกสายลมเย็นพัดออกไปจนหมด ร่างขององค์ชายฮาล์บยืนอยู่ภายในเกราะสีฟ้าใสในสภาพปลอดภัยปราศจากบาดแผลใดๆ
“พระองค์ทรงปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถาม จากที่มององค์ชายคงร่ายเวทย์ป้องกันไว้ และเวทย์นี่แข็งแกร่งมากพอที่จะไม่ถูกทำลายจากการโจมตีซ้ำ
“เจ้ามานี่ได้ยังไง ไม่ใช่ว่าท่านพ่อเรียกพบหรือ” องค์ชายถามกลับด้วยใบหน้าสงสัย
“สารที่องค์ราชินีเรียกพบองค์ชายเป็นของปลอมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเลยรีบตามมา” คำอธิบายดังขึ้นพร้อมกับผมที่หันไปมองรอบทิศทาง การเคลื่อนไหวของพุ่มไม้แม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แต่ก็มากพอให้ผมรู้ตำแหน่งของศัตรู
“ของปลอมงั้นเหรอ แปลว่าล่อข้าเพื่อมาจัดการสินะ”
“กระหม่อมไม่ยอมให้ใครทำร้ายพระองค์แน่นอน” ผมกล่าวเสียงหนักแน่น
“รักษาองครักษ์ข้าหน่อยได้ไหม”
“พ่ะย่ะค่ะ แสงสีเขียวแห่งการปัดเป่าจงห่อหุ้มผู้ที่ไม่อาจขยับกายาด้วยสายลมแห่งการรักษา” ผมร่ายร่ายเวทย์รักษาองครักษ์ทั้ง 5 คน
เสียงการเคลื่อนไหวจากด้านหลังไม่อาจรอดพ้นสัมผัสของผมได้ ดาบสีเงินที่โจมตีมาถูกหลบเลี่ยงได้ในเสี้ยววินาทีทว่าไม่ได้มีเพียงคนเดียวที่ออกมา อีกฝั่งหนึ่งมีผู้ชายประมาณ 5 คนร่ายเวทย์โจมตีใส่องค์ชายโดยผมเองก็อยู่ในอาณาเขตโจมตีด้วย
การใช้ดาบเมื่อครู่คงล่อให้ผมหลบไปทางองค์ชาย หากเจอแค่นี้แล้วหมอบกลับไปได้โดยฟราวบ่นยาวแน่ ผมอาศัยจังหวะก่อนเวทย์จะโจมตีกระโดดหลบไปอีกฝั่งก่อนพุ่งตัวปล่อยหมัดใส่คนที่ยืนอยู่ใกล้สุด
ผมแทบไม่จำเป็นต้องหันไปมององค์ชายเพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายถึงจะเป็นองค์ชายแต่ไม่ได้อ่อนแอ เกราะป้องกันนั่นแข็งแรงพอจะต้านการโจมตีได้และองค์ชายฮาล์บสามารถร่ายเวทย์ได้หลายอย่างพร้อมกันผมเลยไม่เป็นห่วงนัก
ถึงหน้าที่ผมคือปกป้องแต่สถานการณ์นี้ผมควรจะจัดการฝั่งนี้ให้หมดก่อนจะเป็นการดี
“สายลมบนท้องนภาจงบิดหมุนเพื่อเพิ่มการทำลายและโจมตีใส่ศัตรูเบื้องหน้าข้า” อีกคนที่อยู่ไม่ไกลร่ายเวทย์โจมตี พายุหมุนอันรุนแรงปรากฏขึ้นตรงหน้าพักพาหิมะด้านข้างให้ปลิวกระจายหายไป ผมพยายามต้านการแรงลมจากพายุพลางหันไปมองทางองค์ชายว่าเป็นยังไง แม้จะเชื่อในฝีมือมากแค่ไหนก็อดห่วงไม่ได้
“มีสมาธิหน่อยซิน ไม่ต้องห่วงข้า!” องค์ชายฮาล์บเหมือนรู้ว่าผมสู้ไปเป็นห่วงไปจึงได้ตะโกนบอกเสียงดัง ผมค่อนข้างแปลกใจที่เกราะสีฟ้าใสนั่นนอกจากจะป้องกันการโจมตีจากเวทย์ได้แล้วยังไม่ถูกพายุลูกนี้ดึงดูดเข้ามา
จะเวทย์อะไรก็ช่างตอนนี้ต้องจัดการก่อน
“ความหนาวเหน็บในฤดูหนาวอันบ้าคลั่งจงแช่แข็งพายุหมุนนั้นด้วยสายลมกรรโชกอันรุนแรงดุจเทพพีแห่งฤดูหนาวอันเงียบงัน” ผมร่ายเวทย์พร้อมวงแหวนสีขาวจะขยายกว้างกินอาณาเขตโดยรอบไปหลายเมตร
ในพริบตาพายุหมุนอันรุนแรงถูกแช่แข็งจนหมดความรุนแรง ผมอาศัยจังหวะนั้นเตะเสยหน้าไปได้อีกหนึ่งคน อีก 3 คนพุ่งเข้าใส่ผมโดยหนึ่งในนั้นมีดาบเวทย์ที่สามารถปล่อยคลื่นเวทมนตร์ได้ เพียงตะหวัดดาบคลื่นเสียงอันรุนแรงก็ทำเอาพื้นดินปกคลุมหิมะถูกแยกออก
“ผืนดินสีน้ำตาลเข้มเอ๋ยจงดูดกลืนผู้ที่อยู่ในอาณาเขตข้าด้วยพลังดั่งผืนทราย” เวทย์ผนึกถูกร่ายออกมาจากสักคนที่หลบซ่อนอยู่ในป่าโดยให้อีกสามคนคอยหลอกล่อ พอร่ายเวทย์เสร็จทั้ง 3 คนก็กระโดดหนีจึงมีเพียงบริเวณเท้าผมที่ค่อยกลายเป็นทรายดูด
“ซิน ให้ข้าช่วยไหม!” เสียงตะโกนขององค์ชายดังขึ้นอีกครั้ง พอหันไปมองผมก็เห็นว่าฝ่ายองค์ชายฮาล์บเองก็กำลังต่อกรกับศัตรูอยู่เช่นกัน เวทย์รักษาที่ผมร่ายให้องครักษ์คงใกล้จะเสร็จแล้ว แต่จะให้ถ่วงเวลาก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบเช่นเดียวกับการถูกบอกว่าจะช่วยนั่นแหละ
“ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงจัดการทางนั้นเถอะ” ผมตอบองค์ชายฮาล์บก่อนจะก้มหน้ามองดูทรายดูด ถัดไปอีกไม่ไกลพวกนั้นกำลังเริ่มร่ายเวทย์เพื่อโจมตีผมอยู่
ผมไม่ยอมให้โจมตีได้ง่ายๆ หรอกนะ
ขอเอาเกรียติของรองหัวหน้าหน่วยองครักษ์เงาเป็นเดิมพัน!
“เสียงกรีดร้องอันโหยหวนจากเหล่าสรรพสัตว์บนพื้นปฐพีจงกลายเป็นพลังที่จะเข้าโจมตีผู้ที่เหยียบย่างเข้ามาภายใต้การจองจำอันสมบูรณ์แบบนี้ด้วยระเบิดเสียงอันทรงพลัง” วงแหวนเวทย์สีขาวของผมกางออกกว้างพร้อมกับเสียงกรีดร้อนอันโหยหวนดังลั่นจนฝ่ายศัตรูทุกคนถึงกับทรุดตัวลงไปกับพื้นโดยที่ผม องค์ชายและองครักษ์ที่เหลือที่เหลือไม่โดนลูกหลงไปด้วย
เวทย์นี้ผมสามารถกำหนดได้ว่าใครจะถูกโจมตีแต่เพราะเป็นเวทย์ที่ใช้พลังค่อนข้างเยอะผมเลยไม่ค่อยชอบใช้สักเท่าไหร่ แต่ถ้าผลออกมาแบบนี้ก็เสร็จผมล่ะ
“ท้องฟ้ามืดมิดจงทอแสงประกายเรียกสายฟ้าสีเหลืองสดให้แผดสีสันลงมายังพื้นทรายเบื้องล่างและก่อเกิดเป็นผนึกสายฟ้าที่จะจับกุมศัตรูด้วยกระแสไฟฟ้าอันรุนแรงดั่งสายล่อฟ้าสีเงิน” ผมทำการผสานเวทย์สายฟ้าเข้ากับเวทย์ทรายดูดของฝ่ายศัตรู การประสานนั้นทำให้เกิดเป็นผนึกสายฟ้าอันรุนแรงที่เข้าจับกุมทุกคนด้วยการรัดแน่นของสายฟ้า หากขยับจะถูกซ๊อตได้
“สายน้ำเอ๋ยจงโอบอุ่มสายฟ้าและหล่อหลอมธารานั้นเพื่อเพิ่มอนุภาคการผนึกอันไม่มีที่สิ้นสุด” เวทย์ผนึกขององค์ชายฮาล์บประสานเข้ากับเวทย์ผนึกของผมทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มอีกหลายเท่า
“องค์ชายปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ” ผมวิ่งเข้าไปถาม
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าห่วงข้ามากไปแล้ว” องค์ชายฮาล์บยิ้มเล็กน้อย
“กระหม่อมน่าจะคอยอยู่ข้างๆ พระองค์” ผมน่าจะเอะใจว่าอาจมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
“ใช่ความผิดเจ้าที่ไหนกัน เลือดออกนะซิน” องค์ชายพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาเช็ดเลือดบริเวณแก้มผมให้ บาดแผลคงมาจากตอนต่อสู้เมื่อครู่ แค่คิดว่าสู้กับคนจำนวนมากแล้วได้แผลมาแค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว
“เจ้าจะคอยปกป้องข้าใช่ไหม”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะคอยปกป้องพระองค์จนกว่าจะจับตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังได้” ผมพยักหน้าสองสามครั้ง
“หมายความว่าหากจับคนร้ายได้เจ้าก็จะไม่ปกป้องข้าแล้ว?” องค์ชายฮาล์บถามกลับ สีหน้าในยามนี้ไม่รู้ว่าองค์ชายกำลังคิดอะไรอยู่
“...กระหม่อมเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงามีหน้าที่คอยปกป้องพระองค์อยู่แล้ว เพียงแค่กระหม่อมจะไม่ตามติดพระองค์เหมือนอย่างตอนนี้” ผมอธิบายต่อเพื่อให้องค์ชายเข้าใจ
ยังไงเรื่องที่ผมอยู่หน่วยองครักษ์เงาสักวันอีกฝ่ายก็ต้องรู้เป็นธรรมดา การจะปิดบังตัวตนแล้วหายไปอย่างเงียบเชียบเหมือนที่เคยคิดคงทำไม่ได้แล้ว
“สำหรับข้าไม่เรียกว่าตามติดสักหน่อย”
“ข้าเรียกว่าเป็นการอยู่เคียงข้าง”
“...” น้ำเสียงอันอ่อนโยนนั่นทำให้ผมนิ่งไป ไม่รู้ว่าควรจะต้องเอ่ยอะไรออกไปดี
“ข้ารู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับเจ้า เหมือนไม่จำเป็นต้องวางตัวเป็นเจ้าชายแต่เป็นตัวข้าจริงๆ เพราะงั้นข้าเลยไม่อยากให้เจ้าพูดว่ามันเป็นการตามติด หากเหตุการณ์นี้จบลงข้าก็ยังอยากให้เจ้าอยู่กับข้า” น้ำเสียงขององค์ชายเหมือนจะสื่อความรู้สึกหลายๆ อย่างอออกมา
ผมดีใจที่อีกฝ่ายต้องการตัวเอง ทว่าการจะให้ผมอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปโดยที่หัวใจยังเต็มไปด้วยความรักอยู่แบบนี้ไม่ได้ ผมไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถยิ้มและแสดงความยินดีได้อย่างจริงใจเมื่อองค์ชายฮาล์บต้องแต่งาน การขึ้นเป็นราชาเรื่องแต่งงานถือเป็นเรื่องธรรมดาเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล
ยิ่งเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวของอาณาจักรเวธาณาร์ที่สืบสายเลือดโดยตรงยิ่งแล้วใหญ่
“...กระหม่อมไม่อาจสัญญาว่าจะคอยอยู่เคียงข้างแต่ขอสัญญาว่ากระหม่อมจะคอยปกป้องพระองค์และอาณาจักรแห่งนี้” ผมไม่อยากพูดอะไรที่ไม่สามารถทำได้ออกไป
“เหมือนเจ้าไม่อยากจะอยู่กับข้าสักเท่าไหร่...”
“อย่าทรงคิดแบบนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีทางที่จะไม่อยากอยู่กับพระองค์” ใช่...ไม่มีทาง
ทำไมจะไม่อยากอยู่ข้างๆ ล่ะในเมื่อหัวใจดวงนี้ถูกเอาไปแล้ว การจะอยากอยู่ใกล้หัวใจตัวเองเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเพียงแต่ด้วยสถานะผมไม่อาจบอกความรู้สึกนี้ออกไปได้
“ความหมายคือเจ้าอยากอยู่กับข้า?” องค์ชายถามกลับพลางเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น
ทั้งที่ผมพยายามพูดอ้อมแล้วเชียวทำไมถึงต้องถามกลับด้วยนะองค์ชาย
“...” แล้วแบบนี้จะให้ผมตอบอะไรกลับไปล่ะ
“ซิน” เสียงเรียกนั้นเหมือนกันเร่งให้ผมตอบ
“...กระหม่อมจะไปติดต่อทางปราสาทให้นำรถม้าคันใหม่มาให้นะพ่ะย่ะค่ะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“กระหม่อมขอตัว” ผมรีบก้มโค้งเร็วๆ ก่อนจะก้าวถอยหลังเตรียมออกจากสถานการณ์แปลกๆ นี่ ทว่าในขณะที่ผมกำลังจะถอยหลังหนีกลับถูกองค์ชายฮาล์บคว้าแขนเอาไว้แล้วออกแรงดึงทันควันจนร่างผมเซเกือบล้มไปหาอีกฝ่าย
“ตอบข้าก่อนซิน คำพูดของเจ้าข้าแปลความหมายถูกใช่ไหม” องค์ชายฮาล์บเหมือนจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ ดวงตาสีฟ้าสว่างจับจ้องมายังผมราวกับจะบอกว่าหากไม่ตอบก็จะไม่ยอมปล่อย
อาจเพราะเป็นฤดูหนาวทำให้ระยะเพียงแค่นี้ก็สามารถสัมผัสถึงไออุ่นจากอีกฝ่ายได้ชัดเจนกว่าที่เคย
“ซิน” เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบองค์ชายจึงใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่เอื้อมขึ้นมาสัมผัสใบหน้าผม ฝ่ามือขององค์ชายเย็นเนื่องจากตากลมในฤดูหนาวค่อนข้างนานต่างจากแก้มผมที่แม้จะตากลมเช่นกันแต่กลับเห่อร้อนด้วยความเขินปนอาย
ผมไม่รู้ว่าองค์ชายไปหาวิธีนี้มาจากไหนไอ้การสัมผัสหน้าผมแล้วเกลี่ยเบาๆ นี่น่ะ
ไม่อยากบอกหรอกนะแต่มันได้ผลมากทำให้สมองผมตื้อ ขาวโพลนไปหมด
เสียงหัวใจเองก็ดังเอาๆ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย
“...ทรงปล่อยกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ผมพึมพำเสียงเบา ยามถูกสัมผัสแบบนี้ผมแทบทำอะไรไม่ถูกด้วยซ้ำ แค่สัมผัสขององค์ชายฮาล์บเท่านั้นที่ทำให้ผมเป็นหนักขนาดนี้
“ตอบข้าก่อน” คนตรงหน้าไม่ปรานีหัวใจดวงน้อยๆ ที่เต้นรัวไม่หยุดเลย
“...ปล่อยกระหม่อมเถิด” จะให้ตอบอะไรในสภาพน่าอายแบบนี้กัน
“ถ้าปล่อยเดี๋ยวเจ้าก็เลี่ยงไม่ตอบอีก”
“ทะ...ทำไมต้องให้กระหม่อมตอบทั้งที่พระองค์ก็ทรงเข้าใจความหมายของประโยคนั้นอยู่แล้ว” ผมเอ่ยด้วยเสียงสั่นๆ
ก็จริงไหมล่ะ องค์ชายรู้ถึงความหมายของผมอยู่แล้ว ผมเลยไม่เข้าใจไงว่าทำไมถึงต้องถามซ้ำเพื่อเอาคำตอบทั้งที่รู้อยู่แล้วแท้ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้งกัน
“เพราะข้าอยากได้ยินคำพูดจริงๆ ของประโยคนั้นไม่ใช่คำพูดวกวน” คำตอบนั้นไม่ได้ทำให้ผมอยากเปิดปากเลยสักนิด อยากถามเหลือเกินว่าสนุกมากเหรอที่เห็นท่าทางแปลกๆ ของผม
“...พระองค์ปล่อยผ่านไปไม่ได้เหรอพ่ะย่ะค่ะ” แค่ปล่อยผ่านไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขนาดต้องมายืนหนาวท่ามกลางหิมะโปรยปรายแบบนี้สักหน่อย
“ไม่ได้” คำตอบทำให้รอยยิ้มละมุนที่ส่งให้นี้ดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันตาเห็น
ผมไม่อยากจะอยู่ในสถานการณ์นี้มากไปกว่านี้แล้วนะ
แถวองครักษ์ทั้ง 5 คนก็เริ่มขยับตัวหลังการรักษาเสร็จสิ้น ขืนปล่อยไว้พวกเขาต้องเห็นสภาพไม่น่ามองของผมแน่ๆ จะให้พวกเขาเห็นผมยังไม่เท่าไหร่แต่หากมีข่าวลือเกี่ยวกับองค์ชายแพร่ออกไปคงไม่ดี
ผมก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับองค์ชายอยู่ทุกครั้งไป
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมก้มหน้างึมงำคำตอบเสียงเบา
“ซิน...เงยหน้ามองข้าแล้วค่อยตอบ” ผมเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำพูดขององค์ชายฮาล์บ
ร่างกายแทบจะไม่มีแรงแม้แต่จะทรงตัวด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ช่วยปล่อยมือที่เกลี่ยแก้มผมไปมานี่ทีเถอะ
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมตัดสิ้นใจเงยหน้าขึ้นไปสบกับดวงตาสีฟ้าสว่างพร้อมคำตอบอีกรอบหนึ่ง
“พ่ะย่ะค่ะที่ว่าหมายถึงอะไร” องค์ชายทรงยิ้มระหว่างถามต่อ
ไม่ว่าจะครั้งที่แล้วหรือครั้งก่อนโน้นก็เป็นแบบนี้ตลอด
“อย่าทรงแกล้ง...กระหม่อม” คำที่เว้นวรรคไปคือหัวใจ ประโยคเต็มๆ คือ อย่าทรงแกล้งหัวใจกระหม่อม
แค่นี้เสียงหัวใจผมยังไม่ดังพออีกเหรอ
หรือยังเต้นไม่เร็วพอองค์ชายถึงต้องทำเช่นนี้
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย ซิน...ความหมายของประโยคนั้นคือเจ้าอยากอยู่กับข้าใช่ไหม” คำถามเดิมถูกถามซ้ำอีกรอบ ครั้งนี้องค์ชายไม่ได้เร่งรัด เขาทำเพียงมองผมนิ่งๆ โดยยังไม่ยอมปล่อยมือที่เกลี่ยแก้มผมและมืออีกข้างที่กุมข้อมือผมไว้
องค์ชายฮาล์บดื้อมากถึงมากที่สุด
หากไม่ได้รับคำตอบผมคงไม่สามารถออกจากสถานการณ์นี้ได้
อยากจะย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขสิ่งที่พูดแต่ในเมื่อทำไมได้ผมเลยทำได้เพียงต้องยอมรับมันเท่านั้น
“...กระหม่อมอยากอยู่กับพระองค์” ผมกลั้นใจตอบเสียงสั่น
ตอนนี้ผมรู้ตัวว่าไม่ไหวแล้ว
ให้ยืนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ไหวแน่นอน
สายตาขององค์ชายที่ประสานมาทอประกายดีใจดีแกมชื่นชมเช่นเดียวกับรอยยิ้มแสนอ่อนโยนคล้ายจะเป็นรางวัลสำหรับคำตอบ มือทั้งสองข้างค่อยๆ คลายออกอย่างเชื่องช้าแต่ยังไม่ทันได้หายใจทั่วท้องประโยดต่อมาก็ทำเอาหัวใจผมเต้นรัวยิ่งกว่าถูกสัมผัสเมื่อครู่หลายสิบเท่า...
“ข้าก็อยากอยู่กับเจ้าเหมือนกันซิน”
...................................................................
ขนาดมีฉากบู๊ยังหวานได้ ทำเอามดเดินไต่เต็มหน้าจอเลย 555
ขอบคุณทุกๆ คนที่แสดงความยินดีกับเราที่เรียนจบนะคะ
ถึงจะจบแล้วแต่เราก็ไม่คิดจะทิ้งการแต่งนิยายไป
สำหรับเราการแต่งนิยายเป็นเหมือนการผ่อนคลายอารมณ์และพักผ่อน ส่วนมากจึงเน้นไปในแนวหวานๆ ไม่ดราม่าเพราะเป็นเหมือนแหล่งชโลมจิตใจให้รู้สึกดีขึ้น
เราคิดว่าทุกคนต้องมีภาระที่ต้องแบกรับในเมื่อเข้ามาอ่านนิยายก็ล้วนต้องการความสนุกและผ่อนคลาย เราหวังว่านิยายของเราในแต่ละตอนจะช่วยให้ทุกคนยิ้มได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ แรงกำลังใจจริงๆ นะคะ ^^
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ได้ข่าวพึ่งผ่านสงครามกันมา จะหวานกันขนาดนี้ไม่ด้ายยยยน
//ฉากต่อสู้นี่ร่ายเวทย์กันสนุกมากๆ