ท้องนภาในยามเช้าดูสดใสกว่าทุกๆ วันอาจเป็นเพราะเมื่อคืนมีพายุหิมะรุนแรงมากทำให้ท้องฟ้าวันนี้ค่อนข้างโปร่ง หน้าที่ของผมยังคงเป็นการคอยอารักขาองค์ชายฮาล์บอยู่เช่นเดิมแม้จะมีพายุผมก็ทำหน้าที่ได้อย่างดี ด้วยพลังเวทย์ที่มีมหาศาลช่วยให้สามารถร่ายเวทย์ปกป้องตัวเองจากความหนาวเย็นได้ตลอดวัน
ถึงจะพูดว่าตามอารักขาตลอดแต่ก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่ผมจะได้กลับไปยังห้องพักของตัวเอง ห้องขนาดกลางในชั้นแรกริมปราสาทเป็นห้องนอนของผมทว่าด้วยปริมาณหนังสือที่แออัดตั้งแต่ขอบหน้าต่าง บนเตียงยันหน้าประตูทำให้หลายๆ คนคิดว่าที่นี่เป็นห้องหนังสือขนาดย่อมแล้วมักจะเข้ามาหยิบยืมบ่อยๆ โดยส่วนมากมักจะมาหยิบไปอ่านโดยไม่ขออนุญาติเพราะตัวผมไม่ได้อยู่ติดห้องตลอดแถมไม่ล๊อคห้องไว้เลยทำให้สามารถเปิดมาหยิบได้ ยังดีที่ทุกคนพออ่านเสร็จก็เอามาคืนผมเลยปล่อยให้พวกเขาเข้าๆ ออกๆ ได้ตามสบาย ยังไงข้าวของในห้องก็ไม่มีอะไรที่สำคัญมากถึงขนาดต้องกลัวถูกขโมย
เหมือนจะมีข่าวลือภายในปราสาทว่าในห้องผมมักมีผีผมขาวปรากฎตัวขึ้นบ่อยๆ เลยส่งผลให้มีคนแอบมาส่องห้องผมมากขึ้นเพราะอยากเจอผีซึ่งก็อยากบอกกับพวกเขาตรงๆ ว่านั่นไม่ใช่ผีหรอกแต่เป็นผมเอง
ผมชอบอ่านหนังสือเพราะการได้อ่านทำให้เรารู้มากขึ้นโดยเฉพาะหนังสือหรือตำราเวทมนตร์ จำนวนคาถาหลายพันล้านคาถาไม่มีทางที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้หมด ปัจจุบันเวทย์ที่ใช้ต่างเป็นเวทย์ที่เขียนอยู่ในตำราเก่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนทั้งนั้น สำหรับเวทย์ระดับกลางจนถึงเวทย์ระดับสูงหากไม่มีใครสอนก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองจากหนังสือนี่แหละ
“องค์ชายฮาล์บ” ผมพึมพำชื่อเจ้าของห้องบนชั้น 5 ของปราสาทซึ่งสายตาผมกำลังจับจ้องอยู่ วันนี้ค่อนข้างผิดปกติกว่าทุกๆ วัน เวลาประมาณนี้องค์ชายน่าจะตื่นและเตรียมตัวออกไปข้างนอกแต่ผมยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไรภายในห้องเลย
ผมมองหน้าต่างบานใหญ่ตรงหน้าอย่างครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงไปยังพื้นหิมะด้านล่าง คลายเวทย์พรางตัวและเดินเข้าไปด้านในปราสาท บริเวณห้องโถงขนาดใหญ่จะมีบันไดเชื่อมต่อไปยังชั้นต่างๆ ด้านข้างบันไดมีหน่วยองครักษ์ที่คอยคุ้มกันองค์ชายฮาล์บยืนอยู่ครบทั้ง 5 คน
สีหน้าของพวกเขาดูร้อนรนแปลกๆ
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” ผมเดินเข้าไปถาม
“อาจารย์ที่สถาบันเวทมนตร์ขององค์ชาย?” หนึ่งในนั้นพูด
“ครับ เห็นพวกคุณยืนทำท่าแปลกๆ เลยสงสัยนิดหน่อยน่ะ” ในเมื่อพวกเขาเห็นว่าผมเป็นอาจารย์ก็จะเล่นบทอาจารย์ต่อไปละกัน
“องค์ชายนัดพวกเราไว้ตอน 8 โมงแต่นี่ผ่านมาจะ 2 ชั่วโมงแล้ว องค์ชายไม่เคยผิดนัดพวกเราและไม่ใช่คนไม่ตรงเวลา” อีกคนพูดบ้าง สีหน้าห่วงปนกังวลจากทุกคนแสดงให้เห็นว่าองค์ชายมีความสำคัญมาก
องค์ชายฮาล์บสามารถทำให้คนที่อยู่รอบตัวหลงใหลได้ง่ายๆ
“แล้วอาจารย์มาทำอะไรที่นี่ครับ” อีกฝ่ายถามกลับบ้าง
“องค์ชายรับสั่งให้ผมมาเข้าเฝ้าน่ะ” คำโกหกถูกเอ่ยออกไปอย่างแนบเนียน
“อ้อ งั้นพวกเราขอรบกวนด้วย”
ผมเดินขึ้นบันไดโดยแอบถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ถูกถามต่อมากไปกว่านี้ ความจริงพวกเขาคงสงสัยอยู่ไม่น้อยเพียงแค่ไม่อยากจะก้าวก่ายผมมากไปกว่านี้ บานประตูสีขาวริมสุดทางเดินเป็นห้องขององค์ชายฮาล์บและนี่เป็นครั้งที่ 3 ที่ผมได้มาเยือน
“องค์ชายฮาล์บพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยเรียกเสียงไม่ดังนักก่อนถอยหลังไปสองก้าวเผื่อเวลาองค์ชายเปิดประตูจะได้มีระยะห่างพอสมควร แต่เมื่อผ่านไปสักพักบานประตูสีขาวก็ยังปิดสนิทตามเดิม
ทันทีที่คิดได้ผมก้าวเข้าไปใกล้ประตูพร้อมเอื้อมมือไปจับยังลูกบิดในจังหวะเดียวที่ประตูขยับเปิดส่งผลให้ผมเซไปตามแรงดึงจากด้านใน ร่างผมเซล้มไปปะทะกับเจ้าของห้องเมื่อบานประตูสีขาวเปิดอ้าออก ใบหน้าผมซุกอยู่บริเวณแผ่นอกขององค์ชายโดยไม่ตั้งใจ
“เอ่อ ขอประทานอภัย....องค์ชาย?” ยังไม่ทันพูดจบประโยคร่างขององค์ชายกลับเซทิ้งน้ำหนักหาผมจนต้องรีบอ้าแขนพยุงไม่ให้ร่างของอีกฝ่ายล่วงลงพื้น ไอความร้อนจากร่างกายขององค์ชายแผ่ออกมาจนผมต้องรีบใช้มือข้างนึงแตะเข้ายังหน้าผากเพื่อสำรวจและก็ได้พบว่าองค์ชายฮาล์บตัวร้อนสุดๆ
“...ซิน” เสียงเรียกแผ่วเบานั้นแหบพร่ากว่าปกติหลายเท่า
“กระหม่อมจะพยุงพระองค์ไปที่เตียงนะพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยบอกแล้วพยายามพยุงองค์ชายให้เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ถึงผมกับองค์ชายจะเป็นผู้ชายเหมือนๆ กันแต่ด้วยร่างกายผมที่เพรียวบางกว่าอยู่ไม่น้อยจึงค่อนข้างลำบากเพราะน้ำหนักที่ต่างกัน
ร่างขององค์ชายถูกพยุงและนอนลงบนเตียงตามเดิม ผมยืนนิ่งใช้ความคิดว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดีสุดท้ายผมตัดสินใจไปตามหมอมาดูการอาการและให้พยาบาลมาดูแลจะเป็นการดีที่สุด เพราะข้อสรุปนั่นผมจึงหันหลังเตรียมก้าวออกจากห้อง
ก่อนจะได้ก้าวขาผมกลับถูกองค์ชายบนเตียงคว้าข้อมือไว้แน่นคล้ายจะบอกอะไรบางอย่าง ผมหันกลับไปหาองค์ชายพลางสบดวงตาสีฟ้าสว่างที่บัดนี้ค่อนข้างแสดงความอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อย
“...จะไปไหน” ต้องเจ็บคอมากแน่เสียงถึงได้แหบได้ขนาดนี้
เมื่อคืนตอนออกไปดูดาวด้วยกันยังไม่เห็นผิดปกติเลย หรือเพราะผมเป็นคนพาองค์ชายออกไปเลยทำให้ป่วยรึเปล่านะ ต้องเข้าร่วมเล่นเกมอันดุเดือดท่ามกลางหิมะหนาในฤดูหนาวแถมยังยืนดูดาวท่ามกลางความหนาวเหน็บอยู่เกือบชั่วโมงอีก
“กระหม่อมทำให้พระองค์ต้องป่วยแบบนี้” ผมพึมพำเสียงเบา
“ทรงอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยเดี๋ยวจะยิ่งเจ็บคอนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปตามหมอและให้พยาบาลมาคอยดูแลพระองค์”
“ตามหมอได้แต่ข้าไม่อยากได้พยาบาลมาดูแล”
“ถ้าไม่มีใครดูแลพระองค์จะหายได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ” แค่ให้ตามหมอและรักษาอาจช่วยได้ในระดับหนึ่งแต่การดูแลผู้ป่วยอย่างเช็ดตัวหรือยกอาหารมาให้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้หายป่วยเร็วๆ
“...เป็นเจ้าได้ไหม” องค์ชายกำข้อมือผมแน่ขึ้นคล้ายจะไม่อยากให้ปฏิเสธ
“องค์ชาย” ดวงตาสีขาวของผมสบกับดวงตาสีฟ้าสว่างด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
พอคิดว่าได้รับความไว้ใจขนาดนี้ผมก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
“...ซิน” มือข้างเดิมยังคงจับข้อมือผมแน่นเช่นเดียวกับดวงตาสีฟ้าสว่างที่ไม่ว่าจะยามปกติหรือป่วยไข้ก็สามารถดึงดูดผมได้เสมอ
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปตามหมอและจะคอยดูและพระองค์เอง” ผมตอบรับพร้อมจับค่อยๆ แกะมือขององค์ชายไปวางไว้บนเตียงตามเดิม องค์ชายฮาล์บเองไม่ได้พูดอะไรอีกมีเพียงดวงตาสีฟ้าที่เอียงมองมาจนกระทั่งผมเดินละสายตาออกจากห้องไป
ภายในปราสาทแน่นอนว่ามีหมอหรือแพทย์ทำงานอยู่ตลอด ชั้น 2 ของปราสาทมีบริเวณหนึ่งมีไว้สำหรับห้องตรวจรักษาและพยาบาลคนเจ็บเนื่องจากรอบๆ ปราสาทถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมของทั้งหน่วยทหาร องค์รักษ์และนักเวทย์จึงไม่แปลกหากเกิดอาการบาดเจ็บขึ้น
ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้เวทย์รักษาได้หมอและพยาบาลจึงมีความสำคัญมาก แต่สำหรับหน่วยองครักษ์เงาไม่เคยมาใช้บริการของหมอเลยสักครั้งเนื่องจากหากเกิดบาดเจ็บพวกเขาจะเดินมาหาผมพร้อมยืนบริเวณที่บาดเจ็บมาให้รักษา อาจดูดีที่มีเวทย์รักษาทว่าเวทย์รักษาทำได้เพียงรักษาอาจารย์บาดเจ็บไม่ใช่อาการป่วยอย่างเป็นหวัดหรือไข้ อย่างอาการขององค์ชาย ผมไม่สามารถใช้เวทย์รักษารักษาอาการเหล่านั้นได้
ถ้ารักษาได้ผมคงทำไปแล้วไม่ต้องรอไปตามหมอให้มาตรวจดูอาการขององค์ชายแบบนี้หรอก
หมอในชุดขาวตรวจอาการขององค์ชายฮาล์บอยู่สักพักก่อนจะให้พยาบาลไปเตรียมยาซึ่งหมอฉีดยาเข้าเส้นให้ 3 เข็มและยังมียากินอีกหลายอย่างยื่นมาให้ผม ตอนแรกหมอบอกจะให้พยาบาลคอยเฝ้าแต่องค์ชายเอ่ยปฏิเสธทั้งที่ยังลืมตาแทบไม่ขึ้นผมเลยต้องอธิบายว่าจะคอยดูแลองค์ชายให้เอง
พอหมอออกไปผมจัดการนำผ้าบิดหมาดวางลงบนหน้าผากเพื่อลดความร้อนภายในร่างกาย ตอนไปตามหมอผมได้ลงไปบอกเหล่าองครักษ์ที่รออยู่ทั้ง 5 คนแล้วถึงอาการขององค์ชาย
ผมมองใบหน้าขาวขององค์ชายที่ตอนนี้มีสีแดงระเรื่อจากพิษไข้ ภาพเหตุการณ์เมื่อวานค่อยๆ ผุดขึ้นมาเป็นฉากไออุ่นจากอ้อมกอดนั้นบัดนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ เหตุการณ์นั้นมันอาจเป็นเพราะบรรยากาศพาไปหรืออาจเพียงแค่กำลังหนาว
จะให้ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษคงไม่ได้หรอก...และไม่กล้าที่จะคิดด้วย
เช่นเดียวกับสร้อยคอรูปหยดน้ำสีขาวขุ่นที่เจียระไนมาจากผลอัญมณี องค์ชายอาจมอบให้แทนการขอบคุณที่ผมได้ช่วยเขาไว้หลายๆ ครั้ง ถึงแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและปลาบปลื้ม สร้อยคอนั่นผมสวมมันทันทีหลังจากแยกจากองค์ชาย
หลังจากการกอดเมื่อคืนจบลงไม่มีแม้คำพูดระหว่างเรา แม้องค์ชายจะไม่ใช่คนพูดมากแต่ก็ไม่เคยเงียบตลอดการเดินกลับมายังปราสาทแบบนี้ ใบหน้าด้านข้างและแผ่นหลังบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่...และเป็นเรื่องที่คิดไม่ตกจึงได้ทำสีหน้าแบบนั้น
ผ่านไปสักพักใหญ่เสียงเคาะประตูจากสาวรับใช้ก็ดังขึ้นพร้อมถาดข้าวต้มสำหรับให้องค์ชาย ผมรับถาดนั่นไว้พลางขอบคุณเพราะผมกะจะลงไปสั่งข้าวต้มให้องค์ชายอยู่พอดี เวลานี้เลยเที่ยงมาประมาณครึ่งชั่วโมงถือว่าได้เวลามื้อกลางวัน ต้องปลุกองค์ชายมากินก่อนจะได้กินยาตาม
“องค์ชายฮาล์บ ตื่นขึ้นมาทานมื้อกลางวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ผมวางถาดไว้ยังโต๊ะเล็กข้างหัวเตียวแล้วจึงค่อยเอ่ยเรียก
“...อื้อ ซิน” องค์ชายมีความงัวเงียอยู่ไม่น้อย ดวงตาสีฟ้านั้นแม้จะปรือขึ้นแต่รับรู้ได้ถึงความอ่อนเพลียแผ่ออกมา
“ทานข้าวแล้วค่อยนอนพักนะพ่ะย่ะค่ะ” ผมพูดต่อ องค์ชายพยายามจะลุกนั่งบนเตียงแต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้าเพราะพิษไข้ผมจึงเข้าไปช่วยประคองจนองค์ชายสามารถนั่งพิงหัวเตียงได้สำเร็จ
“เจ้ากินรึยัง” องค์ชายถามหลังผมวางถาดลงบนโต๊ะเล็กที่ยกขึ้นตั้งบนเตียง
“ยังพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงทานเลย”
“ถ้าไม่เห็นเจ้ากิน ข้าก็จะไม่กิน”
“องค์ชายฮาล์บ” เป็นเด็กเรียกร้องความสนใจรึไง
“ไปยกถาดของเจ้ามาเราจะได้ทานด้วยกัน” คำว่าด้วยกันช่างฟังดูดีจนหัวใจพานอุ่นวาบซะเหลือเกิน
“กระหม่อมจะทานหลังองค์ชายพักผ่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ลงไปตอนนี้กว่าพ่อครัวจะทำอาหารเสร็จองค์ชายคงรอจนข้าวต้มเย็นชืด
“อย่าทรงดื้อสิพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่สบายอยู่ควรรีบทานจะได้ทานยาต่อ สิ่งสำคัญคือต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอจึงจะหายได้เร็วนะพ่ะย่ะค่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ซิน...เป็นห่วงข้าด้วย?” คำถามแปลกๆ นั่นทำเอาคิ้วผมขมวดเข้าหากันแน่น
“กระหม่อมต้องเป็นห่วงแน่นอนอยู่แล้ว หากไม่อยากให้กระหม่อมห่วงก็ทรงทานเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ยิ่งทำให้ข้าไม่อยากอาหารเข้าไปใหญ่” รอยยิ้มแรกของวันปรากฏขึ้นแม้จะไม่สบายแต่รอยยิ้มขององค์ชายฮาล์บยังคงน่ามองอยู่เหมือนเดิม
“...กระหม่อมพูดอะไรให้ไม่พอพระทรัย...”
“เปล่า เจ้าบอกว่าถ้าไม่อยากให้ห่วงให้ทานข้าวแต่ข้าอยากให้เจ้าห่วงนี่นาเลยไม่อยากทาน” คำอธิบายตรงๆ ทำเอาคนฟังไม่รู้ว่าควรจะหลบใบหน้าที่กำลังเริ่มแดงยังไงดี
“ได้ อย่าลืมทานข้าวล่ะซิน” องค์ชายพูดย้ำก่อนจะเริ่มตักข้าวต้มเข้าปากทีละคำๆ
“พอแล้วเหรอพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าองค์ชายฮาล์บวางช้อนลงโดยในชามยังมีข้าวต้มอยู่มากกว่าครึ่งถ้วย พูดให้ตรงกว่านั้นคือองค์ชายเพิ่งตักเข้าปากไปได้เพียง 3 คำเท่านั้น
“อืม ข้าไม่ค่อยอยากอาหาร”
“แต่พระองค์ควรทานอีกหน่อย” อย่างน้อยก็สักครึ่งถ้วยก็ยังดี
“...มือข้าไม่ค่อยมีแรงด้วย”
“งั้นกระหม่อมจะป้อน...” พอคำว่าป้อนหลุดออกจากปากคนพูดอย่างผมก็ต้องรีบเม้มปากตัวเองไว้แน่นเนื่องจากความอายปนเขิน
คิดยังไงนะตัวผมถึงได้กล้าพูดออกไปแบบนั้น
ไม่มีทางที่องค์ชายจะทานเพิ่มเพียงแค่ผมป้อน หรือควรจะเรียกคนอื่นขึ้นมาดี...
“เอาสิ ป้อนข้าที” เสียงทุ้มติดแหบเอ่ยพลางคลี่ยิ้มส่งมา
“...” ผมมององค์ชายกลับคล้ายจะสื่อว่าจะให้ป้อนจริงๆ งั้นเหรอ
“เร็วสิ ข้าเริ่มหิวแล้ว” องค์ชายเร่งอีกรอบ ดวงตาสีฟ้าที่ปรือด้วยความงัวเงียจนถึงเมื่อครู่เริ่มกลับมาสดใส
“...พ่ะย่ะค่ะ” ผมไม่มีทางเลือกนอกจากขานรับแล้วยกถ้วยข้าวต้มมาไว้บนตัก ช้อนสีขาวตักข้าวต้มแล้วยื่นไปหาองค์ชายที่เปิดปากรับทันควัน
หลายสิบนาทีที่ผมต้องป้อนข้าวต้มให้องค์ชายฮาล์บเสียงหัวใจมันเต้นเร็วจนกลัวว่าจะถูกได้ยินซะเหลือเกิน แต่ผลที่ได้กลับคุ้มมากเพราะองค์ชายทานข้าวต้มเกือบหมดชามและตามด้วยยาจึงเอนตัวลงพักผ่อนอีกครั้ง
ผมรอให้เสียงสหายใจของคนบนเตียงคงที่จึงค่อยๆ ก้าวออกไปจากห้อง นอกจากนำถาดข้าวต้มไปคืนแล้วผมยังให้พ่อครัวทำอาหารให้กินตรงนั้นด้วย ห้องครัวไม่ได้มีหน้าที่ทำให้เพียงราชาหรือราชวงศ์เท่านั้นแต่คนที่อาศัยในปราสาทล้วนมีสิทธิ์ได้กินที่นี่ เพียงแค่อาหารของราชวงศ์จะถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันและเสิร์ฟยังห้องอาหารส่วนตัวไม่ใช่โรงอาหารที่ใครๆ ก็สามารถเข้าได้
กลับขึ้นไปบนห้องผมเปลี่ยนผ้าบนหน้าผากขององค์ชายอีกรอบแล้วจึงถือโอกาสนี้เดินเข้าใกล้ตู้หนังสือริมผนังห้องไม่ไกลจากโซฟาสีน้ำเงินเท่าไหร่นัก ตู้กระจกด้านข้างเต็มไปด้วยหนังสือมากมายเรียงรายอยู่ภายในเพียงแค่เห็นสันหนังสือดวงตาสีขาวก็ลุกวาวด้วยความสนใจ
“นั่นมันคัมภีร์มหาเวทย์เล่ม 105 ” ผมพึมพำด้วยเสียงเบาหวิวโดยในใจนั้นกำลังตะโกนประโยคเดียวกันซ้ำๆ หลายสิบรอบ
คัมภีร์มหาเวทย์เนื้อหาด้านในก็ตรงตามชื่อคือมือคาถาเวทมนตร์อยู่นับร้อยพันคาถาเวทย์ซึ่งจะมีอยู่นับร้อยเล่ม แต่ละเล่มจะมีเวทย์ที่ต่างกันออกไปทว่าทุกเวทย์กลับเป็นระดับกลางไม่ก็สูง แน่นอนว่าที่ผมรู้จักก็เพราะเคยอ่านคัมภีร์มหาเวทย์เหมือนกัน แต่ด้วยจำนวนที่ค่อนข้างมากแถมยังเป็นคัมภีร์ที่มีมานานหลายร้อยปีทำให้หาอ่านได้ยาก
ผมเคยอ่านเพียงแค่ส่วนเดียวหรืออาจไม่ถึงส่วนจากทั้งหมดด้วยซ้ำเนื่องจากไม่รู้จำนวนที่แน่นอนของคัมภีร์มหาเวทย์ จำได้ว่าผมเคยอ่านอยู่ประมาณ 50 เล่ม และไม่มีเล่ม 105 ด้วย
ถ้าจะขอหยิบอ่านสักนิดจะเป็นอะไรไหมนะ
ดวงตาสีขาวมองหนังสือตรงหน้าสลับกับร่างองค์ชายฮาล์บเจ้าของห้อง พอลองมองดีแล้วไม่ใช่แค่เล่ม 105 แต่ยังมีอยู่อีกประมาณ 10 เล่ม พริบตาเดียวที่กวาดตามองเลขบริเวณสันคัมภีร์ผมก็ต้องเม้มปากตัวเองแน่นไม่ให้ส่งเสียงออกมา
ทุกเล่มนี่ผมยังไม่เคยอ่านเลย
“...ขอแค่แป๊บเดียว กระหม่อมจะรักษาระหว่างอ่านอย่างดีเพราะงั้น...” ผมตัดสินใจเปิดตู้หนังสือหยิบคัมภีร์มหาเวทย์เล่ม 105 ออกมาจากตู้ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาสีน้ำเงิน
หน้าปกสีน้ำเงินเข้มนี่แปลว่าเป็นเวทย์เกี่ยวกับน้ำสินะ จากการหาคัมภีร์มหาเวทย์มาอ่านผมได้รู้เรื่องหนึ่งคือสีของคัมภีร์จะบ่งบอกถึงเนื้อหาภายในได้อย่างเล่มสีแดงจะเป็นเวทย์ไฟ สีเขียวเป็นเวทย์ลม ส่วนพวกเวทย์ผสานและเวทย์อื่นๆ จะมีลวดลายอยู่บนปกต่างกันไป บนชั้นนี่เองก็มีหลายเล่มที่มีลวดลาย
หน้าแรกถูกเปิดอ้าออก คาถาสำหรับร่ายและคำอธิบายเวทย์นั้นๆ ไหลเข้าสู่หัวผมราวกับน้ำตกไหลลงแม่น้ำ ทุกเวทย์ผมจดจำคาถาสำหรับใช้ร่ายอย่างสนุกสนาน ผมชอบการอ่านหนังสือโดยเฉพาะหนังสือหรือคัมภีร์เวทมนตร์ ยิ่งเรารู้จักเวทมนตร์และสามารถใช้ได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ในคัมภีร์นี้เองมีหลายเวทย์ที่ผมสามารถนำไปใช้ประสานหรือผสานเวทย์ได้ ดีไม่ดีอาจสร้างเวทย์ใหม่ขึ้นมาได้เลย
“ชักอยากลองแล้วสิ” ผมพึมพำด้วยน้ำเสียงนึกสนุก
การได้ลองเวทย์ใหม่ๆ นี่เป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดเลย
“ลองเวทย์หรือ” เสียงทุ้มติดแหบเล็กที่ได้ยินในระยะประชิดทำเอาคัมภีร์เวทย์ในมือเกือบตกลงไปด้านล่าง
“องค์ชาย...” พอหันหน้าไปมองก็เจอเข้ากับเจ้าของห้องโค้งตัวลงมาส่งยิ้มให้จากด้านหลัง
“ชอบหนังสือสินะ” คำถามต่อมาเรียกดวงตาสีขาวของผมให้เบิกกว้างขึ้น
“กระหม่อมขอประทานอภัยที่ถือวิสาสะหยิบหนังสือในตู้ออกมาอ่านโดยพละการ คือกระหม่อมเพียงแค่อยาก...” ผมรีบลุกขึ้นจากโซฟาแล้วขอโทษอีกฝ่ายอย่างร้อนรน
“ซิน ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าสักหน่อย”
“แต่กระหม่อมหยิบออกมาอ่าน...”
“แค่อ่านนี่ไม่เห็นเป็นไร การที่หยิบเล่มนี้มาแปลว่าคงเคยอ่านเล่มอื่นด้วยแน่ๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเลยยอมจากหอสมุดกลางมาอ่านและมีที่ซื้อมาเช่นกัน” คัมภีร์มหาเวทย์มีกระจัดกระจายไปทั่วโลก ไม่มีใครรู้ว่ามีทั้งหมดกี่เล่มเพราะแม้แต่ในหอสมุดกลางของอาณาจักรเวธาณาร์ก็ยังมีเพียง 50 เล่ม อีก 5 เล่มที่ผมอ่านคือไปเจอถูกวางขายอยู่ตามร้านหนังสือไม่ก็ตามร้านขายของเก่า
สำหรับบางคนคัมภีร์มหาเวทย์ไม่ใช่หนังสือที่น่าสนใจนักเนื่องจากการมีในครอบครองไม่ได้ทำให้ใช้เวทย์นั้นได้ แต่ละเวทย์ในคัมภีร์จำเป็นต้องใช้พลังเวทย์มากจึงมีเพียงผู้มีพลังเวทย์สูงเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้เวทย์แสดงผลได้
“ข้าเองก็ตามหาอยู่ ที่เจ้าซื้อมามีเล่มไหนเป็นเวทย์น้ำหรือผสานน้ำบ้างไหม” องค์ชายเดินมานั่งลงยังโซฟาระหว่างถาม
“มีที่เป็นผสานเวทย์น้ำพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์สนใจครั้งหน้ากระหม่อมจะนำมาให้” ดูจากเวทย์ที่องค์ชายใช้ก็เดาได้ว่าถนัดเวทย์น้ำมากกว่าเวทย์อื่นๆ
“รบกวนด้วย งั้นเราก็ผลัดกันยืมละกัน ข้ายืมของเจ้าส่วนเจ้าก็ยืมเล่มที่สนใจไปอ่านได้” องค์ชายยื่นข้อเสนอ
“กระหม่อมยืมได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมถามด้วยความตื้นตัน ตอนนี้แทบไม่สนเรื่องมารยาทแล้วแค่ได้รู้ว่ามีโอกาสได้อ่านคัมภีร์มหาเวทย์กว่า 10 เล่มตรงหน้าก็ทำเอาสติไม่อยู่กับตัว
“ขอบพระทัย อ๊ะ องค์ชายไข้ลดแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เพราะมัวแต่สนใจหนังสือเลยเพิ่งนึกได้ว่าองค์ชายแข็งแรงขนาดลุกขึ้นมาเดินได้แล้วงั้นเหรอ
“เหมือนซินจะดูแลดี ไข้ลดลงมากแล้ว นี่ไง” ไม่พูดเปล่าองค์ชายจับมือผมยกขึ้นแนบหน้าผากตัวเองคล้ายจะย้ำว่าไม่เป็นไร สัมผัสของหน้าผากยังคงอุ่นแต่ไม่ถึงกับร้อนเมื่ออย่างเมื่อเช้า
“ไม่ใช่เพราะกระหม่อมหรอก พระองค์ทรงแข็งแรงต่างหาก” ผมตอบกลับ
ตัวผมไม่ได้ทำอะไรเลยแถมยังมานั่งอ่านหนังสือเพลินอีก
“แต่ข้าว่าเป็นเพราะเจ้านะ ทำให้ต้องลำบากดูแล ขอโทษ”
“กระหม่อมไม่ได้ลำบากอะไรเลย อีกอย่างการที่พระองค์ป่วยก็เป็นเพราะกระหม่อมพาองค์ชายไปตากอากาศเย็น ขออภัยด้วย” ผมถือโอกาสยอมรับผิด
“แต่กระหม่อมเป็นคนพูดว่าอยากไป” ผมรีบตอบกลับไป
“แต่เจ้าก็ไม่เป็นไรนี่ แปลว่าผิดที่ข้าเอง” ฟังดูแล้วเหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
“องค์ชายควรจะพักผ่อนต่อนะพ่ะย่ะค่ะ” ถึงจะไข้ลดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลับไปไข้ขึ้นอีก
“นั่นสิ ซิน หยิบคัมภีร์มหาเวทย์เล่ม 98 ให้หน่อย”
“นี่พ่ะย่ะค่ะ” ผมเดินไปหยิบตามที่องค์ชายบอกแล้วยื่นให้
“ขอบคุณ เจ้าก็นั่งนี่สิ” องค์ชายฮาล์บคว้าข้อมือผมแล้วดึงให้นั่งลงบนโซฟาข้างๆ
“เอ่อ...กระหม่อมควรไปนั่งอีกฝั่ง” จะให้นั่งฝั่งเดียวกับองค์ชายแถมยังติดๆ กันแบบนี้ได้ยังไง
“นั่งนี่แหละ ข้าจะนอนพัก”
“นอนพัก? เฮ้ย!” ผมรีบยกมือปิดปากที่ส่งเสียงเสียมารยาทออกไปทันทีเมื่อถูกองค์ชายฮาล์บนอนหนุนตักอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าอ่านเล่มนั้นไป ข้าจะอ่านเล่มนี้ต่อ” องค์ชายไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการนอนตักเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ทำบ่อยๆ เป็นประจำจนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งที่ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่ผมถูกหนุนตักแถมยังเป็นองค์ชายฮาล์บด้วย
“หะ...หากพระองค์จะทรงนอนอ่านควรไปที่เตียง...”
“ซินอยากไปนั่งบนเตียงมากกว่าโซฟา?” ผมอ้าปากพระงาบๆ กับคำพูดแปลกหยั่งกับจะบอกว่าต่อให้ย้ายไปยังเตียงนอนผมก็ยังต้องถูกหนุนตักอยู่งั้นแหละ
“ข้าชอบเวลาเจ้าทำหน้ารนรานคล้ายทำตัวไม่ถูกแบบนี้” องค์ชายพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองผม ด้วยสภาพที่ถูกมองจากด้านล่างการก้มหน้าหลบหรือหันหน้าหนีไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“คงไม่ได้ เพราะเจ้าดึงดูดให้ข้ามองเสมอ”
“กระ...กระหม่อมเปล่า” ไม่รู้ว่าเพราะไข้ขององค์ชายย้ายมาอยู่ที่ผมรึไงถึงได้รู้สึกมึนหัวและหน้าเห่อร้อนขนาดนี้
คำพูดเหมือนกำลังจีบสาวนั่นคืออะไรกันองค์ชาย!
หลังจากนั้นองค์ชายก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากส่งยิ้มมาให้แล้วเปิดคัมภีร์มหาเวทย์อ่านต่อ พอตกค่ำมีคนมาเสิร์ฟอาหารหน้าห้องเหมือนเดิมทว่าครั้งนี้กลับมีองค์ราชาและองค์ราชินีเสด็จมาเยี่ยมด้วยตัวเอง เพราะแบบนั้นผมจึงสามารถขอตัวออกไปได้
หลายวันต่อมาองค์ชายฮาล์บได้หายป่วยสนิทและเรียกผมให้มาหายังสนามประลอง ความจริงจะเรียกว่าเรียกก็ไม่ถูกนักเพราะองค์ชายเดินมาหาผมที่อยู่ในเวทย์พรางตัวพร้อมเอ่ยว่า...
ไม่ต้องบอกให้ตามผมก็ต้องตามไปทุกที่อยู่แล้ว
เหมือนเวทย์ใหม่ขององค์ชายที่ใช้มองทะลุเวทย์พรางตัวจะใช้ได้ผลดี ผมไม่เคยเห็นใครคิดเวทย์นี้มาก่อนจึงค่อนข้างสนใจอยู่ไม่น้อย หากสามารถมองเห็นคนที่พรางตัวอยู่ได้คงทุ่นแรงไปได้เยอะเลย
“องค์ชายมีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ผมคลายเวทย์พรางตัวแล้วเอ่ยถาม
“อีกไม่นานจะถึงการสอบครั้งสุดท้าย ปี 4 ทุกคนต้องคิดเวทย์ใหม่ไม่ก็สร้างเวทย์ประสานขึ้นมาใหม่อย่างน้อย 3 เวทย์ ข้าคิดเวทย์ 2 อย่างได้แล้วแต่อีกเวทย์นึงอยากสร้างเวทย์ผสานใหม่ขึ้นมาแต่ข้าไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการผสานเวทย์เลยอยากขอให้เจ้าช่วยแนะนำหน่อย” คำอธิบายทุกอย่างดังขึ้น
นึกว่าจะมีเรื่องร้ายแรงอะไรซะอีก
ถ้าเรื่องนี้ละก็ไม่มีปัญหา เพราะอยู่ในช่วงให้ปี 4 คิดเวทย์ใหม่อาจารย์เลยได้หยุดไปด้วย
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” การผสานเวทย์เป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างถนัดเป็นพิเศษ ความจริงคือหน่วยองครักษ์เงาส่วนมากเก่งการประสานเวทย์และการผสานเวทย์อยู่แล้ว การประสานเวทย์เป็นการใช้เวทย์ตัวเองประสานกับคนอื่น ส่วนการผสานเวทย์คือการร่ายเวทย์ของตัวเอง 2 เวทย์ขึ้นไปให้ผสานกันจนคล้ายเกิดเป็นเวทย์ใหม่
“ตอนเล่นเกมกับหน่วยของเจ้า ทุกคนต่างประสานเวทย์กันได้ทันทีข้าเลยสงสัยว่าพอจะมีทริกอะไรไหม หากร่ายเวทย์ผสานตามหนังสือก็ได้อยู่ถ้าให้คิดเองมันค่อนข้างยาก”
“กระหม่อมไม่มีทริกอะไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ และหน่วยของกระหม่อมเองก็เช่นกัน ถ้าให้เทียบการประสานเวทย์กับการผสานเวทย์กระหม่อมคิดว่าการผสานเวทย์ทำได้ง่ายกว่าเพราะว่าตัวเราเองเป็นฝ่ายร่ายทั้งสองเวทย์” ผมอธิบาย
“ขอคำอธิบายมากกว่านี้” องค์ชายขมวดคิ้วคล้ายกำลังคิดตาม
“การผสานเวทย์เป็นการร่ายเวทย์ 2 อย่างขึ้นไปในเวลาไล่เลี่ยกันเพื่อให้ทั้ง 2 เวทย์รวมกันเป็นเวทย์เดียว พระองค์ชอบเวทย์น้ำดังนั้นลองคิดการใช้เวทย์อื่นมาผสานเข้ากับน้ำดูอย่างเช่นเวทย์น้ำผสานกับเวทย์ดินอาจจะได้เวทย์ผนึกไม่ก็โจมตีอันแข็งแกร่งจากโคลนได้หรือลองเอาเวทย์น้ำผสานกับเวทย์ลมจะก่อให้เกิดเป็นพายุฝน แต่เรื่องนี้พระองค์ทำได้อยู่แล้ว” ผมอธิบายต่อ
“ใช่...ถ้าผสานเวทย์ของน้ำกับลมข้าทำได้ เพียงแต่เวทย์นั่นไม่ใช่เวทย์ใหม่”
ความยากของการสอบอยู่ตรงนี้แหละ องค์ชายไม่ได้ผสานเวทย์ไม่เป็นเพียงแค่การผสานเวทย์นั้นๆ อาจเป็นเวทย์ที่มีอยู่แล้วไม่ใช้เวทย์ใหม่อะไร
“องค์ชายไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากเพียงแค่ใช้จินตนาการดูว่าอยากสร้างเวทย์ผสานแบบไหน กระหม่อมจะลองทำให้ดู ลาวาอัคนีสีแดงสดจงล่องลอยสู่ท้องนภาดั่งหยาดสายฝนที่กลับคืนสู่เบื้องบนและเตรียมเข้าจู่โจมหลอมละลายทุกสิ่งให้มอดไหม้ ประกายสีฟ้าใสของสายน้ำจงโอบอุ้มลาวาสีแดงเพลิง เคลือบพื้นผิวของความร้อนให้เปลือกนอกตกตะกอนและตกลงสู่ธรณีด้วยความเร็วดุจอุกาบาท” วงแหวนเวทย์สีขาวสว่างกางออกพร้อมก้อนลาวานับสิบลอยอยู่ พอร่ายอีกเวทย์เสร็จน้ำสีใสก็โอบอุ้มลาวาร้อนไว้ภายใน ความเย็นของน้ำทำปฏิกิริยากับลาวาจนเกิดเป็นผิวแข็งคล้ายก้อนหินทว่าหากโจมตีลาวาร้อนภายในจะปะทุและหลอมละลายทุกสิ่ง คล้ายกับลูกโป่งน้ำที่ใส่ลูกโป่งแป้งอีกอันไว้ข้าในเมื่ออันนอกแตกแรงปะทะจะทำให้ด้านในแตกตามไปด้วย
“...นี่เจ้าคิดสดงั้นหรือ” องค์ชายฮาล์บเบิกตากว้าพลางมองเวทย์ผสานที่เพิ่งถูกร่าย
“พ่ะย่ะค่ะ แค่คิดว่าลาวากับน้ำถ้าผสานออกมาจะเป็นยังไงนะ”
“ง่ายสำหรับพระองค์ด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องคิดว่าเวทย์นี้ควรจะผสานแบบไหนแต่ให้ลองคิดว่าอยากเห็นเวทย์ไหนผสานกัน ถ้าทำแบบนั้นเวทย์ผสานที่ได้จะไม่ซ้ำกับของเดิมแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ต่อให้เป็นเวทย์น้ำผสานไฟเหมือนกันแต่หากร่ายคาถาต่างกันผลของเวทย์ที่ผสานก็จะแตกต่างกันเช่นกัน
สำหรับผมชอบการคิดเวทย์ใหม่ ไม่ก็ผสานมากที่สุด
มันง่ายกว่าที่คิดสร้างใหม่ไม่ใช่จำคาถานับพันที่ถูกเขียนขึ้น
“เหมือนข้าจะเริ่มคิดอะไรได้” องค์ชายฮาล์บนิ่งไปสักพักก็เงยหน้าขึ้นสบตาผม
“แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะ เวทย์อาจสร้างความเสียหายให้คนอื่นได้”
“เรื่องนั้นพระองค์ไม่ต้องกังวล หากผิดพลาดกระหม่อมจะร่ายเวทย์เองพ่ะย่ะค่ะ” ผมเอ่ยบอกพลางอมยิ้ม
องค์ชายฮาล์บเป็นแบบนี้เสมอ คิดถึงสวัสดิ์ภาพของทุกคนโดยไม่ห่วงเลยว่าเวทย์นั้นอาจย้อนมาทำร้ายตัวเองก็เป็นได้
“แบบนั้นค่อยเบาใจ เอาล่ะ ผืนน้ำสีน้ำตาลแดงจงเอ่อล้นขึ้นมาบนผืนปฐพีผนึกทุกการเคลื่อนไหวไว้ภายใต้แรงดึงดูดอันมหาศาล เปลวเพลิงเอ๋ยจงเผาไหม้ผืนน้ำสีน้ำตาลแดงให้เดือดดานดุจดั่งลาวาใต้ผืนธรณีและพุ่งเข้าโจมตีบนท้องนภา” วงแหวนเวทย์สีฟ้าส่องสว่างเช่นเดียวกับบ่อน้ำโคลนขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาเตรียมหยุดทุกการเคลื่อนไหวที่ก้าวเข้ามา แค่นั้นยังไม่พอเวทย์ไฟต่อมาส่งเสริมให้พลังของเวทย์ผนึกในตอนแกเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าแถมยังแฝงไปด้วยพลังโจมตีอันมหาศาล
“สุดยอด” สมกับที่เป็นองค์ชายฮาล์บ
เวทย์นี้ไม่เพียงแค่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวได้แต่ยังโจมตีไปพร้อมๆ กันด้วย
“ข้าไม่เห็นเจ้าเตรียมร่ายเวทย์เลย” องค์ชายคลายเวทย์ผสานก่อนเอ่ยถาม
“กระหม่อมรู้ว่าพระองค์ต้องทำสำเร็จ” เพราะรู้สึกได้เลยไม่จำเป็นต้องเตรียมป้องกันอะไร
“...เจ้ารู้ได้ยังไงข้ายังไม่มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จเลย”
“กระหม่อมรู้ละกัน” ผมตอบพลางอมยิ้มอีกรอบ
“...เดี๋ยวนี้เจ้ายิ้มบ่อยขึ้นนะซิน”
“...” ไม่เห็นรู้ตัวเลยว่ายิ้มไปตอนไหน
“ข้าดีใจ ยิ้มอีกสิ” องค์ชายฮาล์บขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาสีฟ้าสว่างจับจ้องมายังริมฝีปากผมคล้ายจะมองรอยยิ้มเมื่อครู่ที่หายไป
“ทรงอย่าเข้ามาใกล้สิพ่ะย่ะค่ะ” ผมรีบก้าวถอยหลังทว่าไม่ทันองค์ชายคว้าแขนผมไว้ไม่ให้ถอยหลังหนีมากไปกว่านี้
“ก็...ก็พระองค์เข้ามาใกล้...”
“แค่ข้าเข้าใกล้เจ้าถึงกับต้องถอยหนีเลย?”
“องค์ชายฮาล์บ” อย่าพูดแหย่กันตอนนี้สิ
“ซิน” อยู่ๆ น้ำเสียงยามเรียกชื่อผมก็เปลี่ยนไป มันอ่อนโยนขึ้นจนผมได้แต่ยืนนิ่งค้าง
“...พระ...” และยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรฝ่ามืออีกข้างก็เอื้อมขึ้นมาแนบชิดกับแก้มแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมาเบาๆ เท่านั้นยังไม่พอรอยยิ้มและสายตาที่ส่งมานั่นมันเกินกว่าที่หัวใจผมจะรับไหว
“ยิ้มให้ข้าเห็นหน่อย” องค์ชายพูดต่อโดยไม่สนใจว่าสภาพผมตอนนี้จะเป็นยังไง
ให้ยิ้มในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ
“ยิ้มให้ข้าเห็นหน่อยซิน” คำถามเดิมถูกเอ่ยอีกครั้ง และครั้งนี้ใบหน้าคมคายหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นคล้ายจะไม่ยอมพลาดช่วงเวลาที่ผมยิ้ม
“ไม่ยิ้มข้าไม่ปล่อยนะ” คำพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างนั่นทำให้ผมได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบเพราะพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ทำไมต้องทำร้ายหัวใจกันขนาดนี้
จะทำให้ตกหลุมรักอีกเท่าไหร่ถึงจะพอ
ขืนมากไปกว่านี้แล้วตอนที่ผมต้องบอกลาการอารักขาแล้วกลับไปอยู่ในหน่วยองครักษ์เงาตามเดิมจะเป็นยังไงล่ะ จะต้องคิดถึงฝ่ามืออุ่นๆ น้ำเสียงอันอ่อนโยน สายตาอันน่าหลงใหล และต้องคิดถึงองค์ชายอย่างแน่นอน
แต่หากไม่ยอมยิ้มก็โดยฝ่ามืออุ่นๆ ขององค์ชายกลั่นแกล้งต่อไปจนกว่าจะยอม สุดท้ายผมก็ต้องคลี่ยิ้มแบบเกร็งๆ ส่งไปให้ แน่นอนว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิมและดวงตาสีฟ้าสว่างทอประกายขบขันปนชื่นชม
..............................................................
วันนี้มาอัพเร็วเป็นพิเศษษ
ก่อนอื่นขอแจ้งก่อนนะคะว่าอาทิตย์นี้และอาทิตย์หน้าเรามีซ้อมและรับปริญญา ดังนั้นเราอาจอัพนิยายตามวันที่เราว่างหรือไม่มีซ้อมนะคะแต่จะมาอัพอาทิตย์ละสองตอนตามเดิมค่ะ
หลังจากที่รู้กันว่าเรื่องนี้เป็นแนวเคะท้องได้ หลายคนคงกำลังเฝ้ารอให้ตอนนั้นมาถึงโดยเร็วซึ่งอยากบอกว่ารอกันหน่อยน้าาา
ค่อยเป็นค่อยไปทีละนิด รับประกันความหวานที่จะทำให้ทุกคนละลาย 555
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์นะคะ เห็นแบบนี้เราอ่านทุกคอมเม้นท์เลยนะ
คำผิดอาจมี ขออภัยมา ณ ที่นี้ จะพยายามอ่านซ้ำให้คำผิดน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
อะไรคือนอนตัก อะไรคือลูบแก้มเพคะองค์ชาย ตายๆๆ เป็นซินนี่หัวใจวายพอดี
สู้ๆนะคะไรท์ ยินดีด้วยสำหรับเรื่องรับปริญญา :)
ปล. ยินดีด้วยนะคะ
พอมีคนป้อนนี่กินเกือบหมดชาม โถ่ ซินลูกกก ไม่ได้รู้ทันเล่ห์กลอะไรเลยยย
//congratulation นะคะ :)