◈ธาราที่4◈
ผ่านพ้นวันหยุดยาวกว่า5วันไปผมก็ต้องกลับมาทำงานตามปกติแม้ว่าในความเป็นจริงวันหยุด5วันนั่นผมก็หมดสติไปกว่าครึ่งได้ จะได้พักจริงๆก็มีแค่2วันหลังที่พาลูก้าไปว่ายน้ำตลอดทั้งวัน
จากที่สังเกตถึงจะอยู่ในร่างมนุษย์แต่ก็มีความสามารถในการว่ายน้ำ ดำน้ำรวมถึงการกลั้นหายใจนั้นทำได้ดีว่ามนุษย์ปกติ เพราะเล็งเห็นถึงความสามารถนั้นทุกครั้งที่มีเวลาว่างผมก็จะพาลูก้าไปหัดดำน้ำอยู่เรื่อยๆจนตอนนี้สามารถดำในน้ำลึกกว่า30เมตรได้อย่างสบายๆโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์อย่างถังออกซิเจนหรือหน้ากากเลยสักนิด
ผมเองพอได้ลื้อฟื้นการดำน้ำอย่างจริงจังก็ทั้งสนุกและมีความสุขมาก แต่ด้วยความที่เป็นมนุษย์เลยมีข้อจำกัดด้านกายภาพอย่างการดำลงไปในน้ำลึกๆจะมีอาการปวดตาถ้าไม่ใส่หน้ากากป้องกันไว้ สาเหตุที่เป็นแบบนั้นคงเพราะแรงดันน้ำที่มากขึ้น
ในเมื่อรู้ถึงข้อจำกัดของตัวเองผมก็พยายามหาทางแก้โดยใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้า คอนแทคเลนส์สำหรับดำน้ำลึกถูกออกแบบแล้วสร้างขึ้นอย่างลับๆด้วยฝีมือของผมก่อนจะนำไปทดลองด้วยตัวเองตอนพาลูก้าไปดำน้ำ
ด้วยเทคโนโลยีในตอนนี้มีคอนแทคเลนส์กันน้ำอยู่มากมายแต่ถึงจะกันน้ำได้ก็ไม่สามารถใช้ในระดับที่ลึกเกินกำหนดได้ เพราะแบบนั้นผมถึงต้องลงมือสร้างด้วยตัวเอง
ความจริงก็มีอีกหลายๆอย่างที่อยากลองสร้างเช่นชุดดำน้ำที่ใส่ง่ายและทดแรงดันน้ำได้ในระดับสูงหรืออ๊อกซิเจนแบบพกพาที่สามารถต่อลมหายใจได้มากกว่า2ชั่วโมง
ความคิดพวกนั้นทำเอาผมคันไม้คันมือจนแทบอยู่เฉยไม่ได้ทว่าการจะมีอิสระในการทดลองตามต้องการก็ต้องจัดการงานวิจัยที่ได้รับมอบหมายมาซะก่อน
แน่นอนว่างานวิจัยนั้นผมกับเหล่าทีมวิจัยได้ร่วมคิดและทดลองมากว่า4เดือนเศษแล้ว
“สาม...ดูท่าว่าจะล้มเหลวอีกแล้วสิ”ยุเดินมาบอกผลการทดลองด้วยใบหน้าเครียดๆ
“งั้นเหรอ...เราพลาดตรงไหนกันนะ”ผมกระแทกตัวนั่งลงกับเก้าอี้ด้านหลังอย่างไม่สบอารมณ์
เวลาที่หาคำตอบไม่ได้มันมักทำให้ผมอารมณ์เสียเสมอ
หัวข้อการวิจัยครั้งนี้คือการเพาะพันธุ์ไบรโอซัวชนิดหนึ่งชื่อ Bugula neritina ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องเป็นไบรโอซัสชนิดนั้นคำตอบง่ายๆก็คือไบรโอซัว Bugula neritina นั้นเป็นแหล่งกำเนิดของสารไซโตท็อกซิน หรือ ไบรโอสเตติน ซึ่งพบว่ามีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้ทำให้มีหลายคนต้องการและมีการซื้อขายในตลาดมืดในราคาสูงจนเกิดการลักลอบค้าไบรโอซัวชนิดนั้น
จำนวนล่าสุดที่ได้จากการสำรวจค่อนข้างน่าตกใจเพราะไบรโอซัว Bugula neritinaเหลืออยู่ไม่มากและคาดว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างมันจะเป็นพืชที่สูญพันธ์เป็นอย่างต่อไป
พอทางศูนย์วิจัยทราบเรื่องนี้ก็สั่งการลงมาให้ผมและเหล่าทีมวิจัยทำยังไงก็ได้ที่จะยับยั้งการสูญพันธ์ของไบรโอซัว Bugula neritina
พวกเราที่ตกลงทำวิจัยก็ได้ออกไปหาตัวอย่างของไบรโอซัวชนิดนั้นมาวิเคราะห์และลองเพาะพันธ์ดูแต่สิ่งที่ได้มาคือความล้มเหลวเพราะไม่สามารถเพาะพันธ์ได้อย่างที่คิด
“หรือเราควรลองไปเพาะในบ่อดู”พี่พลออกความเห็นหลังจากที่คิดอยู่นาน
“ถ้าเพาะที่นี่ไม่ได้ต่อให้ไปบ่อก็ค่าเท่ากัน”ผมตอบไป ถึงที่นี่จะไม่ใช่บ่อสำหรับเพาะพันธุ์แต่ก็มีห้องที่ใช้น้ำทะเลและทำการปรับให้มีทั้งคลื่นและลมเสมือนอยู่ในทะเลจริงๆ เรียกว่าเป็นสิ่งเสมือนของทะเลก็ได้
ถ้าเพาะที่นี่ไม่ได้ต่อให้ลองไปเพาะยังบ่อก็ไม่น่ามีอะไรเปลี่ยน
“ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเพาะไม่ได้...จะบอกว่าอุณหภูมิผิดก็ไม่ใช่เพราะแม้แต่ตอนกลางคืนอุณหภูมิก็ปรับไปตามกลไกลของทะเลจึงไม่น่าจะมีความผิดพลาดได้...”ยุเริ่มที่จะบ่นคนเดียวโดยที่สายตาจับจ้องไปยังเอกสารข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมไว้
“ถ้าไม่ใช่อุณหภูมิอาจเป็นความเค็มของน้ำรึเปล่า”ผมพูดขึ้นลอยๆ
“ไม่ใช่แน่นอน...ระดับความเค็มที่ไบรโอซัว Bugula neritinaต้องการคือระดับไหนเราวิเคราะห์กันมาอย่างดีแล้ว ความเค็มของน้ำน่าจะอยู่ในระดับที่เหมาะสมที่สุดในการเติบโต...ไม่แน่ว่าอาจเพราะการตัดต่อยีน...”
“ไม่มีทาง...การตัดต่อยีนด้วยฝีมือของพวกเราแทบไม่มีคำว่าผิดพลาด อีกอย่างเราก็ไม่ได้ลองตัดต่อยีนแค่ครั้งเดียวแต่ลองมาหลายครั้งแล้ว จะบอกว่าเราตัดต่อผิดพลาดทั้งหมดก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้”ผมรีบพูดค้านสิ่งที่ยุคิด
บุคลากรของศูนย์วิจัยนี่เป็นผู้ที่มีทั้งทักษะ ความรู้ และความสามารถที่ไม่แพ้ใคร การจะพลาดเรื่องการตัดต่อยีนทุกครั้งแบบนั้นเป็นไปไม่ได้
“พวกเราอาจมองอะไรพลาดไปก็ได้นะคะ”ผู้ช่วยสาวด้านข้างเอ่ยขึ้น
“นั่นสิ...”ต้องมีบางอย่างที่พลาด
อะไรบางอย่างที่นึกไม่ถึง
ไม่แน่ว่าสิ่งที่พลาดอาจเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดก็ได้
ทั้งสถานที่และอุณหภูมิต่างเหมาะสม
ระดับความเค็มและการตัดต่อก็ไม่มีปัญหา
ถ้าจะมีปัญหาอะไรต้องไม่ใช่สิ่งที่พูดไปแน่
ไบรโอซัวหรือมอสทะเลเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มโคโลนีขนาดเล็ก ที่สามารถสร้างโครงสร้างแข็งด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อดูอย่างผิวเผินแล้วจะมีลักษณะคล้ายปะการัง ปกติพวกมันสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศจึงง่ายต่อการเพาะพันธุ์ตามธรรมชาติ
เดี๋ยวนะ...
สัตว์เหรอ
“สัตว์ไงล่ะ”ผมตะโกนขึ้นเมื่อรู้แล้วว่าทำไมการทดลองถึงล้มเหลว
“อะไรสาม...คิดอะไรได้เหรอ บอกมาเร็วๆ”ยุเข้ามาเขย่าแขนผมไปมาด้วยความอยากรู้
“พวกเราไม่ได้วิเคราะห์หรือทดลองผิดพลาดแต่เรากลับลืมเรื่องพื้นฐานที่สำคัญที่สุดไป...ไบรโอซัวเป็นสัตว์...เป็นสัตว์ที่ต้องการอาหาร”ทันทีที่ผมพูดจบทุกคนในห้องก็เบิกตากว้างขึ้น คำอธิบายผมดูเหมือนจะทำให้ทุกคนกระจ่างแล้ว
“แบบนี้นี่เอง...พวกเราพลาดในสิ่งที่เป็นพื้นฐานของพื้นฐานเลยสินะ”ยุพึมพำเสียงเบา
“ใช่”สิ่งเดียวที่พวกเราพลาดคือไม่ได้ให้อาหารไบรโอซัว Bugula neritina
ลืมคิดไปเลยว่าถึงจะมีรูปร่างคล้ายปะการังแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ต้องการอาหาร
“แบบนี้ก็สามารถเพาะพันธุ์ไบรโอซัว Bugula neritinaก็สำเสร็จแล้วละนะ”พี่พลพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างกลับก่อนหน้านี้ที่หดหู่อย่างสิ้นเชิง
“ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จหรอก เราต้องรอดูผลอีกที...เอาล่ะ มีเริ่มทำกันเลยดีกว่า”ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเตรียมเดินเข้าไปยังห้องทดลองอีกครั้ง
“จะทำก็ได้อยู่หรอกแต่ด๊อกเตอร์ไม่ต้องไปหาลูก้าเหรอ...นี่มันจะทุ่มแล้วนะ”
“จะทุ่มแล้ว?...ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า”ผมนึกว่าพึ่ง4โมงเย็นซะอีก
“นี่สาม”ยุสะกิดเรียกจากด้านหลัง
“อะไรยุ”
“จากนี้เดี๋ยวผมกับทุกคนจัดการเองได้ สามน่าจะหยุดไปอยู่กับลูก้าหน่อยนะ”
“ยุ...”
“ช่วงที่ทำวิจัยก็กลับดึกตลอดแทบไม่มีเวลาให้เด็กเลย แบบนั้นจะทำให้เด็กเติบโตได้ไม่เต็มที่...พรุ่งนี้ก็พาไปเที่ยวสักหน่อยสิ”ยุพูดต่อ
ก็จริงอย่างที่ยุว่า ยิ่งรู้ว่าการทดลองล้มเหลวผมก็ยิ่งหมกตัวอยู่กับการวิจัยทำให้มักจะไปหาลูก้าสาย และพอกลับถึงห้องยังไม่ได้ทันคุยอะไรกันผมก็สลบคาเตียงแล้ว
“แต่จะเอาเปรียบให้ทุกคนทำงานผมก็...”
“ไม่เรียกว่าเป็นการเอาเปรียบหรอกค่ะหัวหน้า”ผู้สวยสาวพูดขึ้นพลางเหล่ไปทางพี่พล
“ใช่ๆ...รางวัลที่หาข้อผิดพลาดนี้ได้พวกเราจะให้ด๊อกเตอร์หยุดพัก...”
“พวกคุณนี่นะ...”ทำเหมือนเป็นเด็กที่ต้องมีรางวัลเมื่อทำสำเร็จงั้นแหละ
“แล้ววันหยุดหน้าเพิ่มวันให้พวกเราด้วยนะ”สิ่งที่พี่พลพูดต่อทำเอาผมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น
“ได้สิ...จาก5วันเหลือวันเดียวนะครับ”เกือบจะซึ้งแล้วเชียว
“ไม่เอาแบบนั้นสิด๊อกเตอร์”
“ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกว่าด๊อกเตอร์น่ะ”ผมสวนกลับก่อนจะออกจากตึกวิจัยตรงไปยังตึกสีครีมซึ่งเป็นที่พักอาศัยของพนักงานทุกคน
ดูจากเวลาดาวคงพาลูก้ามากินข้าวแล้ว
“ลูก้า”ผมเรียกทันทีที่เห็นลูก้านั่งกินข้าวอยู่กับดาวและพี่จัน
“...”ลูก้าที่มักจะวิ่งปรี่มาหาพร้อมเรียกชื่อผมกลับนั่งนิ่งไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าด้วยซ้ำ
“ลูก้า...”ผมเดินเข้าไปใกล้พลางสะกิดเรียกแต่อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบเหมือนเดิม
“ดูท่าจะงอนน้องสามแล้วละมั้ง”พี่จันบอกด้วยรอยยิ้มเหมือนกำลังเห็นเรื่องสนุก
“งอนผม?”
“ไม่งอนก็แปลกล่ะค่ะ หัวหน้าเล่นมารับดึกเกือบทุกวันแบบนี้”ครั้งนี้ดาวเป็นฝ่ายพูดบ้าง
คำพูดของทั้งคู่กลายเป็นลูกศรที่พุ่งทะลุตัวผมอย่างรุนแรงจนไม่อาจปฏิเสธได้
“ขอโทษนะลูก้า”ผมสะกิดลูก้าพร้อมเอ่ยขอโทษ
“...”
“ลูก้า...ยกโทษให้ผมนะที่มาสาย”เมื่อไม่มีการตอบสนองผมก็จัดการคว้าแขนอีกฝ่ายแล้วเขย่าไปมาเบาๆแทนการง้อคืนดี
“...”
“ผมขอโทษ...อย่าโกรธกันเลยนะครับ”
“...”ลูก้าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อผมลองดัดเสียงพูดและเติมครับที่ท้ายประโยคดู
เหมือนจะได้ผลแฮะ
“นี่ลูก้า...หายงอนนะครับ...ขอโทษจริงๆ”ผมตัดสินใจเข้าไปกอดอีกฝ่ายที่นั่งหันหน้าไปทางกระจกโดยใช้หน้าตัวเองซุกเข้ากันเส้นผมสีฟ้าแซมแดงมากขึ้น
“...สามบอกว่าวันนี้จะพาไปดูพระอาทิตย์ตก”เสียงใสเริ่มทุ้มขึ้นตามการเติบโตของร่างกาย เพียงห้าเดือนกว่าลูก้ากลับเติบโตเร็วจนน่าตกใจ
“อ่า...ผมขอโทษพอดีว่าการทดลองมีปัญหาที่แก้ไม่ได้เลย...”
“เมื่อวานที่บอกจะมากินมื้อเย็นด้วยกันก็พูดแบบนี้”ลูก้าพูดต่อ เมื่อวานผมสัญญาว่าจะกินมื้อเย็นด้วยให้มารอที่ห้องอาหารแต่เพราะยังแก้ปัญหาเรื่องไบรโอซัวไม่ได้เลยกินเวลาไปเยอะ
“ขอโทษจริงๆนะลูก้า...แต่จากนี้จะไม่ผิดสัญญาอีกแน่นอน”ผมบอกเสียงหนักแน่น นี่ไม่แค่ครั้งหรือสองครั้งที่ผมผิดสัญญาที่ให้ไว้กับลูก้า ตั้งแต่ที่เริ่มงานวิจัยก็ไม่รู้กี่ครั้งที่ไม่ทำตามที่พูดไว้
ผมรู้สึกผิดที่ทำแต่งานจนลืมเวลา
ดัวนั้นตั้งแต่นี้ผมจะเปลี่ยน
“...พูดแล้วนะสาม”
“อืม...แทนคำขอโทษพรุ่งนี้จะอยู่ด้วยกันทั้งวันเลย”
“ทั้งวัน...จริงเหรอ”ดวงตาสีเงินเงยขึ้นมาสบด้วยประกายแห่งความตื่นเต้น
“แน่นอน...ว่าแต่มื้อเย็นกินน้อยไปนะ”ผมบอกหลังจากมองไปยังถ้วยใส่สุกี้ที่พร่องไปไม่ถึงครึ่ง จากที่มองดูของบนโต๊ะคาดว่าพึ่งกินเป็นถ้วยแรกด้วย
ลูก้าที่มักจะกินจุกลับกินน้อยขนาดนี้เป็นความผิดของผมที่ดูแลเขาไม่ดี
ผมใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอดตั้งแต่จบมัธยมดังนั้นการที่มีคนมาคอยกินข้าวหรือนอนด้วยพึ่งจะเคยมีเป็นครั้งแรก ยิ่งอีกฝ่ายเป็นเด็กผมก็ไม่รู้ว่าควรจะดูแลยังไง
ลูก้าเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและมีความเป็นผู้ใหญ่ เขาเลยไม่ค่อยแสดงออกว่าโกรธหรืองอนเหมือนอย่างวันนี้
นี่อาจเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นการแสดงออกที่ต่างไปจากเดิมของลูก้า
“กำลังจะกินต่อต่างหาก”ลูก้าบอกก่อนจะก้มลงไปจัดการสุกี้ตรงหน้า
“คิก...กินต่ออะไรเห็นนั่งนิ่งมาจะชั่วโมงจนวุ้นเส้นอืดไปหมด...”เสียงของพี่จันขาดห้วงไปอย่างรวดเร็วเมื่อถูกสายตาคมๆของลูก้าจ้องไป
“โห...ไหนๆวุ้นเส้นอืดหมดแล้วนะ”ผมจัดการแหย่ต่อเลยเจอสายตาคมๆนั่นจ้องมาแต่มีเหรอที่จะกลัว
ไม่มีทาง
สายตานั่นราวกับสัตว์ป่าที่พยายามสยบทุกสิ่งที่สบสายตาด้วย เพียงแต่ผมรู้ว่าภายใต้สายตาคมๆนั่นยังไงก็ยังเป็นลูก้าผมเลยไม่มีความกลัวต่อสายตานั่น
“ไปสั่งของตัวเองมากินได้แล้ว”ลูก้าบ่นผมที่เอาแต่แกล้ง
“ครับๆ...เดี๋ยวจะสั่งให้ลูก้าด้วย เอาอะไรดี”
“สุกี้หมู สุกี้ไก่ สุกี้ทะเลพิเศษอย่าละชาม...ของหวานเอาเป็นน้ำแข็งไสเกร็ดหิมะรสช็อกโกแลตกับวนิลาแต่งหน้าด้วยช็อกชิบกับอัลม่อนสไลด์”รายการอาหารมากมายถูกสั่งออกมารัวๆโดยไม่สนว่าคนฟังจะจำมันได้หมดไหม
“จะแกล้งกันกลับใช่ไหมลูก้า”ผมพูดเสียงเคือง บอกตรงๆว่าจำรายกายนั่นไม่ได้ทั้งหมดด้วยซ้ำ
“เปล่าสักหน่อย”
“ไม่ต้องมาทำเสียงใส”หลอกผมไม่ได้หรอก
“หึ...”
“อย่ามาหึนะ”
“รีบสั่งเลยผมหิว”
“มาสั่งเองเลย”พูดจบผมก็ดึงลูก้าให้ไปสั่งอาหารกับผม
น่าแปลกที่ลูก้าสามารถขืนผมได้ง่ายๆแต่เขากลับไม่ยอมทำและเดินตามผมมาทั้งๆแบบนั้น
อาหารมื้อเย็นค่อนไปทางดึกหมดลงในเวลาเกือบสองทุ่ม ทั้งพี่จันและดาวผมบอกให้กลับไปพักได้ตั้งแต่ที่พาลูก้าไปสั่งอาหารแล้ว
พอขึ้นมาบนห้องอย่างแรกที่ทำคืออาบน้ำและกระโดดขึ้นไปนอนแผ่บนเตียงกว้างขนาด5ฟุต เมื่อก่อนเตียงนี้กว้างมากจนกลิ้งยังไงก็ไม่ตกเตียงแต่พอมีลูก้ามาอยู่ด้วยเตียงก็แคบลงพลิกตัวไปทีไรก็เจออีกฝ่ายทุกที พื้นที่ฝั่งนั้นก็เหลือตั้งเยอะไม่รู้จะมาเบียดผมทำไม
ระหว่างที่รอลูก้าอาบน้ำก็นึกว่าพรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวไหนดี
ได้หยุดทั้งวันจะให้หมดเวลาไปกับการว่ายและดำน้ำก็ดีอยู่แต่ก็อยากให้ลูก้าได้ประสบการณ์ใหม่ๆบ้าง
“ประสบการณ์ใหม่ๆเหรอ...”นิสัยแบบนั้นคงไม่ชอบพวกสวนสนุกเหมือนเด็กทั่วไป
ถ้าจะดีก็ต้องเป็นพวกธรรมชาติ...
พูดถึงธรรมชาติก็...
แกร็ก
เสียงประตูห้องน้ำดังขึ้นขัดความคิด ลูกในชุดเสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงขาสั้นเดินขึ้นมานั่งบนเตียงโดยไม่พูดอะไร ความสูงของลูก้าตอนนี้เกือบจะอกผมแล้ว...ไม่อยากคิดเลยว่าจะหยุดสูงที่กี่เมตร
“ลูก้าชอบสัตว์ไหม”ผมพลิกตัวหันไปถาม
“เฉยๆ”
“แล้วมนุษย์ละ”
“ก็เฉยๆ”
“ไม่มีคำตอบอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ มีอะไรที่ไม่เฉยบ้างล่ะ”นี่ผมไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลยนะ
เล่นเฉยซะทุกอย่าง
“สาม”
“อะไร”
“ไม่ได้เรียกสักหน่อย”
“ห๊ะ?”หมายความว่าไง
“ก็ถามนี่ว่ามีอะไรที่ไม่เฉยบ้าง คำตอบก็คือสามไง”คำอธิบายดังขึ้นพร้อมกับดวงตาสีเงินที่ก้มลงมาสบ สายตาที่ประสานกันเหมือนเป็นการย้ำว่าสิ่งที่พูดคือความจริง
“...เอ่อ...”ถึงกับไปไม่ถูกเลยผม
บางทีก็ไม่เข้าใจว่าจะเขินทำไมทั้งที่คนพูดยังเป็นแค่เด็กที่ไม่ประสา
“ถ้าเป็นสัตว์ก็มีที่อยากเห็นอยู่”ไม่รู้ว่าเพราะเห็นผมเงียบหรืออะไรลูก้าถึงได้เปลี่ยนเรื่องพูด
“อยากเห็นอะไร”ผมรีบถามต่อ
สัตว์อะไรที่ลูก้าอยากเห็นกันนะ
จะเป็นสัตว์บก สัตว์ปีกหรือสัตว์น้ำกัน
“ไดโนเสาร์”คำตอบที่ได้ทำเอาผมกระพริบตาปริบๆ
ก็ตรงกับที่คาดไว้อยู่หรอก
ไดโนเสาร์เองก็มีทั้งบนบก มีปีกและในน้ำ
เพียงแต่ไม่คิดว่าลูก้าจะอยากเห็นไดโนเสาร์
“ถ้าอยากเห็น พรุ่งนี้ผมพาไปดีไหม”
“มีไดโนเสาร์อยู่ที่นี่?”
“จะว่ามีก็มีอยู่หรอก แต่ครั้งนี้จะพาไปสวนสัตว์น่ะ”ผมตอบด้วยรอยยิ้ม
“สวนสัตว์?”
“รับรองว่าจะได้เห็นทั้งไดโนเสาร์และสัตว์ป่าหลากหลายชนิดจนเอียนไปเลย”
“...อยากไป”สายตาที่มองมาทอประกายตื่นเต้นจนผมต้องเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมสีฟ้าแซมแดงนั่นด้วยความเอ็นดู
“ตื่นเช้าๆแล้วรีบไปกัน”
เช้าวันต่อมาผมก็ถูกปลุกด้วยการดึงหมอนที่หนุนออกจนหัวกระแทกเข้ากับเตียงด้านล่าง ความเจ็บปวดอาจไม่มากแต่ก็เพียงพอให้ผมตื่นเต็มตา สำหรับคนปลุกก็ไม่ใช่ใครอื่นลูก้าคนเดิมเพิ่มเติมคืออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย
ผมที่เห็นก็หันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลา7โมงอย่างงงๆ เหมือนจะจำได้ว่าลืมบอกไปว่าสวนสัตว์เปิดกี่โมง
แต่เอาเถอะ กว่าจะไปถึงคงเปิดพอดี
ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวสักพักก็เดินลงไปด้านล่างหรือโรงอาหารโดยไม่ลืมที่จะเตรียมของสำหรับการไปสวนสัตว์ มื้อเช้าง่ายๆถูกคุณป้าหัวหน้าครัวให้พร้อมกับส่วนมื้อกลางวันที่สั่งไปพร้อมกัน
พาหนะที่ใช้ในการเดินทางคือรถยนต์ของผมที่ไม่ได้ใช้งานมาหลายเดือนได้ ถึงจะไม่ได้ใช้งานมานานก็รับรถว่าปลอดภัยหายห่วงเพราะมีพี่พลและพี่จันช่วยกันใช้ทุกวันหยุด เห็นว่าอยากช่วยผมใช้รถเลยไม่ยอมใช้รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองสักที
ตลอดการเดินทางลูก้าดูตื่นเต้นมาก ท่าทางกระตือรือร้นกับใบหน้าอยากรู้อยากเห็นในทุกสิ่งที่ผ่านไปมาทำให้ผมรู้สึกดีที่พาอีกฝ่ายมาเที่ยว ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาจะครึ่งปีได้แล้ว...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพาลูก้าออกมานอกศูนย์วิจัย
“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”ผมบอกเมื่อขับรถขึ้นไปบนทางราดสูง
“อืม”
ไม่กี่นาทีต่อมาหลังจ่ายค่าบัตรรถยนต์สีเงินก็ผ่านทางเข้าไปยังด้านใน ร้านค้ามากมายเรียงรายกันเต็มถนน...สินค้าที่ขายต่างเป็นผักผลไม้สำหรับให้สัตว์ด้านในเหมือนกันทุกร้าน
ผมขับผ่านส่วนนี้ไม่จนถึงด้านในที่กลุ่มคนนักปิกนิกอยู่ตามพื้นหญ้าและโต๊ะไม้ วนหาที่จอดไม่นานก็สามารถจอดรถได้สำเร็จ
“เดี๋ยวลูก้า...”ยังไม่ทันได้พูดจบลูก้าก็เปิดประตูรถลงไปซะแล้ว
ผมได้แต่ส่ายหัวไปมาก่อนจะเดินตามไป ของทุกอย่างที่จำเป็นถูกจัดใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายใบเดียวซึ่งอยู่ด้านหลังผมแล้ว
สถานที่ที่ลูก้าวิ่งไปคือเกาะชะนี เกาะชะนีจะมีน้ำล้อมรอบอยู่ทำให้ไม่สามารถหนีออกมาได้...เพราะหนีมาไม่ได้เลยไม่จำเป็นต้องสร้างกรงขัง
“ใส่หมวกด้วย”ผมจัดการสวมหมวกสีน้ำตาลให้ลูก้า
“กลิ่นนี้...กลิ่นสัตว์สินะ”จมูกเรียวเชิดขึ้นพร้อมสูดกลิ่งต่างๆเข้าไป
“คิดว่าใช่...ถ้ามีกลิ่นอื่นที่นอกจากมนุษย์ก็คงเป็นสัตว์”จมูกผมไม่ได้ดีอย่างลูก้าเลยไม่สามารถรู้ได้ว่ากลิ่นที่ลูก้าพูดหมายถึงกลิ่นอะไร
“ได้กลิ่นเต็มไปหมดเลย”
“อืม...ไปดูไดโนเสาร์กันเลยไหมล่ะ”ผมถามต่อ
“แถวนี้?”
“มีตรงนั้นไง”ผมบอกพร้อมกับชี้ไปด้านหลังห่างจากตรงนี้พอสมควร ป้ายขนาดใหญ่เขียนไว้ว่าภูเขาแพะ&ไดโนเสาร์พืช
“ไปสิ”ลูก้ารีบก้าวยาวๆเดินไปยังภูเขาแพะ&ไดโนเสาร์พืช ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นกลุ่มคนมากมายที่ยืนล้อมกรงแพะพร้อมยื่นถั่วฝั่งยาวและกล้วยให้พวกมันกิน ส่วนมากที่กำลังยื่นให้ก็เป็นเด็กวัยกำลังโต
ด้านข้างกรงของแพะมีไดโนเสาร์ไม่ทราบชนิดยืนให้เหล่าเด็กๆลูบและป้อนอาหารอยู่หลายตัว แต่ละตัวก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยจับไว้
งื๊ดดดด~
ทันทีที่ลูก้าก้าวเข้าไปในรัศมีทั้งฝูงแพะในกรงหรือไดโนเสาร์ไม่ทราบชนิดต่างก็ส่งเสียงคราญครางแล้วพยายามจะวิ่งหนีจนเจ้าหน้าที่อีกหลายคนต้องเข้ามาช่วยควบคุมสถานการณ์
“พวกเขากำลังกลัว”ลูก้าพึมพำเสียงเบา
“กลัวลูก้าน่ะเหรอ?”ผมถามกลับ
“ใช่...พอกลัวก็ยิ่งอยากหนี พออยากหนีก็ยิ่งทำให้อยากล่า”
“ลูก้า...”สัญชาตญาณสัตว์กินเนื้อในตัวคงกำลังตอบสนองกับสิ่งมีชีวิตที่ตื่นตกใจตรงหน้า
“ไม่เป็นไร...ผมไม่คิดว่าในร่างนี้จะเหมาะกับกินเนื้อสดๆหรอก”
“ต่อให้อยู่ในร่างไดโนเสาร์ก็ห้ามกินเชียว”ผมรีบพูดดักไว้ ขืนกินผมคงต้องจ่ายเงินเหล่าสัตว์ที่ถูกกลืนลงท้องไป แน่นอนว่าแต่ละตัวลงไม่ใช่พันสองพัน
นี่ยังไม่รวมปัญหาที่จะตามมาอีกนับไม่ถ้วนนะ
แค่คิดก็อยากเป็นลมแล้ว
“ผมไม่กินหรอก”
“งั้นก็ดี...แล้วเราจะทำยังกับสถานการณ์นี้ดีล่ะ”จะไปที่อื่นหรือว่าจะลุยต่อทั้งๆแบบนี้
“ต้องเข้าไปใกล้กว่านี้”พูดจบลูก้าก็เดินเข้าไปใกล้ไดโนเสาร์กินพืชที่มีความสูงและความยาวเหนือกว่ามนุษย์
หงอนขนาดใหญ่สีเขียวแกมน้ำตาลด้านบนหัวคงเป็นเอกลักษร์ของไดโนเสาร์ตัวนี้ ท่าทางของมันตอนที่ลูก้าเข้าไปดูหวาดกลัวจนน่าสงสารแต่พอได้ยินเสียงครางเบาๆจากลูก้าก็ค่อยๆสงบลง คนอื่นๆคงไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดเป็นแน่เพราะแค่จัดการให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบก็แทบไม่มีเวลาไปสนใจเด็กคนหนึ่งที่เดินเข้าไปใกล้ไดโนเสาร์มากกว่าปกติหรอก
“ทำอะไร”ผมเข้าไปกระซิบถามเสียงเบาเมื่ออยู่ไดโนเสาร์หลายตัวที่ตื่นตระหนกบัดนี้กลับสงบลง
“แค่บอกว่าไม่ได้มาทำร้ายเท่านั้น”ลูก้าตอบกลับพร้อมกับยกมือขึ้นลูบไดโนเสาร์ตรงหน้า
“คุยกันรู้เรื่องสินะ”แม้จะเป็นคนละสายพันธ์แต่ก็ยังสามารถสื่อสารกันได้
“อืม...สามรู้ไหมว่าเป็นพันธ์อะไร”อยู่ๆลูก้าก็เปลี่ยนเรื่องถาม
และเป็นคำถามที่ทำให้ผมต้องถอนหายใจอย่างปลงๆ
“...ไม่รู้”
“แปลกนะที่สามไม่รู้ ทั้งที่พวกสัตว์น้ำรู้จักดีแท้ๆ”ที่ลูก้าพูดคงหมายถึงเดือนก่อนตอนผมพาเขาไปทัวร์บ่อเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ตลาดทางที่เดินผมแนะนำชื่อพร้อมทั้งอธิบายลักษณะของสัตว์ชนิดนั้นๆได้โดยไม่ต้องเปิดคู่มือประกอบ
นั่นเป็นเหมือนความภูมิใจของผม ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือพืชอะไรถ้าได้ชื่อว่าอยู่ในน้ำผมก็รู้จักแทบทั้งนั้น
ถึงจะรู้จักพวกสัตว์น้ำดีแต่บอกเลยว่าพวกสัตว์บกหรือสัตว์ปีกผมแทบไม่รู้จัก
ยิ่งเป็นไดโนเสาร์ก็ยิ่งแล้วใหญ่
หน้าตาก็คล้ายๆกันไปหมดแยกไม่ออกหรอก
“ผมรู้จักแค่พวกสัตว์น้ำ”รู้สึกอายตัวเองเหมือนกันที่ไม่สามารถตอบคำถามของลูก้าได้
จากนี้ไปผมคงต้องศึกษาสายพันธ์ของไดโนเสาร์สักหน่อยแล้ว
“นี่พันธ์อะไรเหรอ...ครับ”ท้ายเสียงถูกพูดต่อเมื่อถูกผมมองไปด้วยสายตาสื่อความหมาย
“พาราซอโรโลฟัสครับ”เจ้าหน้าที่ดูแลตอบพร้อมรอยยิ้ม
“พาราซอโรโลฟัส...”ลูก้าทวนสิ่งที่ได้ยิน
“พาราซอโรโลฟัส เป็นไดโนเสาร์ที่ความยาวกว่า 12 เมตรและหนักกว่า 2 ตัน ส่วนหัวของมันจะมีหงอนรูปร่างคล้ายหนอนมีไว้สร้างความน่าเกรงขามระหว่างการล่าเหยื่อ”เจ้าหน้าที่อธิบายต่อ
“ชื่อจะยาวไปไหน”ผมพึมพำพลางจำชื่อของไดโนเสาร์สี่เท้านามพาราซอโรโลฟัสเข้าหัว
“สาม...นั่นตัวอะไร”ลูก้าคว้าแขนผมดึงไปหยุดอยู่หน้ากรงแพะที่ส่งเสียงครวญครางอยู่
“แพะ”
“แพะ...แล้วตัวนั้นล่ะ?”นิ้วชี้ถูกยกขึ้นไปยังแพะอีกตัวที่มีสีและขนาดแตกต่างกัน
“นั่นก็แพะ”
“สีไม่เหมือนกัน”
“ถึงจะเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันก็ใช่ว่าจะเหมือนกันทั้งหมด...ถึงสีจะไม่เหมือนแต่โครงร่างเหมือนกันเห็นไหม”ผมอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง
“งั้นตัวสีขาวนั่นก็ไม่ใช่แพะ”
“ใช่...นั่นแกะ”ผมบอกชื่อของสัตว์ขนปุยยาวสีขาวตรงหน้า
“นั่นล่ะ”ลูก้าชี้ต่อยังสัตว์สีดำ
“นั่นเลียงผา”
“โน่นล่ะ”
“กระต่าย”
“ตรงนั่นล่ะ”
“เต่า”
“แล้วนู้นล่ะ”
“นกกระจอกเทศ”
ตลอดการเดินเที่ยวทุกครั้งที่เห็นสัตว์ตัวใหม่ลูก้าก็จะเอ่ยถามทันที ถึงตอนนี้พวกเราก็ดูสัตว์มาหลายสิบชนิดแล้ว มื้อกลางวันถูกส่งให้ลูก้าระหว่างที่มองเสือลายพาดกอนกำลังกระโดดกินชิ้นเนื้อจากตะขอ เนื้อที่ให้เสื้อกินเราสามารถให้ได้เพียงแค่จ่ายเงินนิดหน่อยเท่านั้น
“ไม่อิ่ม...”
“ยังมีอีกชิ้นนะ”ผมบอกแล้วยื่นกล่องใส่แซนด์วิชไปให้
“ไม่ใช่ผม...ที่ไม่อิ่มน่ะเสือตัวนั้น”
“คุยกับเสือได้ด้วย?”ผมนึกว่าต้องเป็นไดโนเสาร์ด้วยกันถึงจะเข้าใจซะอีก
“เหมือนจะได้นะ...เธอบอกว่าอยากกินอีก”
“จะให้ไหมล่ะ”ผมถาม
“ได้เหรอ”
“แน่นอน”
ผมพาลูก้าไปหาเจ้าหน้าที่ดูแลที่ยืนอยู่ไม่ไกลก่อนจะให้ลูก้าเลือกว่าจะให้เนื้อชนิดไหน เนื้อแต่ละชนิดก็จะมีราคาที่แตกต่างกันออกไป
“เนื้อไก่ตัดไปเลย...เธอเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”ลูก้าพึมพำระหว่างเลือก
“เนื้อหมูก็กลิ่นแปลกๆ...เนื้อปลาก็ไม่อิ่ม”เจ้าหน้าที่ที่มองอยู่ก็ดูจะสงสัยในบทสนทนาคนเดียวนั่น
“เอาเนื้อวัวสิ”ผมแนะนำ
“ก็ดีนะ...แต่มันชิ้นเล็กไปรึเปล่า”ลูก้าขมวดคิ้วแน่นเมื่อมองไปยังเนื้อวัวชิ้นเล็กตรงหน้า
“มีชิ้นใหญ่กว่านี้ไหมครับ”ผมหันไปถามเจ้าหน้าที่
“ถ้าต้องการเอาเป็นซี่โครงวัวไหมครับ...แต่ราคามันออกจะ...”
“เอาซี่โครงวัวละกัน...ใช้บัตรนี่จ่ายได้ไหมครับ”พูดจบผมก็หยิบบัตรสีทองขึ้นมา
“ขะ...เข้าใจแล้วครับ จะรีบจัดการให้”เจ้าหน้าที่ถึงกับตาโตเมื่อเห็นบัตรที่ส่งไปให้
เพราะมีบัตรนี่อะไรๆก็เลยง่ายขึ้นเยอะ จะไปไหนทีก็ไม่ต้องพกเงินมากมายแค่ยื่นบัตรนี่ก็สามารถรูดแทนเงินสดได้ นอกจากจะใช้แทนเงินสดยังใช้แทนบัตรเอทีเอ็มได้อีกด้วย
“บัตรนั่นคืออะไร”ลูก้าเงยหน้าขึ้นมาถาม
“เป็นเหมือนบัตรประจำตัวผมน่ะ...บัตรนี่ใช้แทนเงินได้ มีไว้ก็สะดวกดี...เดี๋ยวลูก้าก็คงจะมีเพียงแต่คงไม่ใช่สีทองหรอก”
“ทำไมถึงไม่ได้สีทอง”
“สีทองเป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีความสามารถในระดับสูง เรียกว่าเป็นหัวกะทิก็ได้”
“แปลว่าสามเก่งมาก”
“แน่นอน...ผมน่ะเก่งสุดๆเลยด้วย”ขออวดหน่อยเถอะ
“เก่งแต่ไม่รู้ชื่อของไดโนเสาร์”
“อึก...”เพียงคำพูดเดียวก็แทงใจจนพูดไม่ออก
การสนทนาของพวกเราจบลงเมื่อเจ้าหน้าที่กลับมาพร้อมซี่โครงวัวขนาดใหญ่ เสือลายพาดกอนที่ได้อาหารชั้นยอดดูเหมือนจะพอใจจนส่งเสียงคำรามออกมา เหล่าคนที่อยู่รอบๆต่างเข้ามามุงดูเต็มไปหมด
สถานที่ต่อไปที่พาลูก้ามาคือบ่อของสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ที่พึ่งถูกชุบชีวิตขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ การที่สวนสัตว์มีคนมีเยอะก็เพราะเจ้านี่เป็นดาวเด่นนั่นเอง บ่อที่มันอาศัยถูกสร้างให้มีทั้งพื้นที่บนบกและในน้ำโดยพื้นที่บนบกอยู่ในระนาบเดียวกับพื้นเดินทำให้สามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตภายในได้ชัดเจนต่างจากส่วนในน้ำที่ถูกสร้างให้อยู่ต่ำกว่าพื้นที่จริงประมาณ5-10เมตรได้
ที่สร้างกรงโล่งมีเพียงรั้วหินขนาดใหญ่กลั้นคงเพราะสายพันธ์ที่อยู่นั่นเป็นพวกไม่มีแรงกระโจนทำให้ไม่สามารถออกจากกรงได้
“ฮิปโป...ไม่ใช่”ลูก้าขมวดคิ้วกับชื่อที่พูดออกมาก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“มันคือเอสเทอมีนอโซคัส”ผมเฉลยด้วยใบหน้าภูมิใจ
“สามรู้จัก?”หน้าตาของลูก้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก
“รู้จักสิ...เอสเทอมีนอโซคัสเป็นสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่บนบกและว่ายน้ำเก่งมาก มีรูปร่างคล้ายฮิปโป มีนอคล้ายแรด มีเขาคล้ายกวางและมีฟันแหลมคมคล้ายสุนัขแต่ใหญ่กว่าหลายเท่า มันสูงได้เกือบ3เมตรและยาวกว่า4เมตร”
“พวกมันกินเนื้อ”ลูก้าหรี่ตามองฝูงเอสเทอมีนอโซคัสตรงหน้า พวกเรายืนอยู่ตรงพื้นที่บนบกในระนาบเดียวกับพวกเอสเทอมีนอโซคัส อีกฝั่งของกรงมีผู้คนยืนมองเอสเทอมีนอโซคัสจากด้านบน
“ใช่...ฟันแหลมคมขนาดนั้นเหยื่อที่ถูกล่าคงไม่ใช่แค่ปลา”จากขนาดฟันและขากรรไกรเหยื่อพวกเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง
ตู้ม!!
“กรี๊ดด...ลูกแม่”เสียงตะโกนกรีดร้องเรียกผมและลูก้าให้หันไปมอง ด้านข้างของกรงมีผู้หญิงส่งเสียงร้องพลางก้มตัวลงไปยังบ่อด้านล่างของเอสเทอมีนอโซคัส พอผมมองลงไปก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ3ขวบตกลงไป
โชคดีที่บริเวณที่ตกลงไปไม่ใช่น้ำลึก แต่ก็โชคร้ายที่เสียงน้ำกระจายนั่นเรียกให้เหล่าเอสเทอมีนอโซคัสหันมาสนใจ
“เจ้าหน้าที่อยู่ไหน”ผมหันไปมองรอบๆเพื่อหาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ที่ยืนประจำต่างก็ตกตะลึงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก
“สาม”ลูก้าเรียกโดยที่สายตาจับจ้องไปยังฝูงเอสเทอมีนอโซคัสที่กำลังเข้าไปไกลเด็กผู้หญิงวัย3ขวบที่กำลังร้องไห้อย่างหนัก
“แจน”แม่ของเด็กผู้หญิงตะโกนเรียกอย่างบ้าคลั่งแล้วทำท่าจะกระโจนลงไป ผู้คนรอบๆที่เห็นต่างก็ช่วยกันจับไว้
ปล่อยไว้แบบนี้ได้มีฉากการให้อาหารเอสเทอมีนอโซคัสสดๆแน่
แน่นอนว่าฉากนั้นผมไม่อยากเห็น
“สาม”ลูก้าตะโกนเรียกทันทีที่เห็นผมกระโดดเข้าไปในบ่อของเอสเทอมีนอโซคัส
“ต้องรีบไปช่วยเด็กคนนั้น”ถ้าไม่มีใครยอมเสี่ยงก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้
“มันอันตรายนะสาม”
“ผมรู้...”แต่ก็หยุดร่างกายตัวเองที่วิ่งไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้
“ฮืออออ...ฮือออ”
“ไม่เป็นไร...ไม่ร้องนะ”ผมวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาพร้อมปลอบพอเป็นพิธี เอสเทอมีนอโซคัสที่อยู่ในน้ำค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ผมเลยต้องค่อยขยับขึ้นฝั่งไปเพียงแต่บนบกก็มีเอสเทอมีนอโซคัสที่ตีล้อมวงเข้ามาเช่นกัน
กรรรร
เสียงขู่ของตัวแรกดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยตัวที่สองและสามราวไปจนทั้งฝูงต่างส่งเสียงขู่มาให้
ท่าไม่ดีแล้ว
ท่าทางและสายตาของพวกมันกำลังเข้าโหมดนักล่า
“เอาไงดี...”
“ฮึก...ฮืออ”เด็กที่อุ้มไว้ก็กอดคอผมแน่น
“ฝากเด็กที”ผมตัดสินใจอุ้มเด็กขึ้นเหนือหัว ความสูงของรั้วกั้นตรงนี้ประมาณ3เมตร ผมเอื้อมมือส่งเด็กให้คนข้างบนรับไปได้ในที่สุด
เด็กปลอดภัย
แต่ผมท่าจะอันตราย
ความสูง3เมตรนั่นผมขึ้นไปไม่ไหวหรอก
อีกอย่างพวกมันคงไม่รอให้ผมใด้ขึ้นด้วยซ้ำ
กรรรร
เอสเทอมีนอโซคัสแยกเขี้ยวออกกว้างก่อนจะพุ่งเข้ามาเต็มแรง ทันใดนั้นร่างของลูก้าก็กระโดดมาขวางหน้าผมและเอสเทอมีนอโซคัส
“กรรรร”เสียงขำรามจากลูก้าดังขึ้นพร้อมกับดวงตาสีเงินที่หรี่ลงอย่างไม่เกรงกลัวต่อสถานการณ์ตรงหน้า
กรรรร
“กรรรร”เสียงคำรามดังผลัดกันไปมาราวกับกำลังพูดคุยในภาษาที่ผมไม่อาจเข้าใจ
กรรรรรรร
ดูเหมือนว่าการพูดคุยจะไม่ได้ผลเพราะเอสเทอมีนอโซคัสพุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงแต่ด้วยสายตาของลูก้าสามารถหลบได้ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนหลังของเอสเทอมีนอโซคัส ส่วนที่เหมือนเขาถูกลูก้าจับไว้แน่นพร้อมออกแรงกดลง
หน้าของเอสเทอมีนอโซคัสทรุดลงไปกับพื้นและแน่นิ่งไปในเวลาอันรวดเร็ว
ท่าทางแบบนั้นคือยอมแพ้ ไม่สิ ถูกทำให้ยอมแพ้
ในโลกของสัตว์การโดนอยู่เหนือกว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเกรงขาม
เอสเทอมีนอโซคัสตัวนี้ดูเหมือนจะเป็นจ่าฝูง พอจ่าฝูงโดนล้มตัวอื่นๆก็ค่อยๆล่าถอยออกไป
“ลูก้า”ผมตะโกนเรียก
“ทำไมถึงทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้”ลูก้าตะโกนใส่ผมด้วยเสียงไม่พอใจ
“...ก็เด็กคนนั้น...”
“ลงไปช่วยโดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ต่างกับลงมาเป็นอาหารให้พวกมันหรอกนะ เด็กคนนั้นรอดแต่ถ้าสามไม่รอดขึ้นมาจะทำยังไง”
“ขอโทษ...”
“ถ้าผมไม่ช่วยรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น...พวกมันจะฉีกสามเป็นชิ้นและแบ่งกันกินอย่างเอร็ดอร่อย”ลูก้าบ่นต่อด้วยใบหน้าที่เห่อแดงขึ้น ใบหน้าแดงๆนั่นแปลว่าอารมณ์โกรธกำลังปะทุอยู่
“ลูก้า...”
“รู้ไหมว่าหัวใจผมมันเกือบหยุดเต้นตอนเห็นสามทำเรื่องบ้าๆแบบนี้...”พูดถึงตรงนี้อยู่ๆน้ำตาของเขาก็ไหลลงมา ริมฝีปากขบเม้มกันแน่นราวกับกำลังคิดคำบ่น
“ขอโทษลูก้า...ขอโทษนะ”ผมเข้าไปคว้าอีกฝ่ายมากอดแน่นพร้อมเอ่ยขอโทษ
“...อย่าทำแบบนี้อีก”ลูก้ายกแขนขึ้นกอดตอบผมแน่นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เข้าใจแล้ว...ขอบคุณที่ช่วยผมนะลูก้า”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสีหน้าจริงจังซึ่งแฝงไปด้วยความกังวลและตกใจของลูก้า
เด็กที่มักจะเฉยอยู่ตลอดกลับตะโกนเสียงดังราวกับทำตัวไม่ถูก การต่อสู้เมื่อครู่คงเป็นสัญชาตญาณของสายเลือดไดโนเสาร์ภายในกายเพราะคงไม่มีเด็กคนไหนกล้าต่อสู้กับศัตรู่ที่นอกจากจะตัวโตกว่าแล้วยังมีทั้งคมเขียวอันแหลมและจำนวนนับสิบแบบนี้หรอก
สงสัยนอกจากจะฝึกดำน้ำผมคงต้องฝึกฝนตัวเองเพิ่มแล้วสิ
........................................................................................
สวัสดียามค่ำค่า
แต่งจบตอนแล้วจึงมาอัพ
ไม่อยากให้รอกันนานเลยพยายามแต่งให้เสร็จเร็วๆ
เนื้อเรื่องในช่วงแรกยังไม่บู๊นะคะ แค่มีเกริ่นๆนิดหน่อยกับความเก่งของลูก้า
ในตอนนี้ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากตบมือรับๆให้ลูก้านั่นเอง
มารอลุ้นตอนต่อไปกันนะคะว่าจะเป็นยังไง
บอกได้แค่ตอนหน้าเป็นจุดเปลี่ยนค่ะ อิอิ
---มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์---
วันนี้ของเสนอพาราซอโรโลฟัส เป็นไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่ ในยุคครีเตเชียสตอนปลายพบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ เช่น ในอัลเบอร์ต้า คานาดา หรือรัฐยูทาห์ ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ลักษณะเด่นของพาราซอโรโลพัส คือ หงอนที่มีลักษณะเหมือนท่อกลวงยาว บางตัวอาจจะมีหงอนยาวถึง 1.5 เมตร มีไว้ส่งเสียงหาพวก สามารถเดิน 4 เท้า มีขนาดใหญ่โตพอสมควร เท่าที่ค้นพบไดโนเสาร์พันธุ์นี้จะมีความยาวประมาณ 12 เมตร กินพืชเป็นอาหาร
เครดิต : https://th.wikipedia.org/wiki/พาราซอโรโลฟัส
ปล.ความจริงอยากแนะนำเอสเทอมีนอโซคัสแต่ในเว็บไม่มีข้อมูลเลย สำหรับเจ้าเอสเทอมีนอโซคัสเราหาข้อมูลมาจากหนังสือล่ะและพอดีเปลี่ยนโทรศัพท์ข้อมูลเลยหาไม่เจอ แฮะๆ
ขอบคุณที่ติดตามกันเสมอนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บ๊ายบายค่ะ
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ลูก้าคงห่วงสามมากจริงๆ เด็กน้อยยยย
อั๊วไม่อยากฟื้นลื้อจะฟื้นทำมายยย