◈ธาราที่2◈
“จะไปไหนสาม”เสียงของลูก้าดังขึ้นเมื่อเห็นผมนั่งลงใส่รองเท้าอยู่หน้าห้อง
ตั้งแต่วันแรกที่เจอลูก้าก็ผ่านมาได้เดือนหน่อยๆแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก...แต่ละวันมีแต่เรื่องให้ต้องตกใจกับพัฒนาที่อาจเรียกว่ารวดเร็วจนน่าตกใจ
วันแรกเขาสามารถเรียกชื่อผมได้วันต่อมาก็เลยสอนชื่อของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว แน่นอนว่าผมไม่ได้สอนแค่ภาษาไทยแต่ยังมีภาษาอังกฤษด้วย ความจำของลูก้าดีมากไม่ว่าจะสอนอะไรก็จะจดจำสิ่งเหล่านั้นได้แทบจะทันทีทำให้เพียงไม่กี่วันก็สามารถพูดตอบโต้ได้เหมือนกับมนุษย์ปกติ
ที่ยังสงสัยอยู่คือตั้งแต่วันแรกเขาก็ไม่กลับไปอยู่ในร่างของไดโนเสาร์อีกเลย พอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเซโครก็ได้คำตอบมาว่าไดโนเสาร์กลายพันธุ์แต่ละคนต่างก็มีเวลากลายร่างต่างกันไป บางคนสามารถกลายร่างได้ไม่ถึง3ชั่วโมง บางคนเองก็สามารถควบคุมการกลายร่างได้ดั่งใจ
กับลูก้านี่ไม่รู้ว่าจะเรียกควบคุมได้หรือกลับร่างไดโนเสาร์ไม่เป็นกันแน่
“ผมมีงานต้องทำน่ะ”ผมตอบพลางมองไปยังร่างเล็กในชุดเสื้อยืนแขนสั้นสีเขียวกับกางเกงยีนสีซีด เสื้อผ้าที่ให้ต่ายกับโจ้ไปหามาแทนบทลงโทษดูจะเหมาะกับลูก้ามาก
“...แปลว่าผมต้องไปอยู่กับดาวอีกแล้วเหรอ”ลูก้าถามเสียงอ่อยด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“เรียกว่าพี่ดาวสิ”ผมแก้ ดาวที่ว่าเป็นคนที่ผมสั่งให้คอยดูแลลูก้าเวลาที่ผมไปทำงาน...ช่วงสองสามวันแรกผมอยู่กับลูก้าตลอดเวลาแต่พอเข้าวันที่หกงานที่ค้างไว้ก็มากขึ้นจนไม่สามารถลาได้อีก แถมจะให้พาลูก้าเข้าไปในฐานวิจัยก็ไม่ได้อีกเพราะงั้นผมเลยวานดาวหนึ่งในเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์น้ำให้มาช่วยดูแลลูก้าแทน
“...พี่ดาวก็ได้”ลูก้านับว่าเป็นเด็กดีถ้าไม่ติดเรื่องการเรียกชื่อ
อย่างที่ได้ยินเขาเรียกชื่อผมห้วนๆโดยไม่มีคำนำหน้าอย่างพี่หรือคุณซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไร ในต่างประเทศส่วนมากก็เรียกชื่อกันตรงๆอยู่แล้ว
“ไม่ชอบพี่ดาวเหรอ”ผมถามก่อนจะหยิบรองเท้าคู่เล็กจากบนชั้นยื่นให้ลูก้า
“...ก็ไม่ใช่ไม่ชอบ”
“หมายความว่าชอบ?”
“เฉยๆ...ชอบสามมากกว่า”
“ดีใจนะเนี่ย...ไปกันเถอะ”ผมอมยิ้มกับประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่พร้อมกับจูงมือลูก้าออกจากห้อง การที่มีคนพูดว่าชอบตัวเองมากกว่าเหมือนกับได้รับการเชื่อใจเลย
สถานที่ที่ผมพาลูก้ามาฝากเป็นเหมือนห้องทำงานขนาดกลางติดชายฝั่งทะเล...ผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ผู้ดูแลหรืออื่นๆต่างจะมารวมตัวกันที่นี่ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย
“โอ๊ะ...มาแล้วเหรอคะหัวหน้า”เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับดาวและพนักงานส่วนหนึ่งที่มาถึงก่อนแล้ว
“อืม...วันนี้ก็ฝากลูก้าด้วยล่ะ”พูดจบผมก็ดึงมือลูก้าให้เดินไปข้างหน้าแม้ว่าจะถูกขืนอยู่นานแต่สักพักเขาก็ยอมปล่อยมือแล้วเดินไปหาดาวโดยดี
“ได้ค่ะ...เจอกันอีกแล้วเนอะลูก้าคุง...วันนี้เราไปดูปลาดาวกันดีไหม”ดาวทักทายลูก้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บรรยากาศเป็นกันเองนั่นน่าจะทำให้ลูก้าเปิดใจได้ จนถึงตอนนี้คนที่ลูก้าสนิทด้วยที่สุดก็คงไม่พ้นผม
ในช่วงที่ยังเด็กควรให้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นให้มากจะได้ไม่ตื่นคนแถมด้วยความที่เป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์ก็ยิ่งควรให้คลุกคลีกับมนุษย์ให้มากๆเพื่อสร้างความเชื่อใจ
“อืม...สาม...ไปด้วยไม่ได้เหรอ”ลูก้าพยักหน้าตอบดาวก่อนจะเดินกลับมาผมด้วยใบหน้าเศร้าๆ ดวงตาสีเงินที่จ้องมานั่นทำให้ผมใจอ่อนอยู่หรอกแต่ยังไงก็ไม่ได้
“ไม่ได้...ผมจะรีบมานะ...เป็นเด็กดีล่ะ”
“...อืม”
“ครับสิ”ผมแก้
“...ครับก็ได้”
“ดี...พี่จันผมอยากให้ไปดูบ่อ26สักหน่อยเมื่อคืนมีฟ้าร้องค่อนข้างดังไม่รู้ว่าพวกกุ้งจะปลอดภัยไหม”ถึงระบบรักษาความปลอดภัยจะดีก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งขี้ตกใจอยู่ด้วยพวกกุ้ง
“รับทราบน้องสาม”พี่จันเป็นผู้ชายผิวสีแทน ตัวสูง รูปร่างสมส่วนนิสัยออกแนวขี้เล่นเช่นเดียวกับพี่พล นิสัยคงคล้ายกันอยู่หรอก...ก็เป็นพี่น้องกันนี่นะ
“ไปก่อนนะลูก้า”ก่อนออกไปผมก็วางมือบนเส้นผมสีแปลกแล้วขยี้เบาๆเป็นการลา
ห้องวิจัยของผมอยู่ถัดออกไปเกือบกิโลได้ ห้องวิจัยและทดลองที่มีเพียงผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ บัตรสีทองของผมถูกแตะเพื่อแสดงตัวตนพร้อมกับก้าวเข้าไปภายใน บัตรสีทองที่มีนี่พึ่งได้มาร้อนๆเมื่อสองเดือนก่อน
ปกติผมไม่ค่อยสนใจพวกลำดับขั้นของบัตรอยู่แล้วเลยพอใจกับบัตรเงินที่มี แต่เพราะเหล่าผู้ช่วยหรือพี่ๆที่รู้จักกันต่างคะยั้นคะยอให้ผมไปสอบจนได้บัตรนี้มา เห็นว่าเป็นหัวหน้าก็ควรจะมีบัตรที่คู่ควร
ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าบัตรเงินที่มีมันไม่เพียงพอตรงไหน
“ด๊อกเตอร์...มาก็ดีเลย ไอ้คุณยุเริ่มอีกแล้ว”พี่พลรีบวิ่งเข้ามาหาทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามา
“บอกว่าอย่าเรียกด๊อกเตอร์ไง...เกิดอะไรขึ้น”
“เหมือนว่าครั้งนี้จะเป็นเรื่องเพศนะครับหัวหน้า”ครั้งนี้วุธผู้ช่วยอีกคนของผมตอบแทน
“เฮ้อ...อยู่ที่ไหน”
“ห้องทดลอง3ครับ”
“เข้าใจแล้ว”ผมลาพี่พลกับวุธแล้วเดินตรงเข้าไปยังห้องทดลอง3ที่มีกระจกรอบด้าน ด้วยความที่เป็นกระจกเลยสามารถมองเห็นคนด้านในกำลังยกมือทั้ง2ข้างขยี้เส้นผมสีดำจนฟูฟ่อง ใบหน้าก็ดูเครียดจนคิ้วขมวดติดกันแน่น
ยุหรือพายุ รองหัวหน้าฝ่ายวิจัยและดูแลสัตว์น้ำ พูดง่ายๆก็รองหัวหน้าฝ่ายผมนั่นแหละ
“ยุ”ผมเรียกพร้อมกับเปิดเข้าไปยังห้องทดลอง
“สาม?...มาก็ดีเลย...รู้ไหมว่าตอนนี้ผมกำลังมีข้อสงสัยอยู่ล่ะ...สัตว์น้ำที่เราวิจัยอยู่นี่นำยีนมาจากสัตว์ชนิดเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงเพศทำให้เพศของสัตว์ที่เกิดเป็นแบบสุ่ม ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ทำไมเพศเมียถึงมีมากกว่าเพศผู้ล่ะ...”
“ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะอุณหภูมิ นั่นก็มีส่วนอย่างจระเข้ถ้าฟักที่อุณหภูมิตั้งแต่30องศาลงไปก็จะฟักออกมาเป็นตัวเมีย แต่ถ้าฟักในอุณหภูมิ32-33องศาก็จะเป็นผู้...ในกรณีที่ฟักอุณหภูมิ31องศาก็ฟักเป็นเพศผู้และเพศเมียอย่างละครึ่ง แต่กฎนั้นจะสามารถใช้กับสัตว์ชนิดอื่นได้จริงเหรอ...”
“คำตอบคือไม่เพราะว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมของการฟักไข่ของสัตว์นั้นแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป...”เสียงของยุยังคงอธิบายต่อโดยไม่มีการพักแม้แต่หายใจ
ทั้งที่พูดว่าสงสัยแต่กลับพูดเองถามเองแถมยังตอบเองเสร็จสรรพด้วย
นี่แหละรองหัวหน้าของผม
ยุเป็นพวกที่หมกวุ่นกับสิ่งที่สงสัยและจะหมกวุ่นต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดข้อสงสัย พอหมดข้อสงสัยในเรื่องนั้นก็มักจะมีสิ่งอื่นที่สร้างความสงสัยต่ออีก เรียกว่าความสงสัยนั้นเป็นอินฟินิตี้เลยทีเดียว
ถ้าในเรื่องของความรู้ผมอาจมีน้อยกว่ายุแต่ถ้าพูดถึงความสามารถในการเป็นผู้นำผมว่าตัวเองมีมากกว่าทีเดียว ตอนแรกที่แต่งตั้งหัวหน้าฝ่ายก็มีผมและยุเป็นตัวเต็ง ด้วยนิสัยแบบนั้นเลยอดได้ตำแหน่ง
ลองคิดดูนะว่าถ้ายุสั่งลูกน้องให้ไปทำอะไรแล้วเกิดสงสัยขึ้นมาพวกลูกน้องคงได้ยืนอ้าปากค้างเพื่อฟังการบรรยายอันยาวเยียดเป็นแน่
วิธีที่ทำให้ยุหยุดโดยไม่ต้องรอให้หายสงสัยก็คือ...
“ยุ...ผมมีข้อมูลใหม่มาบอกล่ะ”
“...ว่างไงนะ ข้อมูลใหม่?...ข้อมูลอะไรสาม”คำพูดพรรณนาเปลี่ยนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ยุก็เป็นคนแบบนี้แหละ...ชอบที่จะเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน
“ก่อนจะบอกเราต้องจัดการงานให้เสร็จก่อนนะ”งานที่เหลืออยู่คือการสร้างยีนของสัตว์น้ำแล้วส่งไปเพาะพันธ์ต่อไป หน่วยเพาะพันธ์สัตว์ทะเลก็เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายวิจัยและพัฒนาเพียงแค่ผมตั้งให้มีหัวหน้าหน่วยในการดูแลและช่วยควบคุมการเพาะพันธ์เวลาที่ผมยุ่งจนไม่สามารถไม่ดูด้วยตัวเองได้
ผมไม่สามารถดูแลทุกอย่างได้หมดหรอก ลำพังแค่งานตรงหน้ายังไม่มีวี่แววจะเสร็จเลย
“อ้อ...ได้สิ...รีบทำกันเถอะ”
“งั้นเดี๋ยวไปตามพวกพี่พลก่อน”
“อืมๆ...ผมจะตัดต่อยีนรอละกันนะ...เราต้องเปลี่ยนพันธุกรรมของมันใช่ไหม”ยุหันมาถาม
“อย่าเรียกว่าเปลี่ยนเลย...เรียกว่าสร้างภูมิคุ้มกันดีกว่า”สิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่คือการวิจัยยีนของกุ้งเพื่อสร้างกุ้งตัวใหม่ที่มีภูมิคุ้มกันมากกว่าเดิม
หัวข้อใหญ่ของการวิจัยครั้งนี้คือสร้างกุ้งที่มีความทนทานสูง
ที่ต้องทำไม่ใช่แค่เพิ่มภูมิคุ้มกันแต่ต้องเพิ่มอีกหลายๆอย่างเข้าไปเพื่อให้กุ้งที่จะเกิดสามารถทนกับสภาพแวดล้อมในยุคปัจจุบันได้ ในยุคปัจจุบันนี้มีทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษไม่ว่าจะทางบก อากาศหรือทางน้ำ เราจึงต้องช่วยสัตว์ที่ไม่อาจปรับเปลี่ยนตัวเองในสภาพแวดล้อมนี้ให้สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้
พอเรียกพี่พลและผู้ช่วยที่เหลือเข้ามา การทดลองก็คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วเพราะความสามารถของแต่ละคนนั้นอยู่ในระดับต้นๆของประเทศ ตัวผมเองก็มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ทำให้งานเดินหน้ามาก เพียงแต่การจะทำทุกอย่างให้เสร็จปกติต้องใช้เวลานานเป็นอาทิตย์ บางทีก็ถึงหลายเดือน
ปกติผมก็มักจะกินนอนและทำงานอยู่ที่ห้องนี่เลย
แต่ครั้งนี้ไม่ได้
“กี่โมงแล้วฟ้า”ผมตะโกนถามผู้ช่วยที่อยู่ใกล้นาฬิกามากที่สุด
“6โมงแล้วค่ะ”
“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ...ที่เหลือฝากหน่อยละกัน ผมต้องไปรับลูก้าแล้ว”ผมพูดแล้วละมือออกจากกล้องจุลทรรศน์ตรงหน้า
“จะไปรับลูกสินะครับ”พี่พลพูดเสียงติดตลก
“คนที่กระจายข่าวเรื่องนี้คือพี่สินะ”หลายอาทิตย์ที่ผ่านมามีหลายคนมองยังผมด้วยสายตาแปลกๆพอเข้าไปถามก็บอกว่ามามีข่าวลือว่าผมเอาลูกมาเลี้ยง
แน่นอนว่าคนที่รู้ความจริงมีเพียงหยิบมือ และคนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือคนคนนี้ไง
“พูดเรื่องอะไรเหรอ”
“ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อเลย...เวรพี่ที่ได้หยุด2วันผมจะลดเหลือวันเดียว”
“เฮ้ย...ไม่เอาแบบนี้สิด๊อกเตอร์”พี่พลรีบส่งสายตาขอร้องมาให้
“หึ...ของผมดูงานนี้ก่อนแล้วจะตัดสินใจอีกที...ขอตัวล่ะ”ว่าจบก็รีบวิ่งออกจากห้องวิจัยตรงไปยังห้องทำงานติดทะเล
เมื่อเข้าใกล้ห้องในระยะมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลของผมก็ต้องหรี่ลงเนื่องจากเห็นร่างของใครสักคนวิ่งตรงมาหา แม้จอยู่ไกลแต่เส้นผมสีฟ้าแซมแดงนั่นไม่มีใครอีกแล้วนอกจาก...
“ลูก้า”ผมตะโกนเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปหา
“สาม...ช้า”ลูก้ากระโดดใส่ผมทันทีที่มาถึง ใบหน้าขาวๆซุกตัวอยู่ที่อกผมขยับเข้ามาแนบชิดมากขึ้น แขนทั้งสองข้างเองก็กอดตัวผมไว้แน่น
ขนาดตัวในตอนนี้ผมไม่สามารถอุ้มได้เหมือนวันแรกที่เจอกันอีกแล้ว ส่วนหัวที่อยู่เกือบจะถึงระดับอกผมในตอนนี้ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าผ่านไปสักปีเขาคงสูงเยียด180ก็เป็นได้
“โทษที...พอดีงานยังไม่เสร็จ”
“...ตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ?”
“ใช่...แต่ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมไปทำต่อพรุ่งนี้...พี่ดาวล่ะ?”ผมถามกลับ
“แฮ่ก...อยู่นี่ค่ะหัวหน้า...”เสียงของดาวดังไล่หลังมาในสภาพเหงื่อโชก
“ไปทำอะไรมา”
“ก็วิ่งตามลูก้าคุงน่ะสิคะ...อยู่ก็วิ่งออกมาฉันตกใจหมดเลย นึกว่าจะหลงซะแล้ว...นี่ลูก้าคุงครั้งหน้าถ้าจะวิ่งมาหาหัวหน้าก็บอกกันก่อนสิ”ดาวหันไปบอกลูก้าเสียงอ่อย
“...อืม”ลูก้าพูดเสียงนิ่ง
“ลูก้า...พูดดีๆ”ผมปราม ลูกก้ามักจะพูดเสียงนิ่งกับคนอื่นเสมอซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร...ส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่เชื่อใจคนอื่นก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงต้องหาวิธีให้เขาเข้าสังคมมากกว่านี้
“...เข้าใจแล้วครับ...”ลูก้าหันไปตอบดาวที่ยังหอบอยู่
“จ้า...งั้นหัวหน้า ขอตัวก่อนนะคะ”
“อืม...ขอบคุณที่ช่วยนะ”ผมพยักหน้าตอบ
“ค่า...บ๊ายบายลูก้าคุง”ก่อนไปเธอก็หันมาบ๊ายบายลูก้า
“ไม่ชอบมนุษย์เหรอ”ผมก้มลงถาม
“หมายถึงอะไร”ดวงตาสีเงินเงยขึ้นมาสบอย่างไม่เข้าใจนัก
“ก็ท่าทางของนายมันเหมือนจะบอกว่าไม่อยากให้ใครมายุ่ง...ทั้งที่ตอนอยู่กับผมไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลยแต่พอเป็นพี่ดาวหรือพี่คนอื่นๆกลับแสดงออกว่าไม่ชอบ”ผมอธิบายขยายความต่อ
“ก็ไม่ใช่ไม่ชอบ...เฉยๆน่ะ”เหมือนว่าจะเคยได้ยินคำตอบแบบนี้มาตอนถามเมื่อเช้านะ
“เฉยกับคนอื่นแต่ชอบผมใช่ไหมล่ะ”ผมถามพลางยกยิ้มขึ้น
“อืม...ชอบสาม”ลูก้าตอบทันที
“คิก ขอบคุณ...แต่ผมอยากให้ลูก้าชอบคนอื่นบ้างนะ ทุกคนต่างก็อยากสนิทกับลูก้าทั้งนั้น...ทำหน้าไม่เป็นมิตรเดี๋ยวก็ไม่มีใครเข้าใกล้หรอก”
“ไม่รู้นี่ว่าต้องทำยังไง...ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีคนอยู่ด้วยสักคน มีแต่มนุษย์ที่มองผ่านกระจกมาเท่านั้น”เรื่องเล่าคงเป็นตอนที่อยู่ในร่างของไดโนเสาร์แน่ คนที่มองผ่านกรจะคงเป็นด๊อกเตอร์ฟรานซิสไม่ก็เซโคร
“ทำเหมือนตอนอยู่กับผมสิ”พูดจบก็ขยี้เส้นผมสีแปลกตาตรงหน้าแรงขึ้นอีกหน่อย
“...ไม่เห็นรู้เลยว่าต่างกันตรงไหน”
“ต่างจะตายไป”ไม่ว่าใครมองก็รู้ทั้งนั้นแหละ ถึงตอนอยู่กับผมจะไม่ยิ้มเหมือนกันแต่บรรยายมันบอกว่าลูก้ารู้สึกดีที่ได้อยู่กับผม
“เหรอ...”
“หิวรึยัง”
“อืม...หิวมาก”ฝ่ายถูกถามพยักหน้าขึ้นลง
“งั้นไปกินข้าวกัน”
ผมเดินพาลูก้าไปถึงโรงอาหารชั้น1ที่มาเป็นประจำ ศูนย์วิจัยสัตว์ทะเลแห่งนี้มีโรงอาหารอยู่2แห่ง แห่งแรกคือโรงอาหารขนาดกลางที่อยู่ถัดออกไปหลายกิโลเมตรติดกับพิพิธพันธ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวมาชมสัตว์น้ำหายากได้ในราคาไม่แพงจนเกินไป และอีกที่คือชั้น1นี่แหละ
“กินอะไรดี”ผมถามลูก้าเมื่อมาถึง โรงอาหารที่นี่ไม่ได้ทำอารเตรียมไว้เหมือนพวกร้านข้าวแกงแต่จะทำอาหารให้ใหม่ๆตามความต้องการของพนักงาน
“อะไรก็ได้...”
“อะไรก็ได้ไม่มีให้สั่งหรอกนะ”ตั้งแต่ที่ลูก้าเริ่มเข้าใจและพูดคุยมากขึ้นผมก็มักจะถามหลายๆอย่างให้เขาได้คิดและพูดมันออกมา มีหลายๆครั้งที่ผมถามว่าจะกินอะไรคำตอบที่ได้มาก็เหมือนอย่างวันนี้คืออะไรก็ได้ซึ่งเป็นคำตอบที่ผมไม่ค่อยพอใจนัก
“สามจะกินอะไร”ลูก้าเงยหน้าขึ้นมาถาม
“แล้วลูก้าจะกินอะไรล่ะ”
“ย้อนกันนี่”ลูก้าทำหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด
“คิก...แบบนี้สิเด็ก...เอาแต่ทำหน้านิ่งมันไม่สมเป็นเด็กหรอกนะ”ท่าทางแสดงออกที่ต่างจากปกติทำให้ผมยิ้มออกทุกครั้งที่เห็น ลูก้าเป็นเด็กนิ่งๆ เขาไม่ค่อยชอบการเข้าสังคมแต่เป็นเด็กที่รับรู้ได้ไวไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือบรรยากาศ
สมแล้วที่มีสายเลือดของไดโนเสาร์อยู่
“เปล่าทำสักหน่อย”
“ก็ทำอยู่เห็นๆ”
“เปล่าทำ...”
“ทำสิ”
“เปล่า...”
“ทำ”
“สาม”
“ครับลูก้า”ผมยิ้มรับเสียงเรียกเคืองๆนั่นด้วยรอยยิ้ม
ได้แกล้งเด็กวันละนิดจิตแจ่มใสจริงๆ
“...กวน”ถึงลูก้าจะบ่นเสียงเบาแต่ด้วยความที่อยู่ข้างกันทำให้ผมได้ยินชัดเต็มสองหูเลย
“กินอะไรดี”ผมกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง คุณป้าหัวหน้าแม่ครัวก็ยืนกลั้นหัวเราะอยู่ตรงหน้า ไม่แปลกที่จะขำเพราะถ้าเป็นผมที่เห็นคนแกล้งเด็กอย่างจริงจังแบบนี้ก็คงหัวเราะเหมือนกัน
“อยากกินน้ำๆ”อย่างน้อยคำตอบที่ได้ก็ดีกว่าอะไรก็ได้ละนะ
“ชอบกินพวกน้ำๆจริงนะ...เมื่อเช้าก็พึ่งกินข้าวต้มไปนี่”ไม่ใช่แค่เมื่อเช้าแต่วันอื่นๆเองลูก้าก็ชอบสั่งอะไรที่เป็นน้ำๆ ด้วยความที่พึ่งรู้ภาษาเลยไม่รู้จักว่าอาหารมีอะไรบ้างนั่นจึงเป็นหน้าที่ผมในการหาอาหารใหม่ๆให้เขาลองชิม
“อืม...ชอบกินที่มีน้ำ”
“ลองราดหน้าไหม”อยู่ๆก็นึกอาหารน้ำๆขึ้นมาได้อีกอย่าง
“ราดหน้า?...ถ้าราดหน้าแล้วจะกินยังไง?”
“อุ๊บ...คิก...”ผมแทบเอามือปิดปากไม่ทันเมื่อได้ยินคำถามนั่น
เกิดมาก็พึ่งเคยเจอคนถามนี่แหละ
ถ้าราดหน้าแล้วจะกินยังไง
นั่นสิ...กินยังไงดีนะ ฮะฮะ
“ขำอะไร”
“เปล่าขำสักหน่อย”แค่หัวเราะต่างหาก
“ก็เห็นขำอยู่”
“ผมไม่เห็นเลยแฮะ”
“สาม”
“ครับๆ...ราดหน้าเป็นชื่อของอาหารชนิดหนึ่งน่ะ จะมีทั้งเส้นใหญ่ เส้นหมี่และหมี่หรอบ...โดยจะราดน้ำที่มีคะน้ากับเนื้อสัตว์ที่หมักใส่อยู่”ผมเลิกกวนลูก้าแล้วอธิบายไปตามตรง
“อร่อยไหม”ลูก้าถามต่อ
“อร่อยสิ”พูดถึงราดหน้าก็ไม่ได้กินมานานแล้วเหมือนกัน
“งั้นก็เอาราดหน้า”
“กี่ชามดี...สัก3ก่อนละกันเดี๋ยวกินมากไปจะปวดท้องเอา...พี่ครับผมขอราดหน้าพิเศษ4ชามครับ”หลังจากที่ถามเองตอบเองเสร็จก็หันไปสั่งคุณป้าแม่ครัว สาเหตุที่ผมเรียกคุณป้าแม่ครัวว่าพี่เพราะถ้าเรียกแบบนั้นจะได้ข้าวเยอะเป็นพิเศษ
ด้วยความที่อยู่ด้วยกันมาเกือบเดือนบวกกับข้อมูลของไดโนเสาร์กลายพันธุ์ที่เซโครส่งมาให้ทำให้รู้ว่าลูก้ากินมากกว่าปกติประมาณ2-3เท่าในช่วงนี้ ในช่วงอาทิตย์แรกผมก็สงสัยว่าทำไมลูก้าถึงกินเยอะและเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ในความคิดผมนั้นคาดว่าสารอาหารที่กินเข้าไปไม่ได้เข้าไปช่วยให้ร่างกายมนุษย์เติบโตขึ้นเท่านั้นแต่ยังมีร่างของไดโนเสาร์อยู่อีก การกินเยอะจึงเป็นการให้สารอาหารเพียงต่อร่างมนุษย์และไดโนเสาร์
ถึงจะคิดไว้แบบนั้นแต่ก็ไม่แน่ว่าจะถูกร้อยเปอร์เซ็น ผ่านมาเกือบเดือนแล้วที่ลูก้าไม่กลับร่างไดโนเสาร์ ผมค่อนข้างกังวลเพราะจากข้อมูลของเซโครในช่วงเด็กส่วนมากไดโนเสาร์กลายพันธุ์มักควบคุมการเปลี่ยนร่างไม่ได้ทำให้กลับไปมาระหว่างสองร่างเสมอ
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ลูก้าตอนเกิดมาก็อยู่ในร่างไดโนเสาร์มาเกือบเดือนเหมือนกัน
ทั้งน่าแปลกใจและน่ากังวลอยู่เหมือนกัน
“ห้ามแช่น้ำนานเกินครึ่งชั่วโมงเข้าใจนะลูก้า”ผมยืนกำชับอีกฝ่ายหน้าประตูห้องน้ำ หลังจากที่เรากินมื้อเย็นเสร็จก็กลับขึ้นมาบนห้อง ผมเป็นคนแรกที่เข้าไปอาบน้ำด้วยเหตุผลที่ว่าถ้าให้ลูก้าอาบก่อนผมต้องรอนานมาก
ทุกๆวันสิ่งที่ลูก้ารอคอยดูจะเป็นการอาบน้ำ ไม่สิ ต้องพูดว่าการแช่น้ำในอ่าง เขาจึงใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมงได้ ผมค่อนข้างห่วงว่าแช่น้ำนานไปอาจทำให้ไม่สบายเลยมีการจำกัดเวลา
“...บอกทุกครั้งที่อาบจนจำได้แล้ว”ลูก้าพูดพ้อมกับเดินเข้าไปในห้องน้ำ
“จำได้แล้วก็ทำตามบ้างสิ”ปากก็บอกว่าจำได้แต่สุดท้ายก็เลยครึ่งชั่วโมงทุกที
“ก็ในห้องน้ำมันไม่มีนาฬิกา”
“เดี๋ยวผมจะเคาะประตูถ้าถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว”
“...ก็ได้”แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่ลูก้าก็พยักหน้าก่อนจะปิดประตูลง
มันก็ดีอยู่หรอกที่ลูก้าชอบน้ำ ส่วนมากเด็กๆมักไม่ชอบอาบน้ำกันทั้งนั้นแหละ เหตุผลที่ชอบอาจเพราะสิ่งแรกที่ลืมตาเห็นและสัมผัสคือน้ำก็ได้
ผมเองก็โตมากับน้ำเหมือนกัน
บางทีถ้ามีเวลาผมน่าจะสอนลูก้าดำน้ำดูนะ
ในร่างไดโนเสาร์อาจไม่จำเป็นแต่ถ้าในร่างมนุษย์การว่ายน้ำเป็นถือเป็นเรื่องสำคัญ
“มีเวลาเหรอ...”ผมนี่ยังมีสิ่งที่เรียกว่าเวลาว่างอยู่ด้วยงั้นเหรอ
งานที่มีก็มากจนไม่รู้ว่าทั้งชาติจะทำเสร็จไหม
งานของผมคือการทำหัวข้อวิจัยที่ถูกส่งมาให้สำเร็จทีละหัวข้อ ส่วนมากหัวข้อก็จะมาจากท่านประธานทั้ง3คนในเรื่องที่เกี่ยวกับสัตว์น้ำโดยเฉพาะ
หนึ่งงานวิจัยใช้เวลารวบรวมข้อมูลและทดลองอย่างเร็วก็ครึ่งปี
และพอมีเวลาว่างหรือหากมีเคสฉุกเฉินก็ต้องไปดูเหล่าสัตว์น้ำที่ทำการเพาะพันธุ์ไม่ก็สัตว์น้ำที่ถูกส่งมาจากหน่วยงานอื่นเพื่อให้ช่วยดูแลและปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ
แค่นึกถึงมันคำว่าเวลาว่างก็ลอยหายไปแล้ว
“ลูก้าหมดเวลาแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวเลย”ผมเดินไปเคาะประตูพร้อมตะโกนบอก
“...เข้าใจแล้ว”คำตอบที่ได้รับช่วยให้ผมเบาใจที่ไม่ต้องเปิดประตูเข้าไปลากอีกฝ่ายขึ้นจากน้ำ
เตียงนอนขนาด5ฟุตถูกปูด้วยผ้าสีฟ้าลายคลื่นทะเลตามสไตน์ที่ผมชอบ ผ้าห่มเองก็เป็นผ้าห่มนุ่มๆสีฟ้าเข้มดูสบายตา ไม่ว่าใครที่เข้ามาห้องผมก็รู้ได้ทันทีว่าผมชอบสีอะไร
ผมเกิดและโตมากับทะเล สีที่ชอบมากที่สุดจึงเป็นสีฟ้าและน้ำเงินของทะเล
ทะเลน่ะงดงามเพราะสีของมันจะเปลี่ยนไปตามเวลาและสภาพอากาศ เวลามองเลยไม่มีเบื่อ
“ใกล้ได้เวลาเปลี่ยนผ้าปูแล้วมั้ง”ผมพึมพำพลางนอนกลิ้งบนเตียง
แกร็ก
เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่ลูก้าจะเดินออกมาในชุดนอนสีฟ้าอ่อนโดยที่บนหัวมีผ้าขนหนูสีขาวกำลังเช็ดเส้นผมสีฟ้าแซมแดงอยู่เรื่อยๆ
“ผมเป่าไดร์ให้ไหม”
“ไม่เอา...เสียงไดร์มันดัง”ลูก้าส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วเดินมานั่งบนเตียงเดียวกับผม
“นี่ลูก้า”
“...”อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ทำเพียงหันมามองหน้าผมตรงๆ
“อยากว่ายน้ำทะเลไหม”
“ทะเล...น้ำที่อยู่ตรงชายหาดน่ะเหรอ”
“ใช่”
“อยากสิ...แต่สามบอกว่าไม่ได้นี่”
“อืม...ตอนนั้นที่ห้ามเพราะลูก้ายังไม่เข้าใจภาษานักแต่ตอนนี้คิดว่าไม่เป็นไร...”
“งั้นพรุ่งนี้ผมก็ไปว่ายได้ใช่ไหม”ลูก้าถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ยังไม่ได้...รออีกสัก...สี่วันผมจะสอนดำน้ำให้”ระหว่างพูดก็นึกไปว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะทำงานเสร็จในระดับนึง
“ดำน้ำ?”
“ใช่...ผมจะสอนดำน้ำ”การว่ายน้ำคงไม่ยากเกินความสามารถของลูก้าอยู่แล้วแต่ดำน้ำถ้าไม่รู้หลักก็ดำไม่ได้เพราะร่างจะลอยขึ้นเหนือน้ำ
“ไม่เหมือนว่ายน้ำเหรอ”
“ไม่เหมือน...การว่ายน้ำคือการทรงตัวบนผิวน้ำแต่การดำคือการทรงตัวให้อยู่ใต้น้ำได้”ผมอธิบายคร่าวๆ
“อยู่ในน้ำ...ผมชอบเวลาที่อยู่ในน้ำ”พูดถึงน้ำดวงตาสีเงินของลูก้าก็ทำตาเป็นประกายราวกับเด็กที่เจอของเล่นชิ้นโปรด
“ชอบเหมือนกัน”ผมส่งยิ้มกว้างไปให้ ความรู้สึกเวลาร่างกายถูกโอบอุ้มด้วยน้ำมันช่างรู้สึกดีจริงๆ
“สามก็ชอบเหรอ”
“ที่สุดเลยล่ะ”ถึงช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ดำน้ำแล้วก็ตาม
“อยากดำน้ำ”ลูก้าพึมพำเสียงเบา
“รอหน่อยนะ เดี๋ยวจะพาไป...วันนี้เรานอนกันดีกว่า ผมแห้งแล้วนี่นะ”ผมขยี้เส้นผมสีแปลกแรงๆเพื่อทดสอบว่าผมแห้งจริงไหม
“เจ็บนะ”
“โทษทีๆ”
“ปิดไฟเลยนะ”ลูก้าลุกไปพาดผ้าขนหนูก่อนจะเดินไปยังสวิทไฟด้านข้างผนังห้อง
“อืม...รบกวนด้วย”ผมตอบแล้วล้มตัวนอนบนเตียง ไม่นานเตียงด้านข้างก็ยุบลงพร้อมกับผ้าห่มผมที่ถูกดึงไปเล็กน้อย ความมืดยามค่ำคืนไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเดินของลูก้าสักนิด ดวงตาของนักล่าทำงานได้ดีเมื่ออยู่ในที่อับแสงแบบนี้
“หนาวเหรอ”ผมถามท่ามกลางความมืดเมื่อรู้สึกว่าลูก้าขยับเข้ามาชิดแผ่นหลังตัวเอง
“เปล่า...แค่แบบนี้มันรู้สึกดีกว่า”คำตอบนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ แม้จะอยากถามแต่ความง่วงในตอนนี้เหมือนจะไม่ปรานีกันเลย
ความอุ่นของร่างกายที่แนบชิดช่วยให้สติดำดิ่งสู่นิทราไปได้รวดเร็วอย่างน่าประหลาด
วันรุ่งขึ้นกิจวัตรเดิมๆก็กลับมา...ตื่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัว ลงไปกินมื้อเช้าก่อนจะพาลูก้าไปฝากไว้กับดาวเหมือนอย่างทุกวัน ลูก้าเองก็ดูไม่ค่อยอยากอยู่กับดาวนัก...ความจริงก็ไม่ใช่แค่ดาวคนเดียว
“ด๊อกเตอร์!”เสียงตะโกนของพี่พลทำเอามือที่กำลังหยดสารบางอย่างลงในยีนที่ถูกตัดต่อชะงัก
“อย่าตะโกนเสียงดังสิพี่”
“จะไม่ให้ตะโกนได้ยังไง...น้ำยานั่นมันเป็นกรดนะ”ทันทีที่ได้ยินประโยคนั่นดวงตาสีน้ำตาลของผมก็เบิกกว้างผ่านเลนส์แว่นก้มลงไปมองสิ่งที่ถืออยู่
และก็เป็นอย่างที่พี่พลว่า น้ำยาหรือสารที่อยู่ในมือผมตอนนี้ออกฤทธิ์เป็นกรดซึ่งถ้าหยดลงไปในยีนได้เกิดการแตกตัวจนเละไม่เป็นท่าแน่
นี่ผมพลาดอะไรง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน
“...โทษที”ผมบอกเสียงเบา
ทั้งที่อยากรีบทำงานให้เสร็จจะได้ไปอยู่กับลูก้าแต่กลับทำงานได้ช้าลงซะอย่างงั้น
“คงเหนื่อยเกินไปละมั้ง...นอกจากจะทำงานหนักยังต้องเลี้ยงเด็กด้วยนี่”
“การเลี้ยงลูก้าไม่ถือเป็นงานหรอกพี่พล”ผมตอบไปตามความจริง ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะเป็นเด็กเลยทำให้ทุกอย่างดูสดใสไปหมด
นี่ถ้าได้เห็นรอยยิ้มของลูก้าคงจะดีกว่านี้แน่ๆ
“พูดแบบนี้แปลว่าหลงเต็มที่เลยล่ะสิ”พี่พลล้อพร้อมรอยยิ้ม
“นั่นสินะ...”
อ๊อด อ๊อด อ๊อด
เสียงสัญญาณฉุกเฉินดังขึ้นขัดบรรยากาศเงียบๆในห้องทดลอง เสียงนั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในตื่นตระหนกอย่างรวดเร็วเพราะรู้ว่าสัญญาณสีแดงพร้อมเสียงนั่นหมายถึงการที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่นอกบ่อเพาะเลี้ยงหรือบ่อพักดูแล
เซนเซอร์นี้จะถูกติดตั้งรอบศูนย์วิจัยทั้งบนบกไปจนถึงในทะเลในรัศมีห่างจากท่าเรือประมาณ200กิโลเมตร เมื่อมีสิ่งมีชีวิตไม่ทราบชนิดผ่านเข้ามาในระยะก็จะทำการเตือนเป็นลำดับขั้น ยิ่งเข้ามาใกล้สัญญาณก็จะเปลี่ยนไป อย่างสีแดงนี่หมายถึงเข้ามาใกล้ในระยะของศูนย์วิจัยแห่งนี้
อย่างที่เคยบอกไปว่าศูนย์วิจัยและเพาะพันธ์สัตว์ทะเลมีอยู่หลายตึก ในแต่ละตึกก็จะมีสัญญาณดังขึ้นถ้ามีอะไรเข้าใกล้ในระยะที่กำหนดไว้ การที่สัญญาณดังที่นี่แปลว่า...
“สัญญาณดังเหรอ...ไม่ได้ยินมานานนึกว่าเสียแล้วซะอีก”ยุพึมพำเสียงเบาด้วยท่าทางสงบนิ่ง ดูเหมือนว่ายุจะไม่ได้ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่
“เกิดอะไรขึ้น?”ผู้ช่วยคนหนึ่งเริ่มตะโกนด้วยใบหน้าตื่นตกใจ
“ทำไมสัญญาณอยู่ๆถึงเป็นสีแดงเลยล่ะ?”ผู้ช่วยอีกคนก็ตกใจไม่แพ้กัน
คำถามนั่นทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น อย่างที่อีกฝ่ายว่า...ทำไมอยู่ๆสัญญาณถึงเป็นสีแดงเลยล่ะ
ถ้ามีอะไรหลุดเข้ามาสัญญาณก็น่าจะเริ่มจากสีเดียว เหลือง ส้มแล้วค่อยมาแดง ไม่ใช่อยู่ๆมาแดงเลยแบบนี้
ทำเหมือนกับอยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นงั้นแหละ
“อยู่ๆปรากฏขึ้นงั้นเหรอ?”ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวพร้อมกับร่างของสิ่งมีชีวิตสีฟ้าลายแดงที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวตั้งแต่เมื่อหลายสัปดาห์ที่แล้ว
“พี่พล...กล้องวงจร!”ผมตะโกนบอกให้พี่พลจัดการเปิดกล้องวงจรที่ติดตั้งอยู่รอบๆ
“ได้”พี่พลรีบทำตามที่ผมสั่ง คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ด้านหน้าถูกใช้อย่างคล่องแคล่วเพียงไม่กี่วินาทีภาพของหาดทรายติดกับสะพานยาวใกล้บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กว่า4เมตรที่พยายามขยับครีบไปมาบนฝืนทรายโดยมีกลุ่มคนที่ถอยห่างอยู่รอบๆ
ครืดดด ครืดดด
“ครับ...ดาวเหรอ...ด๊อกเตอร์”พี่พลรับโทรศัพท์ไม่นานก็เรียกผมเสียงเครียด
“รู้แล้ว...บอกดาวว่าเดี๋ยวผมไป”พูดจบผมก็รีบวิ่งออกจากห้องทดลองทันที ที่ดาวโทรหาพี่พลคงเพราะโทรหาผมไม่ติด...จะติดก็แปลกแล้วเพราะผมลืมเอาโทรศัพท์ลงมาจากห้อง
ตอนนี้เรื่องโทรศัพท์ช่างมันเถอะ
ที่น่ากังวลกว่าคือลูก้าที่อยู่ในร่างมนุษย์มาเกือบเดือนอยู่ๆก็กลับร่างไดโนเสาร์
เมื่อเช้าทุกอย่างก็ดูปกติทั้งอาบน้ำหรือกินข้าว
สัญญาณที่บ่งบอกว่าจะกลับร่างก็ไม่มี
แล้วอยู่ๆกลับร่างได้ยังไง
หรือว่ามีอะไรที่ผมมองข้ามไป
งื๊ดดดด~
เสียงครางสูงที่ได้ยินยิ่งทำให้ผมเร่งฝีเท้าตรงเข้าไปยังบริเวณที่กลุ่มคนมุงกันอยู่ หนึ่งในคนที่มุงหันมาเจอผมที่วิ่งไปก็หันไปสะกิดคนด้านข้าง คนที่ว่าคือพี่จันนั่นเอง ส่วนดาวก็ยืนอยู่ถัดไปอีกที
“พี่จัน หัวหน้ามาแล้ว”
“น้องสาม”พี่จันหันมาตามที่ผู้หญิงข้างๆบอก
“เกิดอะไรขึ้น...ที่อยู่ตรงนั้นคือลูก้าสินะ”ผมไม่รอช้ารีบถามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที
“ใช่แล้ว...ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่พี่กับดาวกำลังจะพาลูก้าไปเดินเล่นตามบ่อเขาก็ล้มลงไปบนพื้นก่อนจะกลายร่างเป็นแบบนี้”
“งั้น...”
งี๊ดดดด~
เสียงครางสูงร้องดังขัดคำพูดผม ดวงตาสีเงินขนาดใหญ่หันมามองยังร่างของผมด้วยแววตาเหมือนกำลังตื่นตะหนก เพียงแค่เห็นดวงตานั่นผมก็จ้ำอ้าวตรงเข้าไปหาลูก้าในร่างไดโนเสาร์ทันที
“เดี๋ยวค่ะหัวหน้า เข้าไปแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนทำร้ายหรอก”ดาวรั้งแขนพร้อมกับเอ่ยเตือน
ที่ทุกคนถอยออกห่างเป็นเพราะกลัวโดนทำร้ายเองสินะ
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไงแต่สำหรับผม...
“ลูก้าไม่ทำร้ายผมหรอก...ไม่มีทาง”ความมั่นใจที่มีมันมาจากไหนก็ทราบ ที่รู้แน่ๆคือผมเชื่อว่าลูก้าไม่มีทางทำร้ายผมแน่
“แต่ว่า...”
“ให้ผมจัดการเอง”ผมตัดการสนทนาแล้วก้าวมาอยู่ตรงหน้าของไดโนเสาร์ตัวยาวสีฟ้าลายแดง ขนาดตัวที่เห็นคร่าวๆคาดว่าน่าจะยาวเกิน3เมตรแน่
ภายในเวลาไม่ถึงเดือนกลับโตขึ้นถึงขนาดนี้เชียว
“ลูก้า”ผมเรียกไดโนเสาร์เสียงเบา
งื๊ดดดด~
งี๊ดดดด~
เสียงครางยาวหลายๆครั้งนั่นราวกับลูก้ากำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่างเพียงแต่ด้วยภาษาที่ต่างกันทำให้ไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกได้
“ไม่เป็นไร...ใจเย็นๆ”ท่าทางของลูก้ากำลังตระหนกและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้คนที่อยู่รอบๆ ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรทำคือการช่วยให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
ผมยื่นมือออกไปยังส่วนปากเรียวสีฟ้าที่อ้าออกจนเห็นเขี้ยวอันแหลมคมอยู่ภายในช้าๆ ลูก้าที่เห็นก็ขยับส่วนปากเข้ามาจนสามารถวางมือบนเรียวปากนั้นได้สำเร็จท่ามกลางเสียงซีดปากอย่างตื่นเต้นของคนที่มุงอยู่
“ดีมาก...เด็กดี”ผมลูบไปตามเรียวปากยาวไล่ไปจนถึงส่วนหัวพร้อมก้าวขาเข้าไปใกล้ลูก้ามากขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสของผิวหนังดูลื่นกว่าไดโนเสาร์บกอย่างพวกไทรเซอรราท๊อปอยู่มาก ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะสัตว์ที่อยู่ในน้ำจำเป็นต้องมีผิวแบบนี้เพื่อใช้ต้านแรงดันและกระแสน้ำ
งี๊ดดดด~
“ร้อนสินะ...ผิวแห้งหมดแล้ว”ร่างกายของลูก้าตอนนี้มีผิวที่เหมาะกับการอยู่ใต้น้ำ พอมาอยู่บนบกแถมยังอยู่ภายใต้แสงแดดยามบ่ายก็ยิ่งทำให้ความชุ่มชื้นถูกระเหยไปอย่างรวดเร็ว
งี๊ดดดด~
ส่วนหัวเรียวขยับขึ้นลงเพื่อบอกว่าสิ่งที่ผมพูดถูกต้อง ครีบสีฟ้าด้านหน้าปัดป่ายไปมาพยายามจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแต่ก็ไม่มีทีท่าจะขยับได้ อาจเพราะไม่ได้อยู่ในร่างนี้มานานเลยทำให้ไม่ชินกับน้ำหนักของร่าง
“พยายามเข้าลูก้า...ขึ้นมาบนไม้นี่ก็จะเคลื่อนที่ได้ง่ายๆแล้ว”ด้านบนของสะพานถูกสร้างมาจากไม้และเคลือบจนเงาทำให้เคลื่อนที่ได้ง่ายกว่าทราย
งี๊ดดดด
ลูก้าครางตอบรับคำพูดก่อนจะพยายามดันตัวเองมาข้างหน้าอีกครั้ง
“ทุกคนมาช่วยกันดันลูก้าหน่อย”ผมตะโกนบอกคนที่ยืนมุงอยู่รอบๆ
“...”คำตอบที่ผมได้คือความเงียบ ใบหน้าของทุกคนดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
กลัวสินะ
กลัวว่าลูก้าจะทำร้าย
ให้ตายสิ...
“ฮึบ...ผมจะช่วยดันเอง”ตะโกนบอกลูก้าเสร็จก็วิ่งไปตรงครีบด้านหลังแล้วออกแรงดันเต็มแรง ด้วยน้ำหนักอันแตกต่างนี้ก็เหมือนกับผมพยายามผลักตู้เย็นสองประตัวด้วยตัวคนเดียว แน่นอนว่าไม่เขยื่อนสักนิด
งี๊ดดดด~
“สู้สิลูก้า”ผมให้กำลังใจ ถ้าวิธีนี้ไม่ไหวหรือผมควรจะไปหาอะไรมายกตัวลูก้าดีนะ
แต่กว่าจะหาได้ กว่าจะเอามา ลุก้าจะทนไม่ไหวเอาน่ะสิ
“ไปช่วยกันเถอะ”เสียงของพี่จันดังขึ้นก่อนจะวิ่งไปช่วยดันลูก้าอีกข้าง
“เดี๋ยวสิพี่จัน...หัวหน้าแน่ใจนะคะว่าลูก้าจะไม่ทำร้ายเรา”ดาวเดินตัวสั่นๆมาหาผม
“แน่นอน”ผมพยักหน้าตอบทันที
ผมไม่คิดว่าลูก้าจะทำร้ายคนที่คิดจะช่วยเขาหรอกนะ
“ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ”เมื่อตัดสินใจได้ดาวก็เข้ามาช่วยผมดันอีกแรง
พอมีพี่จันกับดาวเข้ามาช่วยคนอื่นๆที่มุ่งอยู่ก็เริ่มหันไปปรึกษาคนข้างๆว่าจะทำยังไงดี ไม่นานทุกคนก็เข้ามาช่วยดันตัวของลูก้าโดยแบ่งเป็นสองฝั่ง
“อย่าไปโดนตรงเกราะกลางหลังกับส่วนหางนะ”ผมตะโกนเตือนทุกคน สองส่วนที่ว่ามีพิษร้ายแรงอยู่ ส่วนหลังที่เหมือนเป็นเกราะยาวลงมาตั้งแต่งส่วนหลังไปจนถึงหาง สีของเกราะนั่นเข้มกว่าสีของร่างกกายอยู่เล็กน้อย...หนามเล็กๆที่ขึ้นอยู่ตามเกราะนั้นมีเพียงสองแถวที่เป็นสีแดงซึ่งบริเวณนั้นแหละที่มีพิษอยู่
ร่างของลูก้าในร่างไดโนเสาร์นั้นมีลักษณะเด่นคือมีลำตัวที่ค่อนข้างหนากับส่วนลำคอที่ยาวแต่ไม่ได้มากเท่าอีลาสโมซอรัสที่มีลำตัวยาว14เมตรซึ่งแค่ความยาวของคอก็มากกว่า5เมตรแล้ว
“ครับ/ค่ะ”
“เอาล่ะ...ดันทีเดียวให้ขึ้นเลย...ลูก้า”
งี๊ดดดด~
การร่วมใจกันของทุกคนช่วยให้ลูก้าสามารถขึ้นไปบนสะพานไม้ได้ในที่สุด พอสำเร็จพวกเขาก็ทิ้งตัวลงบนทราบพร้อมเสียงหอบกันถ้วนหน้า
“ขอบคุณทุกคนมาก”ผมพูดเสียงดัง
ถ้าไม่ได้ทุกคนผมคงต้องหาวิธีอื่นซึ่งอาจไม่ทันเวลา
ถึงจะขึ้นมาได้สำเร็จแต่การจะไปยังบ่อที่129นั่นไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆเลย
แปลว่าต้องใช้เจ้านั่นสินะ
“พี่จันเตรียมเจ้านั่นที”
“เจ้านั่น?...อ้อ...เป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้วนี่นะ”พี่จันเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการให้ทำโดยไม่ต้องอธิบาย ตรงหัวสะพานมีแผงควบคุมอยู่เพียงป้อนบางอย่างลงไปสะพานไม้ตรงหน้าก็ถูกแยกออกก่อนที่แผ่นโลหะขนาดใหญ่จะขึ้นมาซ้อนทับ
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นโลหะแต่เป็นโลหะที่ถูกสร้างให้มีการระบายอาการดีเยี่ยมทำให้ไม่ร้อนแถมยังสามารถรับน้ำหนักได้หลายตัน ถ้าถามว่าเจ้านี่เอาไว้ทำอะไรคำตอบคือไว้ขนของหรือใช้เดินทางไปยังบ่อต่างๆโดยไม่ต้องเหนื่อยกับการปั่นจักรยานหรือเดิน
เพียงแค่ขึ้นไปก็สามารถควบคุมให้แผ่นโลหะเคลื่อนที่ไปตามต้องการได้
“เอ้า น้องสาม”พี่จันตะโกนแล้วโยนที่ควบคุมมาให้ ขอเสียของเจ้านี่คือสามารถใช้ได้แค่ทีละครั้งเท่านั้น ถ้ามีคำกำลังใช้อยู่ต่อให้กดเรียกไปก็ใช้ไม่ได้
“ขอบคุณครับ...ลูก้าขึ้นมาบนนี้”ผมหันไปบอกลูก้าก่อนจะเดินขึ้นมาบนแผ่นโลหะเป็นตัวอย่าง
ลูก้ามองแผ่นด้านล่างอย่างไม่ไหวใจนัก ปลายจมูกเรียวขยับเข้ามาดม ไม่นานก็ค่อนขึ้นมาด้านบน เมื่อทุกอย่างพร้อมผมก็จัดการเคลื่อนที่แผ่นโลหะไปยังจุดหมายยังบ่อที่129
“ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรๆ”ผมหันไปบอกไดโนเสาร์ด้านข้างที่ดูจะตกใจกับการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนี้
ปกติผมไม่ค่อยได้ใช้เจ้านี่นักเพราะการได้ขยับตัวหรือออกกำลังกายทำให้ผมรู้สึกดีมากกว่า
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ่อที่129
“ลงไปเลยลูก้า”ผมพูดพลางชี้ไปยังบ่อตรงหน้า
ตู้ม!!
งี๊ดดดด~
ร่างขนาดยักษ์ที่กระโดดลงไปในน้ำทะเลม้วนตัวใต้น้ำก่อนจะกระโดดตัวลอยขึ้นเหนือน้ำ เสียงครางนั้นดูร่าเริงขึ้น ไดโนเสาร์ยาวกว่า4เมตรว่ายวนรอบบ่อที่กว้างหลายร้อยเมตรในเวลาไม่กี่วินาที...ส่วนหางที่แตกแขนงออกเป็นเส้นๆดูงดงามจนไม่อาจละสายตาได้
ลูก้าในน้ำนั่นเหมือนกำลังยิ้มอยู่
ทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถูกรึเปล่าแต่ผมก็หุบยิ้มของตัวเองไม่ได้จริงๆ
............................................................................................
สวัสดีค่ะ
หลังจากที่รอกันมานานในที่สุดก็มาอัพต่อแล้ววว
ตอนนี้ยาวมากพูดเลยกว่าจะแต่งจบเลยใช้เวลาไปพอสมควร แต่รับรองว่าได้อ่านจุใจแน่นอนค่า
สำหรับตอนนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนซึ่งทำให้เราแต่งค่อนข้างยากและมีที่แก้ไขอยู่หลายรอบ
ลูกก้าในตอนนี้จะแสดงความเป็นเด็กออกมา ในความเป็นเด็กอาจทำให้ลูกค้าเหมือนเป็นเด็กไม่ค่อยมีความเคารพผู้ใหญ่นัก เรียกสามแบบห้วนๆแถมยังทำเหมือนเมินคำพูดของคนอื่น
การที่เราแต่งออกมาแบบนี้ส่วนหนึ่งคือจะแสดงถึงความดื้อรั้นแบบเด็กๆตามวัย อีกอย่างคือเราอยากให้ลูก้าเรียกชื่อสามแบบห้วนๆเนื่องจากถ้าให้เรียกพี่หรือเรียกคุณฟังแล้วดูห่างเกินสำหรับเรา สำหรับต่างประเทศเองการเรียกชื่อห้วนๆก็ไม่ใช่เรื่องไม่เคารพหรือมารยาทเพราะมีการแสดงความเคารพอย่างอื่นนอกจากคำพูดอีกมาก
ดูเหมือนเราจะพูดเยอะไปแล้ว 555
ดีใจที่ทุกคนยังคงติดตามซีรี่ย์Jurassicอยู่นะคะ
จะพยายามแต่งให้ดีที่สุด
และจะปรับให้คนอ่านเห็นภาพมากที่สุดค่ะ
ขอบคุณทุกๆกำลังนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บ๊ายบาย
---มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์---
วันนี้ขอนำเสนอ แองคิโลซอรัส หนึ่งในสายพันธุ์ที่ผสมอยู่ในตัวของลูก้าซึ่งเป็นส่วนของเกราะกระดองด้านหลังที่จะช่วยในการป้องกันตัวยามถูกศัตรูจู่โจม
แองคิโลซอรัส (อังกฤษ: Ankylosaurus) เป็นไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสกุล แองคิโลซอร์ (อังกฤษ: ankylosaurid) อาศัยอยู่ในยุคครีเตเชียส ในทวีปอเมริกาเหนือ โครงกระดูกของ แองคิโลซอรัส ยังไม่สมบูรณ์ แองคิโลซอรัส เป็นไดโนเสาร์ที่มีลักษณะในแบบสกุล แองคิโลซอร์ที่มีน้ำหนักตัวหนักมีเกราะแข็งหุ้มทั่วทั้งตัว และมีลูกตุ้มขนาดใหญ่(ลักษณะคล้ายกับรังผึ้ง)สำหรับไว้ป้องกันตัวจากนักล่าในยุคนั้นอย่าง ไทรันโนซอรัส และ ทาร์โบซอรัส ที่บริเวณหาง
ความยาวของ แองคิโลซอรัส ประมาณ6.25 (20ฟุต) - 9เมตร (30 ฟุต) ความสูงถึงสะโพก1.7 แมตร (5.5 ฟุต) มีน้ำหนักตัว 6 ตัน มีรูปร่างลำตัวที่กว้างมาก ขาหลังยาวกว่าขาหน้า มีกระดูกยื่นออกมาจากร่างกายเป็นเกราะป้องกันตัวชั้นดี กินพืชเป็นอาหาร มีฟันขนาดเล็กไว้สำหรับบดเคี้ยวพืช ปากมีลักษณะคล้ายนกแก้ว
เครดิต : https://th.wikipedia.org/wiki/แองคิโลซอรัส
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
รู้ส่วนสูงเท่านั้นแหละ เคะแน่เลยยย
มาต่อไวๆเน้อ