◈ธาราที่19◈
กะโหลกใหญ่หุ้มด้วยหนังสีเหลืองมันขลับเชิดขึ้นพร้อมเรียวปากขนาดใหญ่อันเต็มไปด้วยคมเขี้ยวของน่าล่าบนพื้นพิภพกำลังส่งเสียงขู่ก้องไปทั่วบริเวณ กรงเล็กของนักล่าบนบกถูกย่ำลงบนผืนทรายจนเกิดเป็นลอยขนาดใหญ่ มันอาจเป็นเรื่องปกติขอองสัตว์บกทว่าสิ่งที่บรรยายไปนั่นคือสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในยุกแคมเบรียนที่สามารถล่าได้ทั้งบนบกและในทะเล
ไม่มีสัตว์อะไรน่ากลัวไปกว่าการล่าได้ทุกสภาพพื้นที่แล้ว
ถ้าเป็นฉลามเราอาจวิ่งขึ้นฝั่ง
ถ้าเป็นผึ้งเราอาจหนีลงน้ำ
แต่ถ้าเป็นแอมบูโลซีตัสไม่ว่าจะหนียังไงก็ไม่พ้น
สถานการณ์แรกเมื่อลงมาสู่พื้นทรายบนเกาะที่พึ่งถูกค้นพบคือการต้อนรับอย่างอบอุ่นโดยการถูกแอมบูโลซีตัสล้อมจนไม่มีทางหนีแม้แต่ตรงน้ำทะเลยังถูกปิดเลย
กรรร~
“อย่าพึ่งสู้ลูก้า เราต้องดูท่าทีก่อน” ผมกระซิบบอกลูก้า
มันง่ายถ้าจะให้ลูก้ากลับร่างแล้วจัดการแต่นั่นอาจทำให้สัตว์ซึ่งดุร้ายกว่านี้ปรากฏตัวขึ้นได้ อีกอย่างคือการมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้แต่มาเพื่อศึกษา ไม่ได้อยากจะสู้โดยไม่จำเป็นหรอก
“ถูกล้อมขนาดนี้ยังจะดูท่าทีอีกเหรอสาม”
“พวกเขาว่าไงล่ะ” ผมถามกลับเพื่อเก็บข้อมูล
“ยังไม่ได้พูดอะไรมากแค่เหมือนกำลังคุยว่าพวกเราเป็นตัวอะไร”
“ดูเหมือนเราจะเป็นสิ่งใหม่บนเกาะนี้สินะ ท่าทางของแอมบูโลซีตัสไม่ได้กำลังจะล่าแต่เหมือนกำลังระแวงและไม่ไว้ใจ ถ้าขืนเราทำอะไรน่าสงสัยได้ถูกรุมชัว” ถ้าพวกมันคิดจะล่าคงไม่ล้อมอยู่เฉยแบบนี้หรอก ยิ่งเป็นนักล่าที่รวมกลุ่มกันแบบนี้การล่าที่สะดวกที่สุดคือการรุมเข้าไปพร้อมกัน
“จะเอายังไงต่อ”
“ลองคุยกับพวกเขาดู” ผมบอกลูก้า
“เข้าใจแล้ว...กรร~” เสียงพูดคุยระหว่างไดโนเสาร์กลายพันธุ์และแอมบูโลซีตัสดังขึ้น ตอนแรกก็มีเสียงตอบแค่ตัวเดียวแต่ผ่านไปไม่กี่นาทีแอมบูโลซีตัสทุกตัวต่างก็ส่งเสียงออกมา
ร่างสี่ขาขยับเข้ามาใกล้พร้อมใช้ปลายจมูกของสัตว์บกเข้ามาสูดดมกลิ่นราวกับกำลังทำความรู้จัก การแสดงออกนั่นทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องจบลงด้วยการต่อสู้ทว่าแอมบูโลซีตัสหลังจากดมเสร็จก็ถอยออกไป และไม่กี่วินาทีเสียงขู่ก็ดังขึ้นอีกรอบ
อะไร...
ท่าทางแบบนั้นเหมือนกับไม่ยอมรับแถมทั้งหมดยังจ้องมายังผมไม่ใช่ลูก้า
“ลูก้า” ผมเรียกเพื่อให้อีกฝ่ายอธิบาย
“พวกนั้นยอมรับผมเพราะว่าแข็งแกร่ง แต่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับสามเพราะรู้สึกว่าอ่อนแอกว่า”
“ฮะ?...” คำอธิบายนั่นให้ความรู้สึกเดียวกับที่ถูกพูดว่าตัวเล็กหรือเตี้ยเลย
เพราะเป็นมนุษย์เลยถูกมองว่าอ่อนแองั้นสิ
เพราะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่ทำได้เพียงวิ่งหนีนักล่างั้นสิ
น่าโมโห!
“ผมบอกไปแล้วว่าสามน่ะเก่งแต่เหมือนพวกเขาจะไม่เชื่อ...” ลูก้าพูดต่อพลางมองผมที่กำลังหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด
“ถ้าแสดงให้เห็นว่าเก่งกว่าก็จะยอมถอยรึเปล่าล่ะ”
“กรร~ พวกเขาบอกว่าใช่ บอกต่อด้วยว่าพวกเขาไม่นิยมการสูญเสียโดยไร้เหตุผล ถ้าทำให้ยอมรับว่าเก่งได้ก็จะไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น” ลูก้าหันไปคุยกับแอมบูโลซีตัสสักพักก่อนจะตอบกลับมา สมกับเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยุกแรกๆ มีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดสูงและยังรักพวกพ้องมากด้วย แบบนี้แค่แสดงให้เห็นก็น่าจะพอ
“ถึงจะไม่ชอบ แต่คงต้องสู้สินะ”
กรรร~
“เหมือนจะต้องสู้แต่ไม่ใช่กับพวกเขา”
“หมายความว่ายังไง” ผมรีบถามต่อ
“เหมือนแถวนี้จะมีนักล่าที่แข็งแกร่งอยู่ และมันมักจะมาล่าแอมบูโลซีตัสเป็นอาหารดังนั้นเลยจะให้สามไปสู้กับมันน่ะ”
“...” คำอธิบายนั่นทำเอาผมเลิกคิ้วขึ้นผมจ้องหน้าเหล่าแอมบูโลซีตัสอย่างไม่เกรงกลัว
นักล่าที่ล่าแอมบูโลซีตัสจะให้ผมไปสู้เนี่ยนะ คิดจะส่งผมไปเป็นตัวตายตัวแทนรึไง
ก็ว่าอยู่ ด้วยนิสัยของแอมบูโลซีตัสไม่ชอบการสูญเสียพวกพ้องจึงไม่น่าจะให้หนึ่งในพวกของตัวเองมาสู้กับผมหรอก แม้จะมองว่าผมอ่อนแอก็ตาม แต่การที่จะให้ไปสู้กับนักล่าที่อาจอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารที่นี่มันอาจหนักไปหน่อย แต่ก็ไม่แน่...
กรรรรรรรร~
ยังไม่ทันได้คิดหรือตัดสินใจอะไรได้แน่นอนเสียงขู่คำรามพร้อมเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ร่างอันปราดเปรียววิ่งมาจากด้านในของป่าด้วยความเร็วดุจสายลม แพงคอสีน้ำตาลปลิ้วสไวเล็กน้อยพร้อมกับปากเรียวยามคล้ายหมาป่าในยุคปัจจุบันแต่มีขนาดใหญ่กว่าจนเทียบไม่ได้
“สาม...เจ้านี่มัน” เหมือนลูก้าจะรับรู้ได้ทันทีว่าสัตว์ตรงหน้านี้อันตราย
ผมเองก็เห็นด้วย
รูปร่างและหน้าตาแบบนั้นผมรู้ว่าคืออะไร เมื่อคืนพอรู้ว่าเกาะนี้มีแต่สัตว์ในยุคแคมเบียนผมเลยจัดการหาหนังสือรวมสัตว์ในยุคแคมเบรียนมาอ่าน และเจ้านี่ก็ปรากฏชื่ออยู่ในหมวดนักล่าที่ถ้าเจอต่อให้หนีก็ไม่อาจรอด
“แอนดรูซาร์คัส” ผมพึมพำชื่อสัตว์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย
แม้จะมีรูปร่างคล้ายหมาป่าแต่แอนดรูซาร์คัสนั้นเป็นสัตว์นักล่าที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า ด้วยความสูงเทียบเท่ามนุษย์และความยาวตั้งแต่หัวจรดหาง4เมตร กะโหลกเรียว ขากรรไกรกว้าง คมเขี้ยวแหลมคมชนิดที่สามารถบดขยี้กระดูกให้แหลกละเอียดได้ในพริบตา และไม่รู้ว่าถือเป็นโชคดีไหมที่แอนดรูซาร์คัสนั้นไม่ได้มีกรงเล็กขนาดจะใช้ฉีกระชากเหยื่อได้ทว่าด้วยแรงมหาศาลทำให้เกิดแผลเหวะหวะเลยทีเดียว ว่ากันง่ายๆ คือกรงเล็บของมันจะไม่ทำให้เราตายในทันทีแต่ทำให้ทรมานอย่างถึงที่สุด
“สาม...”
“มันเป็นนักล่าตัวจริง” แอมบูโลซีตัสอาจเป็นนักล่าแต่พวกมันไม่ได้มีเขี้ยวแหลมคมเทียบเท่าแอนดรูซาร์คัสได้
“อืม ผมรู้...”
กรรรร~
กรรรรรรร~
ทั้งแอนดรูซาร์คัสและแอมบูโลซีตัสต่างส่งเสียงคำรามใส่กันแม้แอนดรูซาร์คัสจะมีเพียงตัวเดียวแต่มันก็ยังอาจหารมาต่อกรกับแอมบูโลซีตัส ก็อย่าว่าแหละ การต่อสู้มันไม่ได้อยู่ที่จำนวนหรือขนาดแต่เป็นความแข็งแกร่งบวกทักษะของสิ่งมีชิวิตนั้นๆ
“แอนดรูซาร์คัสว่าอะไร” ผมหันไปถามลูก้าที่จดจ้องราวกับกำลังฟังบทสนทนาอยู่
“มันบอกว่าจะมาล่าแอมบูโลซีตัสแต่เปลี่ยนใจแล้ว”
“เปลี่ยนใจ?”
“ใช่ อะไรนะ แกว่าจะล่าใครนะ?!” ลูก้าที่กำลังจะตอบผมถึงกับก้าวไปด้านหน้าด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างไม่เคยเห็น
กรรรร~
“ลูก้า เกิดอะไรขึ้น” ผมรีบเดินตามเข้าไปถาม
“กรรร~...” ลูก้าไม่ตอบแต่ยังคงสบตาอยู่กับแอนดรูซาร์คัสตรงหน้า
“ลูก้า...”
“มันบอกว่าจะล่าสาม”
“ฮะ?” ล่าผม?
“คิดว่าผมจะยอมให้มันทำรึไงล่ะ” ใบหน้า น้ำเสียงและบรรยากาศรอบตัวที่ปะทุขึ้นทำเอาพวกแอมบูโลซีตัสค่อยถอยลงน้ำไปราวกับรับรู้ได้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ในเวลานี้
“ใจเย็นก่อน พวกสัตว์กลัวหมดแล้ว” ผมแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เป็นการเตือน
“แต่ว่า...”
“เจ้านี่สัตว์ที่ล่าพวกแอมบูโลซีตัสสินะ”
“ใช่”
“งั้นผมจะจัดการเอง” พูดเสร็จก็เดินไปเผชิญหน้ากับแอนดรูซาร์คัส มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบอาวุธในกระเป๋าออกมาเตรียมพร้อมสู้
“แต่ว่ามันอันตราย...”
“ถ้าผมชนะไม่เพียงแค่จะไม่เกิดการต่อสู้กับแอมบูโลซีตัสแต่การเอาชนะแอนดรูซาร์คัสจะช่วยให้เราเดินทางง่ายขึ้น” ถ้าล้มเจ้าถิ่นได้ ทุกอย่างก็สะดวกล่ะ
“ถึงแบบนั้นก็ไม่จำเป็นที่สามต้องสู้นี่ ให้ผม...”
“เอาล่ะ อยากล่าผมเหรอแอนดรูซาร์คัส” ผมไม่สนใจเสียงของลูก้าแต่สบตากับสัตว์ร่างยักษ์อย่างเอาเรื่อง
จะทำให้รู้เองว่าล่าผิดคนแล้ว
กรรรรร~
เพียงเสี้ยววินาทีหลังเสียงคำรามเรียวปากยาวอันเต็มไปด้วยคมเขี้ยวก็อ้าออกพร้อมเท้าทั้งสี่ที่พุ่งเข้ามาโจมตีด้วยความเร็วสูง แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวนั่นอาจเร็วแต่ผมก็ยังสามารถหลบได้โดยไม่บาดเจ็บอะไร อาวุธสีเงินบางใสถูกหยิบขึ้นมาควงก่อนจะจับไว้มั่น
ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายเปิดฉากการโจมบ้างโดยการวิ่งอ้อมไปยังด้านข้างตรงไปยังชายป่าซึ่งแอนดรูซาร์คัสวิ่งตามมาสกัดไม่ให้ผมหนี แต่ผมไม่ได้คิดจะหนีแค่ล่อให้มันออกมายังพื้นที่ที่ผมสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกกว่าเท่านั้น กิ่งไม้แรกตรงหน้าถูกใช้เป็นฐานเพื่อเหวี่ยงตัวขึ้นไปด้านบนในจังหวะเดียวกับแอนดรูซาร์คัสวิ่งเข้ากระแทกต้นไม้ที่ผมยืนอยู่จนปริแตก
“พลังเยอะจังแฮะ”
“สาม!” เสียงตะโกนอย่างห่วงๆ ของลูก้าดังขึ้น ผมเองก็รู้ว่าทำให้ห่วงแต่การจะให้ถูกปกป้องตลอดมันไม่ใช่นิสัยผม ตัวผมไม่ใช่เจ้าหญิงที่ต้องมีเจ้าชายหรือมังกรมาปกป้อง!
กรรรรร~
อาวุธใสในมือถูกโยนขึ้นบนท้องฟ้า ด้วยความที่มีสีและลักษณะโปร่งบางทำให้เกิดแสงสว่างเรียกความสนใจของแอนดรูซาร์คัสได้ ผมเลยอาศัยจังหวะที่มันสนใจอาวุธด้านบนกระโดดขึ้นไปบนหลังพร้อมรับอาวุธที่ตกลงมาพอดี
อาวุธนี้อาจเหมือนมีดซึ่งก็ใช่แต่นอกจากเป็นมีดแล้วยังเป็นเหมือนเข็มฉีดยาด้วย แม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็เพียบพร้อมด้วยยาอันมีคุณสมบัติหลากหลายตั้งแต่ยาคลายกล้ามเนื้อไปจนถึงยาสลบ ด้วยวิทยาการทำให้ฤทธิ์ยามีมากขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องพกมาเป็นขวด เพียงแค่กะการใช้ให้ถูกก็ไม่มีปัญหา ส่วนปลายของมีจะเป็นส่วนที่แหลมคมที่สุดซึ่งในส่วนนี้ผมได้ใส่เข็มขนาดเล็กไว้ การจะฉีดก็ทำได้ง่ายเพียงแค่ออกแรงกดตรงด้ามหลังจากเลือกชนิดยาผ่านระบบสัมผัสบริเวณผิวของด้าม
กรรรร~
ผมเลือกใช้ยาชาในการต่อสู้ครั้งนี้ มันอาจดูเอาเปรียบสัตว์ที่ต้องมาโดนของที่ดูยากจะต่อกรแต่คิดอีกแง่มันก็คือความสามารถของมนุษย์ที่ใช้เวลานับร้อยๆ ปีในการค้นคว้าและคิ้นค้นมันขึ้น เหล่าสัตว์ก็มีกรงเล็บและเขี้ยวหรือแม้แต่พิษ แล้วมนุษย์ล่ะถ้าตัดเรื่องเทคโนโลยีและเครื่องทุ่นแรงออกมนุษย์จะเหลืออะไร ดังนั้นผมไม่คิดว่ามันเป็นการโกงหรอกนะ
“ขอจบเลยละกัน” พึมพำจบส่วนปลายมืดที่ก็มีเข็มขนาดเล็กโผล่ออกมา ในเสี้ยววินาทีที่ยาชาถูกฉีดร่างของแอนดรูซาร์คัสก็ทรุด อย่างที่บอกผมไม่ได้มาเพื่อสู้การจะให้สู้โดยใช้แรงมากกว่านี้ก็ได้อยู่แต่นั่นอาจทำให้บาดเจ็บได้ การมาครั้งนี้เพื่อศึกษาเกาะผมจึงเลี่ยงการต่อสู้ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็จะจบลงให้เร็วที่สุด
“ขอโทษนะ” ผมลงมาจากหลังของแอนดรูซาร์คัสพลางลูบเส้นขนสีน้ำตาลของเบาแทนคำขอโทษ ด้วยฤทธิ์ยาคงจะทำให้ชาไปสักพักแต่ไม่ส่งผลเสียต่อระบบภายในอะไรแน่นอน
กรรรร~
แม้จะขยับไม่ได้แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ สายตาที่จับจ้องมันนั่นเหมือนไม่ยอมรับผลการต่อสู้นี้
“ผมชนะ นี่คือความจริง...ไว้ก่อนกลับมาสู้กันอีกก็ได้นะ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดแอนดรูซาร์คัสจะเข้าใจไหม
“สาม” ลูก้าเรียกก่อนจะเดินเข้ามาหา
“เรียบร้อย ลูก้าบอกแอมบูโลซีตัสด้วยว่าคนที่ชะแอนดรูซาร์คัสคือผมดังนั้นห้ามอาศัยช่วงนี้เข้ามารุมเด็ดขาด” ผมบอกเพราะเห็นว่าเหล่าแอมบูโลซีตัสกำลังขึ้นมาจากน้ำด้วยท่าทางเอาเรื่อง สายตาของพวกมั้นจ้องมายังแอนดรูซาร์คัสที่ขยับไม่ได้
มันอาจเป็นเรื่องธรรมชาติที่ผู้อ่อนแอจะถูกกิน แต่เรื่องนี้ผมเป็นผู้บุกรุก เป็นคนที่ไม่สมควรมาอยู่นี่ ซึ่งการกระทำของผมอาจสร้างความผิดปกติให้ห่วงโซ่อาหารได้ ถ้าแอมบูโลซีตัสอยากชนะก็ต้องทำด้วยตัวเองไม่ใช่ฉวยโอกาสหลังจากแอนดรูซาร์คัสกำลังอ่อนแอแบบนี้
“เข้าใจแล้ว จะบอกให้...กรรร~” ไม่ใช่แค่แอมบูโลซีตัสที่ลูก้าเข้าไปคุยแต่แอนดรูซาร์คัสเองก็เช่นกัน ก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรแต่ก็ถือว่าจบไปอีกเรื่อง
หลังจากจบการต่อสู้แรกผมก็เดินนำลูก้าไปเรียบชายฝั่งติดกับน้ำทะเล น้ำทะเลที่นี่มีคลื่นเหมือนเวลาอยู่ตามชายหาดปกติเพราะมีส่วนหนึ่งที่ยื่นออกไปยังทะเลทว่ากระแสน้ำวนที่อยู่รอบๆ ทำให้เหล่าสัตว์ภายในไม่สามารถว่ายฝ่ากระแสน้ำออกไปได้ ขนาดมองจากตรงนี้ยังรู้เลยว่ากระแสนน้ำเชี่ยวกราดขนาดไหน
ต่อให้เป็นลูก้าก็อาจจะทานกระแสน้ำนั่นไม่ได้นาน
“น้ำตรงนั้นกำลังหมุนอยู่” ลูก้าพึมพำระหว่างที่มองไปยังกระแสน้ำวนด้านนอกเกาะ
ตอนนี้พวกเรายืนอยู่บนหน้าผาสูงซึ่งมองเห็นวิวทั้งด้านในเกาะส่วนที่เป็นทะเลและพื้นน้ำด้านนอกเกาะหลังจากสำรวจสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในน้ำได้พอสมควรแล้ว แม้ขนาดของแอ่งน้ำเค็มจะใหญ่แต่สัตว์ในยุคแคมเบรียนส่วนมากไม่ได้มีขนาดใหญ่เทียบเท่าไดโนเสาร์เพราะเป็นยุคแรกๆ ที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตเว้นแต่เจ้าตัวที่ได้ชื่อว่าราชา...
“สามด้านล่าง...”
ตู้ม!!
เสียงพูดของลูก้าถูกเสียงน้ำกระจายตัวกลบจนไม่ได้ยินประโยคต่อไปซึ่งผมก็ไม่ได้หันไปถามกลับเพราะมัวแต่ตกตะลึงกับภาพของสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ที่มีลำตัวยาวเฉียด20เมตรที่กระโดดลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำตรงหน้าอยู่ด้วยความตื่นเต้น ก็รู้ว่าเจ้านี่อยู่ในยุคแคมเบรียนแต่ใครจะคิดล่ะว่าจะได้เห็นตัวเป็นๆ แบบนี้!
แอ่งน้ำทะเลบนเกาะไม่มีขนาดใหญ่พอสำหรับมันผมเลยคิดว่าคงไม่ได้เจอแล้วแต่ใครจะคิดล่ะว่าจะได้มาเจอที่ทะเลด้านนอกแทนซะอย่างงั้น สัตว์ทะเลที่ได้ชื่อว่าราชาแห่งกิ้งก่า
“...บาซิโอซอรัส” ผมพึมพำชื่อนั่นออกมาระหว่างก้มลงไปมองเงาขนาดใหญ่ใต้ทะเลด้านล่างที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา
“นั่นคือชื่อของมันสินะ” ลูก้าหันมาถาม
“ใช่ บาซิโอซอรัสหรือราชาแห่งกิ้งก่า มันเป็นสัตว์ทะเลกินเนื้อขนาดใหญ่กว่า20เมตรที่เลี้ยงลูกด้วยนม มีหลายคนสันนิฐานว่ามันเป็นเหมือนวาฬยุคแรกของโลกที่มีการวิวัฒนาการมาจากสัตว์บกในยุคก่อน” ผมอธิบายเรื่องของสัตว์ทะเลตรงหน้าให้ลูก้าฟังคร่าวๆ
“เขากำลังสงสัยว่าพวกเราเป็นใคร”
“เขาที่ว่าหมายถึงบาซิโอซอรัส?” ผมถามพลางหันไปมองหน้าลูก้าที่ตอนนี้มองไปยังบาซิโอซอรัสข้างล่างอยู่
“อืม...กรร~”
กรรรร~
ส่วนปากเรียวแหลมคล้ายโลมาสีดำเหลือบเขียวโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมส่งเสียงคำราม ดังลั่นจนสัตว์ปีกรอบๆ แตกกระจายกันไปคนละทิศทาง ถึงจะเป็นเสียงคำรามที่ดังแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม
“นี่ลูก้า...”
“ได้สิ”
“ฮะ? ได้อะไร...เฮ้ยลูก้า!!”
ตู้ม!
ยังไม่ทันจะถามจบประโยคลูก้าก็กระโดดลงไปด้านล่างจากหน้าผาสูงหลายสิบเมตรโดยไม่บอกอะไรผมสักคำ ก่อนจะถึงผืนน้ำร่างมนุษย์ของลูก้าก็กลับร่างไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ส่งผลให้เกิดเสียงดังจนเหล่าสัตว์ปีกตื่นตกใจกันอีกรอบ
ผมได้แต่ก้มมองไดโนเสาร์ยาวกว่า10เมตรสองตัวว่ายไปมาด้วยกันด้านล่างนั่นด้วยความสนุกสนาน ท่าทางดูมีความสุขของลูก้าทำให้ผมถอดหายใจออกมาอย่างปลงๆ ตอนแรกนึกว่าจะมีเรื่องกันแล้วซะอีกแบบนี้ค่อยดีหน่อย
ลูก้าไม่เคยได้ว่ายเล่นกันเพื่อนแบบนี้เลยตั้งแต่มาอยู่กับผม ถ้าเป็นบนเกาะก็น่าจะเล่นว่ายกับซิมโบสปอนไดลัส
เพราะงั้นจะปล่อยไปสักพักก็ได้ ลูก้าเองก็ดูเหมือนจะรู้ถึงส่วนที่เป็นอันตรายของตัวเองจึงว่ายเล่นโดยพยายามควบคุมไม่ให้ส่วนหนวดที่มีพิษแมงกระพรุ่นกล่องนั่นไปเผลอโดนบซิโอซอรัสเข้า ปากเรียวใหญ่ของลูก้าอ้าออกแล้วขบลงเข้าบริเวณปากแหลมของบาซิโอซออรัสจนถูกส่วนหางขนาดใหญ่ยาวนั่นฟาดเข้าให้
“คิก!” ผมหัวเราะกับภาพตรงหน้าพร้อมยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายทั้งรูปและวิดีโอเก็บไว้เป็นที่ละทึก ถ้าผมเอาคลิปนี้ลงเฟสเชื่อเลยว่าต้องมีคนแชร์กันให้ว่อนแน่
งี๊ดดด~
“มีอะไรลูก้า!” ผมตะโกนถามเมื่อเสียงครางนั่นดังมาจากด้านล่าง ลูก้าในร่างไดโนสาร์ชูคอขึ้นมาพร้อมใช้ดวงตาสีเงินจับจ้องมายังผมราวกับจะบอกอะไรสักอย่าง เมื่อก่อนผมคงตอบกลับไปว่าพูดอะไรน่ะแต่ตอนนี้ไม่ใช่ เพียงแค่แววตาที่มองมาก็เหมือนรับรู้ได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ สิ่งที่ลูก้าบอกคือให้ผมลงไปหา
“เข้าใจแล้ว รอก่อน”
งี๊ดดด~
เสียงครางดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่สวนหัวของลูก้าจะมุดลงไปในน้ำแล้วเงยขึ้นมาอีกรอบ
“ใครจะกระโดดลงไปกัน!” ผมตะโกนกลับลงไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าท่าทางนั่นหมายถึงอะไร อาจเพราะอยู่ด้วยกันมาตลอดเลยรับรู้ได้แม้จะไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกัน ผมเดินลัดเลาะลงจากหน้าผามาจนถึงบริเวณโขดหินที่มีลูก้าว่ายเข้ามาหา ส่วนปากเรียวอ้าออกเล็กน้อยนั่นทำเอาผมรีบกระโดดถอยหลังไปชิดหน้าผาด้านหลังทันควัน
งื๊ด!
“ไม่ต้องมาทำหน้างง คิดจะให้ผมลงน้ำล่ะสิ” ผมพูดอย่างรู้ทัน
คิดเหรอว่าผมจะไม่รู้ถึงเรื่องนั้นน่ะ พอเห็นผมรู้ทันอีกฝ่ายก็ทำคอตกด้วยท่าทีหง๋อยๆ
“ผมไม่อยากให้เสื้อผ้าเปียก นายเล่นไปเถอะ...”
กรรร~
กรรร~
บาซิโอซอรัสโผล่ขึ้นมาพร้อมว่ายเข้ามาใกล้ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมายังผมก่อนจะหันไปหาลูก้าที่อยู่ด้านข้าง ไม่ต้องรอถามก็รู้เลยว่าบาซิโอซอรัสกำลังถามลูก้าเกี่ยวกับผม ผมอาศัยจังหวะที่บาซิโซอรัสสนใจลูก้าเดินเข้าไปมองไดโนเสาร์ร่างยักษ์ใกล้ๆ
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นบาซิโอซอรัสเป็นๆ เพราะทั่วโลกยังไม่มีใครให้กำเนิดมันขึ้นมา รูปร่างที่จำลองไว้ในหนังสือเหมือนจะไม่ตรงกับความเป็นจริงตรงหน้าสักเท่าไหร่ แต่ไม่แน่ว่าอาจเพราะสภาพแวดล้อมที่ปิดตายนี่ทำให้ต้องเติบโตมาจนมีรูปร่างแบบนี้
งี๊ด!
เสียงครางเบาๆ ครั้งนี้มาจากบาซิโอซอรัสที่จับจ้องมายังผมอย่างไม่วางตา
“ไปบอกอะไรเขาน่ะลูก้า” ท่าทางของบาซิโอซอรัสเหมือนจะพูดว่า ‘เป็นแบบนี้นี่เองหรือจริงเหรอ’ ประมาณนั้น
งี๊ดดด~
ลูก้าในร่างไดโนเสาร์อ้าปากแล้วหุบคล้ายจะเล่าว่าพูดอะไรไป ด้วยความที่ภาษาต่างกันผมเลยไม่เข้าใจว่าลูก้าพูดอะไร ถ้าเป็นข้อความสั้นๆ ก็เข้าใจอยู่แต่จากที่เห็นปากที่พะงาบๆ นั่นก็รู้ว่ายาวเป็นกิโลแน่
“เฮ้อ...เอาเถอะ ผมชื่อสาม เป็นคู่หูกับลูก้า ยินดีที่ได้พบนะ” ผมแนะนำตัวพร้อมส่งยิ้มไปให้บาซิโอซอรัสตรงหน้า
งี๊ด!
“คิก...” ผมหลุดขำออกมาเมื่อเรียวปากยาวคล้ายปลาโลมาของบาซิโอซอรสยื่นมาโดนมือ สัมผัสนิ่มๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของสัตว์น้ำนี่ผมชอบมันจริงๆ ชอบมากกว่าเป็นขนเส้นๆ ซะอีก
เมื่อทักทายกันเสร็จลูก้ากับบาซิโอซอรัสก็ออกไปว่ายเล่นกันต่อจนถึงช่วงใกล้พระอาทิตย์ตกผมก็เรียกลูก้าให้กลับขึ้นมาแม้จะรู้ว่าต่อให้ดึกขนาดไหนก็ไม่เป็นอันตรายกับลูก้าก็ตาม
หลังจากนั้นผมก็เดินนำลูก้าเข้าไปในป่าและหยุดดพักกางเต้นท์บริเวณชายป่าซึ่งอยู่ไม่ไกลกับแอ่งน้ำจืดขนาดใหญ่นัก วันพรุ่งนี้ผมจะไปสำรวจฝั่งที่เป็นน้ำจืดบ้างว่ามีสัตว์อะไรอยู่ เกาะนี้อาจดูเหมมือนใหญ่แต่ถ้าเดินเลาะตามขอบแค่สองสามวันก็น่าจะวนรอบแล้ว ผิดจากด้านในป่าที่ทั้งรกทึบและชื้นแฉะ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หนาที่ไม่ผ่านการบุกรุกจากมนุษย์มาก่อน
อาหารเย็นเป็นของง่ายๆ ที่เอาพวกอาหารกระป๋องมาต้มในหม้อโดยมีไฟจากการนำเศษไม้ใบหญ้ามากองรวมกัน ต้นไม้หนาขนาดนี้ตกดึกคงหนาวเทียบเท่าฤดูหนาวเลยทีเดียว
“ดับไฟหน่อยลูก้า” ผมบอกก่อนจะเปิดเต้นท์เข้าไปด้านใน
“ทำไมไม่จุดไว้ล่ะ เคยได้ยินว่าพวกสัตว์จะกลัวไฟนี่”
“ก็ใช่ แต่ผมไม่อยากจะรบกวนสัตว์ที่อยู่ที่นี่หรอก” แค่นี้ก็เข้ามาบุกรุกมากพอแล้ว อีกอย่างต่อให้ไม่มีไฟก็เชื่อเถอะว่าด้วยประสาทสัมผัสของลูก้าสามารถรับรู้ได้
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อดับไฟเสร็จลูก้าก็เข้ามาในเต้นท์ที่มีทั้งถุงนอนและผ้าห่มวางเตรียมไว้ ด้วยความที่เป็นป่าทำให้ตอนกลางคืนมืดสนิทจนดวงตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดนัก ผมเองตอนี้ยังควานหาโทรศัพท์ที่น่าจะอยู่แถวนี้ไม่เจอเลย
“ขยับไปทางซ้ายอีกสาม”
“ตรงนี้?” ผมขยับมือไปตามเสียงของลูก้า
“ซ้ายอีกนิด”
“อ๊ะ เจอแล้ว ขอบคุณลูก้า” ผมพูดขอบคุณก่อนจะเปิดโทรศัพท์เพื่อบันทึกสิ่งที่เจอวันนี้ลงไปในโน้ต
“ไม่เป็นไร”
“นอนก่อนเลย ผมขออีก5นาที” แม้จะเห็นไม่ชัดแต่ใช่ว่าจะไม่เห็นเลย ผมเห็นลูก้าที่ยังนั่งไม่ยอมนอนอยู่ข้างๆ
“รอได้”
“ควรพักนะ เหนื่อยกับการว่ายน้ำมานี่” ว่ายเกือบ3ชั่วโมงได้มั้ง
“ผมไม่เคยเหนื่อยกับการว่ายน้ำ”
“...นั่นสิ ก็เป็นไดโนเสาร์น้ำนี่นะ” สัตว์น้ำบางชนิดเองก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการเคลื่อนไหว ถ้าหยุดขยับมันก็จะตาย
“ให้ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไร...เสร็จพอดีเลย เอ้า นอนๆ” ผมปิดโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋าก่อนจะมุดตัวเข้าไปอยู่ในถุงนอนโดยที่มีผ้าห่มคลุมอยู่อีกชั้น
“ผมไม่ชอบถุงนอนเลย มันแปลกๆ ”
“ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องเข้าไป นอนบนถุงเลยก็ได้” ผมตอบกลับ ยังไงก็มีผ้าห่มให้อยู่แล้ว
“แบบนั้นก็หนาวสิ”
“ขี้หนาวเหรอลูก้า”
“อืม...เพราะงั้น ขอขยับไปนอนใกล้ๆ ได้ไหม” คำขอนั่นทำให้ผมยกคิ้วขึ้น
“นี่ยังไม่ใกล้เหรอ” ผมว่ามันชิดแล้วนะ
“ยัง...อยากใกล้แบบนี้” พูดจบถุงนอนที่มีผมอยู่ด้านในก็ถูกลูก้าดึงเข้าไปกอดพร้อมผ้าห่มที่ถูกคลุมอีกชั้น
“...มากไปมั้ง” ผมพึมพำแต่ไม่ได้ขัดขืนสัมผัสของการกอดนั่น ยังไงเราก็แฟนกันแล้ว แค่นอนกอดมันเป็นเรื่องปกติ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ลูก้าก็กอดผมนอนมาตั้งนานแล้ว
อากาศหนาวเย็นจากป่าไม่ส่งผลกับผมมากเพราะได้ไออุ่นจากลูก้าช่วยบรรเทา ยิ่งบรรยากาศเงียบเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นสอดประสานกันมากเท่านั้น เสียงนั่นดังเป็นจังหวะคลับกล่อมจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ซุ่บ! ซุ่บ!
พรึ่บ!
เสียงการเคลื่อนไหวแปลกๆ จากด้านนอกนั้นทำให้ผมที่หลับอยู่เด้งตัวขึ้นมานั่งก่อนจะหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน เงาแปลกๆ หลายเงาปรากฏขึ้นผ่านผ้าของเต้นท์ปรากฏเป็นรูปสัตว์สองเท้าที่มีจงอยปากเหมือนสัตว์ปีก
“สาม” เสียงเรียกจากด้านหลังดังขึ้นเบาๆ ระหว่างร่างผมถูกรวบไปกอดไว้หลวมๆ
“ใช่เวลามากอดไหมลูก้า” ผมหันไปถามแล้วพยายามแกะมือที่กอดเอวอยู่ในหลุดออก สถานการณ์ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีเพราะยังไม่ทราบถึงสายพันธุ์ของสัตว์ด้านนอกนั่นแต่ดูจากแสงสว่างที่รอดเข้ามาแปลว่าอยู่ในช่วงพระอาทิตย์กำลังขึ้น
มีสองขากับจงอยปากคล้ายนก หรือว่า...
“ขนาดมันเล็ก ไม่น่าจะอันตราย...”
“ถ้าพูดแบบนั้นแปลว่าไม่เคยเจอกาสโตร์นิสล่ะสิ”
“กาสโตร์นิส?”
“จากลักษณะที่เห็นน่าจะใช่” ต้องออกไปดูให้เห็นชัดๆ ถึงจะสามารถบอกได้เต็มปากว่าใช่ไหม
“อันตราย?”
“ก็ไม่เชิง เรียกว่าไม่แน่ใจดีกว่า”
“ไม่แน่ใจหมายถึงอะไร” ลูก้าถามต่อ
“การ์โตร์นิสเป็นสัตว์จำพวกนกที่ไม่สามารถบินได้เนื่องจากพวกมันมีส่วนขาอันแข็งแกร่งและมีโครงสร้างร่างกายหนักกว่านกปกติ สิ่งที่ทำให้ไม่แน่ใจคือในปัจจุบันยังไม่เคยมีการคืนชีพมันขึ้นมาก่อนเลยไม่สามารถรู้ได้ว่ามันเป็นสัตว์กินพืชหรือกินเนื้อกันแน่” จากข้อมูลที่อ่านมากาสโตร์นิสถูกถกเถียงกันในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่ามันกินพืชหรือกินเนื้อกันแน่เพราะดูจากจงอยปากของมันไม่น่าจะทรงพลังถึงขนาดฉีกขาดเนื้อได้
“สามจะออกไปดู”
“อืม” ผมพยักหน้าส่งไป
“ไม่กลัวเหรอ ถ้าพวกมันกินเนื้อขึ้นมาจะทำยังไง”
“ถึงตอนนั้นค่อยหาวิธี อีกอย่างพวกกาสโตร์นิสเป็นพวกที่สัมผัสไวพวกมันคงรู้แล้วว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ถึงได้เดินวนอยู่รอบๆ เต้นท์ไง” ดูจากเงาที่เดินวนไปมาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นพวกช่างสงสัย ไม่แน่อาจไม่ใช่สงสัยแต่กำลังหาเหยื่อก็ได้
ผมขยับตัวไปหยิบของที่จำเป็นพร้อมอาวุธก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังทางออกก่อนเต้นท์แต่ก่อนที่ผมจะเปิดออกไปลูก้ากลับห้ามไว้ก่อนจะเป็นคนออกไปด้านนอกก่อน
เป็นห่วงกนเกินไปแล้วลูก้า
เขาคงกลัวว่าผมจะถูกโจมตีละมั้ง
กรรรรร~
และก็เป็นอีกครั้งที่ผมและลูก้าถูกทักทายด้วยเสียงคำรามจากเหล่าสิ่งมีชีวิตของเกาะนี้ เพียงแต่ครั้งนี้เสียงคำรามนั่นดังมาจากฝูงกาสโตร์นิสกว่า10ตัวที่อ้าจงอยปากที่เหลืองออกกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ อยู่ข้างใน
“...แบบนั้นไม่ใช่สัตว์กินพืชแล้ว” ผมพึมพำเมื่อได้สังเกตกาสโตร์นิสตรงๆ จงอยปากขนาดใหญ่กับส่วนกรามที่มีความยืดหยุ่นสูงนั่นไม่ใช่ของสัตว์กินพืชแต่เป็นกินเนื้อ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มันอาจเป็นเพียงการวิวัฒนาการของสัตว์บนเกาะนี้ก็ได้ อาจเพราะพืชที่กินไม่เพียงพอเลยจำเป็นต้องล่าสัตว์อื่นเพื่อมีชีวิตรอด แต่ไม่ว่าทางไหนก็เหมือนจะงานเข้าแล้วสิ
“เอาไงสาม” ลูก้าถามพลางมองไปยังกาสโตร์นิสรอบๆ ที่ใช้ดวงตาคมสีแดงสดจับจ้องมา
“ไม่ควรกลับร่าง ถ้าจะสู้คงต้องในร่างนี้” ผมตอบกลับ บริเวณชายป่านี่เต็มไปด้วยต้นไม้ถ้ากลับร่างมีแต่จะทำให้ผิวหนังของลูก้าถูกถากเท่านั้น อีกอย่างในร่างขนาดใหญ่คงสู้ความเร็วของกาสโตร์นิสบนบกไม่ได้
“...เราอาจไม่ต้องสู้ก็ได้นะ” ลูก้าพึมพำหลังจากนิ่งไปสักพัก ท่าทางนั่นเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“หมายถึงอะไรลูก้า...”
กรรรรรรรร~
ไม่ทันได้ถามจบประโยคเสียงขู่คำรามก็ดังกกก้องพร้อมร่างขนาดใหญ่อันปราดเปรียวกว่า4เมตรกระโดดเข้ามาขวางหน้าพวกเรากับฝูงกาสโตร์นิส เส้นขนสีน้ำตาลฟูฟ่อง ร่างกานอันกำยำและใหญ่โต คมเขี้ยมอันแหลมคมจนได้ชื่อว่าเป็นนักล่าที่ติดอันดับอันตรายแห่งยุคแคมเบียม
“แอนดรูซาร์คัส” ผมรียกชื่อสัตว์ตรงหน้าอย่างมึนงง
ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
กรรรรรรร!
เสียงคำรามอีกรอบของแอนดรูซาร์คัสทำเอาสโตร์นิสกว่า10ตัวถึงกับชะงักก่อนพวกมันจะเริ่มส่งเสียงครวญครางแล้วหนีกระจายกันออกไปราวกับกลัวที่จะถูกล่า ดวงตาสีดำขลับของแอนดรูซาร์คัสหันกลับมาจ้องผมนิ่งเหมือนกำลังจะสื่อบางอย่างออกมาทว่าด้วยความที่เป็นมนุษย์จึงไม่อาจรับรู้ถึงการสื่อสารนั้นได้ทั้งหมด
ที่รู้คือแอนดรูซาร์คัสไม่ได้เป็นศัตรูแล้ว
“ลูก้า...เขาว่าอะไร” ผมหันไปถามลูก้าที่ยืนอยู่ข้างๆ
“...บอกว่ามาใช้หนี้น่ะ”
“ใช้หนี้?” หมายถึง?
“อืม เห็นว่าเรื่องตอนแอมบูโลซีตัส” คำพูดของลูก้าทำให้ผมนึกออกว่าอาจเป็นที่ผมบอกพวกแอมบูโลซีตัสไม่ให้เข้ามารุมตอนที่แอนดรูซาร์คัสติดอยู่ในฤทธิ์ของยาชา เพราะสาเหตุนั้นเลยมาช่วยคืนงั้นเหรอ
สมกับเป็นสัตว์ที่ถือเป็นเครือญาติของสุนัขในปัจจุบัน
“ขอบคุณนะแอนดรูซาร์คัส” ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้ม
กรรร~
เสียงครางต่ำนั่นราวกับจะบอกว่าไม่จำเป็น
“คิก...” น่ารักไปอีกแบบแฮะ
หลังจากจบเรื่องกาสโตร์นิสผมและลูก้าพ่วงด้วยแอนดรูซาร์คัสที่ตามอยู่ห่างๆ ก็เดินมาสำรวจยังบริเวณแอ่งน้ำจืดขนาดใหญ่ ต้นไทรปัสเองก็ขึ้นอยู่กระจายตัวตามฝืนน้ำนั่นเป็นหย่อมๆ ภาพตรงหน้าให้ความรู้สึกสงบและสบายตามาก
เป็นภาพที่อาจหาได้ยากในปัจจุบัน ธรรมชาติเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดแล้วในความคิดผม เหล่าสัตว์ทั้งน้ำจืด น้ำเค็มและสัตว์บก สัตว์ปีก รวมถึงพืชพรรณต่างๆ ถูกเก็บรวบรวมข้อมูลไว้แม้จะไม่ครบถ้วนแต่ก็มากมายจนหัวผมรู้สึกล้าๆ
แต่ถึงจะไม่ครบถ้วนก็คงไม่เป็นปัญหาเพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าผมไม่ใช่พวกเก่งด้านการสำรวจขนาดนั้น ยังไงเดี๋ยวก็ต้องมีคณะสำรวจมานี่อีกครั้งอยู่ดี ตอนนี้แค่ผมยืนยันสถานการณ์ว่าไม่มีอันตรายอะไรมากก็คงเพียงพอแล้วสำหรับภารกิจครั้งนี้
......................................................
สวัสดีค่า
มาอัพช้าไปนิก(ความจริงก็ไม่นิด 555)
สำหรับตอนนี้เป็นตอนต่อจากครั้งที่แล้ว เรียกว่าเป็นตอนสำรวจเกาะก็ว่าได้
หลายคนแอบหวังว่าสามอาจโดนลูก้ากิน ขออภัยที่สามยังคงรอดปลอดภัยนะคะะะ
ถึงเราจะแต่งฉากncได้แต่ก็แต่งไม่เก่งนัก แต่จะไม่มีเลยตลอดทั้งเรื่องก็สงสารลูก้า
เอาเป็นว่ามารอลุ้นวันที่สามจะตกเป็นขอลูก้ากันเถอะ
ขอบคุณทุกคนสำหรับคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ
เพราะได้รับกำลังใจจากทุกคนเราถึงได้สามารถแต่งนิยายมาได้ถึงตอนนี้
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
บ๊ายบาย
-------มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์-------
วันนี้ขอนำเสนอกาสโตร์นิส
กาสโตร์นิส (Gastornis) เป็นสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ของ นก ขนาดใหญ่ มันนกที่มีขนาดใหญ่มากและได้รับการพิจารณาว่าเป็นสัตว์กินนมขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามหลายบรรทัดของหลักฐานรวมทั้งการขาดกรงเล็บที่ติดยาเสพติดในรอยเท้าของ Gastornis ที่ รู้จักกันดีและการศึกษาโครงสร้างของ ปลอกคอ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแปล reinterpret นกเหล่านี้ว่าเป็นสัตว์กินพืชที่กินอาหารที่มีเมล็ดพืชและเมล็ดยาก
ซากดึกดำบรรพ์ของ Gastornis เป็นที่รู้จักจากทั่วยุโรปตะวันตกตะวันตกของสหรัฐฯและจีนตอนกลาง ซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุด (Paleocene) ทั้งหมดมาจากยุโรปและมีแนวโน้มว่าสกุลนั้นมีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น ยุโรปในยุคนี้เป็นทวีปเกาะและ Gastornis เป็น tetrapod บกที่ใหญ่ที่สุดของทวีป ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับ นกช้างที่มี มาดากัสการ์เป็น นก กินพืชที่คล้ายสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ประเทศมาดากัสการ์ที่ แยกจากกันแม้ว่าจะมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ก็ตาม
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : http://www.bbc.co.uk และ wikipedia
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
สนุกมากเลยค่ะ
เจ้าการ์สโตร์นิสนี่ปีกมีไว้ระบุเป็นนกเฉยๆสินะ เล็กมาก…กกก