◈ธาราที่16◈
“สามเป็นคู่ของผม”น้ำเสียงทุ้มๆที่เอ่ยคำพูดนั่นด้วยใบหน้าจริงจังทำเอาคนฟังอย่างผมถึงกับเบิกตากว้างขึ้นก่อนความร้อนจากทั่วร่างกายจะมารวมอยู่ที่ใบหน้า
ถึงสีผิวผมจะไม่ขาวแต่เชื่อเถอะว่ามันแดงก่ำจนน่าอายจริงๆ ขนาดไม่เห็นหน้าตัวเองผมยังรู้เลย
“คะ...ใครเป็นคู่นายกันลูก้า”อะไรกันเนี่ยสถานการณ์นี้
อยู่ๆก็วิ่งมากอดแถมยังพูดแสดงความเป็นเจ้าของแบบนั้นอีก
“สามไงเป็นคู่ของผม”ลูก้าบอกพลางก้มลงมาคลอเคลีย
“คู่หูต่างหาก”อย่ามาตัดคำให้ความหมายเปลี่ยนนะ
“อืม...ทั้งคู่ทั้งคู่หูเลย”
“อย่ามาโมเมด้วย”ผมจำไม่เห็นได้ว่าไปตกลงเป็นคู่ให้เมื่อไหร่
“งั้นสามก็ตกลงสิ เราจะได้เป็นคู่กันไง”
“ทำไมผมต้องตกลงด้วย”
“ก็ผมรักสามนี่”
“อึก...”คำบอกรักโต้งๆนั่งส่งผลให้หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที
ไม่มีความโรแมนติกสักนิดแต่ผมก็ยังใจเต้นอยู่นั่นแหละ
หรือผมจะชอบผู้ชายจริงๆแล้วกัน
“นี่...คิดจะเมินกันอีกนานไหม”เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นพร้อมกับก้าวขาเข้ามาจนหยุดอยู่ตรงหน้าผมและลูก้า ด้วยความสูงอันใกล้เคียงกันของชายทั้งสองทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองสายตาคมๆของทั้งคู่ที่ประสานราวกับเป็นศัตรูมาตั้งแต่ชาติก่อน
“เอ่อ...ขอโทษ...”
“สามจะขอโทษทำไม เขาต่างหากที่มาขัดจังหวะเราคุยกัน”ลูก้าพูดขัดคำขอโทษของผม
“ฉันว่านายมากกว่าที่มาขัดตอนพวกเราคุยกันอยู่”เสียงทุ้มๆเอ่ยอย่างไม่พอใจนักเมื่ออยู่ๆถูกลูก้าเข้ามาขัดจังหวะทั้งที่ยังคุยไม่จบ
“เอ่อ...ทั้งคู่...”
“นายเป็นอะไรกับสาม”ลูก้าถามด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
“แล้วนายล่ะ พูดว่าเป็นคู่เหมือนสัตว์ป่าแบบนั้นแต่ดูเหมือนสามจะไม่เล่นด้วยนี่นะ”คำยียวนนั่นทำให้แขนที่กอดผมไว้รัดแน่นขึ้น
เอาเข้าไปสิ
จะมาทะเลาะกันเพื่ออะไร
“สามแค่ยังไม่ยอมรับความรู้สึกที่มีต่อผมเท่านั้นเอง”
“ไม่ยอมรับกับไม่มีมันต่างกันนะ”
“คือว่า...”
“แล้วจะปล่อยให้ผู้ชายกอดอีกนานไหมสาม โดนแค่นี้อย่ามาทำเป็นอ่อนแอ จัดการเหยียบเท้าให้ปล่อยจากนั้นก็ศอกใส่ท้องแล้วปิดท้ายด้วยเข่าลอยไปเลยสิ”คำแนะนำจากชายตรงหน้าช่างเหมือนคนมีหนี้แค้นอยู่สักสิบชาติจริงๆ
“แค่นั้นทำให้ผมปล่อยไม่ได้หรอกนะ”ลูก้าตอบแทนพร้อมกับกอดร่างผมแน่นขึ้น
“หึ...คิดว่าตัวเองเก่งนักรึไง”
“ก็คิดว่าเก่งกว่าคนตรงหน้าละกัน”คำพูดนั่นลูก้าจงให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆ
“งั้นมาลองกันไหมล่ะ สู้ตัวต่อตัว”
“ได้”ลูก้าพยักหน้าก่อนจะคลายอ้อมกอดออกเดินไปยังลานจอดรถซึ่งมีรถจอดอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้น
นี่ทั้งคู่คิดจะหาเรื่องกันจริงๆหรอเนี่ย
ผมไม่อยากให้ใครต้องสู้กันทั้งนั้นแหละ
คนนึงก็คู่หูอีกคนก็พี่ชาย
จะให้เชียร์ใครกันล่ะ
พี่ชายผมหรือ ชโลทร ธาราสุข เป็นพี่คนโตเลยได้ชื่อว่าหนึ่ง แค่ฟังก็รู้แล้วว่าครอบครัวผมต้องมีอย่างน้อยสามคนซึ่งก็ใช่ ผมเป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวโดยมีพี่ชายชื่อหนึ่งและพี่สาวชื่อสอง
พี่หนึ่งเป็นผู้ชายผิวสีแทนกร้านแดดเพราะสืบทอดกิจการการประมงของครอบครัว พี่หนึ่งเป็นคนขยันแต่นิสัยออกจะห้าวๆออกแนวไม่ค่อยเกรงใจใคร คนที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้ผมก็พี่หนึ่งนี่แหละ...ไม่ใช่เพียงมวยที่เป็นแต่ศิลปะการต่อสู้อื่นๆเองก็ช่ำชองเช่นกัน
ถ้าไม่สืบทอดกิจการอาจไปตั้งแก็งที่ไหนแล้วก็ได้
จากที่มองพี่หนึ่งคงไม่รู้ว่าลูก้าเป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์หรอก วันๆเอาแต่หาปลาไม่ก็เข้ายิมจะมีเวลาไหนไปรู้ข่าวพวกนี้กัน อีกแง่ลูก้าเองก็ไม่รู้ว่าฝีมือพี่หนึ่งเก่งกาจขนาดไหน
บอกไปแล้วว่าพี่หนึ่งเป็นเหมือนครูผม นั่นแปลว่าด้านความสามารถเก่งกว่าผมไม่รู้เท่าไหร่
นี่มันศึกของสัตว์ประหลาดชัดๆ
“ห้ามเข้ามาช่วยหมอนี่ล่ะสาม”พี่หนึ่งหันมาบอกผม
“ผมต่างหากที่ต้องพูด สามห้ามเข้ามาช่วยล่ะ”ลูก้าเองก็หันมาพูดบ้าง
โอ้ย...สรุปสาเหตุที่ทะเลาะกันนี่มันคืออะไรไม่ทราบครับทั้งคู่
“เฮ้อ...ห้ามทำให้อีกฝ่ายอาการสาหัสเด็ดขาด”ผมบอกกันทั้งคู่เมื่อเห็นว่ายังไงก็ห้ามการต่อสู้ไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ยังไงก็เป็นผู้ชายคุยด้วยหมัดดูท่าจะง่ายกว่าพูดล่ะนะ
ทั้งคู่ต่างพยักหน้าก่อนฝ่ายเปิดฉากก่อนจะเป็นพี่หนึ่งที่ถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนใส่ลูก้าเพื่อให้มองไม่เห็นหมัดที่ถูกเหวี่ยงไปเต็มแรงทว่าลูก้าที่มีประสาทสัมผัสดีกว่าก้าวถอยหลังพร้อมใช้มือเขวี้ยงเสื้อคลุมนั่นลงไปกองกับพื้นโดยไม่ถูกหมัดนั้นโจมตี
“ใช้ได้นี่”พี่หนึ่งเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มชอบใจ
“แค่นี้เอาชนะผมไม่ได้หรอกนะ”
“หึ...ขอดูหน่อยว่าจะปากดีได้นานแค่ไหน”พูดจบพี่หนึ่งก็วิ่งเข้าไปโจมดีอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีตัวหลอก ร่างกายกำยำโยกไปมาเพื่อสร้างจังหวะและความสับสนให้ฝ่ายที่มอง แค่เสี้ยววิหมัดข้างเดิมก็ถูกเหวี่ยงไปตรงหน้าลูก้าอีกครั้ง
แน่นอนว่าหมัดนั้นไม่มีทางที่จะโดนได้เพราะดวงตาสีเงินของลูก้าจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวอยู่แต่นั่นก็เพียงแค่ช่วงตั้งแต่กลางลำตัวขึ้นไปทำให้ไม่ทันสังเกตว่าไม่ได้มีเพียงแค่หมัดเท่านั้นที่ถูกปล่อยออกไป
“อั๊ก....”ลูก้าถึงกับทรุดลงเล็กน้อยกับแรงเตะของพี่หนึ่ง
“ลูก้า”ผมเรียกด้วยความเป็นห่วง
ถ้าเป็นคนปกติอาจทรุดลงกับพื้นไปแล้ว ไม่เหมือนลูก้าที่ยังทรงตัวได้แม้จะเซไปหน่อยก็ตาม
“จะเชียร์มันรึไงสาม”พี่หนึ่งหันมาถามหน้ามุ่ย
“ไม่ได้เชียร์แค่เรียกเฉยๆ”
“ดูมั่นใจในฝีมือหมอนี่น่าดูนะ”พี่หนึ่งสังเกตท่าทางผมก่อนจะพูดด้วยสายตาจับผิด
“ก็นะ...ลองดูด้วยตัวเองดีกว่า ผมไม่อยากโม้ถึงความสามารถของลูก้าเท่าไหร่”พูดจบผมก็ส่งสายตาไปให้พี่หนึ่งเป็นเชิงบอกให้ดูด้านข้าง
ผั๊วะ
ยังไม่ทันที่พี่หนึ่งจะหันไปมองลูก้าก็เหวี่ยงหมัดใส่อย่างแรงจนร่างอันกำยำเซไป เสียงของหมัดที่กระทบช่างรุนแรงแม้ไม่ต้องทดลองด้วยตัวเอง
ลูก้าไม่ยอมเสียโอกาสที่มีพุ่งเข้าใช้เท้าถีบยันไปกลางลำตัวแต่เหมือนพี่หนึ่งจะรู้อยู่เลยตั้งไว้ก่อนจะถีบกลับไป ทั้งคู่ต่างวิ่งเข้าไปผลัดกันชกผลัดกันหลบซึ่งก็ได้แผลกันมาถ้วนหน้า
การสู้เข้าถึงฉากจบเมื่อศอกของพี่หนึ่งถูกหลบได้แต่นั่นเป็นเพียงกลลวงเพราะหมัดอีกข้างต่างหากที่จะใช้ปิดฉาก ด้านลูก้าเองก็เหวี่ยงหมัดสุดท้ายออกไปเช่นกัน
ผั๊วะ
เสียงหมัดสุดท้ายดังกึกก้องลานจอดรถ ทั้งคู่ต่างยังยืนอยู่แต่สภาพนั้นมีรอยแผลอยู่ทั้งใบหน้าและลำตัว
ดวงตาสีน้ำตาลของพี่หนึ่งกับดวงตาสีเงินของลูก้าประสานกันระหว่างหายใจเสียงหอบเล็กน้อย และไม่อยากเชื่อว่าไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งคู่กลับเดินมากอดกันเบาๆ
“เยี่ยมไปเลยน้องชาย เก่งกว่าสามอีกนะเนี่ย”พี่หนึ่งเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มสนุกที่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ
“คุณเองก็สุดยอด...พึ่งเคยเจอคนที่สู้กับพวกเราได้ขนาดนี้”
“พวกเรา?...หมายถึงอะไร?”พี่หนึ่งทำหน้างงเมื่อได้ยิน
“...นี่ไม่รู้ว่าผมเป็นใครเหรอ?”
“ฉันก็ถามตั้งแต่ตอนเจอกันแล้วนี่ว่านายเป็นใคร”
“สาม”ลูก้าหันมาเรียกผมแทน แววตานั่นเหมือนจะต้องการให้ช่วยอธิบายถึงเรื่องนี่ที
“เฮ้อ...เอางี้นะ ผมไม่รู้ว่าจะสู้กันไปทำไมแต่เอาเถอะ ผมขอแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกันก่อน...ลูก้านี่คือพี่ชายของผมชื่อหนึ่ง”
“พี่ชาย?”
“พี่หนึ่งนี่ลูก้า เขาเป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์...แต่ถึงจะบอกไปก็ไม่รู้อยู่ดีสินะ เอาเป็นว่าเขาเป็นมนุษย์ที่สามารถกลายร่างเป็นไดโนเสาร์ได้ ปกติไม่มีมนุษย์บ้าๆคนไหนกล้าท้าสู้เมื่อเห็นสีผมนี่หรอกนะ”ผมอดไม่ได้ที่จะชี้ไปยังเส้นผมสีฟ้าแซมแดงของลูก้าระหว่างบ่นพี่ชายตัวเอง
รู้ว่าพี่เก่งแต่ถ้าเทียบกับลูก้า...ผมไม่คิดว่าจะชนะได้หรอกนะ
เหมือนลูก้าจะยังออมมืออยู่หรือไม่ก็ไม่ชินกับการสู้ในร่างมนุษย์
“ไดโนเสาร์...จริงดิ ฉันอยากลองสู้กับไดโนเสาร์ดูสักครั้งพอดี กลับร่างซะแล้วมาสู้กันอีกรอบ”พี่หนึ่งทำตาโตเมื่อได้ยินแต่ไม่ใช่ตาโตแบบอารมณ์หวาดกลัวแต่เป็นตื่นเต้นและสนใจ
“เลิกบ้าเลยพี่ เดี๋ยวได้ตายจริงๆหรอก”
“ไม่แน่ฉันอาจชนะก็ได้”
“ไม่มีทาง ลูก้าไม่มีทางแพ้พี่”ผมพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“มั่นใจเกินไปหน่อยมั้ง...จะว่าไปก็พึ่งเคยเห็นเราเป็นแบบนี้แฮะ”
“เป็นอะไร?”
“หึ...ไม่รู้สินะ”
“ห๊ะ?...อะไรของพี่เนี่ย”
“อย่ามาขึ้นเสียงนะ เดี๋ยวโดนเลย”พูดจบพี่ก็คว้าคอผมไปขยี้หัวแรงก่อนพวกเราจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน
การโดนขยี้ผมเป็นสิ่งที่โดนมาตั้งแต่เด็กเลยค่อนข้างชิน
ยังไงผมก็สนิทกับพี่หนึ่งที่สุดในบ้านละนะ
“สาม”
“ลูก้า?”
“ขอโทษที่ไม่ฟัง”น้ำเสียงสำนึกผิดนั่นทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
“ไม่เป็นไร นานๆได้คู่มือเก่งๆบ้างก็ดีใช่ไหม พี่ผมเก่งเนอะ”
“อืม...สมที่เป็นพี่ของสาม”
“โอ๊ะ ยังไม่ได้คุยเลยนี่ว่าวันนี้ฉันมาหาทำไม”
“นั่นสิ แล้วพี่มาทำไมแถมอยู่ก็โทรตามบอกให้รีบลงมาอีก”เมื่อเช้าระหว่างรอลูก้าอาบน้ำพี่หนึ่งก็โทรมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย ผมเองก็นานๆทีจะได้เจอกันเลยดีใจรีบลงไปโดยลืมบอกลูก้าซะสนิท
“พอดีพวกลูกน้องป่วยกันเกือบหมดคนลงเรือเลยไม่พอน่ะสิ “
“ป่วย? เป็นอะไร?”
“เหมือนจะเป็นไข้หวัด ด้วยเหตุนั้นเลยมารับสามน่ะ”
“ห๊ะ?”ด้วยเหตุนั้น?
“เรื่องต้อนปลา หว่านแห ใช้อวน ใช้เบ็ดเราถนัดจะตาย มาช่วยกันหน่อย”ทั้งน้ำเสียงและคำพูดไม่เหมือนกำลังขอร้องให้ช่วยสักนิด
มันเป็นการบังคับให้ไปชัดๆ
“แค่นั้นพี่ก็ทำได้นี่”ยังไงก็มีความรู้ด้านนี้จากพ่ออยู่แล้ว
“มันก็ทำได้แต่ถ้าลงไปเองแล้วใครจะคอยคุมเล่า...เอาน่า มาได้แล้ว นายด้วยลูก้า”ประตูรถกระบะรุ่นเก่าถูกเปิดพร้อมมือที่กวักเรียก
“ผมยังไม่ได้ลางาน”อยู่ให้ไปโดยไม่บอกมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ไว้ค่อยโทร ยังไงก็เป็นหัวหน้าไม่มีใครว่าหรอก เร็วๆ”
“เอาไงสาม”ลูก้าหันมาถามผม
“เฮ้อ ผมคงต้องไป แต่ลูก้าจะอยู่นี่ก็ได้นะ...”
“ผมจะไปกับสาม”ยังไม่ทันพูดจบประโยคลูก้าก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าจริงจัง
ว่าแล้วว่าต้องไปด้วย
“ติดผมมากเกินไปมั้งลูก้า”ถึงจะไม่ได้ไม่ชอบก็เถอะ
“ปีกว่าที่ห่างกันมันมากเกินพอแล้ว”
“...เข้าใจแล้ว ไปกัน”ความจริงไปด้วยแบบนี้ก็ดีถือเป็นการพาไปเปิดหูเปิดตา
หลังจากตกลงกันได้ทั้งผมและลูก้าก็ขึ้นไปนั่งบนรถกระบะที่มีคนขับคือพี่หนึ่งตรงกลับไปยังบ้านเกิดของผมซึ่งอยู่จังหวัดเดียวกันเพียงแต่ไกลจากศูนย์วิจัยนี่อยู่พอสมควร ได้ชื่อว่าประมงบ้านของผมเลยอยู่ติดกับทะเลที่มีท่าเรือเป็นของตัวเอง
ตลอดการนั่งรถถูกเสียงของพี่หนึ่งพูดนู่นพูดนี่อยู่ตลอดทางจนผมอยากจะหลับไปให้รู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องมาฟังเสียงจ้อไม่หยุดนี่
รถกระบะสีเงินขับมาจอดยังหน้าบ้านขนาดกลางสองชั้น ถัดออกไปไม่ไกลก็คือท่าเรือกับโรงงานขนาดใหญ่ที่ไม่ไว้สำหรับนำสัตว์น้ำที่จับได้มาคัดแยกก่อนจะถูกเหล่าพ่อค้าแม่ค้ามารับไปขายอีกทอดหนึ่ง
“ต้องไปเตรียมตัวอีก สาม ทักทายคนในบ้านเสร็จก็ไปหาฉันที่เรือเลยนะ เป็นถึงด็อกเตอร์คงไม่ต้องบอกนะว่าเรือลำไหน”
“พี่...”ยังไม่ทันได้แย้งหรือพูดอะไรพี่หนึ่งก็ลงจากรถแล้ววิ่งตรงไปยังท่าเรือด้านข้างทันที
พอเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ผมเลยต้องส่ายหัวอย่างปลงๆระหว่างลงจากรถ กลิ่นของน้ำทะเลโชยเข้าจมูกเหมือนอย่างศูนย์วิจัย สิ่งที่ต่างกันมีเพียงที่นี่จะมีกลิ่นสาบของสัตว์ทะเลปนชัดเจนกว่า
“ที่นี่...บ้านสาม?”ลูก้าลงรถตามมาถามพลางยืนมองบ้านเดี่ยวสองชั้นตรงหน้า
“ใช่...ห้องผมอยู่ทางซ้ายสุดที่มีผ้าม่านสีฟ้า”ผมชี้ให้ลูก้าดู
ไม่ได้กลับมานานก็คิดถึงอยู่เหมือนกัน
“แปลว่าวันนี้เราจะนอนห้องนั้นสินะ”
“ไม่ได้นอนบ้านหรอกลูก้า”
“ไม่ได้นอนบ้าน? เราแค่ไปจับปลาไม่ใช่?”ลูก้าหันมาถามงงๆ
“ถึงจะแค่จับปลาแต่เป็นจับในทะเลน้ำลึกจึงต้องใช้เวลาในการเดินเป็นวันในการจับ ถ้าจะไปแค่วันเดียวส่วนมากจะเป็นประมงน้ำตื้น”ผมอธิบาย
“งั้นทำไมไม่ทำประมงน้ำตื้นล่ะ”
“ประมงน้ำตื้นมีคนทำเยอะอยู่แล้วขืนไปแย่งกันทำแต่บริเวณนั้นสัตว์น้ำจะเติบโตไม่ทันเอา แต่ถ้าเลือกประมงน้ำลึกก็อาจจะได้สัตว์หายากกลับมาด้วย”
“อ้อ...แล้ว...”
“สาม!”เสียงหวานออกสูงตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดังลั่นจนเกือบยกมือขึ้นปิดหู
หญิงสาวอายุมากกว่าผมประมาณ3ปีก้าวเข้ามาผมด้วยใบหน้าตกใจปนเคืองๆแต่พอหันหน้าไปเห็นลูก้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลดวงตาสีน้ำตาลนั่นก็เบิกกว้างขึ้น ไม่เพียงแค่ตาแต่ปากเองก็อ้ากว้างจนหมดความเป็นกุลสตรี
“พี่สอง”ผมเรียกพี่สาวแท้ๆของตัวเองด้วยน้ำเสียงเหนื่อย พี่สองหรือวารุณี ธาราสุขเป็นผู้หญิงผิวออกขาวที่สุดในบ้านเนื่องจากไม่ค่อยชอบไปขึ้นเรือประมงเหมือนผมและพี่เท่าไหร่ ทั้งสีผมและสีตาทั้งครอบครัวผมเป็นสีเดียวกันหมด
“โอ้พระเจ้า หล่อมาก...หล่ออะไรแบบนี้...”เสียงเรียกผมดูจะไม่เข้าหูพี่สองเพราะมัวแต่จ้องหน้าลูก้าด้วยความเพ้อ
อ่า...จะว่าไปพี่สองชอบผู้ชายหน้าคมๆแบบนี้นี่นา แถมพึ่งเลิกกับแฟนมาอีก
อย่าบอกนะว่าหลงรักลูก้าเข้าแล้วน่ะ
“พี่สอง”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อสองเป็นพี่สาวของสาม ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรเหรอคะ”เป็นอีกรอบที่ผมโดนพี่สาวตัวเองเมินโดยสิ้นเชิง
“...ลูก้าครับ”ลูก้าหันมาสบตาผมเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป
“ลูก้า? เป็นชื่อที่แปลกจังเลยแต่ว่าช่างหล่อเหมาะกับคุณเหลือเกิน”
“พี่สอง ห้ามยุ่งกับเขาเชียว”ผมรีบเข้าไปยืนแทรกระหว่างลูก้ากับพี่สองที่หมายจะเดินเข้ามาประชิด
สายตาแบบนั้นคงหลงเต็มที่แล้วล่ะสิ
ก็รู้ว่าลูก้าหน้าตาดี การจะมีผู้หญิงมาชอบมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้ต้องเข้ามาห้ามทั้งๆที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด
“อะไรสาม เขาเป็นกิ๊กแกรึไง”พี่สองยืนเท้าเอวถาม
“ก็เปล่า...”
“อย่ามาห้ามฉันน่า เจอคนหล่อขนาดนี้ไม่จีบก็ไม่ต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงแล้ว”
“ผู้หญิงควรจะมีความเป็นเป็นกุลสตรี...”
“นี่มันยุคไหนแล้ว ขืนรอให้ผู้ชายมาจีบคงชาติหน้ากว่าจะได้แต่งงาน”
“พี่ยังคิดจะแต่งงานอีกเหรอ”แฟนคบหาได้ไม่เคยถึงครึ่งปีเลยแล้วจะมาคิดเรื่องแต่งงาน
“พูดแบบนี้จะหาเรื่องกันใช่ไหม แล้วทีแกล่ะไม่เห็นจะพาสาวมาแนะนำสักทีจนพี่หนึ่งมีลูกสามแล้วเนี่ย”พี่สองเอ่ยพาดพิง
“ผมไม่ได้อยากแต่งงานมีลูกนี่”พูดถึงพี่หนึ่งก็ใช่อย่างที่พี่สองว่า
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภรรยาพี่หนึ่งพึ่งคลอดลูกสาวหลังจากที่มีลูกชายสองคนอยู่แล้ว ลูกสามคนอาจดูเยอะแต่ในความจริงไม่ใช่เลย ทั้งพ่อและแม่หรือแม้แต่พี่ต่างก็ชอบเด็กเลยมีคนคอยเลี้ยงดูตลอด
“แกไม่อยากแต่งแต่ฉันอยากนี่”
“พี่ไปหาคนอื่นเถอะ...พี่เห็นก็น่าจะรู้นี่ว่าเขาเป็นอะไร”ผมบอกกลับไป พี่สองไม่เหมือนพี่หนึ่งที่ไม่รู้จักไดโนเสาร์กลายพันธุ์เพราะเอาแต่สนใจเรื่องกีฬาไม่ก็ออกหาปลาเพราะพี่สองเป็นถึงผู้ประกาศข่าวประจำช่องชื่อดังแห่งหนึ่ง ดังนั้นต่อให้ไม่อยยากรู้ข่าวพวกนี้คงจะเข้าหูอยู่ดี
“รู้แล้วไง หล่อซะอย่างเรื่องอื่นอย่าไปคิดมากน่า”พี่สองพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คิดมากหน่อยสิพี่”
“ไม่สนแกแล้ว ลูก้ามีแฟนรึยังคะ?”ถ้าใครได้เสียงจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงโทนเสียงอันแตกต่างกัน เสียงที่ใช้พูดกับผมช่างแสนห้วนต่างจากพูดกับลูก้าที่หวานหยด
ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน
เอาเถอะ ยังไงลูก้าก็ต้องตอบว่ามีแล้วอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ที่พี่หนึ่งสามยังบอกว่าผมเป็นของเขาเลย
ถ้าเป็นแบบนั้นพี่สองจะได้ตัดใจกับลูก้าซะ
นี่ผมชักเริ่มแปลกที่รู้สึกดีเวลาถูกลูก้าบอกว่าเป็นของเขาแล้วสิ
อะไรเนี่ย
ไม่ใช่สิ
เลิกคิด เลิกคิดเดี๋ยวนี้
“แฟน?”ลูก้าทำหน้างง
“ใช่ค่ะ มีแฟนรึยังเอ่ย”พี่สองถามซ้ำ
“...ยังไม่มีครับ”
“...”คำตอบที่ได้ยินทำเอาผมหันควับไปมองอีกฝ่ายทันที
ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าผมเป็นของเขาอยู่เลยแล้วทำไมมาบอกว่าไม่มีเล่า
อย่าบอกนะว่าสนใจพี่สองน่ะ
แล้วทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดเนี่ย
“แบบนี้ก็เยี่ยมเลย...”
“เยี่ยมอะไรของพี่เล่า ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้”
“แล้วแกจะมาตัดสินอะไรแทนเขาล่ะ เป็นกิ๊กก็ไม่ใช่แถมเขายังไม่มีแฟนอีก”
นั่นสิ...ผมจะขวางไปทำไม
ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็...
“...ลูก้าเป็นของผม”ผมบอกเสียงเบาด้วยใบหน้าที่ร้อนขึ้น
ในเมื่อลูก้าบอกว่าผมเป็นของเขาก็แปลว่าเขาต้องเป็นของผมเหมือนกัน
พูดเองก็เขินเอง
จะบ้าตาย
“สาม”ลูก้าดูจะตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยินแต่ผ่านไปสักพักก็ยิ้มกว้างออกมา
“ยิ้มมากไปแล้ว”พึ่งจะเคยเห็นยิ้มกว้างขนาดนั้น
“ก็มันดีใจนี่”
“ไม่ต้องมาดีใจ ผมมีเรื่องต้องเคลียร์อยู่อีก”
“สาม...”
“สต๊อป เดี๋ยวนะ หมายความว่าไงที่ว่าลูก้าเป็นของแกน่ะสาม”สายตาที่จ้องมานั่นดูไม่ต้องการคำโกหกด้วย
“ลูก้า ผมเป็นอะไรกับลูก้า”ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามพี่สองแต่หันไปถามลูก้าแทน
จะให้ผมพูดอธิบายสิ่งที่ยังไม่เข้าก็ไม่ได้ ขอโยนไปให้ลูก้าละกัน
“สามเป็นคู่ของผม”
พอพี่สองได้ยินก็เบิกตากว้างพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากที่อ้ากว้างไม่แพ้กัน
“ไม่นะ...ทำไมผู้ชายหล่อๆอย่างลูก้าถึงได้ชอบคนตัวเตี้ยล่ะ”
“นั่นใช่เรื่องที่พี่ควรตกใจรึไง”ผมตะโกนกลับไป
จะให้บอกอีกกี่รอบว่าผมไม่ได้เตี้ย
ก็ใช่ที่ความสูงผมเมื่อเทียบทั้งพี่หนึ่งและพี่สองอาจเตี้ยกว่า แต่กับพี่สองผมก็ไม่เตี้ยกว่ามากมายแค่2เซนติเมตรเท่านั้นเอง
175นี่มันไม่เตี้ยนะ
โดนล้อจนผมจะคิดว่ามันเตี้ยแล้วเนี่ย
“แกไปทำเสน่ห์วัดไหนถึงได้คนหล่อขนาดนี้มาชอบฮะ”พี่สองถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้
“ไม่ได้ทำสักหน่อย”พูดเหมือนผมมีเวลาไปไหนงั้นแหละ
“เอาเถอะ...ฉันยอมแพ้ก็ได้ แต่แกเถอะ...ทำงานวิจัยทำไมถึงได้รู้จักกับไดโนเสาร์กลายพันธุ์แสนหายากได้ล่ะ”พี่สองถามต่อด้วยใบหน้าที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย
“พอดี...ผมเป็นคู่หูเขาน่ะ”ผมบอกเสียงเบา
“ว่าไงนะ ฝีมือการต่อสู้ปลาซิวปลาสร้อยอย่างแกน่ะนะ”
“พี่อย่าเอาผมไปเทียบกับพ่อหรือพี่หนึ่งสิ”พ่อผมเองก็เป็นอีกคนที่ชื่นชอบศิลปะป้องกันตัวเลยสอนให้พี่หนึ่ง พอพี่หนึ่งเก่งก็มาสอนผมต่ออีกรอบ
สองคนนั้นฝีมือเก่งมาก
ข้อนั้นผมยอมรับแต่ถ้ามาเทียบการเคลื่อนไหวในน้ำผมกล้าท้าเลยว่าผมชนะขาด
ถ้าคิดว่าต่อสู้บนบกกับในน้ำเหมือนกันละก็คิดผิดแล้ว
“ปกติแกไม่ชอบพวกต่อสู้นี่ทำไมถึงยอมรับงานนี้กัน”
“พอดีมีหลายๆเหตุผลน่ะ”ถ้าให้ขยายความผมก็คงพูดได้แค่ว่าไม่เข้าใจตัวเองเลยเหมือนกัน
“จะทำงานนั่นก็ไม่ว่าหรอกแค่กลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว”
“ครับ”ผมก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน
“เข้าไปทักทายพ่อแม่กับหลานข้างในก่อนสิ”พี่สองบอกพลางมองไปในบ้าน
“จริงด้วย...ไปกันลูก้าผมจะพาไปแนะนำครอบครัวผมให้รู้จัก”พูดจบผมก็กวักมือเรียกลูก้าให้เดินตามเข้ามาในบ้านโดยมีพี่สองเดินนำเข้าไปก่อน
ภายในบ้านเดี่ยวสองชั้นถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆหลายห้องโดยจะมีห้องใหญ่สุดอยู่ชั้นหนึ่ง ห้องนั้นคือห้องรับแขกนั่นเอง...ห้องรับแขกนี้กินพื้นที่กว่าครึ่งบ้านทำให้มีพื้นที่ให้หลานทั้งสามคนของผมวิ่งเล่นหรือนอนแผ่ได้ตลอดวันโดยไม่เบื่อ
“แม่ สามพาแฟนผู้ชายมาหาแนะ”
“เฮ้ย พูดอะไรน่ะพี่สอง”ผมรีบวิ่งตรงไปหาพี่สองที่ตะโกนบอกให้ครอบครัวที่นั่งอยู่กับพร้อมกันฟังด้วยความตื่นตกใจ
ผมไม่ได้เป็นแฟนกับลูก้าสักหน่อย
“แกว่าอะไรนะยัยสอง”
“สามพาผู้ชายเข้าบ้านน่ะแม่”พี่สองย้ำอีกรอบ
“ฉันว่าแล้ว ขนาดตัวอย่างนั้นจะมีสาวไหนมาสนใจ ใช่ไหมคะคุณ”แม่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆก่อนจะเอียงหัวไปซบสามีที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน
“ก็เหมือนยัยสองที่สูงกว่าผู้ชายเลยหาแฟนไม่ได้ไง”
“พ่ออย่ามาพูดกระทบหนูนะ”
เอาเข้าไปสิบ้านนี้
จะทับถมผมเรื่องส่วนสูงอีกนานไหม
ก็ใช่ที่นอกจากผมจะสูงน้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องแล้วผมยังสูงน้อยที่สุดในบ้านยกเว้นหลานทั้งสามคนด้วย
พ่อสูง180ขึ้นส่วนแม่ก็170ปลายๆแต่ผมกลับสูงไม่ถึงมันน่าน้อยใจนัก
“ไม่ทักทายแม่หน่อยเหรอสาม”แม่หันมาทักทายผมด้วยรอยยิ้ม
“ชอบแกล้งผม...แบบนี้ถึงไม่อยากกลับไง”ผมบ่นเสียงน้อยใจ
“โอ๋ๆ อย่างอนสิลูกรัก ถึงลูกจะเตี้ย เอ้ย สูงน้อยสุดในบ้านแต่แม่ก็รักเราที่สุดนะ”
อย่าคิดว่าผมไม่ได้ยินคำว่าเตี้ยนะแม่
แต่ไหนก็ได้เจอกันทั้งที
“สวัสดีครับพ่อแม่ ไม่ได้เจอตั้งนาน คิดถึงนะครับ”ผมพูดก่อนจะเข้าไปกอดทั้งคู่ไหวหลวมๆ
“คิดถึงเหมือนกันลูกชายแม่”
“หวังว่าคงไม่ได้เอาแต่ทำการทดลองจนลืมที่พี่แกสอนหรอกนะ”คำพูดของพ่อคงหมายถึงศิลปะการป้องกันตัวแน่ๆ
“ไม่ลืมหรอกพ่อ ตอนนี้ผมเก่งขึ้นตั้งเยอะนะ”ไม่อยากอวดหรอกว่าทั้งทักษะ ไหวพริบหรือแม้แต่ความคล่องตัวก็เพิ่มขึ้นจากการฝึกแทบทุกวัน
“โฮ่...งั้นมาลองสักหน่อยไหมล่ะ”พ่อท้าพร้อมเตรียมลุกจากโซฟา
“ขอหลังจากกลับมานะพ่อ พี่หนึ่งให้มาช่วยบนเรือน่ะ”
“อ้อ...เห็นว่าคนป่วยเยอะเลยนี่นะ”
“ใช่ครับ พี่หวานสวัสดีนะครับ”ผมหันไปทักทายสาวสวยภรรยาพี่หนึ่งด้วยรอยยิ้ม
“เช่นกันจ้าสาม ไม่ได้เจอนานเลยแบบนี้หลานๆคงจำหน้าไม่ได้แล้วมั้ง ทักทายอาสามหน่อยเร็วน้ำหอม”พี่หวานพูดพลางก้มลงไปเล็กกับเด็กสาวในชุดสีชมพูอ่อนในอ้อมกอด น้ำหอมเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ส่วนอีกสองคนก็กำลังนอนกลางวันแผ่อยู่ข้างโซฟาซึ่งก็ดีแล้วเพราะถ้าตื่นคงป่วนน่าดู
“สวัสดีครับน้ำหอม เราเคยเจอกันตอนหนูเกิดจำได้ไหมเอ่ย”ผมเดินเข้าไปถามพร้อมรอยยิ้ม
“อ้า...”
“คิก น่ารักจัง”
“หาแฟนแล้วมีสักคนสิสาม”พี่หวานเสนอ
“ไม่ล่ะครับ ผมไม่ไหวหรอก”ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ใช่เลยพี่หวาน สามน่ะมีแฟนเป็นชายหนุ่มรูปงามอยู่ทั้งคน”พี่สองพูดสบทบ
“รูปงาม?”
“ไม่เรียกเข้ามาแนะนำตัวกับครอบครัวหนอยล่ะสาม”รอยยิ้มจากพี่สองดูเหมือนกำลังสนุกที่ได้แหย่ผมเล่นแบบนี้
“ลูก้า เข้ามาสิ”ผมเรียกลูก้าที่ไม่ยอมเดินตามเข้ามา
“เข้าไปได้เหรอสาม”ลูก้าโผล่หน้ามาถาม
“ได้สิ มานี่ๆ”ผมกวักมือเรียกก่อนจะให้ลูก้าหยุดอยู่ตรงหน้าครอบครัวผมทุกคน
เห็นได้ชัดว่าทุกคนยกเว้นพี่สองที่รู้อยู่แล้วต่างมีสีหน้าตกใจ
“ลูกเขยฉัน...”แม่ถึงกับทำตาเพ้อเลยล่ะ
“งานดีมาก”พ่อพยักหน้าระหว่างมองไปยังแต่ละส่วนของร่างกาย
“รูปงามอย่างที่สองบอกจริงๆด้วย”พี่หวานถึงกับหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อเห็นลูก้า
ครอบครัวผมดูจะหลงลูก้ากันเป็นแถบ
“ลูก้า”ผมสะกิดเล็กน้อยเป็นเชิงให้ทักทาย
“ผมลูก้าครับ ยินดีที่รู้จักครับ”
“ยินดีที่รู้จักมากเลยจ้า คนอะไรทำไมหล่อแบบนี้ มานั่งข้างแม่มา”แม่ถึงกับผลักพ่อที่อยู่ให้เขยิบไปก่อนจะตบยังโซฟาเบาๆแทนการเรียก
“เอ่อ...สาม...”ดวงตาสีเงินนั่นมองมาเหมือนขอความช่วยเหลือ
“พวกเราต้องรีบไปเรือน่ะแม่ ขอตัวก่อนดีกว่า”
“แกก็ไปสิสาม ให้เขาอยู่นี่กับแม่ก็ได้”
“...”แม่...ผมลูกแม่นะ ไล่กันแบบนี้เลยเหรอครับ
“ผมจะไปกับสาม”ลูก้าพูดทันทีที่ผมเงียบไป
คงคิดว่าผมลังเลที่จะให้ไปด้วยสินะ
“รู้แล้ว ผมก็ไม่ให้นายอยู่นี่หรอก ทุกคนผมกับลูก้าขอตัวล่ะไว้กลับจะมาหาใหม่นะครับ”สุดท้ายผมก็บอกลาก่อนจะพาลูก้าเดินตรงเข้าไปยังท่าเรือ
ท่าเรือของบ้านผมเป็นท่าเรือไม่ยาวมากเดินไปไม่นานก็เจอเรือหลายลำยอดอยู่ติดๆกันซึ่งแต่ละลำก็จะใช้ในรูปแบบต่างกันออกไป จากที่มองดูเหมือนจะมากกว่าครั้งล่าสุดที่ผมมาซะอีก
“สามรู้เหรอว่าลำไหน”ลูกก้าถาม คงเพราะเราเดินผ่านเรือมาหลายลำแล้วแต่ผมไม่มีทีท่าจะหยุดเดินเลย
“รู้สิ จะว่าไปผมมีเรื่องอยากถามหน่อย”อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องคาใจอยู่
“เรื่องอะไร”
“สนใจ...พี่สองเหรอ?”ก็รู้ว่าควรปล่อยผ่านไปแต่ยังไงมันก็สงสัยอยู่ดี
“พี่สอง?...เปล่านี่ ทำไมสามถึงถามแบบนั้นล่ะ”ลูก้าถามกลับด้วยน้ำเสียงงงๆ
“ก็เห็นพูดว่ายังไม่มีแฟนก็เลยคิดว่าสนใจรึเปล่า...”
“ก็ผมไม่มีแฟนจริงๆนี่”
“...งั้นผมเป็นอะไร”น้ำเสียงเบาๆราวกับพึมพำนั่นถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ได้ยินแต่ด้วยประสาทสัมผัสของลูก้าทำให้ผมรู่ว่ายังไงก็ไม่มีทางรอดหูนั่นแน่
“สามเป็นคู่ของผมไง”ลูก้าตอบโดยไม่ต้องคิด
“มันต่างกันตรงไหน”คำว่าคู่ไม่ใช่แฟนรึไงกัน
“แฟนมันเหมือนเป็นคำเอาไว้สำหรับดูใจกันถ้าไม่พอใจก็เลิก แต่คู่สำหรับผมคือเลือกแล้วและจะไม่มีทางเปลี่ยนใจไปหาคนอื่น”
ฉ่า
ความร้อนจากทั่วร่างกายมารวมยังใบหน้าอย่างฉับพลัน ขนาดอากาศยามสายร้อนเปรี้ยงจนเหงื่อไหลยังไม่เท่าความร้อนบนใบหน้าผมเลย
“...ไปกันเถอะ”ขืนฟังมากกว่านี้ผมอาจก้าวขาไม่ออกก็ได้
“แต่แฟนก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นคู่ของมนุษย์ งั้นสามมาเป็นแฟนผมนะ”
กึก
“อะ...ไรนะ”ขาที่ก้าวถึงกับหยุดเดินอย่างกะทันหันก่อนจะหันกลับไปมองหน้าลูก้าอีกรอบ
“เป็นแฟนผมนะสาม”
“...มาขออะไรตอนนี้เล่า”
“ไม่รู้สิ ก็แค่รู้สึกว่าถ้าเป็นแฟนกันก็คงดีเลยขอน่ะ”
“...”
“สาม...”
“ขอคิดดูก่อน”ผมตอลกลับไปด้วยเสียงสั่นพร้อมก้าวต่อไปตามทาง
“เดี๋ยวสิสาม...ขอคิดอะไร”
“จะให้ผมตกลงเลยรึไง”
“อืม”
“ไม่ต้องมาพยักหน้านะ”ผมหันไปบ่นอีกรอบ
ขอล่ะ ให้เวลาหัวใจผมได้ลดจังหวะการเต้นลงหน่อยเถอะ
จู่ๆก็ขอเป็นแฟน จะให้ผมตอบตกลงทั้งที่ยังไม่แน่ใจในตัวเองได้ยังไง
กับลูก้าคงไม่ต้องหาความแน่นอนหรือแน่ใจอะไรอีกแล้วเพราะความรู้สึกชอบและรักผมสัมผัสถึงมันได้มาตั้งนานแล้วเพียงแค่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น
ข้อสำคัญอยู่ที่ความรู้สึกผมว่าจะเป็นยังไง
ชอบ
ก็คงใช่
แต่ถ้ารักไหม
ผมไม่รู้
เพราะงั้นเลยขอเวลาเพื่อทบทวนความรู้สึกนี้ให้แน่ใจก่อนจะให้คำตอบ
การพูดคุยระหว่างทางเป็นอันสิ้นสุดเมื่อมาถึงเรือขนาดใหญ่สีเงินแกมเทาที่มีลูกน้องหลายคนกำลังขนเครื่องมือต่างๆขึ้นไปยังเรือ เรือลำใหญ่นี้เป็นเรือที่อยู่มาตั้งแต่รุ่นพอผม...ครั้งแรกในการออกทะเลของผมก็เรือลำนี้แหละ
“ช้า”นี่คือคำทักทายแรกจากพี่ชายที่ยืนเท้าเอวด้วยใบหน้าหาเรื่อง
“ไปบอกแม่กับพี่สองไป”ที่มาช้ามันไม่ใช่ความผิดผมสักนิด
“ไม่ใช่เดินจู๋จี๋กันระหว่างมารึไง”พี่หนึ่งพูพลางยักคิ้วส่งมาให้
“ใครจู๋จี๋กัน ไปออกเรือได้แล้ว!”ผมตะโกนบอกเหล่าชายหนุ่มซึ่งเป็นเหล่าลูกน้องอันแสนคุ้นหน้าคุ้นตาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก
“ครับคุณสาม!”
“เฮ้ย...ฉันเป็นกัปตันนะเฮ้ย”พี่หนึ่งตะโกนต่อเมื่อเห็นว่าทุกคนทำตามคำสั่งผม
“กัปตันคือคุณเทียนต่างหาก”ลูกน้องคนหนึ่งตะโกนบอก
“แล้วฉันที่ยืนหัวโด่เป็นใครฮะ”
“บอสไงครับ”ทุกคนบนเรือต่างตะโกนตอบอย่างพร้อมเพรียง
“หึ...ใช้ได้ๆ จากนี้เรียกฉันว่าบอสซะ”
“ไม่”ผมส่ายหันทันทีที่ได้ยิน
“กล้าขัดคำสั่งบอสเหรอ”
“สนุกไปแล้วมั้งพี่ ไปเช็กความเรียบร้อยก่อนออกเรือรึยัง”ผมถามพลางมองไปยังรอบๆที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ในการจับสัตว์ทะเล
“ให้ลูกน้องเช็กแล้วไง”
“พี่ก็ควรไปเช็กด้วย ถ้ามีอะไรขาดขึ้นมาผมจะให้พี่ว่ายกลับมาเอา”ผมยื่นคำขาด
“โฮ่ กล้าสั่งฉันเหรอสาม”
“ก็กล้ากว่าที่พี่คิดละกัน”เป็นหัวหน้าแต่ทำงานแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน
พี่หนึ่งยืนสบตาผมนิ่งๆสักพักก่อนที่หมัดขวาตรงจะถูกเหวี่ยงมาอย่างแรงทว่าจังหวะการออกหมัดนั่นผมเห็นตั้งแต่ตอนอีกฝ่ายกำมือแล้วเลยทำให้หลบได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
“ใช้ได้นี่...เร็วกว่าเมื่อก่อนอีก”พี่หนึ่งเอ่ยชม
“ถ้าไม่เร็วผมคงสู้กับไดโนเสาร์ไม่ได้หรอก”ระดับความเร็วของไดโนเสาร์ร้อยทั้งร้อยต่างเหนือกว่ามนุษย์ ดังนั้นเราก็ควรฝึกการมองเห็นและการโต้ตอบโดยฉับพลันเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
“อยากเห็นชะมัด”
“ไม่ใช่ภาพที่น่าดูนักหรอก”
“ยิ่งห้ามยิ่งอยากเห็น...เอาเถอะ ฉันขอไปเช็กอุปกรณ์สักหน่อยละกัน”พี่หนึ่งโบกมือลาก่อนจะเดินไปสำรวจรอบๆ
“ก็ไปแต่แรกสิ”ผมไม่เข้าใจว่าจะถ่วงเวลาให้ต้องเหวี่ยงหมัดใส่ผมเพื่ออะไร
“สาม...ทะเลนี่ลึกกว่าที่ฝึกอีก”ลูก้าพูดระหว่างที่ดวงตาสีเงินมองไปยังทะเลเบื้องล่าง
“ลึกกว่าเยอะเลยล่ะ ครั้งหน้าลองยืมเรือพาไปฝึกลึกกว่าเดิมดีกว่า”ปกติที่ฝึกก็มักจะเป็นสถานที่เดิมตลอด นอกจากระดับน้ำจะไม่ลึกมากแล้วยังไม่ค่อยมีอุปสรรค์อะไรมากด้วย
“อยากว่าย...”แววตาของลูก้าส่องประกายทุกครั้งที่มองทะเล ซึ่งก็สมควรแล้วที่เกิดมากับท้องทะเล
“ขืนกลับร่างสัตว์ที่จะหว่านแหได้ก็ชวดกันหมดพอดี”มีนักล่าขนาดใหญ่กว่า10เมตรว่ายคงมีพวกปลาหรือสัตว์อะไรกล้าว่ายเข้ามาใกล้หรอก
“งั้นถ้าร่างมนุษย์...”
“อย่าแม้แต่คิดเชียว คลื่นที่เกิดจากเครื่องยนต์ของเรือทำให้กระแสน้ำโดยรอบค่อนข้างรุนแรง ลงไปว่ายได้มีเจ็บตัวพอดี”ผมรีบพูดขัดเมื่อรู้สิ่งที่ลูก้าจะบอก
“...น้ำทะเล”เสียงเศร้ากับสายตาที่ทอดมองไปยังพื้นน้ำทำเอาผมไม่รู้จะขำหรือเศร้าใจดี
“ไว้รอลงตอนไปถึงจุดว่านแหละกัน”
“ว่ายน้ำได้เหรอ”ลูก้าหันมาถามตาเป็นประกาย
“แน่นอน แต่กว่าจะถึงคงเกือบเย็นนะ”
“อืม”
เรือขนาดใหญ่แล่ออกไปยังทะเลไกลขึ้นเรื่อยจนถึงช่วงเกือบห้าโมงเย็นแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไปดูงดงามราวกับภาพวาดมีชีวิต การว่านแหจะทำโดยการพาเรือไปยังจุดที่ต้องการก่อนจะทิ้งแหลงไปแล้วกะจังหวะค่อยๆใช้เรือลากเพื่อจับสัตว์ที่อยูแถวนั้น
วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและใครๆก็ทำได้เพียงแต่ครอบครัวผมการลากแหจำเป็นต้องมีคนคอยขยับแหไม่ให้พันกันเวลาเรือลากไม่งั้นก็จะเสียพื้นที่ไปมาก
ดูจากหน้าของคนบนเรือผมก็รู้ทันทีว่าทำไมถึงต้องลงทุนไปพาผมมา
ทุกคนที่นี่อาจเป็นชาวประมงที่ปนะสบการณ์ในการคัดแยกสัตว์หรือออกแรงดึงแหแต่ไม่มีใครกล้าลงไปจัดการกับแหใต้ทะเลกันสักคน
“สาม...กระโดดลงไปซะ”ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรพี่หนึ่งก็เดินมาบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆราวกับให้ไปซื้อปลาจากตลาดมาสักตัว ถ้าเป็นคนอื่นคงได้ส่ายหน้าหนีหน้าที่อันตรายนี่กันเป็นแถวแต่นั่นไม่ใช่กับผมที่จัดการเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก
“ครับๆ...ลูก้าได้เวลาแล้ว...”
ตู้ม
ไม่ต้องรอให้ผมพูดจบร่างของลูก้าก็กระโดดลงไปจากด้านบนของเรือท่ามกลางความตกใจของลูกน้องหลายสิบชีวิต ผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้ากับการกระทำนั้นก่อนจะขอตัวใช้บันไดลงไปยังน้ำทะเล
ถึงผมจะมั่นใจในการว่ายน้ำแต่การจะให้กระโดดจากเรือที่สูงเกือบ10เมตรนี่ก็ไม่ใช่เรื่อง
“ลูก้า อย่าพึ่งดำลงไป”ผมรีบว่ายไปคว้าเสื้ออีกฝ่ายไว้ก่อน
“ผมไม่ไปไกลหรอก”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น...เราต้องไปช่วยจัดการแหไม่ให้พันกันก่อน”ผมบอกสิ่งที่ต้องทำออกไป
“แห...หมายถึงไอ้นั่น”ลูก้าเหลือบสายตาไปมองแหที่ถูกโยนลงมาจากบนเรือเป็นเชิงถาม
“ใช่...ลูกแค่ทำตามผม แต่เราจะอยู่กับคนละฟัง ลูก้าฟังนี้ส่วนผมฝั่งนั้น โอเคนะ”
“เข้าใจแล้ว”
“ดี ไปกันเลย”พูดจบผมก็กลั้นหายใจมุดตัวลงมาใต้น้ำว่ายตรงไปหาแหขนาดใหญ่ที่จมอยู่ในสภาพค่อนข้างยุ่งเหยิง
นี่โยนมาแบบไม่ได้จัดเลยนี่
ขึ้นไปผมจะบ่นให้หูชาเลยพี่หนึ่ง
ผมได้แค่คาดโทษพี่ชายตัวเองระหว่างว่ายไปยังฝั่งที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ แหขนาดใหญ่ค่อยๆถูกคลี่ออกจนขยายเป็นแผ่นขนาดใหญ่โดยมีลูก้าทำแบบเดียวกันอยู่อีกข้าง ด้านบนของแหมีเชือกเส้นใหญ้ร้อยผ่านไว้สำหรับใช้เรือยาก
ที่บอกว่างานนี้อันรายคือตอนที่เรือเริ่มลากแห ด้วยความเร็วของเรือแม้จะใช้ความเร็วไม่มากเท่าปกติแต่ก็ยังถือว่าเร็ว ถ้าเกิดกะจังหวะพลาดอาจถูกลากเข้าไปรวมกันเหล่าสัตว์ที่ถูกจับก็เป็นได้
ปกติจะให้คนที่เชี่ยวชาญอย่างพี่กุ้งกับพี่นกทำ แต่ดูเหมือนจะไม่สบาย
เมื่อจัดการดูแหไม่ให้พันกันเสร็จผมก็หันไปมองลูก้าพร้อมชี้นิ้วลงไปด้านล่างพร้อมรอยยิ้ม ลูก้าที่เห็นก็พยักหน้าก่อนจะว่ายมาหาและดำลงไปด้านล่างพร้อมๆกัน
สำหับผมกับลูก้ายามอยู่บนบกอาจต้องใช้คำพูดมากมายในการสื่อสารแต่เมื่อลงน้ำเมื่อไหร่เพียงแค่มือหรือสายตาก็สามารถสื่อสารกันได้ไม่ต่างจากใช้เสียง
สัมผัสของการสื่อสารโดยไม่มีเสียงทำให้ผมรู้สึกดีมากกว่าตอนใช้เสียงอีก
ในน้ำทะเลนี่เราไม่ได้ใช้เสียงในการสื่อสารแต่เป็นหัวใจที่รับรู้ถึงกันได้
........................................................................
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้มาอัพซะนานเลย ขอโทษที่ให้รอกันานนะคะ
หลายคนเดากันถูกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เฉลยออกมาก็คือพี่ชายของสามหรือพี่หนึ่งนั่นเอง
ตอนนี้เหมือนเป็นการแนะนำตัวครอบครัวของสามให้ทุกคนได้รู้จักกัน โดยส่วนตัวชอบนิสัยของพี่หนึ่งแต่งแล้วตลกดี
สำหรับการทำประมงเราไม่ได้มีความรู้หรือขั้นตอนการทำนักแต่ที่เราแต่งแบบนี้ก็เพราะอยากพูดถึงฉากใต้น้ำและการมีส่วนร่วมในอาชีพของครอบครัว อาจจะอ่านแล้วติดๆ อยู่บ้างก็ถือว่าเป็นเรื่องแต่งกับแฟนตาซีนะคะความสมจริงเลยอาจไม่มาก
ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
มีความรู้สึกว่าพี่หนึ่งจะได้เห็นการต่อสู้กับไดโนเสาร์ยังไงไม่รู้