◈ธาราที่14◈
(...ภารกิจสำเร็จอย่างงดงามเลยนะทรี)
“งดงามอะไรกัน บาดเจ็บทั้งคู่ไม่เรียกว่างดงามหรอกนะ”ผมตอบปลายสายไประหว่างที่ใช้มือข้างหนึ่งเปิดเอกสารแล้วกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ
ตอนนี้ผมอยู่ในห้องวิจัยบริเวณด้านหน้าที่เป็นเหมือนห้องรับแขกโดยมีรองหัวหน้าอย่างยุกับเหล่าผู้ช่วยทุกคนเดินวนเวียนแอบฟังบทสนทนาของผมอยู่แทบตลอดเวลา
ถ้าถามว่าทำไมถึงรู้คำตอบนั้นก็ง่ายมากเพราะปกติไม่มีทางที่เหล่าลูกน้องผมจะเดินเข้าเดินออกเป็นว่าเล่นแบบนี้แถมยังมีการมาหยุดยืนด้านหลังผมอย่างเนียนๆอีก
วันนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่ผมหาเวลามายังห้องวิจัยเพื่อช่วยทุกคนทำงานหลังจากไม่ได้มาซะนาน หลายอาทิตย์มานี้ผมทุ่มกับการฝึกเคลื่อนไหวในน้ำอยู่ตลอด เพียงแต่การเคลื่อนไหวในน้ำไม่ได้ทำง่ายๆจึงจำเป็นต้องฝึกร่างกายให้แข็งแรงกว่านี้โดยการวิ่งหรือออกกำลังมากขึ้น
ผมเป็นพวกถ้าคิดจะทำอะไรก็จะทุ่มสุดตัว
(เจอดังเคิลออสเตียสเกือบ10ตัวถ้าจัดการได้หมดโดยไม่มีแผลผมอาจคิดว่าทรีไม่ใช่มนุษย์)เซโครพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ถ้าเป็นนายอาจไม่มีแผลก็ได้นะ”ผมบอกไปตามตรง
ทั้งความสามารถและประสบการณ์เซโครมีมากกว่าอีก
(ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ...จริงอยู่ที่ผมเก่ง...)
“ไม่มีถ่อมตัวเลยนะ ถึงจะเก่งจริงๆก็เถอะ”
(ก็นะ แต่ถึงผมเก่งก็เทียบเรื่องนี้กับทรีไม่ได้หรอก)
“ยังไง”ผมถามกลับพลางหันไปมองพี่พลตาขวางเมื่อถูกเดินเข้ามาแอบฟังกันโต้งๆ
(ผมอาจมีประสบการณ์ต่อสู้มากกว่าหน่อยแต่การเคลื่อนไหวในน้ำผมทำไม่ได้ขนาดทรีหรอก เล่นตีลังกาใต้น้ำกระโดดขึ้นไปขี่ดังเคิลออสเตียสแบบนั้น...คนปกติไม่ทำหรอกนะ)
“รู้เรื่องนั้นได้ยังไง”ผมถามเสียงเข้ม เหมือนที่ผมรายงานไม่จะไม่ได้ละเอียดขนาดนั้นนะ
(พอดีได้เห็นคลิปจากเรือที่ส่งมาให้น่ะ)
“เรือนั่นเหรอ...ไม่คิดว่าจะอัดไว้นะเนี่ย”ในยุคนี้การมีกล้องใต้น้ำไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร นอกจากไม่แปลกแล้วยังเป็นเรื่องปกติอีก การเดินเรือทางทะเลเป็นสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเพราะมนุษย์สามารถมองเห็นเพียงส่วนเหนือระดับผิวน้ำทะเลเท่านั้น
แน่นอนว่าความอันตรายมักไม่อยู่ในที่ที่สามารถมองเห็นง่ายต่อให้มีเรด้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นดังนั้นการมีกล้องดีๆติดไว้ช่วยให้มองเห็นภาพในระยะใกล้ไกลได้อย่างชัดเจนขึ้น
(ยูทาร์ยังบอกเลยว่าถึงทรีจะตัวเล็กแต่กล้าหาญจริงๆ)
“ว่าใครตัวเล็กกัน...ผมสูงมาตรฐานเหอะ”
(มาตรฐานเอเชียสินะ)อีกฝ่ายพูดล้อๆ
“เซโคร”พูดแบบนี้หาเรื่องกันนี่
(ไม่ชอบให้พูดเรื่องส่วนสูงจริงๆแฮะ...ความจริงมันก็มีข้อดีหลายๆอย่างไม่ใช่เหรอ การตัวเล็กไม่ได้แปลว่าต้องแพ้นี่นะ)
“ก็ใช่อยู่...บางทีมันก็เป็นข้อดีได้ แต่เข้าใจไหมว่าการตัวเตี้ยอยู่คนเดียวมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย”
(ไหนบอกว่าสูงมาตรฐานไง)
“อึก...เอาน่า เปลี่ยนเรื่องเถอะ”
(ทำงานกับคู่หูเป็นยังไงบ้าง)เซโครเปลี่ยนเรื่องตามที่ขอ
“เป็นยังไงน่ะเหรอ...ก็โอเคอยู่”ไม่สิ ควรจะบอกว่าโอเคมากกว่าที่คิดไว้ซะอีก
แต่ก็ยังตัดสินอะไรกับการต่อสู้เดียวไม่ได้
(งั้นก็ดีแล้ว...ไว้มีภารกิจจะติดต่อไปใหม่)
“ได้ครับ ขอบคุณที่เหนื่อยนะครับหัวหน้าไทรแอสซิก เบนซ์ ฟงเซ่”ได้โอกาสผมก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนๆบ้าง
(ยินดีครับด็อกเตอร์นทีธาร ธาราสุข)ปลายสายเองก็ไม่ยอมน้อยหน้ากวนผมกลับก่อนจะวางสายไป
“จะแอบฟังอีกนานไหม”วางสายเสร็จผมก็หันไปมองรอบๆไล่ตั้งแต่ผู้ช่วยสาวกับรองหัวหน้าอย่างที่แอบมองมาจากมุมทางเดินไปห้องทดลองไปจนถึงวุธที่ถึงมือทั้งสองข้างจะคีย์แป้นคีย์บอร์ดอยู่แต่หูกลับหันข้างราวกับแอบฟัง และสุดท้ายคือพี่พล...คนนี้ไม่ได้ใช้วิธีแอบแต่นั่งลงยังเข้าอี้ด้านข้างฟังกันตรงๆนี่แหละ
ลูกน้องผมแต่ละคน
ว่างๆกันทั้งนั้น
“สาม...ปลายสายนั่น ด็อกเตอร์ ไทรแอสซิกรึเปล่า”ยุกเดินเร็วๆเข้ามาถามด้วยใบหน้าตื่นเต้น
“ใช่...แล้ว...”
“จริงเหรอเนี่ย ก็รู้ว่ารู้จักกันแต่ไม่คิดว่าจะสนิทถึงขั้นโทรมาคุยแบบนี้ สุดยอดไปเลย เห็นว่าเขาเป็นถึงลูกชายของบิดาแห่งการคืนชีพที่มากด้วยความสามารถไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์หรือแม้การต่อสู้”คำพูดของยุแสดงให้เห็นว่าเขาปลื้มเซโครเอามาก
“อ่า...พอดีว่าเรียนที่เดียวกัน...”
“ด็อกเตอร์ได้ไปเรียนที่เดียวกับคนสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ น่าตกใจจริงๆ ไม่สิ ที่น่าแปลกใจกว่าคือทำไมถึงได้รู้จักกันได้”คราวนี้เป็นพี่พลที่ถามบ้าง
“รู้จักกันแล้วมันแปลกตรงไหน”
“ก็ด็อกเตอร์ตัวเล็ก...อั๊ก...”ไม่ต้องรอให้พี่พลพูดจบประโยคผมก็จัดการชกแรงๆเข้าที่แขนจนอีกฝ่ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย”ตัวเล็กแล้วมันผิดรึไง
จะให้บอกอีกกี่ครั้งกันว่า175มันไม่ได้เรียกว่าตัวเล็กเฟ้ย
“เห็นว่าหล่อมากจริงรึเปล่าคะหัวหน้า ในรูปว่าหล่อแล้วแต่ตัวจริงคงหล่อกว่าแน่ๆเลย”ฟ้าวิ่งเข้ามาร่วมวงอีกคน
“จะว่าหล่อก็ใช่อยู่แต่ก็ไม่มากขนาดนั้น...ถ้าให้เทียบลูก้าหล่อกว่าอีก”ผมพึมพำประโยคสุดท้ายเบาๆแต่ดูเหมือนจะไม่สามารถรอดหูของทุกคนไปได้
“แหม หัวหน้านี่ทั้งรักทั้งหวงลูก้าเลยนะคะ”ฟ้าพูดด้วยใบหน้าแดงๆราวกับกำลังชมฉากรักของละครยามดึก
“อย่าพูดเหมือนผมเป็นโรคจิตสิ”ไม่มีคำพูดที่ดูดีกว่านี้แล้วรึไง
“ชอบก็บอกว่าชอบสิด็อกเตอร์ อย่ามาอ้อมค้อมเลย ถึงขนาดยอมทิ้งการวิจัยและทดลองนี่คงไม่แค่หวงแล้วมั้ง แบบนี้มันหลงชัดๆ”
“พี่พล...ผมจะไม่ให้พี่หยุดสุดสัปดาห์นี้”ผมพูดเสียงเข้ม
“อะไรนะด็อกเตอร์...ทำไมทำกันแบบนี้เล่า”พี่พลโวยวายขึ้นทันที
“รู้สึกว่างานวิจัยนี่จะง่ายมากสินะ งั้นผมขอตัว”พูดจบผมก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องทดลอง
ทั้งที่คิดว่าจะมาช่วยแต่กลับโดนพูดอะไรก็ไม่รู้
ชอบบ้างล่ะ
รักบ้างล่ะ
หวงบ้างล่ะ
หลงบ้างล่ะ
“สาม”
เฮือก!
“ละ...ลูก้า”เสียงตะโกนอันคุ้นเคยทำเอาผมสะดุ้งอย่างไม่ตั้งตัว
“เป็นอะไร...ทำไมหน้าแดง...”
“อากาศมันร้อนหรอก”ผมสวนกลับทั้งที่ลูก้ายังพูดไม่จบประโยค
ให้ตายสิ
นี่ผมหน้าแดงเหรอ
ต้องเป็นเพราะอากาศร้อนๆนี่แน่
ไม่มีทางที่ผมจะเขินเพราะถูกพวกนั้นแหย่เรื่องลูก้าแน่นอน
“ร้อน?...ก็ร้อนอยู่หรอก”
“แล้วมาอยู่นี่ เรื่องที่วานไปทำกับพี่จันเสร็จแล้วเหรอ”ผมเปลี่ยนเรื่องถาม ตั้งแต่เช้าผมวานให้ลูก้าไปช่วยพวกพี่จันจัดการกับปลาไหลไฟฟ้าที่ไม่ยอมออกมาจากซอกโขดหินมาหลายวัน ถึงจะพูดว่าจัดการแต่ก็ให้ลูก้าไปพูดคุยกับพวกปลาไหลเท่านั้นเอง
รู้สึกว่าลูก้าจะสามารถพูดคุยกับสัตว์ได้เลยคิดว่าจะพอช่วยเรื่องนี้ได้
“เรียบร้อย”ลูก้าพยักหน้าอย่างภูมิใจ
“เร็วไปมั้ง...”พวกพี่จันที่ทำหน้าที่ดูแลสัตว์มานับปีกลับแพ้ให้กับลูก้าที่ไร้ประสบการณ์เนี่ยนะ
เอาเถอะ ก็สมแล้วกับที่ผมคาดหวัง
“ที่พวกเขาไม่ออกมาเป็นเพราะตัวติดกันอยู่ในซอกโขดหินน่ะ...เล่นอัดเข้าไปตั้งหลายตัวก็สมควรติดอยู่หรอก”ลูก้าเล่าให้ฟัง
“พึ่งเคยเจอปลาไหลติดซอกโขดหินแฮะ”ปกติพวกปลาไหลชอบอยู่รวมกันในรูหรือซอกอยู่แล้ว การจะติดจึงไม่เคยเห็นมาก่อน
นี่ถือเป็นครั้งแรก
ถ้าเพราะสาเหตุนี้ก็ไม่แปลกที่พวกพี่จันจะไม่รู้ ถึงพวกเราจะคอยดูแลหรือศึกษาพฤติกรรมแต่ก็ไม่สามารถเข้าใจถึงภาษาได้ การที่พวกปลาไหลไม่ยอมออกมาถ้าเป็นผมคงคิดว่าป่วยหรือไม่ก็อยู่ในช่วงจำศีลไม่มีทางคิดว่าตัวติดกันจนออกไม่ได้หรอก
เรื่องนี้มีแค่คนที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ได้เท่านั้นที่สามารถรู้ได้
“แล้วสามล่ะ...ไหนว่าจะอยู่ทดลองหลังจากไม่ได้มาซะนานไม่ใช่เหรอทำไมถึงออกมาแล้ว”ลูก้าถามด้วยวามสงสัย
“อ่า...พวกนั้นคงไม่ต้องการความช่วยเหลือหรอก”คอยดูนะถ้างานไม่คืบหน้าผมจะแจ้งฝ่ายหักเงินให้หมดเลย
“แบบนี้ก็ว่าง...ใช่ไหม?”ลูก้าถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“อืม...ว่าง ไหนๆก็ว่างแล้ว...ไปทะเลกันดีไหม”ผมเสนอความเห็น
“เอาสิ ผมอยากดำน้ำ ครั้งนี้จะลองดำลงไปให้ลึกกว่าเมื่อวานดู”
“เปล่า...ผมไม่ได้จะพาไปดำน้ำ”
“...ไม่ใช่?”ท่าทางงงๆของลูก้าทำเอาผมอยากหัวเราะออกมาดังๆ
ตั้งแต่ที่ผมทุ่มกับการฝึกทุกๆวันพวกเราจะดำน้ำเพื่อฝึกการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เมื่อวานเองก็ลองดำลงไปในระดับความลึกที่มากขึ้นดู
“เคยไปชายทะเลรึเปล่า”
“...”ลูก้ากระพริบตาปริบๆก่อนจะชี้ไปยังชายทะเลด้านข้าง
“ไม่ใช่ที่นี่สิ...ผมจะพาไปทะเลที่อื่น เอาไหม”ผมถามอีกรอบ
“ทะเล...ที่อื่น เอาสิ”ลูก้าพยักหน้าตอบกลับมา
“ดี ไปเตรียมตัวกันดีกว่า”
หลังจากนั้นผมก็กลับไปเตรียมข้าวของบนห้องก่อนจะขับรถออกาจากศูนย์วิจัยสัตว์น้ำตรงไปตามถนนผ่านสิ่งก่อสร้างทั้งบ้านและตึกไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ขับรถผมก็แอบมองลูก้าเป็นระยะ...ท่าทางของเขาดูจะสนใจกับสิ่งที่เห็นพอสมควร
เพราะโตมากับเกาะและศูนย์วิจัยนี่เลยไม่ได้ออกไปเปิดโลกกว้างที่อื่นนัก
สงสัยต่อไปนี้ผมคงต้องหาเวลาพาลูก้าไปเปิดหูเปิดตาบ้างแล้ว
ขับรถไปสักพักใหญ่สุดท้ายก็มาถึงยังชายหาดสีนวลแห่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อติดอันดับประเทศ ไม่ใช่แค่คนในประเทศที่ชื่นชอบแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเองก็มักจะมาอาบแดดและเล่นน้ำที่นี่เช่นกัน
ด้วยความที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทำให้การจราจรติดขัดทั้งที่พึ่งเป็นช่วงสายของวันของวันเท่านั้น กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็เสียเวลาไปนานอยู่เหมือนกัน
“คนเยอะมาก”นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน ตลอดการหาที่จอดลูก้าก็พูดอยู่ตลอดเพราะไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่คนเดินกันอยู่ให้ทั่ว
“ถือนี่ไปด้วยลูก้า”ผมกวักมือเรียกอีกฝ่ายให้มาหาพร้อมส่งร่มกันแดดขนาดใหญ่ตามด้วยเสื่อขนาดกลางไปให้ ส่วนผมก็ถือพวกของอื่นๆอย่างกระติกน้ำแข็งที่มีเครื่องดื่มเย็นๆใส่อยู่หรือพวกของกินต่างๆ
ผมเดินนำลูก้าลงไปยังชาดหาดซึ่งมีผู้คนนอนเล่นอยู่หนาตา กว่าครึ่งเป็นชาวต่างชาติอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเส้นผมสีฟ้าแซมแดงของลูก้าจะเรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างได้ตลอดทาง ขนาดปูเสื่อปักร่มก็ยังมีคนมองอยู่ไม่ขาด
สายตาในตอนแรกอาจเหมือนกำลังสงสัยและตกใจแต่พอผ่านไปสักสายตาของพวกผู้หญิงก็เปลี่ยนเป็นแสดงความสนใจในตัวลูก้าอย่างเปิดเผย
ผมสัมผัสได้ถึงความธรรมดาของตัวเองที่ถูกมองข้ามจนเหมือนเป็นธาตุอากาศเลย
“นั่นสินะ...ก็ผมมันคนธรรมดานี่”ผมพึมพำเสียงเบา
แถมยังเป็นคนในพื้นที่อีก
“เป็นอะไรสาม”ลูก้าเอียงใบหน้ามากระซิบถาม
“...เปล่านี่”
“คิดว่าปิดผมได้เหรอ”
“บางทีก็คิดนะว่านายอ่านใจคนได้”ผมบอกไปตามที่คิด
“อ่านไม่ได้หรอก แต่ท่าทางของสามมันต่างจากปกตินิดหน่อย”
“คำพูดนั่นเหมือนจะบอกว่าถ้าไม่ใช่ผมก็ไม่รู้งั้นแหละ”ผมพึมพำเสียงเบา
“อืม...ถ้าไม่ใช่สามผมก็ไม่รู้หรอก”
“...”คำพูดนั่นทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นแล้วหันหน้าไปอีกฝั่งเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตอนนี้หน้าผมมันกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่คิดว่าคำตอบที่ได้จะเป็นแบบนี้
“ผมมองสามมาตลอด...เวลาไหนที่เปลี่ยนไปผมรู้ดีที่สุด”
“เลิกพูดเดี๋ยวนี้นะ”แค่นี้ก็อายจะแย่แล้วยังจะมาขยายความให้อายกว่าเดิมทำไม
“สามเขิน...”
“ใครบอกกัน”ผมหันควับไปบ่นเสียงสั่นโดยลืมไปว่าตอนนี้ใบหน้าลูก้าอยู่ในระประชิดทำให้ปลายจมูกเราสัมผัสกับเบาๆ
สัมผัสนั่นเรียกดวงตาสีน้ำตาลของผมและดวงตาสีเงินของลูก้าให้เบิกกว้างขึ้นพร้อมๆกัน
ทั้งที่คิดว่าลูก้าจะผละออกแต่เขากลับขยับเข้ามาใกล้ขึ้นพร้อมใช้ปลายจมูกที่สัมผัสกันอยู่เขี่ยปลายจมูกผมเล่นเบาๆไปมา
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เงียบสิ
เงียบเดี๋ยวนะเสียงหัวใจ
ผมสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นที่เพิ่มมากขึ้นจนแทบหยุดไม่อยู่จากหัวใจของตัวเองได้อย่างชัดเจน
“สาม...”
“ปล่อย”ผมบอกแล้วขยับขยับออกแต่ลูก้ากลับไม่ยอมให้ทำได้ง่ายๆ
“เสียงหัวใจดังมากเลย”
“อึก...ปล่อยเดี๋ยวนี้”ผมพยายามขยับตัวเพื่อให้มือของลูก้าที่โอบเอวอยู่หลุดไปแต่มือนั่นก็เกาะแน่นซะเหลือเกิน
“หน้าก็แดง...”
“หยุดพูดนะ”จะมาทำให้อายมากกว่าเดิมเพื่ออะไรกัน
“น่ารัก”
“ลูก้า!”ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงดังจนคนอื่นหันมามองด้วยความสนใจ ไม่สิ ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ก็มีคนมองอยู่แล้วแต่เพราะเสียงผมทำให้คนมองมากกว่าเดิมอีก
“ครับ”
“อย่ามากวนตอนนี้ ปล่อย”อย่างคิดว่าผมไม่รู้นะว่ารอยยิ้มกวนๆนั่นหมายถึงอะไร
“ยังไม่อยากปล่อยนี่”
“ลูก้า”
“...ปล่อยก็ได้แต่ต้องยอมบอกนะว่าคิดอะไรอยู่”
“เข้าใจแล้ว รีบปล่อยสักทีคนมองกันหมดแล้ว”ผมรีบเร่งจนลูก้าต้องค่อยขยับตัวออก เมื่อมือที่โอบเอวหายไปผมก็กระเถิบตัวออกไปไกลกว่าเดิมเล็กน้อย
ตอนนี้จะให้ทำอะไรก็ได้ขอแค่ออกจากสภาพกึ่งโดนคร่อมท่ามกลางสายตาคนมองจากรอบทิศแบบนี้ไปได้
น่าอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“ขยับหนีทำไม”
“เพราะใครเล่า”คำถามจากลูก้าทำเอาผมกำมือแน่นก่อนจะเหวี่ยงไปยังใบหน้าอันหล่อเหลานั่นเต็มแรง แน่นอนว่าด้วยไหวพริบและสัญชาตญาณของลูก้าสามารถหลบหมัดผมได้อย่างง่ายดาย
“...หมัดนี่เอาจริงนี่นา”ลูก้าเหมือนจะรู้ว่าแรงที่ใส่ไปมันไม่ใช่แค่เล่นๆ
“แน่นอน”ผมไม่ล้อเล่นในสถานการณ์แบบนี้หรอกนะ
“เขินเหรอ”
“ถ้ายังพูดอีกผมจะทิ้งลูก้าไว้ที่นี่จริงๆด้วย”เลิกแหย่กันสักทีจะได้ไหม
หน้าผมมันไหม้หมดแล้ว
“สามไม่ทำหรอก”ลูก้าพูดพร้อมยกยิ้มขึ้น
“อึก...มันก็ไม่แน่นี่”ผมไม่เถียงว่าสิ่งที่ลูก้าพูดเป็นความจริง
ต่อให้โกรธหรือโมโหแค่ไหนผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทิ้งลูก้าได้จริงๆหรอก
“ผมรู้...สามรักผมนี่”
“ไม่ได้รัก”ผมสวนกลับทันควัน
“ผมจะรอจนกว่าสามจะยอมรับละกัน”
“ยอมรับอะไร ก็บอกว่าไม่ได้รักไง”ไม่ได้ยินที่พูดรึไง
“ครับๆ”
“ลูก้า”อย่ามากวนนะ
“ครับสาม”
“ฮึ้ย...”ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองแพ้ได้เนี่ย
“แล้วบอกได้รึยังว่าเป็นอะไร”ลูก้าถามต่อหลังจากที่พวกเราต่างนิ่งกันไปสักพักซึ่งก็ดีเพราะช่วยให้ผมสงบจิตสงบใจไปได้เยอะ
“...ก็แค่คิดว่า ลูก้านี่เนื้อหอมจังนะ”ผมตอบกลับไปโดยที่สายตามองไปรอบๆ สถานการณ์เมื่อครู่เหมือนจะไม่ได้ทำให้ความนิยมของลูก้าลดลงแถมยังมีคนมองมากกว่าเดิม
“หึงผม?”
“ไปจำคำนั้นมาจากไหน”ผมว่าไม่เคยสอนให้นะ
“จากเกาะ”
“...”ผมเลือกที่จะเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี
“ผมมีแค่สามนะ”
“เลิก...พูดจาเหมือนจีบสาวอยู่เดี๋ยวนี้นะ”ผมไม่ใช่สาวน้อยที่จะมาหวั่นไหวกับไอ้แค่คำพูดพวกนี้
“สามพูดผิดแล้ว”ลูก้าส่ายหน้าเบาๆ
“อะไร”ผมพูดอะไรผิด
“ไม่ได้จีบสาว จีบสามต่างหาก”
“อะ...”ผมว่าคงมีสักวันที่ผมจะไปจัดการกับคนที่สอนอะไรแปลกๆแบบนี้ให้ลูก้าแน่ๆ
“ทำหน้าตลก”
“ไม่ขำสักนิด...ชอบกวนอยู่เรื่อย”ผมบ่น
“ไม่เห็นรู้ตัว”
“ไม่น่ารักสักนิด...”
“ผมเมื่อก่อนน่ารักกว่าสินะ”ลูก้าพูดประโยคที่ผมคิดออกมาพลางแนวหน้าลงกับเข่าที่ชันขึ้น ดวงตาสีเงินนั่นมองมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“...รู้ตัวนี่”
“ไปว่ายน้ำได้ไหม”อยู่ๆลูก้าก็เปลี่ยนเรื่อง
“อากาศร้อนไปหน่อยนะ”พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางหัวแบบนี้ถึงจะมีร่มก็ยังรู้สึกร้อนสุดๆ ขืนให้ผมลงไปเล่นในเวลานี้อาจได้เป็นลมแดด
ถึงก่อนหน้านี้จะฝึกทั้งว่ายและดำน้ำอยู่ทุกวันแต่บริเวณที่เลือกฝึกเป็นส่วนที่มีร่มเงาทำให้ไม่ร้อนมากเวลาลงน้ำ
“แล้วเราจะนั่งอยู่เฉยๆแบบนี้?”
“...ก็จริงแฮะ”คำถามของลูก้าทำให้ผมฉุกคิด
มาทั้งทีจะให้นั่งอย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ
“ไปว่ายกัน”
“ทาครีมกัดแดดก่อน แดดแรงขนาดนี้เดี๋ยวผิวไหม้พอดี”ผมบอกก่อนจะหยิบครีมกันแดดออกมาจากกระเป๋าเป้
“สามจะว่ายด้วยใช่ไหม”ลูก้าถามย้ำ
“อืม...ว่ายด้วย”
“เดี๋ยวทาให้”
“ไม่เป็น...เฮ้ย เอามา”ผมรีบเอื้อมมือหมายจะเอาขวดครีมกันแดดที่ถูกแย่งไปคืนแต่ลูก้ากลับเบี่ยงตัวหลบแล้วจัดการจับแขนผมเทครีมกันแดดลงมา
“อีกข้าง”ทาข้างหนึ่งเสร็จก็บอกให้ผมส่งแขนอีกข้างให้
“ทาแค่แขนจะมีประโยชน์อะไร ให้ผมถอดเสื้อก่อนดีกว่ามั้ง”ผมบอกแล้วเตรียมจะถอดเสื้อนอกออก ยังไงกางเกงที่ใส่มาก็เอาไว้เล่นน้ำอยู่แล้ว
“ห้ามถอด”มือของลูก้ารวบมือผมที่กำลังจะแกะกระดุมอย่างรวดเร็ว
“ห๊ะ?”
“ผมไม่อยากให้ใครเห็นผิวสวยๆของสาม”คำพูดนั่นทำเอาใบหน้าผมเห่อแดงขึ้นอีกรอบ
“นายก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันเหอะ”อย่าพูดเหมือนเห็นมานับไม่ถ้วนแล้วได้ไหม
เดี๋ยวก็เข้าใจผิดกันพอดี
“ผมเคยเห็นนะ”
“ตอนไหน”
“ตอนที่อาบน้ำกันเมื่อก่อนแล้วก็ตอนฝึกว่ายน้ำ...”ลูก้าตอบเสียงเบา
“โถ่ๆ...นั่นมันนานมากแล้วนะ เอามานับว่าเห็นไม่ได้หรอก”
“ได้สิ...ผมยังจำได้อยู่เลยผิวสีน้ำผึ้งเรียบเนียนเป็นสีเดียวกันทั้งร่างดูสวยงามมาก ยิ่งแผ่นอกที่มีกล้ามเนื้อพองามนั่นอีก ไม่ว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ...ผมน่ะมอง...”
“หยุดพูดจาลามกนะ!”ผมแทบจะยกมือตบหัวอีกฝ่ายถ้าไม่ติดว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่า
เล่นพูดประโยคลามกนั่นออกมาได้ง่ายๆแบบนั้นมันน่าโมโห
อย่าให้รู้ว่าใครเป็นคนสอนเชียว
“แค่พูดตามที่เห็นต่างหาก”
“จะว่ายไหมน้ำน่ะ”
“ว่ายสิ”พอผมถามลูก้าก็พยักหน้าทันที
“เฮ้อ...ไม่ถอดก็ไม่ถอด นายจะถอดไหม”ผมถามกลับบ้าง
“ถอดได้ก็ดี”
“งั้นก็ถอดมา...ผมจะทาครีมให้”ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นแล้วคว้าขวดครีบกันแดดจากมือลูก้ามา
พอทางครีมกันแดดให้เสร็จพวกเราก็เดินออกไปยังชาดหาดตรงหน้า สีน้ำของที่นี่ไม่ใสเท่ากับทางศูนย์วิจัยนักแต่ก็ถือว่าใสพอสมควร เมื่อเดินลงไปในทะเลแล้วก้มลงก็ยังสามารถมองเห็นเท้าตัวเองได้
เม็ดทราบสีนวลมีเปือกหอยเล็กๆปะปนอยู่เต็มไปหมด บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนทั้งบนบกและในทะเล
วันธรรมดาแต่มีคนเยอะขนาดนี้ถือว่าสุดยอด
“สามหยุดก่อน”เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับมือที่ดึงผมให้เอนไปด้านหลังจนแผ่นหลังกระทบเข้ากับแผ่นอกลูก้านั่นทำให้ขาที่กำลังจะลงพื้นลอยค้างอยู่กลางอากาศทั้งอย่างนั้น
“ลูก้า?”
“ถ้าก้าวลงไปเดี๋ยวมันก็ตายหรอก”ลูก้าบอกก่อนมองลงไปด้านใต้น้ำทะเลบริเวณที่ผมกำลังจะเหยียบลงไป พอผมมองตามไปก็พบกับลูกปูตัวเล็กที่เคลื่อนที่อยู่ใต้นั้น
“มองเห็นได้ยังไงลูก้า”ตัวเล็กขนาดนั้นถ้าไม่มองดีๆไม่มีทางเห็นหรอก
“ผมไม่ได้เห็นหรอก แต่ปูตัวนั้นมันร้องว่าจะโดนเหยียบแล้ว”
“สมแล้วที่มีสายเลือดของสัตว์อยู่ครึ่งหนึ่ง”
“ก็นะ...บางทีการสื่อสารกับสัตว์ด้วยกันง่ายกว่าการพูดคุยกับมนุษย์อีก”
“เพราะใช้แค่โทนเสียงสินะ”
“อืม...จะว่าไปผมได้กลิ่นเลือดมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”
“เลือด?...อาจจะมีคนเหยียบพวกเปลือกหอยรึเปล่า”ผมลองถามดู
ถ้าพูดถึงกลิ่นเลือดบริเวณนี้ก็มีความเป็นไปได้มากมาย ยังไงแถวทะเลก็มีสิ่งที่ก่อให้เกิดบาดแผลได้อยู่เกือบทุกที่ บางทีแค่วิ่งเล่นบนทรายแล้วล้มก็ทำให้เกิดแผลทะลอกเลือดออกได้ง่ายๆ
“ไม่ใช่เลือดของมนุษย์”
“...ว่าไงนะ”ผมถึงกับเงยหน้าของไปสบกับดวงตาสีเงินอย่างเครียดๆ
ไม่ใช่เลือดของมนุษย์ก็แปลว่าเป็นสัตว์
สัตว์ที่มีเลือดและอยู่แถวนี้
จะเป็นอะไรล่ะ
แถวชาดหายก็มีทั้งปู หอยและพวกปลาตัวเล็กว่ายอยู่ตามธรรมชาติ
“ไม่ใช่สัตว์ตัวเล็กๆด้วย”
“...”คำพูดต่อมาทำเอาผมนิ่งไป ในหัวตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าสัตว์ขนาดกลางและใหญ่ที่อาศัยอยู่แถบนี้มีอะไรบ้าง
ทะเลแถบนี้เหมือนเป็นแหล่งสัตว์น้ำซึ่งมีสัตว์ทะเลอยู่มากมายนับไม่ถ้วนต่อให้ไม่นับพวกสัตว์ขนาดเล็กวงมันก็กว้างเกินไป
“ใกล้เข้ามาแล้ว”
“ใกล้เหรอ...”
“นั่น”ลูก้าชี้นิ้วไปยังคลื่นขนาดกลางด้านหน้าที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เพราะน้ำทะเลค่อนข้างใสเลยสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตที่มาพร้อมกับระรอกคลื่นได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ทั้งขนาดที่กะคร่าวๆกว่า4เมตรและลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่ตามลำตัวนั่นทำเอาดวงตาสีน้ำตาลของผมเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
“รีบขึ้นจากน้ำเร็ว!!”ผมตะโกนบอกผู้คนรอบๆสุดเสียงเมื่อรู้ในเสี้ยววินทีที่เห็นตัวมันว่าคืออะไร
“อะไร”
“เขาตะโกนอะไรน่ะ”
นอกจากจะไม่ทำตามที่ผมบอกแล้วยังทำหน้างงใส่อีก
นี่ผมต้องตะโกนชื่อมันออกไปจริงๆใช่ไหมถึงจะยอมขึ้นจากน้ำกันน่ะ
“สาม...”
“มีฉลามเสือ!!”
กรรร
ตู้มม
ผมตะโกนบอกอีกรอบโดยมีเอฟเฟ็กคือฉลามตัวนั้นที่กระโดดลอยขึ้นเหนือน้ำแล้วพลิกตัวกลับลงน้ำตามเดิมจนเกิดเสียงดังลั่น
“...”
“กรี๊ดดด!!!”
“ฉลาม!!!”
บรรยากาศรอบๆที่มีเสียงพูดคุยถึงจะเงียบสงัดลงเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องและความชุลมุน เหล่าคนที่อยู่ในน้ำต่างก็พากันขึ้นมาบนบกด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ฉลามเสือคือหนึ่งในฉลามที่ดุร้ายที่สุดและมีถิ่นอาศัยอยู่ทั่วตามแนวทะเลทั่วโลก ด้วยขนาดที่อาจยาวสุดเฉียด7เมตรทำให้มันเป็นหนึ่งในนักล่าแห่งห้องทะเลที่ใครต่างก็หวั่นเกรง นอกจากนี้ด้วยนิสัยกินไม่เลือกของมันทำให้มันล่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
มีหลายครั้งที่ซากของฉลามเสือที่ตายเมื่อผ่าออกจะพบขยะที่มนุษย์ทิ้งลงน้ำอย่างพลาสติกหรือยางรถยนต์
ขอแค่อยู่ตรงหน้ามันต่อให้มีหรือไม่มีชีวิตก็ไม่สนทั้งนั้น
เรียกว่าเป็นฉลามเห็นแก่กินก็ว่าได้
ไม่ว่าใครที่เห็นฉลามยาวกว่า4เมตรก็คงวิ่งเหมือนกันหมดยกเว้นผมที่คิดว่าการกระทำนั่นมันแปลกเกินไป ถึงปลาฉลามเสือจะเป็นหนึ่งในฉลามที่ดุร้ายที่สุดแต่มันไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างการกระโดดตัวลอยเหนือน้ำด้วยท่าทางแบบนั้น
บางทีอาจมีกระโดดขึ้นเหนือน้ำแต่ไม่ใช่ท่าทางแบบนั้นแน่
มันมีอะไรผิดปกติ
“ลูก้า...ฉลามนั่นแปลกๆ”ผมบอกพลางก้าวเข้าไปยังน้ำทะเลในระดับลึกขึ้น
“เธอกำลังขอความช่วยเหลือ”ลูก้าเดินมาพร้อมกับอธิบาย
“ช่วยเหลือ? เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้สิ ขอเข้าไปคุยใกล้ๆกว่านี้ก่อน”บอกเสร็จลูก้าก็เดินนำผมเข้าไปใกล้ฉลามเสือตัวเดิมที่กระโจนขึ้นเหนือน้ำในสภาพแปลกๆอีกรอบ
“อย่าเข้าไปใกล้มากเกินลูก้า”ผมเอ่ยเตือน
ระยะของการเจอกันครั้งแรกไม่ควรมากไปโดยเฉพาะกับฉลามเสือที่ล่าทุกอย่างที่ขวางหน้าแบบนี้
“ไม่เป็นไร...เธอไม่ทำอะไรหรอก สามก็มาสิ”ลูก้ากวักมือเรียกโดยมืออีกข้างเหมือนกำลังลูบบริเวณหลังของฉลามเสือเบาๆ
กรรรร
“แน่ใจได้ยังไง”จริงอยู่ที่เสียงนั่นไม่ใช่เสียงเหมือนกำลังล่าแต่เป็นเหมือนเสียงครางมากกว่า
“เธอรู้ว่าที่นี่ใครอยู่เหนือสุดของห่วงโซ่อาหาร”
“...จะบอกว่าเธอรู้ว่านายเป็นอะไรสินะ”นิ่งไปสักพักผมก็ตอบกลับ ขาทั้งสองข้างเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างลูก้าก่อนจะเริ่มสำรวจร่างของฉลามเสือทว่ากลับไม่พบบาดแผลใดๆ
กรรร
ฉลามเสือนิ่งได้ไม่นานก็ว่ายวนก่อนจะกระโจนขึ้นเหนือน้ำด้วยท่าทางทุรนทุราย
“มีอะไรอยู่ในปาก”
“ในปาก?”ผมหันไปมองยังปากขนาดใหญ่ทันทีที่ได้ยินคำพูดจากลูก้า แต่เพราะฉลามเสือขยับอยู่แทบตลอดเวลาทำให้ไม่สามารถมองได้
“ใช่...ทำไงดี”
“ลูก้าจับไว้ได้ไหม...บอกเธอว่าเดี๋ยวจะเอาออกให้ให้อยู่นิ่งๆ”
“ได้...กรร”เสียงครางจากลูก้าเรียกฉลามเสือให้ว่ายวนกลับมาก่อนลูก้าจะใช้มือจับร่างนั้นให้อยู่นิ่งๆ
“เย็นไว้นะสาวสวย...ขอผมดูหน่อยว่ามีอะไรอยู่”ผมลูบยังบริเวณแก้มของฉลามเสือเบาๆก่อนจะมองเข้าไปยังปากที่อ้าออกอยู่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้
ภายในปากมีฟันอันแหลมคมเรียงรายกันอยู่ สิ่งปกติเดียวคือด้านในสุดของฟันมีชิ้นส่วนของเหล็กที่ถูกดัดเป็นเส้นแทงทะลุเหงือก ดูจากรูปการคงพึ่งเกิดเหตุได้ไม่นานเพราะเลือดยังไหลอยู่เลย
“เจอรึยังสาม”ลูก้าถาม
“อ่า...เจอแล้ว เหมือนจะเป็นเหล็ก”เหล็กนั่นเหมือนเป็นชิ้นส่วนของอะไรสักอย่าง
“ให้ผมดึง...”
“ไม่ต้องเดี๋ยวผมทำเอง”
“แต่ในปากของฉลามเลยนะ”ลูก้าพูดอย่างห่วงๆ
“ลูก้ารู้เหรอว่าต้องดึงยังไงให้เจ็บน้อยที่สุดน่ะ แล้วถ้าติดจนดึงไม่ออกจะทำยังไง...มันไม่ใช่แค่ออกแรงดึงให้ออกมาหรอกนะ”ขืนดึงออกมาไม่ดีได้สร้างความเจ็บปวดให้ฉลามตัวนี้กว่าเดิมแน่
“...เข้าใจแล้ว”
ผมส่งยิ้มบางๆไปให้เมื่อได้รับคำอนุญาตจากลูก้า ปากขนาดใหญ่ถูกผมค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปจับเศษเหล็กนั่นไว้ให้มั่นแล้วค่อยๆออกแรงดึง
กรรร
“กรรรรร...”เสียงคำรามของฉลามเสือและลูก้าดังขึ้นพร้อมๆกัน ฉลามเสือพยายามสะบัดตัวเพื่อหลีกหนีแต่ลูก้าไม่ยอม
ผมเองก็ยังจับเหล็กนั่นไว้มั่น เพราะมีเหล็กนี่อยู่ฉลามเสือเลยไม่สามารถปิดปากได้
ดูเหมือนเหล็กนี้จะไม่ได้มีแค่ปลายแหลมแค่ส่วนเดียวเพราะพอดึงออกมาบริเวณปลายเหล็กแยกออกเป็นสองทางโดยทางแรกแทงทะลุเหงือกและอีกส่วนแทนลึกลงไปตามแหง่งฟัน
เป็นภาพที่คนกลัวเลือดไม่ควรได้มาเห็นไม่งั้นคงเป็นลม
งี๊ดดด
“กดไว้ลูก้า...ใกล้แล้ว”ผมบอก
“อืม”ลูก้าทำตามที่บอกโดยการออกแรงกดร่างขอฉลามเสือไว้จนขยับไม่ได้
แรงเฮือกสุดท้ายของผมสามารถดึงเหล็กปลายแหลมออกมาได้สำเร็จ ฟันอันแหลมคมนั่นขบเข้าหากันทันทีที่สิ่งแปลกปลอมหลุดออก ถ้ามือผมยังอยู่ในปากนั้นคงได้บอกลากันได้เลย
กรรร
“กรรรร...”ฉลามเสือจ้องมายังผมพร้อมกับเตรียมขยับเข้ามาใกล้แต่กลับถูกลูก้าเดินมาขวางไว้โดยมองไปยังฉลามเสืออย่างเอาเรื่อง
ผมเองก็ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันเลยได้แต่ยืนดูอยู่นิ่งๆ
กรรร
“กรรรร...”
งี๊ดดด
คุยกันไม่นานเสียงคำรามก็เริ่มเปลี่ยนไป ลูก้าหลีกทางให้จนฉลามเสือว่ายเข้ามาใกล้...ร่างกายกำยำทั้งที่เป็นเพศเมียลากผ่านขาผมไปราวกับกำลังพูดขอบคุณ
“ขอโทษที่มนุษย์ทำให้พวกเธอต้องเจ็บนะ”ผมบอกก่อนจะวางมือลงบนผิวลื่นๆนั่น
ทุกวันนี้ที่ศูนย์วิจัยมีสัตว์น้ำที่ได้รับมาเจ็บมาแทบทุกวัน สาเหตุของอาการบาดเจ็บนั่นไม่ใช่เพราะสู้กันเองหรือแย่งอาณาเขตแต่เป็นเพราะมนุษย์ที่ทิ้งขยะหรือสิ่งที่ไม่ต้องการลงทะเลจนสัตว์หลายชนิดต้องเจอผลกระทบ
เมื่อเร็วๆนี้ผมพึ่งไปช่วยทีมแพทย์ทำการผ่านตัดถุงพลาสติกที่เต่ากินเข้าไป
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมนุษย์เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เคยมองถึงส่วนรวมว่าการทิ้งขยะมันจะส่งผลร้ายมากมายต่อสัตว์
บางทีอาจจำเป็นต้องมีกฎหมายที่เคร่งคัดกว่านี้ก็เป็นได้
งี๊ดดด
ฉลามเสือครางเสียงสูงอีกรอบก่อนจะค่อยๆว่ายกลับลงทะเลไป ทั้งผมและลูก้าต่างก็มองภาพฉลามเสือว่ายจากไปจนสุดสายตาก่อนจะเดินขึ้นฝั่ง ผู้คนที่หนีกันอย่างจ้าระหวั่นตอนนี้กันกรูเข้ามามุงผมและลูก้าด้วยความสนใจที่สามารถจัดการกับฉลามเสือได้
มีหลายคนถามว่าลูก้าใช่ไดโนเสาร์กลายพันธุ์ไหม
ผมเองตอบคำถามนั้นกลับไปโดยไม่ปิดบัง
ในปัจจุบันไดโนเสาร์กลายพันธุ์เหมือนเป็นของคู่กันของทุกประเทศแม้แต่ในประเทศไทยเองก็มีหน่วยปฏิบัติการพิเศษอยู่เหมือนกัน
จะว่าไปผมก็ไม่เคยเห็นเลยแฮะ
ยังไงผมก็ไม่มีเวลาไปตามพวกข่าวสารอะไรมากอยู่แล้วด้วย
ผมพาลูก้าหนีจากไทยมุงแล้วรีบขึ้นรถขับออกไปโดยไม่ลืมให้ลูก้าวิ่งไปเอาพวกเสื่อกับร่มขึ้นรถด้วย เพราะเกิดเรื่องผมเลยต้องจำใจพาลูก้ากลับทั้งที่พึ่งมาถึงได้ไม่นาน
“โทษทีนะลูก้า...ทั้งที่อยากว่ายน้ำแท้ๆ”ผมบอกระหว่างขับรถกลับ
“ไม่เป็นไร...แค่ได้มาก็ดีใจแล้ว”
“ไว้คราวหน้าผมจะพามาใหม่นะ”
“อืม...จะรอ”
“โอ๊ะ...ลูก้าเปิดกระจกเอาขวดน้ำนี่ทิ้งที”ผมบอกพลางหยุดรถริมถนนแล้วส่งขวดน้ำที่ถูกกินจนหมดให้คนนั่งด้านข้างคนขับอย่างลูก้าทิ้ง
ลูก้าเปิดกระจกรถแล้วโยนขวดน้ำลงถังขยะรีไซเคิลได้สบายๆแต่แทนที่จะปิดกระจกเหมือนเดิมกลับหันไปมองด้านหลังแทน
“สาม”
“อะไร?...หรือว่าลืมของ?”
“เปล่า...ได้กลิ่นน่ะ”
“กลิ่นอะไร?”ผมถามต่อ
“ไดโนเสาร์...”
“ว่าไงนะ”
......................................................................
สวัสดีค่า
มาแล้วกับตอนต่อไปของลูก้าและสาม
ส่วนมากในเรื่องเราจะพูดถึงสัตว์ดึกดำบรรพ์หรือไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้ววันนี้เลยขอมาพูดถึงสัตว์ทะเลที่ยังมีชีวิตอยู่บ้างอย่างฉลามเสือที่สามารถพบเห็นได้ในแถบประเทศไทย ซึ่งถ้าเป็นเราก็คงต้องขอวิ่งคนแรก 555
ยิ่งได้แต่งยิ่งรู้สึกเลยว่ามีออร่าสีชมพูแผ่ออกมาจากตัวของทั้งคู่ บอกตามตรงว่าแต่งแล้วยิ้มตามไปกับทั้งคู่ด้วย
สำหรับให้ที่รอฉากบู๊ ตอนหน้ารับรองต้องชอบแน่ค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเม้นท์และทุกๆ กำลังใจที่มีให้เสมอนะคะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
--------มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์--------
วันนี้ขอเสนอสัตว์ทะเลแสนดุร้าย...ฉลามเสือ
ปลาฉลามเสือ (อังกฤษ: Tiger shark) ปลากระดูกอ่อนขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกฉลาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Galeocerdo cuvier มีรูปร่างอ้วนป้อม ปากกว้าง ปลายปากสั้นและทู่ ลำตัวเรียวไปทางปลายหาง คอดหางมีสันชัดเจน ครีบหางเรียวและมีปลายแหลม มีฟันใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม มีขอบหยักเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย พื้นลำตัวและครีบสีน้ำตาลหม่น มีลายพาดขวางตลอดข้างหลังและหางคล้ายลายของเสือโคร่ง จึงเป็นที่มาของชื่อเรียก ซึ่งลายนี้อาจแตกเป็นจุดกระจายอยู่ทั่วไปหรือจางหมดไปเมื่อโตขึ้น ท้องมีสีจาง
ปลาฉลามเสือเมื่อโตเต็มที่มีขนาดประมาณ 5 เมตร แต่ตัวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบคือ 7 เมตร น้ำหนักหนักที่สุดคือ 807.4 กิโลกรัม พบกระจายว่ายหากินอยู่ทั่วไปในน่านน้ำเขตอบอุ่นทั่วโลก มีพฤติกรรมชอบหากินตามแนวปะการังหรือบริเวณใกล้ชายฝั่ง หรือบริเวณปากแม่น้ำ โดยอาศัยตั้งแต่ระดับผิวน้ำจนถึงความลึก 140 เมตร ปกติมักอยู่ลำพังเพียงตัวเดียวและหากินในเวลากลางคืน ว่ายน้ำได้คล่องแคล่วว่องไวมาก มีอาณาเขตในการหากินกว้าง 100 ตารางกิโลเมตร โดยที่อาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ เช่น เต่าทะเล รวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในทะเล เช่น แมวน้ำ หรือ สิงโตทะเล ด้วย
ปลาฉลามเสือได้ชื่อว่าเป็นปลาที่กินไม่เลือกเหมือนเช่นปลาฉลามขาว (Carcharodon carcharias) เพราะมักเจอสิ่งที่ไม่ใช่อาหารในกระเพาะเสมอ ๆ เช่น ยางรถยนต์, กระป๋องน้ำ, เศษไม้ หรือ พลาสติก ซึ่งล้วนแต่เป็นขยะที่มนุษย์โยนทิ้งลงทะเลทั้งสิ้น
เครดิต : https://th.wikipedia.org/wiki/ฉลามเสือ
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
เเล้วเราก็ชอบไปเที่ยวห้างกับพี่เเละเพื่อนของพี่....คือเวลาเดินเเถวๆกลางๆอ่ะ....รู้สึกเหมือนตัวเองเหมือนหลุมดำสุดๆ มันคืออะไร๊ร๊ร๊ร๊ร๊
ฮรือออ เศร้าาา~~~=^= พวกท่านกินเสาไฟฟ้ากันมาเหรอไง!!!!
ตอนนี้สนุกมากเลยค่ะ แล้วก็175ซม.นี่ตัวไม่เล็กเลยนะคะ พ่อเราสูง175ซม. เราสูง156ซม.ยังเลยไหล่พ่อมานิดเดียวเองประมาณเอามือวางบนหัวน่ะ สงสารด็อกที่ดันไปอยู่ในหมู่คนสูง555
เหมือนคำสาปที่ไม่มีคู่ไหนได้พักทั้งนั้นแม้วันพักผ่อนเลย5555
ไดโนเสาร์ของหน่วยเซโครรึเปล่าน้า
ฉากบู้จะมาแล้ว ปูเสื่อรอค่า ~^^
โอ๊ยงานเข้ารัวๆๆ