◈ธาราที่12◈
หลังจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคก็ผ่านมาสักพักใหญ่ เป็นสักพักใหญ่ที่ผมเอาใช้เวลาอยู่กับการทดลองซึ่งไม่ใช่การทดลองที่เป็นงานแต่เป็นการทดลองเกี่ยวกับอุปกรณ์ชิ้นใหม่ การได้ลงไปดำน้ำกับลูก้าทำให้ผมรู้ถึงขีดจำกัดของตัวเองเพราะงั้นต้องหาอะไรมาทดแทนขีดจำกัดนั้น
ช่วงที่ผมกำลังทดลองนี่ไม่ใช่ว่าไม่มีงานแต่เพราะผมบอกกับทุกคนในทีมวิจัยว่าขอเวลาพักสักระยะหนึ่ง หลายคนเมื่อฟังเหตุผลก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังออกแนวอยากมาเป็นผู้ช่วยด้วยซ้ำ
ไขควงขนาดเล็กถูกหมุนจนส่วนประกอบสุดท้ายแนบสนิทกัน อุปกรณ์ใหม่ที่ใช้เวลาทำมานานนับสัปดาห์ในที่สุดก็เสร็จ
“ทำได้แล้ว”ผมถึงกับยิ้มกว้างออกมาเมื่อผลงานชิ้นแรกทำเสร็จ
ภายในห้องทดลองที่4นี่ถูกผมขอยืมใช้ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยห้องทดลองข้างๆก็มีพวกยุทำงานวิจัยกันอย่างขยันขันแข็ง ส่วนลูก้าคงกำลังนอนเล่นเกมอยู่ด้านหน้าของห้องทดลองสลับกับไปว่ายน้ำเล่นในทะเล
ตลอดหลายสัปดาห์ ไม่สิ ต้องบอกว่าตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เซโครพาผมกับลูก้ามาส่งก็ไม่มีการติดต่อให้ไปทำภารกิจเลยสักครั้ง เหตุการณ์ครั้งก่อนความจริงน่าจะเป็นภารกิจที่เซโครควรจะติดต่อมา
แต่ก็เข้าใจว่าทางเรือที่เกิดเหตุไม่ได้โทรไปแจ้งยังหน่วยปฏิบัติการพิเศษทำให้เรื่องนั้นไม่รู้ไปถึงเซโครอย่างที่ควรเป็น
หน่วยปฏิบัติการพิเศษมีหน้าที่หลายอย่างแต่หน้าที่หลักๆคือการควบคุมและจัดการไดโนเสาร์ที่หลุดออกมาจากการขนย้ายหรืออุบัติเหตุต่างๆ นั่นคือกรณีที่มีคนแจ้งเข้าไป แน่นอนว่าถ้าไม่มีใครแจ้งก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามีเหตุเกิดบริเวณใด
ผมคิดว่ามีอีกหลายเหตุการณ์แน่ที่เกี่ยวข้องกับไดโนเสาร์แต่ไม่ได้แจ้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
พวกเขาอาจคิดว่าการขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ใกล้ที่สุดคือทางออกแต่กับผมไม่คิดแบบนั้น ถ้าเกิดสัตว์ที่หลุดไปมีขนาดใหญ่และเป็นอันตรายต่อให้พามนุษย์ไปเป็นร้อยก็อาจชนะไม่ได้
อย่างครั้งก่อนกว่าจะผ่านกระแสน้ำวนมาได้ลูก้าก็จำต้องกลับร่างไดโนเสาร์จนเกือบถูกยิง
ลองคิดสภาพว่าคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ลูก้าแต่เป็นมนุษย์ปกติป่านนี้คงได้ลอยหายไปกับกระแสน้ำวนแล้ว
“ลูก้าไปไหนวุธ”ผมเอ่ยถามคนที่อยู่ใกล้ที่สุดเมื่อเดินออกมาแล้วไปเจอคนที่น่าจะนอนเล่นอยู่บนโซฟาตัวยาวสีเข้มเหมือนอย่างทุกที
“เห็นเดินออกไปข้างนอกเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนะครับ...แต่ไม่รู้ว่าไปไหน”วุธละสายตาจากเอกสารตรงหน้าเพื่อบอกข้อมูลให้รู้
“ถ้าเดินออกไปคงมีอยู่แค่ที่เดียว...ขอบใจวุธ”พึมพำจบผมก็เดินออกมาห้องวิจัย
แสงแดดยามเที่ยงช่างแสบผิวจนอยากหาอะไรมาคลุมร่างจริงๆ ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตอบอุ่น...ผมอยากจะแก้ข้อมูลนี้ซะเหลือเกิน อุณหภูมิตอนนี้มันไม่เรียกว่าอบอุ่นแล้ว
ถึงจะร้อนขนาดนี้แต่ก็มีชาวต่างชาติมาเที่ยวอยู่ไม่ขาด สำหรับเหตุผลนั่นก็ง่ายๆเพราะพวกเขาต้องการแสงแดดจากพระอาทิตย์ ด้วยประเทศของพวกเขาอยู่ในเขตหนาวเย็นจึงต่อให้เป็นฤดูร้อนก็ยังคงหนาวอยู่พวกเขาเลยโหยหาความอบอุ่นจากแสงของพระอาทิตย์
ผมเองก็เคยโหยหาแสงแดดของพระอาทิตย์เหมือนกัน ช่วงนั้นเป็นฤดูหนาวของฝรั่งเศสที่มีพายุหิมะเข้า เชื่อไหมว่าผมหมกตัวอยู่ในห้องที่เปิดฮีทเตอร์และสวมเสื้อหนาๆเกือบสิบชั้นเพื่อบรรเทาความหนาวที่เล็ดรอดเข้ามาภายในห้อง
ความหนาวเย็นนั่นทำให้ผมนึกถึงประเทศไทยขึ้นมาจับใจ
แต่เมื่อกลับมายังประเทศไทย...แสงแดดจ้าที่เจอทุกวันไม่ได้ทำให้ผมคิดถึงเหมือนก่อนหน้านี้สักนิด
“มันจะร้อนเกินไปแล้ว...”ผมบ่นพลางเดินไปยังชายหาดด้านหน้า
การจะหาลูก้าไม่ได้ยากเลยสักนิด
ผมเดินรัดเลาะมาตามแนวโขดหินก่อนจะหยุดอยู่บริเวณที่มีร่มเงาจากหน้าผาด้านบน ผืนน้ำด้านหน้าอาจดูสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรอยู่แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างสมส่วนของมนุษย์ที่มีเส้นผมสีฟ้าแซมแดงก็โผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ เส้นผมสีแปลกตาสะบัดไปมาเล็กน้อยก่อนดวงตาสีเงินจะลืมขึ้นและเมื่อเห็นผมยืนอยู่เขาก็ว่ายตรงมาหา
ถ้าถามว่าทำไมถึงรู้ว่าลูก้าอยู่นี่
คำตอบคือรู้สึกแบบนั้น
สถานที่นี้ผมเคยพาลูก้ามาตอนยังเป็นเด็กก็เลยคิดว่าถ้าเขาอยากจะว่ายน้ำสถานที่ที่จะมาก็ต้องเป็นที่นี่อย่างแน่นอน
“มาไม่บอกกันเลยนะ”ผมนั่งลงบนโขดหินด้านหน้าพร้อมกับถามลูก้าที่ขึ้นจากน้ำมานั่งข้างๆในสภาพเปียกปอน เสื้อผ้าเนื้อดีถูกน้ำทะเลทำให้เปียกชุ่มไปหมด
“เห็นกำลังยุ่งอยู่นี่”
“ก็ถูก”ผมยุ่งอยู่จริงๆ แต่ตอนนี้ว่างแล้ว
“พอถามว่าทำอะไรอยู่ก็ตอบกลับมาว่าความลับอีก”เสียงบ่นนั่นเรียกรอยยิ้มจากผมได้
ก่อนหน้านี้ลูก้าเคยถามหลายรอบว่าผมกำลังทำอะไรอยู่และคำตอบของผมก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด
“ตอนนี้ไม่เป็นความลับแล้ว”ผมหันไปพูดยิ้มๆ
“...”
“คิก...ทำหน้าตลก”ความเงียบกับสามตาเหมือนไม่เชื่อนั่นทำเอาผมหลุดขำออกมา
“น่าขำตรงไหน”
“ก็ทำหน้าแบบนั้นใครจะไม่ขำได้ล่ะ”
“ไม่ได้ทำหน้าตลกสักหน่อย”
“ก็ไม่ตลอกหรอก แต่มันขำนี่”
“...มีคนบอกว่าคนจบด็อกเตอร์มักเป็นพวกประสาท”
“ลูก้า”ผมรีบหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคืองๆ
นี่คือกำลังว่าผมสินะ
“รู้สึกว่าจะเป็นความจริงนะ”
“ลูก้า”
“ขำโดยไม่สาเหตุ...แถมอยู่ๆก็เรียกชื่อเดิมซ้ำไม่หยุดอีก”
“ลูก้า”
“นี่ไง พูดชื่อผมอีกแล้ว”
“อะ...”ประโยคยียวนนั่นเล่นผมซะพูดไม่ออก
นี่คิดจะแกล้งกันรึไง
“หึ...ทำหน้าตลก”ลูก้าพูดพลางมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม สายตาที่มองมานั่นเหมือนกำลังเอาคืนที่ผมแหย่ไปก่อนหน้านี้
“นั่นคำพูดผม”ขโมยกันซึ่งๆหน้าเลยนะ
“เหรอ...ผมไม่เห็นรู้”
“ลูก้า”
“ครับสาม”
“...ตอนเด็กน่ารักกว่านี้แท้ๆ”ผมสะบัดหน้าหนีโดยบ่นพึมพำไปด้วย
เมื่อก่อนผมแหย่ยังไงก็ชนะแต่เดี๋ยวนี้กลับไม่เคยชนะเลยสักครั้ง
น่าเจ็บใจที่สุด
“น่ารักแล้วรักรึเปล่า”น้ำเสียงทุ้มขยับเข้ามากระซิบข้างใบหูจนผมถึงกับสะดุ้งเกือบตกน้ำ
“...อะ...อะไร”
“ผมน่ารักแล้วรักผมไหม”
“...จะขยับเข้ามาใกล้ทำไม”ผมพยายามพูดไม่ให้เสียงตัวเองสั่นเมื่อถูกอีกฝ่ายขยับหน้าเข้ามาใกล้ ถึงผมจะขยับหน้าหนีแต่ก็ตามมาอยู่นั่นแหละ
“ก็หนีทำไมล่ะ”
“...พอเลย เอาหน้าออกไป”ผมทนกับความรู้สึกแปลกๆนี่ได้ไม่นานก็ใช้มือดันหน้าลูก้าให้เขยิบออกไป
“ตอบผมก่อนสิ”อีกฝ่ายบอกโดยที่ไม่ยอมขยับออกไป แรงของผมดูจะสู้พละกำลังอันมหาศาสของยีนไดโนเสาร์ไม่ได้สักนิด
“จะให้ตอบอะไร...”ในหัวมันเริ่มเบลอจนจำไม่ได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
น้ำเสียงทุ้ม ลมหายใจร้อนๆ ผิวกายอุ่นที่ขยับมาแนบ
ทุกอย่างนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลก
อาการมันเหมือนคนกำลังเขินอายทั้งที่ในความจริงมันไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกแบบนั้น
ผู้ชายก็ผู้ชายเหมือนกัน
จะมาเขินทำไดโนเสาร์อะไร
“ผมน่ารัก...แล้วรักไหมสาม”คำถามดังขึ้นข้างใบหูก่อนที่ลูก้าจะขยับหน้ามาจนแก้มของเราแนบกัน
การกระทำนั้นเหมือนอยากได้ยินคำตอบผมชัดๆ
หัวใจมันเต้น...เต้นแรงเกินไปแล้วนะ
“...รัก...”
“งั้นก็เป็นของผมได้แล้วใช่ไหม”
“อย่ามาโมเมนะ...ผมบอกว่าลูก้าเมื่อก่อนน่ารักไม่ใช่ตอนนี้สักหน่อย”ผมรีบแก้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดมากไปกว่านี้
“แต่สามบอกเองนี่ว่ารักน่ะ”
“ก็รักตอนเด็กไง ตอนนี้ไม่รักแล้ว ปล่อยเดี๋ยวนี้”ผมไม่รอช้ารีบใช้มือตัวเองดันอีกฝ่ายให้ออกไป
“...ไม่รักจริงเหรอ”
“ลูก้า ปล่อย”ผมบอกเสียงเข้มเมื่อลูก้าเริ่มใช้แขนโอบเอวผมให้ขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม
“สาม”
“...ไหนบอกว่ารอได้ไง”ผมบ่นเสียงเบา
“อืม...รอได้สิ”
“ถ้ารอได้ก็ปล่อย”คำพูดผมเหมือนจะได้ผลเพราะลูก้าขยับตัวออกไปนั่งห้อยขาลงทะเลเหมือนตอนแรกแล้ว
ความเงียบสร้างบรรยากาศหนักจนผมทำตัวไม่ค่อยถูก พอเหล่มองลูก้าก็เห็นแค่ทอดสายตาไปยังทะเลด้านหน้าเท่านั้น
นี่ผมทำให้เขารู้สึกไม่ดีเหรอ
“ลูก้า...”
“งานเสร็จแล้วเหรอถึงมานี่ได้”ลูก้าเปลี่ยนเรื่องโดยสายตายังมองไปยังทะเลอยู่
“เสร็จแล้ว...นี่ลูก้า ผมทำให้รู้สึกไม่ดีเหรอ”
“เปล่าหรอก...ความจริงก็นิดหน่อย แต่ผมเข้าใจ สามมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธมันแต่กลับไม่ทำแค่นั่นก็เพียงพอแล้ว...”
“...ลูก้า”
“ผมน่ะรู้ว่าความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากให้สามรัก...เป็นคนไม่ดีเลยใช่ไหมล่ะ”ลูก้าพูดด้วยน้ำเสียงติดเศร้าเล็กน้อย
ใบหน้าแบบนั้นผมพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
น่าแปลกที่ผมไม่คิดอยากเห็นมันอีกเป็นครั้งที่สอง
“นายพูดถูกลูก้า...ความรู้สึกเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้ ไหนๆก็พูดเรื่องนี้ก็ขอบอกหน่อยละกัน...คำว่ารักตอนนี้ให้ไม่ได้หรอก”ผมบอกออกไปตามตรง
“...อืม”
“แต่อยากให้รู้ไว้ว่าตอนนี้สำหรับผมลูก้าเป็นคนพิเศษ”
“สาม...”คำพูดของผมเรียกดวงตาสีเงินให้หันมาสบด้วยแววตาสั่นๆ
“แบบนี้ดีขึ้นไหม”ผมถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“อืม”รอยยิ้มที่ตอบกลับมานั่นไม่มีความเศร้าปะปนอีกแล้ว
“ดีมาก...งั้นมาเรื่องต่อไปเลยดีกว่า”
“เรื่องต่อไป?”
“ใช่”ผมพยักหน้าก่อนจะชันเข่าขึ้นมาพับขากางเกงทั้งสองข้าง
“เรื่องอะไร”
“ตอนนี้เราเป็นคู่หูกัน”
“ก็ใช่...แล้ว?”ลูก้าทำหน้างงเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ
“ครั้งก่อนที่เราดำลงไปใต้ทะเลลูก้าว่ายเร็วเกินไปจนผมตามไม่ทัน ความเร็วระดับนั้นเรามีสิทธิหลงกันได้เลย”พูดถึงตรงนี้ความทรงจำเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนก็ปรากฏขึ้นมา ทั้งที่ตัวผมค่อนข้างมั่นใจว่าว่ายน้ำเร็วพอสมควรแต่กลับถูกลูก้าทิ้งห่างหายไปจากสายตาได้อย่างเร็ว
ก็เข้าใจว่าลูก้าเคลื่อนไหวในน้ำได้ดี แต่นี่เหมือนจะดีกว่าที่คิดไว้มาก
“...แปลว่าผมควรจะว่ายช้าลงใช่ไหม”
“ไม่...การว่ายช้าลงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรอกแถมถ้าทำอย่างงั้นอาจทำให้ภารกิจที่ได้มาเสร็จช้ากว่าเดิมอีก”การออมแรงในการว่ายไม่ใช่สิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาสักนิด ลองนึกภาพตอนไปทำภารกิจจับไดโนเสาร์ที่หลุดไปแต่ลูก้ากลับว่ายรอผมดูสิ
คงจะตามจับไดโนเสาร์นั่นทันหรอก
“งั้นจะทำยังไง”
“สำหรับเรื่องนั้นผมมีนี่มาให้”ของที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงถูกชูขึ้นมาด้านหน้า ลูก้าที่เห็นก็ขยับเข้ามาใกล้เพื่อดูว่าของในมือผมคืออะไร
“พลาสติก?...นาฬิกา?”ลูก้าลองบกออกมาด้วยใบหน้าไม่แน่ใจ
“ก็ถูกอยู่...นี่เป็นริสแบนด์ที่ผมทำขึ้นมาเอง”อยากบอกว่าพึ่งเสร็จสดๆร้อนๆเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้เอง
“ริสแบนด์...หมายถึงกำไลข้อมือซิลิโคนสินะ ของแบบนี้จะช่วยเรื่องที่ผมว่ายน้ำเร็วกว่าได้ยังไง”
“ริสแบนด์ปกติคงช่วยไม่ได้หรอก”ผมบอกพร้อมรอยยิ้ม
“แปลว่าอันนี้ไม่ปกติสินะ”
“แน่นอน...กว่าจะทำเสร็จใช้เวลาไปนานเลย อันนี้ของลูก้าส่วนอันนี้ของผม”ผมคว้ามือของลูก้ามาสวมริสแบนด์สีฟ้าอ่อนให้ ใส้ให้ลูก้าเสร็จก็หยิบอีกอันของตัวเองขึ้นมาใส่บ้าง
ริสแบนด์สีฟ้าอ่อนทั้งสองอันถูกทำขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีและวัสดุพิเศษที่ไม่สามารถทำลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ พูดง่ายๆก็มีแค่สองเส้นในโลกนี้
“ให้ผมเหรอ”ลูก้าถามพลางยกแขนขึ้นมามอง
“ใช่...ห้ามถอดด้วย”
“ดีใจจัง...พึ่งเคยได้ของที่สามทำให้”
“ผมจะสอนวิธีใช้งานให้นะ...เจ้านี่ดูเหมือนริสแบนด์ธรรมดาใช่ไหมล่ะ”
“ใช่...ดูเหมือนจะขาดง่ายด้วย ถ้าผมกลับร่างมัคงขาดแน่”
“หึ...ผมรับรองด้วยชื่อของหัวหน้าฝ่ายวิจัยและดูแลสัตว์น้ำเลยว่าต่อให้กลับร่างก็ไม่มีทางขาด วัสดุที่นำมาใช้ในการทำมีความยืดหยุ่นสูงกว่าปกติหลายสิบเท่าแถมภายในยังมีGPSใส่ไว่เมื่อกดตรงนี้ก็จะโชว์ตำแหน่งของGPSอีกที่ออกแบบมาให้ทำงานคู่กันระบบนี้ต่อให้ออกห่างกันแค่ไหนก็ยังสามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ไหน”ผมอธิบายอุปกรณ์ใหม่ให้ลูก้าพร้อมสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง
ถึงจะเป็นเพียงริสแบนด์เส้นเล็กแต่เมื่อกดปุ่มหน้าปัดของริสแบนด์จะฉายด้วยภาพโฮโลแกรมของตำแหน่งลิสแบนด์ต่อให้อยู่ในน้ำก็สามารถใช้ได้ เหมือนแผนที่หรือเรด้านำทางของเรือในสมัยก่อน
“สุดยอด...สามารถทำของแบบนี้ได้โดยใช้เวลาแค่นี้เองเหรอ”
“ก็ไม่ได้ยากมากมายหรอก”แค่เอาสิ่งที่มีมาพัฒนาและปรับใช้อย่างเหมาะสมเท่านั้น
“แต่ถึงจะรู้ตำแหน่งแล้วจะทำยังไงกับการว่ายน้ำล่ะ”
“เรื่องนั้นคงทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามฝึกฝนให้สามารถว่ายได้เร็วขึ้น”นอกจากทางนี้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว
ถ้าอยากว่ายเร็วก็ต้องว่ายให้มากขึ้น
มันเป็นการแก้ไขที่ง่ายที่สุดแล้ว
“สามต้องทำงานนี่ จะหาเวลาไหนไปฝึก”
“ผมคงต้องเลือกระหว่างงานวิจัยกับการเป็นคู่หูนาย...การทำสองสิ่งพร้อมกันไม่มีทางที่จะทำได้ดีหรอก”ไม่มีใครทำสองอย่างได้ดีในเวลาเดียวกัน
“สาม...”
“ผมเลือกที่จะเป็นคู่หูให้นาย...ลูก้า”ดวงตาสีน้ำตาลของผมหันไปสบดวงตาสีเงินด้านข้างเพื่อยำว่าสิ่งที่พูดมันเป็นความจริง
“...แต่สามชอบการวิจัยและทดลอง...”
“ใช่...ผมชอบ แต่ถึงผมจะเลือกลูก้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำวิจัยไม่ได้นี่ ก็แค่แบ่งเวลา...ผมอยากทุ่มกับการเป็นคู่หูที่ดี”การจะเป็นคู่หูกันได้มันต้องมีอะไรที่มากกว่าความเชื่อใจซึ่งหลายๆอย่างมันจำเป็นต้องผ่านการฝึกฝน
“ผมก็จะพยายามด้วย”
“ดีมาก...งั้นสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือสัญญาณมือ”
“สัญญาณมือ?”
“ใช่...ก่อนหน้านี้ถึงเราจะเหมือนสื่อการได้แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าใจทั้งหมด จากนี้ผมจะสอนสัญญาณมือและพวกเราจะใช้สัญญาณนี้ในการสื่อสารกันในน้ำ”ผมอธิบายก่อนจะเริ่มสอนสัญาณแต่ละแบบให้
ขืนพากันดำน้ำลงไปโดยไม่มีสัญญาณเป็นชิ้นเป็นอันคงมีแต่จะต้องมองตาสื่อสารซึ่งก็ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะสามารถเข้าใจกันได้รึเปล่า
สัญาณที่ผมสอนนอกจากจะมีสัญญาณธรรมดาแล้วยังสอนสัญญาณเฉพาะให้อีก กว่าจะสอนเสร็จก็ใช้เวลาค่อนข้างมาก
“จำได้เนอะ”
“คิดว่านะ...”
“อย่าคิดว่าสิ”สอนมาตั้งนานขอความมั่นใจหน่อยลูก้า
“จำได้...แต่ไม่เห็นต้องใช้สัญญาณก็ได้นี่ แค่มองตาสามผมก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร”
“แค่มองจะรู้ได้ยังไง...ก่อนหน้านี้มันอาจบังเอิญก็ได้”
“ไม่ใช่บังเอิญหรอก ผมรู้จริงๆ...มันเหมือนสื่อมาได้”คำอธิบายของลูก้าดังขึ้นระหว่างที่ผมหย่อนขาลงเตะน้ำทะเลไปมา
“นายอาจรู้แต่ผมไม่รู้นี่”จะให้ผมเสี่ยงเอาก็คงไม่ได้อีก
“ผมคิดว่าสามรู้”
“อย่าคิดเองสิลูก้า”ผมยังไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าจะรู้ความคิดอีกฝ่ายได้เพียงแค่มองตา
“จริงอยู่ที่การทำสัญญาณมือมันบอกได้ง่ายกว่า แต่ถ้าผมอยู่ในร่างไดโนเสาร์จะทำยังไงล่ะ”ลูก้าถามพร้อมกับมองมายังผมที่นิ่งไป
นั่นสิ
ผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย
ถึงจะสอนสัญญาณมือให้แต่ถ้าอยู่ในร่างไดโนเสาร์คงทำสัญญาณมาไม่ได้แน่
“...เอาไงดีนะ”
“ลองให้ผมกลับร่างไหม”
“ที่นี่?”
“อืม...น้ำตรงนี้ก็พอลึกอยู่ ไม่น่ามีปัญหา”
“ลองดูก็ดี งั้นผมลงไปด้วยดีกว่า”พูดจบผมก็ชันเข่าขึ้นมาพับขากางเกงให้สั้นขึ้น ชุดนี้ไม่ค่อยเหมาะกับการว่ายหรือดำน้ำเท่าไหร่แต่ก็ขี้เกียจวิ่งไปเปลี่ยนในห้องแล้วล่ะนะ
“รอยนั่น...”เสียงพึมพำของลูก้าดังขึ้นก่อนที่ขาซ้ายผมจะถูกยกอย่างไม่ตั้งตัว
“หว๋า...ลูก้า ทำอะไรเนี่ย”ผมเกือบจะหงายหลังถ้าไม่ใช้มือยันพื้นไว้
“ฝีมือผมสินะ”คำพูดนั่นเรียกสายตาผมให้มองไปยังลูก้าที่ใช้มือข้างนึงลูบยังข้อเท้าซ้ายบริเวณที่มีรอยแผลเป็นอยู่เบาๆ
รอยแผลเป็นนั่นได้มาจากลูก้าเมื่อนานมาแล้ว
“ลูก้า”
“ผ่านมาตั้งนานยังเห็นชัดอยู่เลย”ดวงตาสีเงินมองแผลเป็นบริเวณข้อเท้าซ้ายด้วยสายตาเศร้าๆจนผมรู้สึกไม่ค่อยดี ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นลูก้าก็โทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุให้ผมเจ็บ
ทั้งที่ผ่านมานานจนคิดว่าอีกฝ่ายจะลืมไปแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สินะ
“ผมไม่เป็นแล้วน่า ไม่เจ็บสักนิด”
“...ขอโทษนะสาม”
“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ความผิดลูก้าน่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็...”
“ไม่ฟังแล้ว ปล่อยเท้าผมลูก้า....เอาล่ะกลับร่างได้แล้ว”ผมเลือกที่จะขัดประโยคของอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าต่อให้พูดอีกกี่รอบความรู้สึกผิดมันก็คงไม่หายไปง่ายๆ
“ถ้ากลับแล้วหางผมไปโดนสาม...”
“ครั้งก่อนก็กลับนี่”ผมรีบพูดแทรก
“ครั้งนั้นผมคาบสามไว้เลยไม่เป็นไรแต่ถ้าว่ายด้วยกันอาจจะโดนก็ได้”
“ผมรู้ว่าลูก้ารู้สึกผิด...และความรู้สึกผิดนั้นคงไม่หายไปง่ายๆต่อให้ผมบอกว่าไม่ใช่ความผิดลูก้าก็ตาม แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วทั้งผมและลูก้าต่างรู้ถึงจุดนั้นดี ผมจะระวังไม่ให้ไปโดนหางแน่นอน ลูก้าเองก็จะระวังไม่ให้โดยผมเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
“อืม...ระวังอยู่แล้ว”
“ถึงจะระวังแต่ไม่จำเป็นต้องคอยมองอยู่ตลอดนะ เราทำงานกันเป็นคู่ถ้าเอาแต่พะวงอยู่กับผมคงไม่ได้ไปไหนกันสักที”
“แล้วถ้า...”
“ไม่มีถ้าแล้วลูก้า...มาลองกันว่าจะสื่อสารในร่างนั้นได้ยังไง”
“...ก็ได้”ถึงจะเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่สุดท้ายก็ยอมลงไปในน้ำตามที่ผมบอก
ร่างมนุษย์ของลูก้าว่ายไกลออกไปเล็กน้อยก่อนจะมุดลงใต้ทะเล ไม่นานร่างมนุษย์ก็ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นร่างไดโนเสาร์ที่วัดความยาวคร่าวๆก้วยสายตายก็น่าจะเกิน10เมตรเข้าไปแล้ว
ใหญ่และยาวจริงๆ
ลูก้าในร่างสีฟ้าลายแดงโผล่หัวขึ้นมามองผมที่ลงไปในน้ำแล้วว่ายตรงไปหาอีกฝ่าย ด้วยเสื้อผ้าที่ค่อยข้างอุ้มน้ำทำให้ร่างกายรู้สึกหนักเวลาว่าย ซึ่งก็ดีถือว่าเป็นการฝึกไปในตัว
“ตัวใหญ่ขึ้นเยอะเลยแฮะ”ผมบอกพลางเอื้อมมือไปวางเรียวปากยาวที่มีเขี้ยวอันแสนคมกริบอยู่ภายใน สัมผัสของผิวลื่นๆไม่ต่างจากพวกปลากระเบนหรือสัตว์น้ำปกตินัก
จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มองดูลูก้าในร่างนี้ชัดๆหลังจากไม่ได้เจอกันมาเป็นปี
งี๊ดดด~
เสียงครางเบาดังขึ้นพร้อมกับส่วนหัวขยับเข้ามาคลอเคลียกับใบหน้าผมจนรู้สึกจักจี้เล็กน้อย ท่าทางของลูก้าเหมือนวาฬตัวใหญ่ๆว่ายเข้ามาอ้อนเลย
เพียงแต่ถ้าเป็นคนอื่นเห็นคงได้กรีดร้องวิ่งหนีกันเป็นแถวแน่
ดวงตาสีเงินคู่ใหญ่เรียวคมราวกับนักล่าที่เอาไว้ใช้จับจ้องเหยื่อ ถ้าถูกดวงตานี่เล็งไว้คงไม่มีทางหนีรอดต่อให้ว่ายได้เร็วสักแค่ไหนก็ตาม
“ลูก้า...อ้าปากหน่อยได้ไหม”ผมลูบเรียวปากใหญ่นั่นไปมาระหว่างพูด
ลูก้าไม่ได้ส่งเสียงอะไรมีเพียงอ้าปากออกตามคำพูดผม ปากขนาดใหญ่ถูกอ้าออกจนเห็นเขี้ยวอันแหลมคมหลายสิบซี่ที่เรียงรายอยู่ภายในแถมไม่ใช่แค่แถวเดียวแต่ถึงสามแถมทั้งบนและล่าง
อ่า...ที่ถูกคาบครั้งก่อนดีแค่ไหนแล้วที่ปลอดภัยอยู่
ฟันแบบนี้กัดทีคงไม่ใช่แผลเล็กๆ
“ปิดปากได้...อยู่เฉยๆก่อนนะ ผมอยากมองนายชัดๆหน่อย”ผมบอกก่อนจะเริ่มว่ายไปรอบๆตัวลูก้า ลายคาดสีแดงดูจะใหญ่กว่าครั้งก่อนอีกแถมเกราะกลางหลังยังดูแข็งขึ้น
รู้สึกว่าพิษของปลาหินจะอยู่ตามหนามแหลมบริเวณเกราะนี่สินะ
ร่างสีฟ้าดูเผินๆแล้วกลืนไปกับทะเลแต่พอมีลายสีแดงกลับดูราวกับของอันตรายที่ไม่ควรแตะต้องไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม
ผมว่ายและมุดลงไปใต้ผิวน้ำเพื่อดูส่วนหางที่มีหนวดของแมงกะพรุนกล่องแตกแขนงกระจายอยู่ทั่วบริเวณกินพื้นที่เกือบสามเมตรได้
ขนาดของลูก้าเหมือนจะยังโตไม่เต็มที่ แน่นอนว่าด้วยขนาดเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้สัตว์อื่นหวาดกลัวแล้ว
งื๊ดดด~
ทันทีที่เสียงครางดังขึ้นร่างขนาดใหญ่ก็เคลื่อนที่ ส่วนหางที่ผมกำลังมองสะบัดไปมาก่อนจะถูกแทนที่ด้วยส่วนหัวขนาดใหญ่เข้ามาประชิดร่าง ดวงตาสีเงินคู่ใหญ่จ้องมายังร่างผมที่หันไปสบตา
บอกว่าอย่าพึ่งขยับไง
ผมอยากจะพูดแบบนั้นออกไปแต่เพราะอยู่ใต้น้ำเลยทำได้แค่ขมวดคิ้วแล้วชี้นิ้วไปยังไดโนเสาร์ตรงหน้าอย่างไม่พอใจนัก
งี๊ดดด~
ลูก้าพงกหัวขึ้นลงใต้น้ำจนฟองอากาศกระจายตัวขึ้นเหมือนจะบอกว่าขอโทษ
ท่าทางของไดโนเสาร์ขนาดใหญ่กว่า12เมตรก้มหัวขอโทษนี่ช่างเป็นภาพที่น่าขันจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างๆออกมาแม้จะอยู่ในน้ำก็ตาม
น่ารักชะมัด...ไดโนเสาร์ตัวนี้
แรงขยับตัวของลูกก้าทำให้กระแสน้ำรอบๆเริ่มไม่นิ่งผมเลยยกมือขึ้นบอกให้อีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าลูก้าจะเข้าใจไหมแต่ร่างยักษ์นั่นก็หยุดขยับตัวโดยที่หันหน้ามายังผมเหมือนก่อนหน้านี้
ผมว่ายเข้าไปลูบผิวลื่นๆนั่นเบาๆแทนคำชมก่อนจะว่ายมุดลงไปตามร่างของลูก้าจนถึงส่วนท้องที่มีสีอ่อนกว่าบริเวณอื่นๆ พอยกมือขึ้นลูบหน้าท้องนั่นร่างของลูก้าก็เหมือนจะสะดุ้ง ส่วนหัวหรือใบหน้าม้วนตัวกลับลงมาดูว่าผมกำลังทำอะไร
ส่วนท้องนี่คงเป็นจุดอ่อนแน่
ไดโนเสาร์ทุกตัวล้วนมีสุดอ่อนทั้งนั้น และจุดอ่อนนั้นส่วนมากถ้าเป็นไดโนเสาร์บกก็มักจะเป็นขา คอหรือท้อง ถ้าเป็นไดโนเสาร์มีปีกก็แน่นอนว่าจุดอ่อนอยู่ที่ปีกหรือส่วนขาที่อ่อนแอ และสุดท้ายคือไดโนเสาร์น้ำจุดอ่อนไม่ใช่ขาเพราะหลายสายพันธุ์มีเพียงครีบเล็กๆในการทรงตัว ดังนั้นจุดอ่อนเลยมักจะเป็นบริเวณช่วงท้องไม่ก็ช่วงคอไปจนถึงครีบที่อ่อนแอกว่าบริเวณอื่น
งี๊ด!
เสียงงี๊ดเล็กๆจากลูก้าถูกส่งออกมาก่อนที่ผมจะถูกส่วนปากดันจนแนบชิดเข้ากับส่วนท้องนิ่มๆ สัมผัสลื่นๆคลอเคลียผมไปมาสักพักใหญ่ก่อนละออกไป
ผมอยู่นิ่งๆสักพักเพื่อปรับร่างกายที่ถูกคลอเคลียจนเหมือนไร้น้ำหนัก ไม่นานร่างของลูก้าก็เคลื่อนที่ไปยังบริเวณน้ำที่ลึกกว่า เมื่อเห็นว่าผมไม่ตามไปก็หันกลับมามองพร้อมเสียงครางเล็กเหมือนจะบอกว่ามาสิ
การกระทำนั่นทำให้ผมส่ายหัวเราะเบาๆด้วยรอยยิ้มก่อนจะว่ายตามร่างยักษ์นั่นไปโดยระวังส่วนหางที่มีหนวดสีขาวใสกระจายอยู่ในน้ำ ลูก้าเองก็เหมือนจะคอยระวังให้เพราะตลอดเวลาที่ว่ายเล่นด้วยกันเขามักจะสะบัดหางไปยังอีกกฝั่งเสมอ
เมื่อรู้ว่าลมหายใจที่มีใกล้หมดผมก็ว่ายไปหาลูก้า และเพียงแค่ดวงตาสีน้ำตาลของผมประสานกับดวงตาสีเงินตรงหน้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยหรือพูดอะไรพวกเราก็ว่ายขึ้นไปยังผิวน้ำด้วยกัน
ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกว่าต่อให้ไม่ต้องใช้สัญญาณผมก็สามารถสื่อสารกับลูก้าได้
ไม่รู้แม้กระทั้งผมเอาความมั่นใจนั่นมากจากไหนด้วยซ้ำ
........................................................................
สวัสดีค่า
มาแล้วกับความคืบหน้าของสามและลูก้า
ตอนนี้อาจดูเอื่อยๆ หน่อยซึ่งเราอยากแต่งโมเม้นท์แบบอยู่ใต้น้ำแล้วถูกคลอเคลียมานานแล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสได้แต่งในตอนนี้สักที
เราไม่เคยดำน้ำมาก่อน ขนาดว่ายน้ำเองยังสิบกว่าปีมาแล้วที่ไม่ได้ลงแตะน้ำเลยเลยค่อนข้างกังวลว่าจะสื่อความรู้สึกยามอยู่ใต้น้ำได้ดีไหม เราแต่งโดยมโนเอาว่าตอนที่อยู่ในน้ำความรู้สึกควรเป็นแบบนี้
ลูก้าเองนับวันก็จะยิ่งทวีความน่ารักขึ้นไปอีก เหลือแค่รอให้สามยอมรับความรู้สึกตัวเองให้ได้เท่านั้น อิอิ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
สู้ๆนะคะ รอตอนต่อไป