[SF] Pain reliever - JunHyuk - [SF] Pain reliever - JunHyuk นิยาย [SF] Pain reliever - JunHyuk : Dek-D.com - Writer

    [SF] Pain reliever - JunHyuk

    โดย iimm

    ผู้เข้าชมรวม

    3,261

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    3.26K

    ความคิดเห็น


    25

    คนติดตาม


    35
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 พ.ย. 57 / 23:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    สำหรับนักอ่านคนใหม่ๆ ทุกเรื่องเป็น SF นะคะ ^_^

    จบในตอน ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตอนก็ได้จ้า

    ** แต่เพื่ออรรถรสที่ดี และถ้ามีเวลา..

    แนะนำให้ไล่อ่านตั้งแต่ตอนแรกเนาะ ฮี่ฮี่ :D
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      JUNHOE : DONGHYUK







      ตุบ ตุบ ตุบ

       

      เสียงลูกบาสดังกระทบพื้นปาร์เก้ของโรงยิมอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากรองเท้าของทุกคนในสนาม จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่การแข่งขันอะไรทั้งนั้นแหละครับ พวกผมแค่มาหาอะไรทำแก้เบื่อเท่านั้นเอง

       

      .

       

      .

       

       

      “ขอผ้าเช็ดเหงื่อหน่อย”

       

      “หยิบเองดิ” 

       

      “เงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วหยิบผ้ามาเช็ดให้หน่อยไม่ได้รึไง?”

       

      “จิ๊.. เรื่องมากชะมัด  ..นั่งลง”   มือบางกดปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางมันลงข้างๆ ผมค่อยๆลดตัวลงนั่ง จากนั้นผ้าขนหนูผืนเล็กก็ถูกมือของอีกคนหยิบขึ้นมาพับทบกันหลายๆชั้น แล้วค่อยๆบรรจงซับเหงื่อตามใบหน้ารวมไปถึงซอกคอของผมด้วย มีแว๊บนึงที่ผมก้มหน้าลงไปหวังจะเอาจมูกชนกับจมูกรั้นๆ  แต่หมอตัวแสบก็หดคอหนีพร้อมทั้งหัวเราะคิกคัก แล้วเอาผ้าขนหนูนั่นคลุมหัวผมไว้

       

       

       

      ฮ่าๆ เล่นอะไรวะนี่ย

      ผมยิ้มกว้างใต้ผ้าขนหนูผืนบางแบบห้ามตัวเองไม่อยู่

      แต่น่าเสียดายที่อีกคนไม่ได้เห็นมัน.

       

       

       
       

      เกมการเล่นรอบใหม่กำลังจะเริ่ม ..เวลาผ่านไปก็มีคนเข้ามาขอร่วมเล่นด้วยมากขึ้น ทั้งคนที่ผมรู้จักและไม่รู้จักเยอะแยะไปหมด บาสเกตบอลเปิดเกมด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายต้องกระโดดแย่งลูกบาสเข้าฝ่ายตัวเองให้ได้ ซึ่งในเกมนี้ผมได้รับหน้าที่นั้น

       

       

       

      เออว่าแต่.. ฝ่ายตรงข้ามที่จะมาแย่งลูกบาสกับผมนี่ใครวะ?

      ไม่ถูกชะตาเอาซะเลย.

       

      .

      .

       

       

       

       

       

      “แฟนเหรอ?” 

       

      “ฮะ?”

       

      “ข้างสนามนั่นแฟนเหรอ?”  คนที่ไม่รู้จักกันนี่ถามคำถามส่วนตัวขนาดนี้เลยเหรอวะ

       

      “แล้วยุ่งอะไรด้วย..”  ผมรู้ว่าสายตาที่ผมมองกลับไปมันไม่เป็นมิตรเลยสักนิด  ถ้าเป็นคนอื่นที่รู้จักผมดีคงกลัวจนหลบตาไปแล้ว

       

       

      “ป่าวว่ะ.. ถ้าไม่ใช่ก็จะได้จีบ..  แต่ถ้าใช่..”

       

       

      “....”

       

       

       

       

      “..ก็จะได้แย่ง”

       

       

       

       

      ปี๊ด!

       

      เสียงสัญญาณนกหวีดดังขึ้นตัดบทสนทนาที่ไม่สบอารมณ์นั่น ผมกระโดดตัวขึ้นสูงสุดคว้าเอาลูกบอลมาได้สำเร็จ เกมครั้งนี้ดำเนินไปอย่างดุเดือดเกินความจำเป็นทั้งที่มันไม่ใช่การแข่งขันใดๆ สาเหตุอาจจะมาจากอารมณ์ร้อนๆของผม บวกกับอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมกับเขาปะทะกันจนเจ็บตัวกันอยู่บ่อยครั้ง

       

       

      “เจ็บมากมั้ยมึง ลุกไหวป่ะ?”   เพื่อนคณะถามขึ้นขณะที่กำลังยื่นมือเข้ามาดึงตัวผมให้ลุกขึ้น เพราะผมเสียหลักล้มตอนที่โดนคนแปลกหน้านั่นกระแทกเข้าที่สีข้างลำตัวอย่างจัง พอหันไปมองก็เห็นแต่สายตาเหยียดๆส่งกลับมาให้ หนำซ้ำมันยังเดินไปถามอะไรบางอย่างจากตัวเล็กของผมด้วย ..มองจากตรงนี้ก็เห็นแค่ว่าคิมดงฮยอกทำหน้างงๆแล้วชี้ไปกระติกน้ำข้างสนาม.. จะหาน้ำกินแค่นี้หาเองไม่เป็นรึไงวะ ไปยุ่งอะไรกับแฟนกู?

       

       

      “ให้จบเกมก่อนเถอะ...” 

       

      “มึงว่าไงนะ?”

       

      “อ๋อ ไม่มีไร..  แต่เกมนี้ออกแรงหน่อยได้มั้ยวะ กูไม่อยากแพ้”  ผมลุกขึ้นยืนตามแรงดึงของเพื่อน แล้วเดินกลับเข้าสนามต่อ ช่วงเวลาครึ่งหลังของเกมบรรยากาศสนุกขึ้นมาก ข้างๆสนามมีคนมาดูเยอะกว่าทุกวันอาจจะเป็นเพราะคิวท์บอยคณะแพทย์อย่างคิมดงฮยอกนั่งอยู่ด้วยก็ได้ ผมเลยไม่แน่ใจว่าคนพวกนั้นมาดูบาส หรือมาดูคนของผมกันแน่..

       


      คะแนนทีมผมนำห่างออกไปเพียงสองแต้ม นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายชู๊ตอีกแค่ลูกเดียวก็ตามทัน ลูกกลมๆสีส้มลอยเด้งไปมาในสนาม เกมเดินเร็วจนแทบจับตามองไม่ทันเพราะเวลาเหลือน้อยเต็มที ได้โปรด.. อย่าแพ้เลย จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง อย่าแพ้เด็ดขาด

       

      .

       

      .

       

       

       



      “เห้ยยยยยยย!!!  คนนั้นน่ะ หลบ!!!!!!!!!!!!”  ลูกบาสลอยคว้างไปในอากาศ ตามแนวที่เพื่อนผมชี้บอกให้คนข้างสนามนั่นก้มหัวลง คนๆนั้นปลอดภัยจากการโดนลูกบาสกระแทกหน้าได้แน่ถ้าหันมาสนใจเพื่อนผมสักนิด.. เว้นเสียแต่ว่าเขาคนนั้นกำลังสนใจมือถือของตัวเองอยู่ ไม่แม้แต่จะเปรยตามองสิ่งรอบตัวสักนิด..

       

       

       

      คิมดงฮยอก

      ฉันไม่ควรพานายมาเจ็บตัวแบบนี้เลยจริงๆ.

       

       

       

       
       

       

       

                      แรงกระแทกอย่างจังเข้าบริเวณใบหน้าเมื่อสักครู่ ทำให้ผมปล่อยมือจากโทรศัพท์แบบอัตโนมัติ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกระแทกพื้นแตกไปแล้วรึเปล่า แต่ตอนนี้รู้สึกชาไปหมดทั้งหน้า ยกมือขึ้นมาคลำๆดูเลยรู้ว่านอกจากเจ็บมากๆแล้วยังจะมีเลือดไหลออกมาจากจมูกอีกด้วย คิ้วขมวดพร้อมด้วยเปลือกตาที่หลับแน่นไว้บ่งบอกระดับความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี

       

       

       

      “โทษที.. ไม่นึกว่าจะโยนแรงขนาดนี้ มันลอยมาไกลไปหน่อย นายเจ็บมากไหม?”  รู้สึกได้ถึงมือใหญ่ของใครบางคนกำลังโอบไหล่ผมไว้แน่น พร้อมทั้งพยายามแกะมือผมออกเพื่อจะสำรวจใบหน้าของผม

       

       

      “ใครน่ะ....”  พยายามเบี่ยงตัวหลบออกจากเกาะกุมนั่นทั้งที่ยังหลับตาแน่นอยู่เพราะได้ยินฝีเท้าหนักๆของอีกคนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ 

       

       

       

      ฉันไม่ชอบอยู่ในอ้อมกอดคนอื่น

       

      กูจุนฮเว

      นายช่วยวิ่งเร็วกว่านี้ได้ไหม..

       

       

       

      “ไว้ค่อยรู้จักกัน ตอนนี้เดี๋ยวพานายไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า..”

       

      “เอามือออกจากไหล่ฉันเถอะนะ..”

       

      “นายเจ็บขนาดนี้จะปล่อยได้ไงอ่ะ”

       

      “ปล่อยเถอะ...”

       

      “ไม่”

       

      “เชื่อกันเถอะ ถ้านายไม่อยากเจ็บตัว...”

       

      “เจ็บตัวอะไร-..”

       

       

       

       

      “กูนับหนึ่งถึงสาม ถ้ามึงไม่ปล่อยดงฮยอก... กูเล่นมึงแน่  ออกไป!!!!!!!”    เสียงคำรามก้องไปทั่วสนามจากคนที่ก้าวร้าวที่สุดในตอนนี้.. ทุกอย่างเงียบกริบไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ขนาดจะหายใจยังดูลำบากเลย กูจุนฮเวเวลาโมโหร้ายมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรซะอีก  เห้อ... ก็บอกแล้วไงว่าให้ปล่อย.. เป็นเรื่องจนได้สิน่า นี่เจ็บตัวคนเดียวมันไม่พอรึไงวะ อย่ามาทะเลาะกันตรงนี้นะเว้ย

       

       

      “ถ้ากูไม่ปล่อย แล้วมึงจะทำไมวะ?”  

       

       

      ......นี่ไอ้คนที่โอบไหล่ผมอยู่มันโง่หรือโง่กันแน่วะ มันไม่คุ้มเลยที่ไปยั่วโมโหจุนฮเวแบบนั้น ไม่คุ้มเลยจริงๆ.. ได้แต่คิดอยู่ในใจเพราะไม่ทันไรก็เหมือนมีแรงกระชากคนข้างตัวออกไปอย่างรวดเร็ว มือนั่นปล่อยจากไหล่ผมแล้ว ผมพยายามจะดันเปลือกตาขึ้นมองเหตุการณ์บ้าๆตรงหน้าแต่มันก็ลืมตาไม่ขึ้นจริงๆนะ แถมเลือดจากจมูกก็ยังไหลไม่หยุดอีกต่างหาก ไปทะเลาะกันวันอื่นได้มั้ยวะ นี่เจ็บจะตายอยู่แล้ว

       

       

       

      พลั่ก!   

       

      ได้ยินเสียงเหมือนหลังใครบางคนกระแทกพื้น ให้ตายเถอะไม่อยากเดาเลยว่าเป็นของใคร จะใครมันก็แย่ทั้งนั้นในตอนนี้ นี่หันมาสนใจผมก่อนไม่ได้รึไง

       

       

       

      “จุนฮเวหยุดทำอะไรบ้าๆนั่น แล้วพากลับห้องเถอะ..”  ทันทีจะจบประโยคขอร้องของผม ก็เหมือนการกระทำทั้งหมดหยุดชะงักลงทันที สัมผัสข้างตัวที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง ผ้าขนหนูที่ถูกใช้เช็ดเหงื่อให้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ใช้ห่อหุ้มน้ำแข็งที่เดาเอาว่าคงมาจากระติกข้างสนาม

       

       

      “ขอโทษ..”  คำขอโทษแผ่วเบาดังอยู่ข้างหู มือใหญ่นั่นประคองใบหน้าผมพร้อมกดผ้าห่อน้ำแข็งลงมาเบาๆบริเวณจมูกเพื่อห้ามเลือด

       

       

       

       

      ขอบคุณที่อย่างน้อยการมีแฟนเป็นหมอก็ทำให้นายมีทักษะในการดูแลคนอื่นบ้าง.

       

       

       

      พอกลับมาถึงห้องอีกคนก็เอาแต่บอกให้นอนเฉยๆ นี่ผมไม่ได้เป็นง่อยนะ แขนขาก็ยังใช้ได้อยู่ อีกอย่างตอนนี้ก็ลืมตาได้แล้ว น้ำแข็งที่ประคบอยู่ตลอดเวลานอกจากจะห้ามเลือดได้เป็นอย่างดี ยังสามารถลดอาการบวมได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างงั้นหน้าตาผมตอนนี้ก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แย่ชะมัด

       

       

       

      “ตอนนั้นนายไม่น่าห้ามเลย...   ไอ้บ้านั่นมันโยนลูกบาสใส่นายจนต้องมาเจ็บแบบนี้ คิดว่าทนดูได้เฉยๆรึไง”   จุนฮเวบ่นอุบอิบพลางหย่อนตัวลงข้างเตียง พร้อมกับเอาเจลเย็นมาวางบริเวณจมูกแทนผ้าห่อน้ำแข็งผืนเดิม

       

       

      “โห.. ถ้าไม่ห้าม คนที่นอนซมตรงนี้คงเป็นนายมากกว่า”

       

      “ดูถูกจังเลยนะ”

       

      “อย่าหาเรื่องคนอื่นไปทั่วสิ ขี้เกียจมาทำแผลให้แล้ว เบื่ออออออออ”

       

      “เออวันนี้ก็นอนเฉยๆไป จะทำแผลให้เอง”

       

      “เห้ยยยยยยย ไม่ต้องเลย เดี๋ยวได้เจ็บหนักกว่าเดิม”

       

      “ไว้ใจกันบ้างได้มั้ยเล่า.. ใครจะมือหนักกับแฟนตัวเองวะ คิดบ้างดิ เห็นแบบนี้ก็ห่วงเป็นนะ” 

       

      “......”

       

      “ขอโทษที่ดูแลไม่ดี ขอโทษที่ทำให้เจ็บตัวแบบนี้”

       

      “.....”

       

      “ขอโทษที่ยอมปล่อยให้นายอยู่ในอ้อมกอดคนอื่น”

       

      “.....”

       

      “ต่อไปนี้ไม่ยอมให้เหตุการณ์บ้าๆนั่นเกิดขึ้นอีก”

       

      “นายไม่ได้ทำอะ-...”

       

      “รักนะ...   หวงมากด้วย”



      "....."

       

       

      อยู่ดีๆคำว่ารักก็หลุดออกมาจากปากผู้ชายแข็งกร้าวตรงหน้า อาจจะรู้สึกไปเองก็ได้ว่าหัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ.. สายตาคมนั่นน่ากลัวเสมอเวลาอยู่กับคนอื่นที่ไม่รู้จัก แต่มันกลับดึงดูดมากจริงๆเวลาอยู่กับผม..

       

      เจลเย็นถูกดึงออกไปแล้ว.. ตอนนี้จุนฮเวกำลังแกะพลาสเตอร์ธรรมดาๆไร้ลวดลาย แปะลงบนหัวคิ้วด้านขวาที่มีรอยขูดอยู่เล็กน้อย

       




      มือเบาเหมือนที่คุยไว้จริงๆ

      ผมเชื่อแล้ว.

       

       

       

      “เจ็บมั้ย.. ?”

       

      “เจ็บ”   ...โกหกคำโตเลยทีเดียว

       

      “นี่เบามือสุดๆแล้วนะ..”

       

      “ก็ยังเจ็บอยู่อ่ะ”

       

      “แล้วให้ทำไงล่ะครับ.. หื้ม?”  มือใหญ่เอื้อมมาจับท้ายทอยแล้วดันให้เข้าไปซบตรงอกแกร่งนั่นเบาๆพลางลูบหัวไปด้วย ...ผมกอดตอบแล้วลอบยิ้มกับความน่ารักของใครบางคน

       

       

       

      “จุนฮเวอ่า... ปลอบหน่อย...”

       


      “หื้ม? ก็ปลอบอยู่นี่ไง ไม่งอแงนะ..”

       

      “ลูบหัวแบบนี้มันไม่ใช่ซะหน่อย นี่เรียกปลอบแบบพี่จินฮวานต่างหาก ฉันไม่ใช่น้องนายนะ..”

       


      “..แล้ว?”

       

      .

      .

       

       



      “จะเอาปลอบแบบกูจุนฮเว...”

       

       

       

       

                      ผมรู้ว่าอะไรที่ดูจะเบาว่าการที่ผมใช้มือกดลงบนแผลเล็กๆนั่นของดงฮยอก  ...ผมจัดการจรดริมฝีปากลงบนแผลนั่นอีกครั้งหลังจากที่อีกคนอ้อนจะเอาการปลอบแบบ.. เอ่อ.. ปลอบแบบจุนฮเว ไม่รู้ว่าศัพท์คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นตอนไหน แต่ช่างมันเถอะ เพราะในเมื่อผมสามารถเข้าใจได้ แค่นั้นก็คงเพียงพอแล้ว และดงฮยอกดูมีความสุขกว่าตอนที่ผมใช้มือกดๆแผลนั่นหลายเท่า

       

       

       


      ก็แน่สิ..

      แบบนี้มันไม่เจ็บสักนิด.

       

       

       

      ผมไล้ริมฝีปากไปเรื่อยๆตามบริเวณแผลที่ช้ำ.. กดจูบลงเบาๆเพราะกลัวอีกคนจะเจ็บ สุดท้ายก็หยุดการปลอบแบบจุนฮเว ลงที่ริมฝีปากบางนั้นเนิ่นนาน..  ผละออกมาอีกทีก็พบกว่าอีกคนหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนเป็นที่เรียบร้อย

       

       

      “นอนนะคนเก่ง...”   พูดพลางกดไหล่บางให้นอนลง พร้อมเอาผ้าห่มมาคลุมให้ ฝ่ามือก็ยังทำหน้าที่ปลอบอีกคนด้วยการลูบหัวอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าดงฮยอกจะบอกว่านั่นคือการปลอบแบบพี่จินฮวานก็เถอะ

       


      “..กอด”  สองแขนเล็กชูขั้นมานอกผ้าห่ม หลับตาพริ้มรอให้ผมเข้าไปกอด.. พอไม่สบายหน่อยแล้วก็ทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ทุกที ดงฮยอกตัวแสบหายไปไหนก็ไม่รู้ครับ

       

      ผมดันตัวเข้าไปกอดคนตัวเล็กไว้ ขยับตัวเล็กน้อยให้ดงฮยอกนอนสบายในอ้อมกอดอุ่นๆ มือบางนั่นอ้อมมาโอบเอวผมไว้แน่น แต่บางทีมันแน่นจน..

       

       

       

      “โอ้ยย..”    ...สีข้างกระแทกเมื่อตอนเย็นมัน.. เชี่ย.. เจ็บชิบหาย

       

      “โอ๊ะ.. ขอโทษ นายเป็นอะไร??”  คิมดงฮยอกดูตกใจกับปฏิกิริยาของผมในตอนนี้เป็นอย่างมาก ถึงขั้นลุกพรวดพราดขึ้นมาขึ้นมาแล้วเปิดโคมไฟหัวเตียงอย่างรวดเร็ว

       

      “วันนี้ล้มกระแทกไปหลายครั้ง เพราะคนนั้น.. ที่เข้ามาจีบนายนั่นแหละ ปะทะกันแรงตั้งแต่ในสนามแล้ว”

       

      “เจ็บตรงไหนบ้าง ทายารึยัง?”  ให้เดาคือตอนนี้คิมดงฮยอกคงลืมไปแล้วว่าตัวเองก็เจ็บไม่แพ้กัน

       

      “ยัง...”

       

      “งั้นรอนี่แป๊บนึงนะ”  หมอเดินหายออกไปจากห้องนอนสักพักนึงก็กลับมาพร้อมยาหลอดสีฟ้าๆ แก้พกช้ำสำหรับผิวกาย

       

      คนตัวเล็กเลิกเสื้อยืดผมขึ้นไปเกือบครึ่ง แล้วทายาลงบนบริเวณที่ช้ำนั่นเบาๆ  มันทำให้ผมรู้ว่าจริงๆแล้วบนตัวผมมันช้ำมากกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก เพราะอีกคนสั่งให้พลิกหน้าพลิกหลังอยู่ตลอดเวลา

       

       

      “เสร็จละ คราวหลังก็ระวังๆหน่อย” ดงฮยอกเอามือหมุนปิดหลอดยา แล้ววางยานั่นไว้ใกล้ๆหัวเตียง

       


      “อย่าเพิ่ง....”    คว้ามือเล็กนั่นไว้ก่อนที่อีกคนจะดึงเสื้อผมกลับลงมาในสภาพปกติ

       


      “อะไร?”

       

      “อย่าเพิ่งดึงลงนะ”

       


      “หื้ม?”

       

      “ปลอบหน่อยดิ....”

       

      “....”

       

      .

       

      .

       

       

       

      ปลอบแบบดงฮยอก

       

       

       

       

       

       

       

      ปลอบกันไป ปลอบกันมา

      เห้อ...

       

      สุดท้ายก็ไม่ได้นอน.

       

       

       

      END.

       

       

      ดงฮยอกปลอบยังไงเราไม่รู้ ไม่ต้องมาถามเรานะ ไปถามเน่โน่นเลยยยยยยย -,,-

       ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าดีใจมาก ที่ทีมบีอยู่ครบ เด็กๆได้เป็น iKON แล้วววววว *จุดพลุ

      ส่วนเด็กใหม่น้องชานอู น้องต้องฝึกอีกเรื่อยๆ เปิดใจให้น้องกันเนอะ J

      อีกสองคนที่ไม่ได้ไปต่อ ก็ให้ติดตามผลงานต่อไปนะ คุณภาพมากแน่ๆ เชื่อในตัวจินฮยองกับฮงซอกด้วย!! ^^

       

      ขอบคุณสำหรับการรอคอย คอมเม้นที่อบอุ่นอยู่เสมอ สำหรับ #ฟิดสามหมอ นะคะ

      รักมากอ่ะจริงๆ T^T

       

      ** คอมเม้นท์ในเด็กดี ไม่ค่อยขึ้นเลย เค้าอ่านได้บ้าง ไม่ได้บ้าง TT____TT  

      หากรีดเดอร์มีทวิตเตอร์
      เราขอเชิญที่ #ฟิคสามหมอ เลยนะคะ ^_^ สะดวกรวดเร็ว กิกิ

       เยิฟโนะ -3-

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×