ตอนที่ 6 : ❀ ดอกไม้ลลิล : บทที่หก
บทที่ 6
เมื่อจังหวะการไหลของสายน้ำแปรเปลี่ยน
ลลิลหน้าหวานปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่ได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่กับคน…เห็นทีคงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ รินนอนแยกห้องกับเชียนมาหลายวันแล้ว ถือเป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติตัวลลิลเลยแม้แต่น้อย แต่ในความน้อยเนื้อต่ำใจ รินยังคงพยายามทำหน้าที่ของลลิลให้ดีที่สุดอยู่เสมอ แม้จะโดนต่อว่า…โดนขับไสไล่ส่ง
…ก็คิดเสียว่าเป็นคนบ้าคนหนึ่ง
ซึ่งเช้านี้…คงเป็นเช้าที่ความอดทนของรินถึงขีดสุด ลลิลตัวน้อยไม่อาจอดกลั้นความโกรธที่มีต่อองค์รัชทายาทคนนี้ได้ หลังจากถวายน้ำชาและโดนเขาบอกปัดว่าไม่ดื่มอย่างไม่ใยดี รินก็กระแทกส้นเท้าตึงตังออกมาจากห้องบรรทมทันที
ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งยังโซฟาหรูหราสีทอง คงทำจากทองไม่ผิดแน่… ลอบก่นด่าอยู่ในใจ หวังให้มันส่งถึงชายนิสัยทรามคนนั้นสักวัน อารมณ์ขุ่นเคืองของรินแผ่ออกไปไกลดั่งสายลม หญิงสาวน่ารักปานตุ๊กตาสัมผัสได้ถึงรังสีพวกนั้น เธอจึงเผลอเดินเลี้ยวมายังห้องที่รินนั่ง ทั้งที่ตั้งใจจะเดินผ่านไป
“พี่ริน…?”
เชารี่รีบรุดเข้ามาหา เธอหลงใหลความงามของรินตั้งแต่แรกเห็น พี่รินสวยจริง ๆ อย่างกับพระเจ้าตั้งใจปั้นข้ามวันข้ามคืน รินได้ยินเสียงเรียกจึงได้หลุดจากภวังค์ด่าทอ ยิ้มรับเชารี่จาง ๆ และเขยิบให้น้องนั่งด้วย
“เหตุใดใบหน้าแสนสวยถึงได้เหี่ยวแห้ง ราวกับดอกไม้เฉาเช่นนี้ล่ะคะ?”
“ช่างเปรียบช่างเทียบเสียจริง”
“บอกเชารี่ได้หรือไม่ สิ่งใดทำให้พี่รินหน้าบูดเช่นนี้”
“จะมีอะไรทำให้ข้าอารมณ์เสียได้อีก…ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เจ้า”
“พี่เชียนน่ะรึ?”
ก็ใช่น่ะสิ คนอะไรดื้อด้านอย่างกับบอระเพ็ดแสนขม ตัวสูงใหญ่แท้ ๆ แต่นิสัยช่างเด็กยิ่งนัก ปฏิเสธชาแรกของรินมาตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งวันนี้ นวดสี่จุดก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำเสียที ไหนจะไล่เขาออกจากห้อง โดยไม่สำรองใดใดไว้ให้ ห้องชั่วคราวที่รินอยู่ เป็นพี่ไมล์ที่ช่วยขอร้องเจ้าชายชาร์วิสดูแลให้ ไม่งั้นรินคงไม่มีที่ซุกหัวนอน
“ทั้งปฏิเสธชาของข้า ติเตียนธรรมเนียมลลิลก็ด้วย แล้วยังไล่ข้าออกจากห้องอีก”
“ว่าอย่างไรนะ!? ไล่พี่รินออกจากห้องงั้นรึ?!”
“ใช่ พี่เจ้าน่ะ…”
ก่อนเสียงจะหลุดออกจากริมฝีปากสวย เงาปริศนาก็ปรากฏตัวเสียก่อน
“ข้าทำไมรึ?”
“!!!”
รินสะดุ้งตัวโหยง สัญชาตญาณเอาตัวรอดต่ำพอ ๆ กับความอัปลักษณ์ เชียนกอดอกขมวดคิ้วคาดคั้น เขาถูกลลิลคนนี้วุ่นวายตั้งแต่เช้า แล้วยังจะโดนคำพูดนินทาอีก
“พี่เชียน ที่พวกท่านนอนแยกห้องกันเป็นความจริงหรือเพคะ?”
“…ลดเสียงลงหน่อยเชารี่”
ในปราสาทแห่งนี้มีหูตาของจักรพรรดินับพันที่ สิ่งใดดีให้รับรู้…สิ่งใดชั่วให้รีบทูลเสด็จ เสียงเชารี่คงเหมือนดังก้องอยู่ในหูท่านพ่อ…ทั้ง ๆ ที่อยู่กันคนละโยชน์ของปราสาทเลยก็ได้ เชียนถอนหายใจหน่าย ชุฌาเคยเล่าให้ฟังอยู่เมื่อก่อน ว่าการได้ครอบครองลลิล มันคือการครอบครองจริง ๆ มีความหมายตรงตัว ลลิลคนนั้นจะอยู่ในอาณัติเพื่อปรนนิบัติไปตลอดชีวิต ราวกับดอกไม้ที่ร่วงโรยและผลิดอกอีกครั้ง และจะเฉาตายหากผู้ครอบครองไม่เห็นค่า…
การนอนร่วมห้องถือเป็นการครอบครองอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าผู้ครอบครองยังคงรักและดูแลดอกไม้ดอกนี้อยู่เสมอ ซึ่งไอ้การกระทำที่แสดงออกทำนองนี้มีอยู่เป็นพันอย่าง และเชียนไม่โปรดเลยสักอย่างเดียว
“ถ้าท่านพ่อรู้เข้าล่ะก็…เป็นเรื่องใหญ่แน่เพคะ”
“ช่างเถอะเชารี่ ข้าเองก็ชินเสียแล้ว หากให้นอนในที่ที่เจ้าของไม่ต้องการ ข้าคงนอนไม่หลับ”
รินเหน็บแนมพลางตวัดหางตาใส่ชายยศใหญ่โต
“ว่างนักหรือไง ถึงได้มานั่งขยับปากนินทาคนเขา”
“ว่างนักหรือไง ถึงได้คิดว่าคนเขานินทา”
“เถียงคำไม่ตกฟากเป็นนิสัยของลลิล…หรือเป็นสันดานของเจ้า”
“นี่ท่าน!!”
อ้าปากได้ไม่ทันไรก็กัดรินเข้าเสียแล้ว คนตัวเล็กง้างมือจะทุบเข้าที่แผ่นอก แต่ความทรงจำม้วนเก่าดันผุดขึ้นเตือนทันเวลา ลลิลตัวน้อยชะงักกำปั้นค้างกลางอากาศ พลางค่อย ๆ เลื่อนมาลูบเส้นผมตัวเองเบา ๆ ขืนหยุดตัวเองไม่ทัน ไหล่อีกข้างคงได้ช้ำเป็นแน่ ถึงข้างนั้นจะจางแล้ว แต่ก็ยังมีรอยหลงเหลืออยู่
“หึ นับว่ายังสติดีอยู่”
“…”
เชียนยิ้มเยาะให้กับความขี้ขลาด ก่อนจะเดินออกไป ไม่เห็นหน้าตั้งแต่เช้าแล้ว เหตุใดถึงได้โผล่มาที่นี่ รินก็นึกว่าป่านนี้คงอยู่ที่ลานซ้อมเสียอีก ร่างเล็กกัดปากเจ็บใจ โดนใครดูถูกก็ไม่เจ็บเท่าชายนิสัยไม่ดีคนนี้
อย่าให้ถึงตาข้าเอาคืนบ้าง
สาบานเลยว่าจะไม่อ่อนข้อให้
รินใช้ชีวิตไปกับความน่าเบื่ออย่างสูญเปล่า หลังจากเชารี่ทิ้งเขาไปเรียนดนตรีกับบทประพันธ์จนถึงช่วงค่ำ ลลิลตัวน้อยถอนหายใจหน่าย อย่างน้อยถ้าอยู่ที่ตำหนัก ในเวลานี้รินคงกำลังทำเครื่องหอมอยู่กับซูเป็นแน่ คิดแล้วก็ชวนให้คำนึงหา
อยากกลับตำหนักลลิลเสียตอนนี้
ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าใดแล้ว รินทำได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ใต้ศาลาหินอ่อนแสนสวยกับเดียร่า แมวแสนสง่าและที่สำคัญ…ดวงตาทั้งสองข้างนั้นคนละสี รินชอบมองดวงตาของเดียร่ามันช่างงดงามและน่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก ทำให้เข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่า…นี่แหละหนาสัตว์ประจำกายของกษัตริย์
“ข้าอยากทำอย่างอื่นนอกจากนั่งเฉย ๆ เจ้าพอจะมีอะไรให้ข้าทำบ้างหรือไม่”
“…”
รินพ่นลมหายใจเมื่อเดียร่าได้แต่ตอบว่าเมี๊ยวกลับมา
ร่างเล็กตัดสินใจเดินเล่นข้างในปราสาท ตั้งแต่มาก็ยังไม่ได้เดินชมเต็ม ๆ ตาเลยสักครั้ง ป่านนี้พี่ไมล์จะอยู่ไหนกันนะ…อยากจะชวนมาเดินด้วยกันจัง
การปรากฏตัวของลลิลเป็นที่ฮือฮาเสมอ และไม่ลดลงเลยแม้ในนี้จะมีลลิลถึงสองคนแล้ว สายตาและเสียงซุบซิบทำให้รินอึดอัด เขาพาตัวเองมายังห้องเล็ก ๆ บนชั้นสอง ซึ่งสุดทางมีระเบียงที่สามารถมองเห็นด้านนอกกำแพงปราสาทได้อย่างชัดเจน แววตาของลลิลดอกนี้เป็นประกายแพรวพราว บ้านเมืองไม่เคยเป็นที่สนใจใคร่รู้จนกระทั่งตอนนี้ รินกำลังให้ความสนใจกับเสียงโห่ร้องบางอย่างที่ดังเข้ามาถึงตรงนี้
“เขามีงานอะไรกันงั้นหรอกหรือ…?”
“ใช่เพคะ”
“เฮือก!!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงตอบมาจากด้านหลัง ทำเอารินตกใจผวา ลูบหน้าอกตัวเองเบา ๆ ไปมา สาวใช้ผู้นี้คงไม่ได้ตั้งใจ
“ขออภัยที่ทำให้ตกใจนะเพคะ! พอดีหม่อมฉันเห็นประตูเปิดอยู่ แล้วพอเดินเข้ามาดูก็เห็นท่านรินยืนอยู่ที่ระเบียง หม่อมฉันกำลังจะเรียกแล้วเพคะ แต่ดันเผลอตอบคำถามของท่านรินเสียก่อน…”
“อ่า…ไม่เป็นไร ข้าแค่ตกใจ เจ้า…ชื่ออะไรรึ?”
“หม่อมฉันชื่อ ลูน่า เพคะ”
รินยิ้มรับ ลูน่าเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ผมสีดำขลับ และมีดวงตาที่เฉี่ยวคม ถึงแม้จะเป็นสาวใช้ของปราสาท แต่เธอก็มีรูปลักษณ์ที่งดงาม ถ้าชุฌาได้เห็น อาจจะถูกใจก็เป็นได้
“ข้างนอกนั่น…เขามีงานอะไรกันงั้นหรือ?”
“ด้านนอก…อ๋อ…งานแข่งยิงธนูน่ะเพคะ ทุก ๆ ปีจะจัดขึ้นที่หน้าปราสาท โดยใช้ความยาวของกำแพงหินเป็นระยะทางในการแข่งกัน ไม่เพียงแค่นั้น…ยังมีตลาดและการสังสรรค์ตลอดค่ำคืนด้วยเพคะ”
“การสังสรรค์ตลอดค่ำคืน?”
“ประมาณว่า… ดื่มสาเก เที่ยวนารี จนตะวันขึ้นเพคะ”
“อ่า…ที่ดิเซนเนเซียก็มีอะไรแบบนี้ด้วยงั้นหรอ”
“มีทุกที่เพคะ”
เสียงเชียร์ดังลอยมาให้ได้ยินเป็นพัก ๆ กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของรินทีละนิดละหน่อย บวกกับความเบื่อหน่ายในตอนนี้ ทำให้รินตัดสินใจทันทีว่าจะออกไปดูให้เห็นกับตา งานแข่งยิงธนูหน้าตาเป็นอย่างไร…จะเหมือนกับในหนังสือที่เคยอ่านหรือไม่ เรื่องแบบนี้ไม่เห็นด้วยตาใกล้ ๆ ก็คงตอบอย่างชัดเจนมิได้
“เดี๋ยวก่อนเพคะ!”
“มีอะไรงั้นรึ?”
ลูน่าหอบเหนื่อย วิ่งตามลลิลหน้าสวยคนนี้อย่างสุดใจ ไม่คิดว่าหน้าหวาน ๆ ตัวบาง ๆ จะวิ่งได้เร็วถึงเพียงนี้ ดูถูกความร่าเริงเพราะความอยากรู้ของมนุษย์ไม่ได้เลยจริง ๆ
“ท่านรินจะไปทั้งแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ…แฮ่ก ท่านเป็นถึงลลิลของ…ท่านเชียนแล้ว หม่อมฉันเกรงว่าพวกชาวบ้านจะแตกตื่นกันนะเพคะ”
“แล้วข้าต้องทำเช่นไรถึงจะออกไปดูได้ล่ะ?”
“ตกเย็นกว่านี้อีกเสียหน่อย แล้วหาผ้าบังใบหน้าของท่านไว้ก็น่าจะพอได้เพคะ”
“เจ้าหมายความว่า…ข้าออกไปตอนนี้ไม่ได้งั้นรึ?”
“เพคะ สว่างเกินไปจะตกเป็นเป้าสายตามากมายนัก นอนรอให้เย็นกว่านี้เสียหน่อยจะเป็นอันดีกว่าเพคะ”
“…ก็ได้ แต่ข้าไม่อยากนอนเนี่ยสิ”
การนอนไม่เป็นเวลามิใช่กิจอันดีงามของลลิล อีกอย่างรินเองก็ไม่ง่วงเสียด้วย นอนอย่างไรก็ไม่หลับอยู่ดี เขาเดินกลับมาที่ห้องนอนชั่วคราว เปิดดูข้าวของที่เตรียมมา ก่อนจะพบว่าเครื่องชาใกล้จะหมดแล้ว
…หมดไปอย่างไร้ประโยชน์เสียด้วย
“เครื่องชาใช่ไหมเพคะ?”
“ใช่ เป็นเครื่องชาที่ข้าเตรียมมาจากในตำหนัก เอาไว้ชงให้ท่านนักรบดื่ม แต่เขาไม่แม้แต่จะแตะมันด้วยซ้ำ”
ให้นึกกี่สิบทีก็แค้นใจนับสิบครั้ง เครื่องชาชั้นดีที่ตั้งใจทำเองทุกขั้นตอน ถูกปล่อยให้เย็นชืด หรือไม่ก็ปัดตกพื้นแตกกระจาย รินกระแทกฝาปิดถ้วยจนเกิดเสียงดัง ฮึดฮัดกับตัวเองเบา ๆ โดยมีลูน่าลอบยิ้มขำ
“จริงสิ! ด้านนอกมีร้านขายเครื่องชาบ้างหรือไม่ ข้าอยากได้ส่วนผสมที่จะหมดไปนิดหน่อย”
“มีอยู่เยอะแยะเลยเพคะ ใกล้ ๆ กับปราสาทก็มีร้านอันโด่งดังอยู่ร้านหนึ่งนะเพคะ”
“ดีจัง ขอบคุณเจ้ามากเลยนะลูน่า”
“พักให้สบายนะเพคะ เมื่อใกล้ถึงเวลา…หม่อมฉันจะมาเรียก”
รินไม่ได้นอนพักตามที่ลูน่าบอก เขานั่งอ่านหนังสือที่มีอยู่ในห้องนี้ และจดวัตถุดิบสำคัญต่าง ๆ ก่อนลูน่าจะมา ผ้าผืนยาวถูกโพกตั้งแต่ศีรษะยันริมฝีปาก เหลือไว้แค่ดวงตาให้ใช้มอง แต่ผ้าผืนนี้มีลวดลายสวยงามตามยุคของจักรพรรดิ รินคิดว่ามันคงช่วยให้ไม่เป็นเป้าสายตาได้ไม่มากเท่าไร เผลอ ๆ จะโดนมองมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ว้าว…สวยสุดยอดไปเลยลูน่า นี่หรือที่เรียกว่างานแข่งยิงธนู”
“อย่าเดินเร็วจนผลัดหลงกันนะเพคะ ตะวันตกดินเป็นเวลาอันตราย”
“งั้น…เจ้าพาข้าไปที่ร้านเครื่องชาก่อน แล้วเราค่อยกลับมาเดิน เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
“หม่อมฉันเห็นด้วยเพคะ”
รินยิ้มร่าหน้าบานดั่งดวงจันทร์บนฟ้า แม้ยามเย็นจะมาเยือนแค่แสงสีส้ม แต่เผลอแวบเดียวก็ถูกแทนที่ด้วยสีครามเสียแล้ว ร่างบางมองซ้ายหันขวา ร้านค้ามากมายทำให้รินแปลกตา ข้อมูลต่าง ๆ ที่เคยได้อ่าน ไหลเข้ามาเป็นตัวอักษรยามเมื่อได้เห็น ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการได้มาสัมผัสด้วยตัวเองอีกแล้ว เขาอยากกลับไปเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกพี่น้องลลิลที่เหลือฟังจัง…
ตลอดทางเขามัวแต่เพลินไปกับแสงสีของหลอดไฟส้มนับพันดวง จนไม่ทันรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะเดินไปยังเส้นทางที่เริ่มมืดขึ้น ไม่มีดวงไฟสีส้มเหมือนเส้นทางด้านหลัง มีแต่ชายชาตรีและนารีมัวเมาเต็มสองข้างทาง ลักษณะของร้านก็ปิดทึบเสียจนมองไม่เห็นด้านใน
“ลูน่า…เจ้ามั่นใจนะว่าทางนี้”
“เพคะ มันเป็นทางที่ไปได้เร็วที่สุด ถ้าหากหลุดทางนี้ไปได้แล้ว ร้านอยู่แค่หัวมุมซ้ายมือเท่านั้นเพคะ ถึงมันจะ…น่ากลัวมากก็เถอะ”
“ข้าว่ามันไม่ปลอดภัยเลยนะ เราเดินกลับตอนนี้ก็ยังทัน”
“ถ้าหากพลาดวันนี้ เจ้าของร้านจะไม่อยู่ถึงสามวันเลยนะเพคะ”
รินเลิกคิ้ว ทำไมลูน่าถึงเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้… ลลิลตัวน้อยยืนคิดอยู่ชั่วครู่ เครื่องชาที่มีอยู่ เพียงพอให้ชงได้แค่วันถึงสองวันเท่านั้น เกรงว่าไม่อยู่ถึงสามวัน ชาคงไม่มีให้ชงไปอีกนาน เพราะการได้ออกมาข้างนอกตามใจคงไม่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ที่รินออกมาเดินเล่นในวันนี้เป็นเพราะเชียนไม่อยู่ทั้งวันต่างหาก แต่ถึงจะเติมเครื่องชาให้เต็มอย่างไร ชงไปก็ไม่มีใครดื่มอยู่ดี บางที…เขาควรจะเดินกลับออกไป
หากแต่คิดช้าไปเพียงก้าวเดียว…
“วู้ว! คนของจักรพรรดิงั้นรึ?”
“เจ้าเป็นใครกันรึสาวน้อย เปิดผ้าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าชัด ๆ ได้หรือไม่”
“เอวเล็กแต่บั้นท้ายดูแน่นดีนักหนา เลดี้ผู้นี้คงงดงามกว่าที่คิดเป็นแน่”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ทั้งยังเหม็นกลิ่นเหล้าคละคลุ้งแทบหายใจไม่ออก รินรัดผ้าปิดใบหน้าแน่นกว่าเดิมเมื่อชายคนหนึ่งรั้งผ้าให้เปิดออก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความกลัวจับใจ ส่ายหน้าหาใครสักคนที่จะช่วยเหลือเขาได้ แต่ไม่มีใครเลยสักคน…แม้แต่ลูน่า
“ฮ่าฮ่าฮา วันดีของข้าจริง ๆ มีเลดี้จากปราสาทประทานให้ถึงที่”
“ไปกับพวกเราเสียดี ๆ เถิด ข้าไม่อยากทำเจ้าเจ็บหรอกนะ”
“ถอยหลังไม่มองทางแบบนั้น เดี๋ยวเจ้าก็ล้มหรอก”
ว่าไม่ทันขาดคำ… ดันเผลอสะดุดเข้ากับลังไม้สกปรกพวกนี้เสียได้ ร่างเล็กล้มตึงไปทั้งตัว ก้นกระแทกพื้นเข้าเต็ม ๆ ทำเอาซ่อนความเจ็บบนใบหน้าไม่ไหว ชายทั้งสามหัวเราะเยาะความเขลา จึงเปิดโอกาสให้รินออกวิ่ง
แต่แรงเท่ามด…จะหนีไปได้ไกลสักเท่าไรกันเชียว
“ปล่อยข้านะ!!”
“ในที่สุดก็พูดออกมาเสียที ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นใบ้”
“อย่าได้มาจับตัวข้า!! อย่าเข้ามานะเจ้าพวกคนใจทราม!!!”
ไม่มีจังหวะให้รินตั้งตัว หนึ่งในพวกมันก็สามารถคว้าเข้าที่ผ้าผืนสวย และสะบัดออกอย่างรวดเร็ว …ใบหน้างดงามราวกับเป็นคนโปรดของพระเจ้า ทำเอาพวกมันหยุดนิ่ง ไม่คิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะเลอโฉมกว่าหญิงใดที่เคยเจอ แม้แต่กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ก็เหมือนโซ่ตรวนกักขังไม่ให้ออกจากภวังค์
“สวย…สวยอะไรเช่นนี้”
“จ…เจ้าเป็นนางฟ้านางสวรรค์อย่างนั้นใช่ไหม เพราะข้าไม่คิดว่ามนุษย์จะงดงามได้ถึงเพียงนี้”
“จะว่าไป…ข้าคุ้นหน้าเจ้าเหลือเกิน”
รินใช้ความกล้าเท่าที่มี เตะลังไม้เปล่าไปกระแทกตัวของพวกมัน ก่อนจะพาตัวเองวิ่งหนีด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด รินตื่นตกใจที่โดนกระชากเสื้อคลุมจนตัวลอย พวกมันวิ่งตามถึงเขาเร็วมาก…เร็วเสียจนหมดหวัง ผู้คนรอบข้างได้แต่มองดูเขาโดนทำร้าย ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเลยสักคนเดียว
วูบหนึ่งที่คิดอยากให้ท่านเชียนมาช่วย
…แต่ก็คงเป็นได้แค่ความคิด
“หนีเก่งนักนะนังแมวน้อย! เฮ้ย!! พวกแกจับนางถอดเสื้อซะ ข้าจะจัดการมันตรงนี้นี่แหละ!”
“อย่านะ! เจ้าจะทำอะไร! ปล่อยข้านะ!!”
“ใครจะโง่ปล่อยให้นางฟ้าเช่นเจ้าหนีไปได้ง่าย ๆ เล่า หุบปากแล้วอยู่เฉย ๆ ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเจ็บตัว …มันจะเสียของ”
เสื้อคลุมตัวนอกถูกถอดออกไปแล้ว เหลือเพียงชุดสีขาวสะอาดด้านในที่กำลังจะถูกกระชากออกในไม่ช้า รินน้ำตานองแก้ม ตั้งแต่เกิดมา…เขาไม่เคยได้พบกับความน่ากลัวและป่าเถื่อนเช่นนี้มาก่อน แรงอันน้อยนิดไม่สะเทือนผิวพวกมันเลยสักนิดเดียว พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นไม้ท่อนหนึ่งวางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก รินนับหนึ่งถึงสามในใจ คว้าเอาไม้ท่อนนั้นฟาดเข้าที่หัวเจ้าคนชั่วสุดแรง
“โอ๊ย!!!”
ถึงแม้จะร้องไห้สะอื้นตัวโยน แต่รินไม่ได้มีดีแค่ปาก ร่างเล็กใช้ไม้ในมือกระหน่ำตีเข้าไปที่หัวชายชั่วคนนั้นจนมันสลบไป และชี้หน้าอีกสองคนที่เหลือเป็นการหยั่งเชิง แต่พวกมันไม่กลัวรินเลยด้วยซ้ำ มันมองหน้ากัน ก่อนจะแยกกันเข้ามาจับแขนเขาไว้ทั้งสองข้าง
“ช่วยด้วย!!”
พลั่ก!!!
เสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นพร้อม ๆ กับร่างพวกมันที่ปลิวกันไปคนละทิศละทาง รินรีบหันกลับไปมองคนที่เข้ามาช่วย ก่อนจะปล่อยโฮเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ริน! เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?!”
“ข…ข้าไม่เป็นอะไร”
รินสวมกอดพี่ไมล์เอาไว้แน่น หลับตาฟังเสียงเชียนกับชาร์วิสที่รุมกระทืบคนใจทรามด้วยความโล่งใจ ด้านหลังพี่ไมล์มีลูน่ายืนร้องไห้อยู่เงียบ ๆ รินไม่นึกโทษโกรธใครเมื่อเห็นว่าลูน่าเองก็เสียใจ
ได้แต่โทษตัวเองที่อ่อนแอ…แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ยังต้องให้ผู้อื่นปกป้อง
“หม่อมฉันเสียใจเพคะท่านริน…หม่อมฉันเสียใจ”
“หยุดร้องเถิดลูน่า ข้าไม่เป็นอะไร”
ชาร์วิสกับเชียนเดินเข้ามาสมทบ ใบหน้าชาร์วิสเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ที่สามัญชนชั้นต่ำอย่างพวกมันกล้าแตะต้องลลิลของน้องชายเขา ก้มลงเก็บเสื้อคลุมแต่งลายดอกบ๊วยขึ้นมาจากพื้น สภาพมันยับเยินและเลอะไปด้วยขี้ดิน
“นำตัวพวกมันไปขังคุก” เชียนออกคำสั่งกับองครักษ์ข้างกายเบา ๆ ก่อนจะทอดมองใบหน้าของรินที่เลอะไปด้วยน้ำตาและคราบจากพื้นดินเป็นบางแห่ง ร่างสูงรู้สึกหงุดหงิดตั้งแต่ตอนที่กลับปราสาทแล้วไม่เจอลลิลของตน ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่ารินหายไปไหน ลอบคิดในใจว่าคงหนีออกไปเที่ยวเป็นแน่ แต่เชียนไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมา
รู้ตัวอีกทีก็เห็นสาวใช้คนนี้วิ่งตาลีตาเหลือกมาบอกว่ารินโดนคนทำร้าย
“เจ้าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมริน พี่ขอดูเจ้าหน่อย”
“ข…ข้าไม่เป็นอะไร พวกมันยังไม่ทันได้ทำอะไรข้าหรอก”
“แล้วรอยที่หัวไหล่นี่มันคืออะไร?”
ไมล์ถกเสื้อด้านซ้ายออกจนเห็นหัวไหล่ ผิวขาวของรินขับให้รอยช้ำแม้จะจางชัดเจนราวกับรอยใหม่ คำถามของไมล์เรียกความสนใจจากทุกคน แม้แต่พวกสามัญชนโดยรอบก็แอบชะเง้อมองอย่างเงียบ ๆ
“น่าจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงในไม่ช้านะพะยะค่ะ”
“จิตใจช่างโสมมยิ่งนัก ถึงได้ทำท่านเจ็บเพียงนี้”
องครักษ์ทั้งสองพูดออกมาทันทีเมื่อได้เห็นรอยช้ำที่ว่า แขนเล็กแค่นั้นจะไปทนความเจ็บปวดได้อย่างไรกัน หารู้ไม่ว่ารอยช้ำนั้น…มิได้เกิดจากพวกใจโสมม แต่เกิดจากผู้เป็นนายของตนที่ยืนเสมองสิ่งอื่นอยู่ต่างหาก
“ชาร์วิส เจ้าพาลลิลกลับปราสาทไปเสีย อย่ามัวแต่คุยกัน”
“อืม”
ดีที่เราใช้เส้นทางรอบนอกงาน คนจึงไม่พลุกพล่าน เพราะเรื่องนี้ไม่ควรเป็นหัวข้อให้ชาวบ้านลือกัน เซพาร์อยู่จัดการที่ถนนเส้นนั้นกับทหารอีกสิบกว่านาย ให้เป็นไปตามความต้องการของเชียน ที่ถึงแม้ไม่เอ่ยออกมาชัดเจน แต่ก็พอรู้ว่าต้องทำสิ่งใดบ้าง
รินกลับปราสาทพร้อมกับชิโอะที่รีบวิ่งเข้ามาหา เราสนิทกันมากขึ้นจากครานั้นที่รินยกปลาตัวใหญ่ให้ทาน เด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันตรงหน้าทำท่าจะร้องไห้ ปากพร่ำว่าอยากไปช่วย แต่ใจก็กลัวจึงได้รออยู่ที่นี่ รินยิ้มขำ เป็นคำพูดที่เหมาะกับตัวดี
“เจ้าไปอาบน้ำเถิด อย่าลืมทายาด้วยนะ”
“ขอรับท่านพี่”
“…ให้ข้าไปนอนเป็นเพื่อนไหม”
รินกำลังจะอ้าปากตอบรับ แต่เสียงดุดันดังขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้อง”
“ทำไมข้าถึงนอนกับพี่ไมล์ไม่ได้”
ในตอนที่รินไม่อยู่ เชียนที่กลับมายังปราสาทได้ถูกจักรพรรดิต่อว่ายกใหญ่ เรื่องที่เขากับรินนอนแยกห้องกันดังไปถึงหูท่านพ่อไม่กี่นาทีที่เชารี่พูดจบ แต่เพราะเชียนต้องไปที่ลานซ้อมและกว่าจะกลับมาก็ใกล้ค่ำ ท่านพ่อถึงได้หงุดหงิดมากกว่าเดิม ท่านสั่งห้ามไม่ให้เกิดเหตุการ์ณเช่นนี้อีก และเมื่อใดที่เขาไล่รินออกจากห้อง พ่อก็จะไล่เขาออกจากปราสาทเช่นกัน
“เพราะเจ้าต้องนอนกับข้า”
“ท่านว่าอย่างไรนะ?!”
“ไป ขึ้นไปอาบน้ำได้แล้ว”
“เดี๋ยว! เดี๋ยวสิ!”
เชียนดันแผ่นหลังเล็กไปทางสาวใช้ทั้งสองคนที่รออยู่ก่อนแล้ว พวกเธอเอาตัวรินขึ้นบันไดไปอาบน้ำตามที่พูด ทิ้งความงงงวยของรินไว้ไม่แม้แต่จะตอบ นอนด้วยกันนั่นหมายความอย่างไร ทั้งที่เป็นคนออกปากไล่แล้วไล่อีกขนาดนั้น เหตุใดถึงได้กลับคำพูด
“ให้ลงโทษพวกมันอย่างไรดีพะยะค่ะ”
“ตีพวกมันด้วยไม้ท่อนนั้น…จนกว่าจะตาย”
“รับทราบพะยะค่ะ”
ไคเซอร์รับคำสั่งก่อนจะเดินออกไป คำสั่งอาจหาญของเชียนทำให้ชาร์วิสลอบยิ้มกริ่ม เผลอคิดไปเองว่าน้องของตนคงมีความห่วงใยลลิลตัวเองบ้าง แต่เปล่าเลย…คนทำผิดย่อมได้รับโทษ เขาไม่อาจปล่อยให้พวกคนชั่วอยู่อย่างสบายใจบนแผ่นดินที่พ่อตัวเองปกครองอยู่ได้ แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามีแค่ความรู้สึกพวกนี้อยู่ในใจเท่านั้น
“เจ้าควรไปดูรินเสียหน่อย ป่านนี้คงกำลังขวัญเสีย”
“ทำไมข้าจะต้องทำตามที่เจ้าบอกด้วย”
พูดจบก็สะบัดเส้นผมใส่หน้าพี่ชายตัวเองทันที ชาร์วิสอ้าปากพะงาบ ๆ ที่นึกว่าเชียนเป็นห่วงรินแม้เพียงน้อยนิดพังทลายและปลิวหายไปพร้อมกับสายลม เชียนก็คือเชียน ผิดที่เขาตั้งความหวังไว้สูงเกินไปต่างหาก
รินชำระล้างร่างกายอย่างยาวนาน โดยมีสาวใช้ถึงสองคนคอยช่วยเหลือ ความที่เป็นลลิลจึงไม่คุ้นชินการโดนเอาใจใส่ รินเงอะงะทุกท่วงท่า ในที่สุดก็รอดพ้นความอึดอัดใจ ณ ตรงนั้นเสียที
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของเชียนนั่งรออยู่ ใบหน้าคมคายจดจ้องรินอย่างเงียบ ๆ มิอาจรู้ได้ว่าองค์รัชทายาทคนนี้คิดอะไร รินซับน้ำที่เส้นผมไปพลาง ๆ พยายามสลัดภาพอันเลวร้ายก่อนหน้านี้ออกไป แต่มันช่างยากเสียเหลือเกิน…
รินพูดได้ไม่เต็มปากว่าตนกล้าหาญ และสามารถจัดการทุกอย่างได้…แม้จะไม่มีใครมาช่วย เขาเผลอร้องไห้ออกมาหลายครา แต่ก็พยายามสู้เพื่อไม่ให้พวกมันรู้ว่าเขาหวาดเกรง ทั้งชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่เคยพบเจอเรื่องราวร้าย ๆ เฉกเช่นตอนนี้… ร่างเล็กยังคงขวัญเสียอยู่บ้างเล็กน้อย มันลดถอนออกไปได้มากมายเมื่อเห็นหน้าชายคนนี้
แต่ใครจะยอมรับกัน…
“มานี่”
“…?”
“ไม่ได้ยินที่ข้าเรียกเจ้าหรืออย่างไร”
“ข้า…ได้ยิน”
รินเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย ถ้าเป็นแต่ก่อนคงไม่มีทางเกิดขึ้น น่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นแน่ ๆ ที่ทำให้รินเชื่อฟังเชียน…ใช่…เป็นเพราะแบบนั้น
ดวงตาต่างคู่ผลัดกันลอบมองร่องรอยของกันและกัน…ราวกับมันจะไม่มีใครมองออก ใบหน้าหวานที่เชียนนึกเกลียดชังมีรอยถลอกเล็กน้อยบริเวณสันกราม…เขาเห็นเพียงแค่นั้น และไม่มั่นใจว่าภายใต้ร่มผ้าจะมีรอยอื่นใดอีกหรือไม่
“เจ้าเป็นลลิล อยู่ภายใต้อาณัติของข้า แล้วเหตุใดจึงออกไปข้างนอกโดยไม่บอกข้า”
“ก็ท่านไม่อยู่…ข้าขอโทษ” รินกลับลำเมื่อโดนตำหนิทางสายตา
“เพราะความดื้อรั้นของเจ้า ทำให้คนเขาต้องลำบาก…ไม่เว้นแม้แต่ตัวเจ้าเอง”
“…”
ร่างเล็กโดนดุอย่างจริงจังจากคนที่ไม่แม้แต่จะใยดี รินสับสนกับเชียนในตอนนี้ จึงเอ่ยขอบคุณออกมาไม่ทัน ถึงลลิลคนนี้จะดื้อรั้นอย่างที่เชียนบอก แต่ก็มีจิตใจที่อยากขอบคุณผู้มีพระคุณของตัวเองอย่างเต็มใจ
รินรู้ซึ้งแล้ว…แม้จักเป็นที่ที่เจริญ ก็จำต้องมีผู้ที่ฉุดให้ต่ำลง…อยู่ทุกหนแห่ง
ลลิลตัวน้อยรวบรวมความกล้าในขณะที่เชียนกำลังอาบน้ำอยู่ เขาต้องได้เอ่ยคำขอบคุณออกไป ไม่งั้นคงนอนไม่หลับ เมื่อเสียงประตูดังขึ้น รินก็ผุดลุกหลังตรงชวนให้เชียนฉงนใจ แต่ใช่ว่าความกล้าจะถูกปล่อยออกมาได้ตามใจนึก รินปล่อยให้เชียนเดินไปเดินมาอยู่พักหนึ่ง ถึงได้หันกลับไปหา และพบว่าร่างสูงไม่ได้อยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำแล้ว
“อ้ำอึ้งอะไรของเจ้า”
เชียนนั่งอยู่ที่ข้างเตียงฝั่งเดียวกับรินที่ยืนงก ๆ เงิน ๆ อยู่นานสองนาน ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เพียงเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึก ๆ และโพล่งคำที่เรียบเรียงมานานกว่าห้านาที พร้อมหลับตาหนีความเขินอายที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“ขอบคุณที่ช่วยข้า!”
“…เจ้าขอบคุณใคร”
เปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อโดนคำถามแปลกใจ
“เอ๊ะ? ก็…ขอบคุณท่าน…ที่มาช่วยข้า”
“ฮึ”
เสียงขบขันในลำคอทำให้รินหน้าแดง ไม่ใช่เพราะความโกรธ…แต่เพราะความเขินอายที่รู้ไม่ทันว่าตนโดนสัพยอกเข้าแล้ว เชียนยกยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปากเล็กน้อย หลังจากปราบพยศลลิลดอกนี้ได้สำเร็จ
“คนเขารู้สึกขอบคุณก็มาทำให้หงุดหงิดเสียได้!”
“นิสัยดื้อรั้นของเจ้าน่าจะนำพาคำขอบคุณมาให้ข้าอีกเพียบ เจ้าไม่ต้องร้อนใจไปหรอก”
“ท่านจะบอกว่าข้าเป็นตัวปัญหางั้นเหรอ?!”
“แล้วเจ้าว่ามันไม่ใช่รึ?”
เชียนทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง ปล่อยให้รินเม้มปากกำหมัด ข่มอารมณ์โมโหที่ไม่ว่าเมื่อไรก็จะโดนหลอกด่าอยู่เรื่อย ร่างเล็กเดินอ้อมไปที่เตียงอีกฝั่ง ใช้อารมณ์หงุดหงิดใจพาตัวเองไปนอนบนเตียง และหันหลังใส่แม่ทัพผู้เก่งกาจ
เมื่อไฟดับลง แสงจันทร์จึงค่อย ๆ ลอดเข้ามาสร้างบรรยากาศให้รินได้สติ หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นตึกตักหนักขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองได้นอนร่วมเตียงกับชายผู้นี้จริง ๆ แล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไร …เพราะความไม่คุ้นชิน ต่างฝ่ายต่างข่มตานอนไม่หลับ ได้แต่ปิดเปลือกตาไว้ด้วยหัวใจที่กลัดกลุ้ม
เชียนลืมตากลางคัน เขาไม่ชอบความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้เสียเลย ยิ่งได้มองเส้นผมสีขาวที่หยอกล้อกับแสงของจันทร์…ความสวยงามนั่นทำให้เชียนเผลอปล่อยใจมองอยู่ครู่หนึ่ง ตามมาด้วยกลิ่นดอกไม้ที่เขาเคยสัมผัสมาตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกัน
น่ารำคาญใจ
“ผมของเจ้า…”
“…!”
“เกะกะ”
เส้นผมนุ่มสลวยแผ่กระจายตามช่องว่างบนผืนเตียง เพราะมันส่งกลิ่นชวนลุ่มหลงเสียจนเชียนต้องหลีกเลี่ยง โดยการปัดมันออกไป รินยกตัวขึ้นจากหมอน รวบเส้นผมเข้าหาตัว ก่อนจะพลิกตัวหันหน้าเข้าหาร่างสูงเสีย จะได้ไม่โดนเส้นผมของเขาอีก
“…”
“…”
รินสบตากับเชียนอยู่เนิ่นนาน โดยไม่มีทีท่าว่าจะหลบออกไป ท้ายที่สุดจึงเป็นเขาที่ไม่อาจทนสบตากับนัยน์ตาสีสวยคู่นั้นได้ ไม่รู้ว่ามองอะไรนักหนา หรือกำลังก่นด่าเขาอยู่ในใจกันแน่ คงเป็นอย่างที่สองไม่ผิดเพี้ยน ชายผู้นี้น่ะเกลียดลลิลอย่างกับอะไรดี
พรึบ!!
จู่ ๆ เจ้าชายบ้าเลือดก็ลุกออกไปจากเตียง ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากห้องไปในทันที รินงุนงงอยู่พักใหญ่ ไม่แปลกใจที่เขาทำเช่นนั้น …ใครจะอยากนอนกับคนที่เกลียดกัน ลุกออกไปเช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว
รินค่อย ๆ กอดผ้าห่มแน่นขึ้น เมื่อได้อยู่คนเดียวในห้องที่กว้างขวางนั้นทำให้จิตใจไม่สงบ พลันเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น รินแกล้งทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ข้างในโล่งใจเหลือเกิน เตียงหนายวบยาบเมื่อร่างสูงใหญ่ขยับตัว รินระบายรอยยิ้มออกมาบางเบา แทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าริมฝีปากเปลี่ยนรูปทรงไปตั้งแต่ตอนไหน
รู้แค่เพียงว่าเขาอุ่นใจ
ที่ไม่ได้อยู่คนเดียว…ในค่ำคืนเหนื่อยอ่อนเช่นนี้
#ดอกไม้ลลิล
นานเนอะ แต่ยาวนะ คิกคิก
เอาล่ะ ได้เวลาเข้าเรื่องแล้ว นี่ทิ้งปมอยู่หลายอย่างเหมือนกัน หวังว่าจะจับเจอ
มีใครสงสัยคำโปรยบ้างหรือไม่ มีที่ไปที่มาแน่นอน ขอเพียงแค่เวลาได้ผ่านไปเท่านั้น
เราคิดถึงคนอ่านมากมาย คิดถึงแท็กด้วย ฮื่อ ไม่มีอะไรในแท็กฟิคให้อ่านเลย ช่างเหงาเสียจริงเพคะ
ดังนั้น ถ้าอ่านจบแล้ว ไม่เป็นการรบกวน ขอคนละเม้นท์ คนละแท็ก คนละใจ ก็เพียงพอแล้วจ้า
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ฝากแม่ทัพและลลิลของเขาด้วย บุ่ย ๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เหนื่อยใจกับท่านเชียน
อยากให้พี่ไมล์รู้จริงๆว่าท่านเชียนทำให้น้องมีแผล
ตอนไมล์เห็นรอยช้ำที่ไหล่ คือน้ำตาคลอเลยอ่ะ สงสารริน
อยากจะเห้อมมมม ทำไมน้องต้องชอบเค้าก่อนด้วย เเบบวลี ชอบคนเลวหรอ แง
โห มันดีมากๆๆๆๆเลยค่ะ ภาษาก็ดีมากจนจะร้องไห้เลย ชอบมาก
ในวันที่ผ่านเรื่องร้ายไม่ทิ้งกันไปก้อดีแล้ว