ตอนที่ 3 : ❀ ดอกไม้ลลิล : บทที่สาม
บทที่ 3
ชะตาที่มิอาจหลีกเลี่ยง
ฝั่งตะวันตกของลิเทียร์น่าเป็นที่อยู่อาศัยของนักสู้ระดับล่างไปจนถึงอัศวินระดับสูง สภาพบรรยากาศโดยรอบจะมีความป่าเถื่อนและคลุ้งไปด้วยฝุ่นผงจากพื้นถนน บ้านเรือนส่วนมากเป็นไม้ ถ้ามีฐานะหน่อยกำแพงก็จะเป็นปูน แตกต่างจากไอลาหรือดิเซนเนเซียที่ดูเงียบสงบและไม่อันตรายทุกย่างก้าว
ในแต่ละเมืองถูกแบ่งให้บุตรทั้งสี่ของลิเทียร์น่าดูแลแตกต่างกันออกไป เฉกเช่นเมืองนี้…ภายใต้การดูแลของเทพแห่งสงครามนามว่า เชียน บุตรชายลำดับที่สองของลิเทียร์น่า ชายผู้โชกเลือดและเก่งกาจด้านการรบมากกว่าใครในแผ่นดิน ครั้งที่เชียนเริ่มจับดาบ เด็กคนนั้นก็หายไปกับดาบร่วมสองปี จักรพรรดินีใจสลาย แค่เส้นทางนี้เท่านั้นที่นางจะไม่ยอมเสียลูกชายให้กับมัน แต่สายไปเสียแล้ว… เชียนเติบโตขึ้น และได้เรียนรู้ถึงกลิ่นเลือด…จนมิอาจพากลับมาได้
สามพี่น้อง ยกเว้นน้องสาวคนสุดท้อง พากันเดินไปยังใจกลางเมืองม็อคการ์ด สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยนักรบ ซึ่งเป็นการเรียกโดยรวมไม่แบ่งระดับ เมื่อได้เห็นว่าองค์รัชทายาทเดินผ่าน หัวเข่าทั้งสองข้างก็ขยับลงไปติดพื้นทันที
“ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี เมืองนี้ก็ไม่ต่างไปจากเดิมเลย”
“อย่างน้อยก็ไม่ค่อยมีคนนอนตายเกลื่อนกลาดแล้วนะท่านพี่ชาร์วิส”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน สองข้างทางต้องมีศพนอนพิงกำแพงสักคนสองคนบ้างล่ะ ยิ่งเป็นทางที่ตรงไปยังเรือนกุหลาบ โรงเตี๊ยมที่ยกยอว่าตนมีค่าเทียบเท่าตำหนักลลิล ถึงแม้นางบำเรอบางคนจะสวยพอกับดอกไม้ลลิล แต่ในความคล้ายย่อมมีความต่าง
“ถวายบังคมองค์รัชทายาททั้งสาม อัศวินของท่านเชียนรออยู่ข้างในแล้วเพคะ”
ไม่แปลกถ้าผู้ก่อตั้งเรือนกุหลาบจะลงมารับหน้าถึงที่ นาน ๆ ทีองค์รัชทายาททั้งสามพระองค์จะเสด็จมาเยี่ยมเยียนเรือนบำเรอนี้ เธอเองก็แต่งสวยมาเต็มที่ ไม่ให้น้อยหน้าตำหนักในดิเซนเนเซียเลย
“ไงเจ้าชาย”
“ไงไอ้อัศวินทั้งสอง”
คำทักทายกวนประสาทเสี่ยงต่อกบาลผู้พูดเป็นอย่างมาก อัศวินข้างกายที่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมรบในสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ลุกขึ้นทำความเคารพเจ้าชายสามคนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ฝีมือของทั้งสองคนเป็นรองแค่นายตน ไม่งั้นก็คงควบคุมเมืองนี้แทนเชียนไม่ได้
“แขนเจ้าเป็นยังไงบ้างเซพาร์?”
ชาร์วิสถามอัศวินเหมันต์นามว่า เซพาร์ มือซ้ายของเทพแห่งสงครามที่ถนัดศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่ามากที่สุด เส้นผมสีควันบุหรี่และดวงตาสีเถ้าถ่านมอดไหม้ ขับให้ผิวพรรณสีซีดดูงดงามราวกับเป็นหญิงสาวในป่าต้องห้าม เสียดายตรงที่เจ้าอัศวินคนนี้ไม่ค่อยรู้จักการยิ้มเท่าไร
“แผลแห้งแล้ว อีกไม่นานก็หายแล้วพะยะค่ะ”
“ดีที่ไม่ต้องตัดแขนทิ้ง ไม่งั้นนายเจ้าร้องไห้แน่”
เชียนไม่เคยสนใจเสียงนกเสียงกา ชาร์วิสเลยได้ใจล้อเลียนตลอด มองเลยไปยังอัศวินอีกคนที่นั่งหันหน้ามองออกไปผ่านช่องแคบ ๆ ของผ้าม่าน ตรงกันข้ามกับเหมันต์ก็คืออัศวินคิมหันต์นามว่า ไคเซอร์ อัศวินหน้ายิ้มใจนักเลง ถนัดอาวุธมีคมทุกชนิด เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลไหม้และนัยน์ตาสีดอกทานตะวัน ไม่ใช่เรื่องยากถ้าต้องการดึงดูดหญิงสาวด้วยดวงตาคู่นี้
“ถ้าเจ้าอยากจะลุกออกไปจากตรงนี้ ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะไคเซอร์”
“ฮึฮึ ดึงน้องท่านเถิด อีกนิดคงลุกขึ้นจูงข้าไปด้วยกัน”
ชาร์วิสแค่นยิ้ม เมื่อเห็นชิโอะกำลังโบกไม้โบกมือให้นางบำเรอด้านนอก ถ้าไม่ติดว่าต้องคุยงานกันก่อน ชิโอะคงจูงอัศวินคิมหันต์ออกไปล่าเหยื่อด้วยกันแล้ว เหล้าหมักรสชาติหวานพร้อมจะกล่อมมนุษย์สูงศักดิ์ทั้งสี่คนได้ในเวลาครึ่งชั่วโมง เซพาร์เลยอาสาเป็นคนรินเหล้าแทนเชียน องค์รัชทายาทคนนี้มือหนักมาก อย่าบังอาจขอให้ชายผู้นี้รินเหล้าให้เลย
“เมื่อตอนพลบค่ำ หน่วยสอดแนมของเรากลับมาพร้อมข้อมูลสำคัญ” เซพาร์เริ่มเข้าสาระ ในขณะที่เขยิบแก้วเหล้าหนีการรินจากเชียน
“ได้ความว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“ศึกที่ผ่านมาเป็นฝีมือของพวกมัน”
เหล้าในแก้วกระฉอกออกมาเล็กน้อย เนื่องจากเจ้าของหยุดการเคลื่อนไหวโดยฉับพลัน บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ไม่คิดว่าที่ไปทำสงครามมาร่วมเดือนมันจะไม่ใช่การล่าอาณานิคมธรรมดา เหตุใดถึงไม่เอะใจพวกอีกาที่บินอยู่บริเวณนั้นกันนะ
“มันโจมตีเมืองตอนใต้ของมาธาร่าร์ และเกณฑ์กำลังพลมาทำศึก เพื่อจะได้ส่งคนเข้ามาปะปนกับเราทางท่าเรือลิเทรเซียที่กำลังหละหลวมเพราะต้องนำทหารไปรบ”
“น่าแปลกที่พวกมันให้คนของเรากินยาพิษที่กว่าจะออกฤทธิ์ก็ถึงม็อคการ์ดพอดี อีกทั้งยังตั้งใจปล่อยคนของเรากลับมาบอกข้อมูลนี่อีก”
“แล้วหน่วยสอดแนมคนนั้นไปไหนเสียล่ะ” ชิโอะแทรกขึ้น
“ตายไปแล้ว ยาพิษทำลายอวัยวะภายในจนฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี เจ้านั่นยังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ…”
ไคเซอร์กัดฟันกรอด นึกถึงใบหน้าลูกน้องตัวเองเจ็บปวดทรมาน ฝืนริมฝีปากคล้ำดำกลั่นออกมาแต่ละคำด้วยความยากเย็น เขาไม่เคยลดละในการตามล่าพวกมัน และการตายของลูกน้องในครั้งนี้ยิ่งทำให้อัศวินคิมหันต์ถึงกับกดอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่อยู่
“ชิโอะ…เจ้าจะไปเที่ยวเล่นก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องอยู่ฟังด้วยหรอก”
“ค…คิดว่าข้าจะยังมีอารมณ์เที่ยวเล่นอยู่อีกงั้นหรอ”
“จะอยู่ฟังก็ตามใจ แต่อย่ามาร้องไห้ทีหลังล่ะ”
“ข้าไม่ร้องหรอกน่า!”
ชิโอะอายุห่างจากเชียนสามปี แต่กับเรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ประสีประสา เพราะองค์รัชทายาทลำดับที่สามนั้นชอบธรรมชาติ และเชี่ยวชาญการวางเส้นทางต่าง ๆ ชิโอะจะดูแลเมืองแห่งการเกษตรหรือก็คือบาชูรา หลายครั้งมักชอบหอบสัตว์ฟาร์มเลี้ยงกลับปราสาท แกะบ้าง แพะบ้าง ล่าสุดก็ตัวเฟอเรท ซึ่งมันกำลังนอนหลับซุกซอกคอเจ้าของมันอยู่
“พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว นั่นหมายความว่าลิเทียร์น่ากำลังถูกแทรกแซง”
“อะไรนะ?!” ชาร์วิสร้องตกใจ
“ต้องมีใครสักคนคอยส่งข่าวการเคลื่อนไหวของเรา ไม่แน่…งานฉลองในวันพรุ่งนี้อาจจะมีพวกมันยืนอยู่ด้วยก็ได้”
“หุบปากเซพาร์! เจ้าทำให้ข้ากลัว!”
“ท่านได้กลัวมากกว่านี้แน่ ถ้ารู้ว่าไอ้คนทรยศนั่น…มันอยู่ในปราสาทของท่านด้วย”
ชาร์วิสกุมขมับ จริงอย่างที่เซพาร์พูด คนที่รู้เรื่องภายในได้ดีที่สุด…ก็คือคนในการปกครอง แต่ใช่ว่าปราสาทจะมีอยู่แค่คนสองคน ไม่นับรวมกับข้าราชการในเมืองดิเซนเนเซียก็เกือบสามร้อยคน เรียกได้ว่าพวกเขานั้นกำลังแหวกหางูพิษในป่าทึบก็ไม่ปาน
“งานเลี้ยงฉลองพรุ่งนี้มันคงไม่ลงมือทำอะไรหรอก อย่างมากก็แค่จับตาดูพวกท่านเอาไว้ ข้าเชื่อว่ามันคงไม่เอาหัวมาแลกกับทหารฝีมือดีที่เพิ่งกลับจากทำสงครามมาหมาด ๆ หรอก”
“มีอะไรอีกหรือไม่?”
“มีเท่านี้พะย่ะค่ะ ส่วนม็อคการ์ดก็ฆ่ากันตามปกติ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปพะย่ะค่ะ”
ชาร์วิสเบ้ปากใส่เมืองเถื่อน ในขณะที่ชิโอะทำหน้าตกใจ การตีรันฟันแทงมันเป็นส่วนที่ปกติในเมืองนี้ ไม่สิ…ในแผ่นดินนี้ได้ยังไง ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าได้สัมผัสกับมวลซากศพในเมืองนี้ทุกครั้งที่เข้ามาเยือน แต่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติเสมือนลุกขึ้นมาแปรงฟันในตอนเช้าทุกวันนี่ ดีแล้ว…บอกกับตัวเองทุกครั้งว่าดีแล้ว…ที่เกิดมาเป็นคนดิเซนเนเซีย
“ข้าต้องไปเจรจาความสัมพันธ์ทางไมตรีกับมาธาร่าร์ห้าวันข้างหน้า ไว้จะหาข้อมูลที่มีประโยชน์มาให้” ถึงจะไม่อยากไปแค่ไหน แต่ยังไงก็คืองาน ท่านพ่อฝากให้ชาร์วิสดูแลเรื่องนี้ ได้ข่าวมาว่าจักรพรรดิของมาธาร่าร์โกรธจัด เพราะสงครามเกิดขึ้นโดยที่ทางนั้นไม่รู้ ซึ่งชาร์วิสเกิดมาเพื่อทำหน้าที่นี้นั่นแหละ
“ฝากเครื่องราชบรรณาการไปให้เยอะ ๆ หน่อยก็แล้วกัน เพราะท่านเชียนฟันไม่ยั้งมือเลย”
ไคเซอร์ชี้พลางทำหน้ายี๋ หวาดกลัวปีศาจในร่างมนุษย์คนนี้เสียเหลือเกิน ยามใดได้จับดาบ…ยามนั้นร่างกายจะเลอะไปด้วยเลือดร้อยคน
“เอ้อ…พอท่านพูดถึงเครื่องราชบรรณาการ ข้าก็นึกได้ว่ามีข่าวทำนองนี้ลอยมาเข้าหูอยู่เหมือนกัน” ไคเซอร์ยิ้มกริ่มใส่ท่านแม่ทัพ ขนาดเซพาร์ยังยกยิ้มชอบใจ
“ฮะฮาฮ่า ข่าวไปไวดีแท้ ขนาดนั่งจิบน้ำชาคุยกันสี่คนเองนะนั่น”
“หลุดมาจากคนปากเปราะน่ะสิ” เชียนเหน็บแนมพี่ชาย
ชาร์วิสไม่อยากเถียงออกไปว่าหลุดออกมาจากพ่อของเรานี่แหละหนา… เชียนเริ่มหงุดหงิดทันทีที่คิดถึงเรื่องนั้น ชุฌาตัวแสบ… จัดการเรื่องเองเสร็จสับ รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าท่านแม่ทัพผู้นี้มิอาจมอบหัวใจให้ดอกไม้ลลิล…มนุษย์ไร้ค่าจนต้องให้เงินตราหรืออำนาจตีราคาแบบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีแก่เชียนเลยสักนิด
“ท่านชุฌานี่ก็เก่งไม่เบา บังคับท่านเชียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่หมัดได้อย่างไร”
“ว่าแต่ท่านได้พบหน้าลลิลคนนั้นแล้วหรือยัง”
“ทำไมข้าต้องอยากพบ”
“ใคร ๆ ก็รู้ว่าผู้ที่ครอบครองลลิล…ไม่อาจฝืนหัวใจตกหลุมรักได้”
ตามคำกล่าวมาตั้งแต่แรกเริ่ม ขนาดผู้ที่อยากครอบครองยังห้ามหัวใจมิได้…แล้วใยผู้ที่ครอบครองจะทำได้ หัวใจของมนุษย์เรานั้นแสนอ่อนแอและเปราะบาง แม้ก้อนน้ำแข็งจะเกาะตัวกันหนาสักเพียงใด…ก็ไม่อาจต้านแสงอาทิตย์เพื่ออยู่แบบนั้นตลอดไปได้
“ระวังปากหน่อย ข้าไม่ให้ราคาดอกไม้ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนั้นหรอก”
“นี่เหมารวมเพื่อนเจ้าด้วยไหม”
“ชาร์วิส…”
“ข้าแค่หยอกเล่นน่า”
พอเห็นว่าบรรยากาศไม่ค่อยดีอย่างต่อเนื่อง ชิโอะจึงหาช่องทางหนีโดยการล่องลอยไปกับนางบำเรอหน้าหวาน คล้อยหลังน้องชายยังไม่ทันหาย อัศวินคิมหันต์ของเขาก็ผุดลุกหนีตามไปอีกคน ถ้าไม่ติดว่าชาร์วิสมีดอกไม้ลลิลเป็นตัวเป็นตน เจ้าพี่บ้านี่ก็คงลุกตามไปไม่ห่าง
“ฉุนเฉียวไปก็เท่านั้น ท่านมาพักผ่อนก็จงพักเถิด” เซพาร์ว่าพลางรินเหล้าใส่แก้วให้
“นั่นสิน้องรัก มันก็แค่คำโบราณว่าไว้ ข้าพูดเพียงเพราะไม่อยากให้เจ้าดูถูกหัวใจตัวเอง”
“หุบปากซะ”
ชาร์วิสขำก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดก วาจากล่าวราวกับคนรู้ดี ทำตัวดั่งผู้หยั่งรู้ในตำนานโบราณ ยิ่งฟังเลยยิ่งหงุดหงิด ไม่ว่าลลิลผู้นั้นจะหน้าตาสวยสดงดงามปานนางฟ้านางสวรรค์ แต่ท่านแม่ทัพผู้นี้ได้ละทิ้งหัวใจไว้ที่สนามรบไปแล้ว
ไม่ว่าจะพยายามตามหายังไง…
“ท่านเชียนจะรับกุหลาบสักดอกไหมเพคะ”
“อ่า ขอโทษทีนะแม่นาง พอดีว่าเชียน…”
“รับ”
“เฮ้ย!! ช้าก่อน…เจ้ากำลังจะได้ครอบครองลลิลแล้วนะเชียน! เชียน!!”
เลือดและดาบจะบดบังไม่ให้ผู้ใดพบเจอ
แม้ว่าการแสดงจะถูกจัดเตรียมอย่างกะทันหันตามประสงค์ของชุฌา แต่การร่ายรำของลลิลนั้นเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว การซ้อมจึงใช้เวลาไม่เยอะเท่าไรนัก ชุฌาลงมาเลือกลลิลสำหรับงานในครั้งนี้ด้วยมือของตัวเอง ถึงแม้การแสดงจะมีแค่สองบทเพลง แต่นางก็อยากทำให้มันออกมางดงามและตราตรึงมากที่สุด
วันนี้ส้มสามผลก็ส่งถึงมือลลิลตัวน้อยเช่นเคย ไม่มีใครบอกว่ารับมาจากไหน บอกเพียงแค่ว่าคนงานจากสวนส้มมารอทท์นำฝากมาให้ลลิลคนนี้ รินไม่รู้หรอกว่าภายนอกตำหนักเป็นอย่างไร แล้วผู้คนเป็นแบบไหน กระทั่งความอยากรู้พาร่างกายอายุสิบห้าเดินขึ้นบันไดหอคอย
มันคงเป็นตอนนั้น…ที่ได้เห็นด้านหลังตำหนักเต็มไปด้วยผลส้ม
“ส้มสามผลอีกแล้วรึ?”
“อืม ทางนั้นพักกันแล้วหรือ…ซู”
ซู เป็นลลิลหนุ่มเพียงคนเดียวที่อายุอานามเท่ากับริน ถึงซูจะเข้ามาในตำหนักช้ากว่าถึงสี่ปี แต่พอได้เลื่อนระดับเป็นลลิลชั้นสูง ลำดับที่ห้า เราเลยได้พบเจอกันบ่อย ๆ จนในที่สุดก็สนิทสนมกัน ลลิลดอกนี้เป็นเด็กหนุ่มผิวสีเข้มกว่ารินเล็กน้อย ดวงตากลมโตราวกับเบิกตามองอยู่ตลอดเวลา เส้นผมสีดำขลับยาวคลอเคลียกับแผ่นหลัง…น่าดูชมเสมอเวลาที่เจ้าของเรือนผมขยับตัว
และเมื่อลำดับที่สี่กับห้าอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็จะโดดเด่นกลางทุ่งดอกไม้ที่ได้เติบโต
“ได้ฤกษ์จัดขบวนแล้วล่ะ เจ้ากับข้าก็ต้องไปเตรียมตัวด้วยเช่นกัน”
“ข้ายัง…ไม่อยากไปเลย”
“…ข้าขอชิมส้มมารอทท์ที่มือเจ้าสักชิ้นหนึ่งได้หรือไม่”
“ใยจะไม่ได้เล่า”
รินแกะเปลือกส้มลูกหนึ่ง ก่อนจะยื่นเนื้ออวบอิ่มของมันให้กับลลิลด้านข้าง เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลที่จะได้รับ รินจะกินส้มสามผลหลังมื้ออาหารทุกวันจนกระทั่งหมดฤดู ไม่มีวันไหนที่ผู้นำฝากหลงลืม และไม่มีวันไหนที่จะบอกรินเสียทีว่าเจ้าของส้มสามผลนี้เป็นใคร
“ถ้าเจ้าของสวนส้มเขาชอบเจ้าขนาดนั้น เหตุผลอะไรถึงได้ปล่อยให้เจ้ารับแต่ส้มสามผลนี่ถึงหกปีเลยล่ะ” ซูว่าพลางเกาคาง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? ใครชอบข้า!?”
“ผู้ที่นำส้มพันธุ์ดีที่สุดในลิเทียร์น่ามาให้เจ้าทั้งฤดูกาลได้ ข้าว่าคงไม่ใช่แค่ชาวบ้านธรรมดาหรอกกระมัง”
“เจ้าล้อข้าเล่นหรอ ข้าไม่เคยออกไปนอกตำหนัก แล้วใครจะมาเห็นข้าได้…”
“ข้าไม่มีทางรู้ เพราะข้าไม่ใช่เจ้า และไม่ใช่เจ้าของส้มสามผลนี้ด้วย”
ไม่ใช่ชาวบ้านอย่างนั้นสินะ… ทำไมผู้ที่นำมาฝากถึงไม่แนบจดหมายมาให้ข้าบ้างเลย รินถอนหายใจเสียงดังอันเป็นกิริยาที่ไม่งามเลยสำหรับลลิล ซูลนลานปิดหน้าปิดตามิตรสหายไม่ให้ท่านพี่เวเธียเห็นเข้า มิเช่นนั้นคงไม่พ้นโดนเทศนาสามสี่เพลาอาหารแน่
“เกือบไปแล้วริน!”
“ฮิฮิ ขอบใจเจ้ามากนะซู”
“…” ซูลอบมองใบหน้าเศร้าใจของรินเงียบ ๆ …เห็นได้ไม่บ่อยนัก เพราะเด็กคนนี้มีแต่ความสดใสและซุกซน คงกำลังเสียใจที่ไม่ทันได้คำนึงถึงสิ่งที่เป็นลลิล ใช้ชีวิตอยู่บนความสบายใจในแต่ละวัน จนในที่สุดความจริงก็กระชากเรากลับมา
“เจ้าคงไม่ได้กำลังเสียใจที่ต้องเป็นดอกไม้ลลิลหรอกใช่ไหม”
“…เปล่า ข้าไม่เคยคิดแบบนั้น ข้าแค่…ไม่อยากจากที่นี่ไป”
“พี่ไมล์บอกกับข้าเสมอ…คิดว่าเจ้าคงเคยได้ยินเช่นกัน ว่า…”
“ไม่มีที่ไหนสบาย นอกเสียจาก…”
“ที่ที่เหมาะกับเรา… แต่เจ้าคงไม่คิดว่ามันมีแค่ที่เดียวหรอกใช่ไหม”
รินเลิกคิ้วแปลกใจกับคำถาม สายตาของซูมองทอดไปยังลานกว้าง มันถูกใช้เป็นลานซ้อมสำหรับการแสดงในค่ำคืนนี้ ในตอนนี้เป็นช่วงเวลาพักและต้องไปเตรียมตัว เลยไม่ค่อยมีลลิลคนไหนนั่งใช้เวลาพูดคุยกันอย่างยาวนานแบบนี้
“ข้า…ไม่เคยคิดถึงตรงนี้มาก่อน”
“ใช่ว่าข้าจะเชื่อในความคิดนั่นทันที แต่ดูสิ… ตำหนักที่กว้างใหญ่นี้ มีหลายที่เลยที่ข้าอยู่แล้วสบายใจ ทั้ง ๆ ที่มันก็คือตำหนักลลิลแท้ ๆ”
รินรู้ว่าซูต้องการปลอบโยนดอกไม้หัดบานมือใหม่ แต่ตนก็ไม่ได้มีประสบการณ์ไปมากกว่าเพื่อนคนนี้เลยสักนิด เลยให้ได้แต่คำแนะนำของเด็กน้อย หารู้ไม่ว่า…แม้จะเป็นเพียงคำพูดง่าย ๆ แต่กลับทำให้จิตใจของรินสงบลงได้
บางที…การออกจากตำหนักครั้งนี้ รินอาจจะได้พบเข้ากับสถานที่ที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดก็เป็นได้
งานเฉลิมฉลองกับชัยชนะในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เหมือนที่ผ่านมา ชาวบ้านจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาในปราสาทได้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อร่วมฉลองและดื่มให้กับท่านเชียน ด้านนอกของปราสาทมีจัดซุ้มอาหาร พร้อมไฟประดับหลากสีสัน
ผู้คนมากมายคับคั่งเต็มพื้นที่ สร้างความประหลาดใจแก่ลลิลตัวน้อยเป็นอย่างมาก นี่ถือเป็นการออกตำหนักของรินครั้งแรกเลย ร่างบางเคยได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนนอกตำหนักผ่านแผ่นไม้กั้น ไม่เคยได้ยินใกล้และชัดเจนเท่านี้มาก่อน
ขบวนลลิลถือเป็นขบวนที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามมาแต่ไหนแต่ไร เนื่องจากประตูไม้ไม่เปิดให้คนนอกเข้าไป และลลิลเองก็ไม่อนุญาตให้ออกมา ข่าวลือกลายเป็นความจริงทันทีที่ได้เห็น แม้ผ้าคลุมผืนบางจะปกปิดเอาไว้ แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าลลิลนั้นงดงามเพียงใด
“นี่มันดอกไม้ลลิลจริง ๆ ด้วย”
“สวยงามเหลือเกิน เจ้าเห็นลลิลที่ผมสีขาวไหม ข้าเหมือนได้สบตาเข้าด้วยล่ะ”
“ใช่ที่เจ้าบอกว่าจักรพรรดิตั้งใจจะมอบลลิลให้กับองค์รัชทายาท เลยเชิญมาใช่หรือไม่”
“อาจจะใช่ แต่จะมอบให้คนไหนล่ะ ท่านเชียนหรือท่านชิโอะ?”
“เพราะแบบนี้ข้าถึงพาเจ้ามางานนี้ไง!”
ถ้ายังไม่ถึงเวลาของการแสดง ลลิลจะถูกกักตัวไว้ด้านในปราสาท เพราะดอกไม้ลลิลถือเป็นความสวยงามลึกลับที่มีคุณค่ามากในลิเทียร์น่า เกิดเหตุชิงตัวดอกไม้ลลิลมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ชุฌาจึงไม่อนุญาตให้ลลิลออกนอกตำหนัก หรือถ้าจำเป็นก็ต้องมีองครักษ์คอยติดตามไม่ต่ำว่าสองคนขึ้นไป
เพราะเช่นนั้น ลลิลที่มาในวันนี้จึงต้องอยู่รวมกันในห้องอะไรสักอย่างที่ใหญ่โตและหรูหรา บนกำแพงมีรูปกรอบใหญ่แขวนติดไว้ทุกมุมห้อง ใบหน้าในนั้นแสนคุ้นตาเสียจนใจเต้น …ใบหน้าที่เหมือนกับในหนังสือเล่มนั้น
“นี่ พวกเจ้าว่าจะมีเจ้าชายจากเมืองอื่นเข้ามาร่วมด้วยหรือไม่”
“ไม่รู้สิ อาจจะมีก็ได้ อย่างน้อย ๆ ข้าราชบริพารก็น่าจะมากันทั้งหมดนะ”
“เจ้าว่าอัศวินขององค์รัชทายาทลำดับที่สองจะมาร่วมงานนี้ด้วยไหม”
“มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่รึ”
“แต่ว่าข้าน่ะ…อยากให้เจ้าชายชิโอะถูกใจข้าจัง”
“งั้นเจ้าลุ้นเอาแล้วกันว่าจักรพรรดิจะรับดอกลลิลให้เจ้าชายองค์ใด”
รินถอนหายใจ ตั้งแต่ที่ลลิลคนอื่นเห็นรูปเจ้าชายแต่ละพระองค์ในห้องนี้ ทุกคนก็เอาแต่พูดถึงกันไม่หยุด ลลิลบางคนที่ใช้ชีวิตอย่างทะเยอทะยาน คาดหวังว่าหลังการแสดงจบลง เจ้าชายหรือข้าราชบริพารคนใดที่มียศสูงศักดิ์จะมาถึงตำหนักในรุ่งเช้า
ลลิลตัวน้อยรู้แต่แรกแล้วว่าตนถูกเลือก ถึงแม้ว่าการร่ายรำเพลงดอกลลิลจะเป็นความลับแก่ผู้ร่วมแสดง หมายความว่า ช่วงที่จะเข้าทำนองสุดท้าย ลลิลที่ไม่ถูกเลือกต้องแปรแถวกลับเข้าไปด้านหลัง และเหลือลลิลที่ถูกเลือกร่ายรำเพลงเพียงผู้เดียว ซึ่งทำนองเพลงหวานหยาดเยิ้มทำให้รินเขิน
บทเพลงที่คล้ายกับการส่งตัวแบบนั้น…
“ข้าน่ะ เพิ่งได้เห็นใบหน้าแสนงดงามขององค์ชายเชียนเป็นครั้งแรก นอกจากลลิลแล้ว องค์ชายเชียนคงเป็นที่โปรดปรานของชุฌาเช่นกันสินะ”
“แต่ข้าว่า…ถ้าลลิลในครั้งนี้ถูกมอบให้องค์ชายชิโอะก็คงดี”
“ใยเจ้าพูดเช่นนั้นกันล่ะ องค์ชายเชียนเป็นถึงนักรบที่เก่งกาจ ทั้งยังฉลาดวางแผนการรบได้เฉียบคม สารภาพว่าตอนได้ยินแบบนั้น ข้าก็คิดว่าใบหน้าจะโหดร้ายกว่านี้”
“ก็เพราะว่าองค์ชายเชียนน่ะ…เป็นคนที่น่าเกรงขามที่สุดในสี่พี่น้องเลย”
จู่ ๆ ลลิลก็ลอบกลืนน้ำลายกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งรินเอง ชุฌาไม่ได้บอกกับรินหรอกว่าองค์ชายคนไหนจะเป็นผู้ครอบครองเขา แต่พอได้ยินแบบนี้ เขาขอภาวนาไม่ให้เป็นองค์ชายบ้าเลือดคนนั้นเลยเถอะ ดูจากมุมไหนเราก็ไม่น่าเข้ากันได้ เผลอ ๆ นิสัยต่อปากต่อคำของรินอาจจะนำพาไปสู่การลาโลกก็ได้
“เอาล่ะ จวนจะได้เวลาแล้ว” ท่านพี่เวเธียพูดเมื่อเปิดประตูเข้ามา
“ลลิลของข้า จงร่ายรำด้วยความงดงามที่เจ้ามี และอย่าได้…ฝืนใจทำ” ชุฌากล่าวเป็นขวัญกำลังใจแก่ลลิลทุกคนในห้องนี้
ข้างนอกเริ่มมืดลงแล้ว แสงจากหลอดไฟสะท้อนเข้ามาด้านในเป็นประกายสวย ปราสาทช่างงดงามกว่าในหนังสือหลายพันเท่า งานแกะสลักและเครื่องใช้ต่าง ๆ มีลวดลามสวยงามตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปของลิเทียร์น่า
“ริน”
“ขอรับชุฌา”
ชุฌารุ่นสิบนั่งลงบนโซฟา ส่วนลลิลตัวน้อยนั่งอยู่บนพื้น ในเวลาแบบนี้…ความสวยของชุฌาก็ช่วยให้ใจของรินสงบไม่ได้ เช่นเดียวกับชุฌา…ที่กำลังเศร้าใจอยู่ลึก ๆ ที่รินจะต้องออกจากตำหนักไป เธอเอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีขาวสะอาด มันถูกมัดเป็นหางม้าอย่างทุกวัน แต่ในวันนี้แต่งแต้มด้วยดอกบ๊วยตรงยางรัด ชุดของรินคือชุดที่ไว้ใช้ในการส่งตัวลลิลออกจากตำหนัก เป็นชุดที่เมื่อก่อนไมล์เองก็เคยใส่รำ ชุดย้อมสีแดงสดพาดด้วยลายของต้นบ๊วยและดอกบ๊วยจากด้านล่างขึ้นมาสู่บน ตัดกับสีผมของรินได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
“บานสะพรั่งแล้ว…ดอกไม้ของข้า”
ชุฌาว่าพลางลูบใบหน้าของรินเบา ๆ ความสวยงามที่เธอตกหลุมพรางตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ไม่ว่าจะผ่านมาสักกี่ปี ใบหน้าของรินก็ทำให้เธอหลงใหลได้อยู่เสมอ ยิ่งโตก็ยิ่งสวย…ยิ่งสวยก็ยิ่งมีคนต้องการตัวมากมาย เพราะแบบนี้ข้าถึงต้องยอมปล่อยเจ้าไป…
มองเลยไปยังเครื่องรังสาบนเอวคอด พลันรอยยิ้มก็ผุดออกมาบางเบา
“เครื่องรังสาของเจ้ายังงดงามอยู่เสมอเลยนะ”
“ขอบพระทัยท่านหญิง” รินเสียงสั่น ราวกับมีอะไรบางอย่างติดอยู่ที่คอ
“อย่าได้เศร้าใจไปเลยลลิลเอ๋ย ชายผู้นั้นจะปกป้องเจ้าได้”
“ปกป้องข้าจากอะไร…”
“จากทุกสิ่ง ได้เวลาที่เจ้าจะบินออกไปจากปีกข้าแล้ว ลลิลน้อย…”
ถามข้าได้โปรด…ถามว่าข้าอยากบินออกไปหรือไม่ ได้โปรดชุฌา…
“ริน…จะไม่ทำให้ท่านหญิงผิดหวัง”
“ข้ารู้ ท่านผู้นั้นอาจจะเอาแต่ใจ ดื้อดึงและโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะรับมือกับชายผู้นั้นได้”
“…”
“ทำ…ให้เหมือนกับที่เจ้าเป็น”
แวบหนึ่งที่รินสัมผัสความสนุกจากรอยยิ้มของชุฌาได้ เป็นครู่เดียวที่รู้สึกว่าชีวิตกำลังจะเจอกับอะไรที่ยุ่งยากอย่างที่ไม่เคยคาดถึงมาก่อน ชุฌาไล่ให้รินไปรวมกลุ่มกับลลิลคนอื่น พอรินคล้อยหลังไปได้สักครู่ ชุฌาก็เหยียดยิ้มพอใจและหัวเราะออกมาเบา ๆ
การแสดงบทเพลงที่สองของตำหนักลลิลเริ่มขึ้นแล้ว ในการแสดงช่วงต้น ลลิลทุกคนจำต้องสวมผ้าปิดหน้าบาง ๆ เอาไว้ ป้องกันมิให้ใบหน้าลลิลเป็นตัวจุดชนวนเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นได้ บรรดาแขกผู้ทรงเกียรติเริ่มล้อมลานแสดงกันอย่างหนาแน่น ปะปนกับชาวบ้านที่เข้ามาเพื่อดูใบหน้าองค์รัชทายาททั้งสี่และการแสดงจากตำหนักลลิลโดยเฉพาะ
บทเพลงบรรเลงขึ้นพร้อมกับลมลูกใหญ่พัดเข้ามา วูบหนึ่งที่ลมพัดผ้าผืนบางปลิวไสวจนเห็นเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าลลิล ดวงตาเหล่านั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ความงดงามนั่นไปเสียแล้ว…
ช่วงต้นเพลง รินจะแปรแถวอยู่ไม่ด้านข้างก็ด้านหลังไปเลย ทว่าความโดดเด่นของสีผมหนึ่งเดียวในลิเทียร์น่าไม่สามารถหลบซ่อนสายตาของบรรดาแขกผู้มางานได้เลย
ด้านหน้าเป็นบัลลังก์อันสง่างามของจักรวรรดิลิเทียร์น่าทั้ง 6 พระองค์ องค์รัชทายาททั้งสี่งดงามราวกับรูปวาด คนที่นั่งด้านข้างจักรพรรดิคงเป็นลำดับที่หนึ่ง ถัดไปเป็นลำดับที่สี่ งั้นด้านขวาของจักพรรดินีก็คงเป็นลำดับที่สองกับลำดับที่สาม…หนึ่งในสองคนที่จะครอบครองดอกไม้ลลิลในคืนนี้
องค์ชายเชียนดูไม่ชอบใจ เอาแต่นั่งเท้าคางเหม่อมองอะไรสักอย่างอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้ ตรงกันข้ามกับองค์ชายชิโอะที่จดจ้องการแสดงตาไม่กะพริบ บางครั้งก็เผลอปรบมือออกมา อย่างที่คิดเอาไว้เลย ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ชายผู้นั้น…
พรึบ!
บทเพลงช่วงต้นจบลงแล้ว ลลิลคนอื่นทยอยเดินกลับเข้าไปด้านหลัง เหลือลลิลผมขาวตัวน้อยยืนอยู่คนเดียวกลางลานแสดง เสียงฮือฮาดังระงม ช่วงเวลาที่ลุ้นที่สุดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้ากล่าวถึงความสวยคงเป็นเรื่องที่รู้กัน แต่ถ้าถามว่าสวยถึงเพียงไหน…ก็แทบหยุดหายใจกันเลยทีเดียว
ผ้าผืนบางร่วงลงสู่พื้น
ฉายใบหน้าที่ไม่เคยมีผู้ใดได้พบเห็นอัญมณีที่สละสลวยเช่นนี้มาก่อน
เครื่องดนตรีบรรเลงให้ลลิลสะบัดตัวในจังหวะแรก ปลายหางม้าเคล้าเล่นอยู่ที่ไหล่เล็กและเอวคอด ก่อนจะเคลื่อนไหวไปตามท่าร่ายรำพร้อมเครื่องรังสาคู่กาย การเปิดเผยหน้าของรินดึงความสนใจของเชียนให้หันมาชมการแสดงช่วงสุดท้ายได้อย่างคาดไม่ถึง ชุฌายกยิ้มเมื่อเห็นเชียนกำลังดูการร่ายรำดอกลลิลตรงหน้า แม้ใบหน้าจะนิ่งเฉย แต่แค่มองดูก็เพียงพอแล้ว
เสียงกระดิ่งดังขึ้นผะแผ่วในยามที่ดนตรีเว้นช่วงการบรรเลง ชายผ้าสะบัดพลิ้วไหวไปตามการขยับตัวร่ายรำ จังหวะการก้าวเท้าและสะบัดมือได้ตกผลึกเป็นมนต์สะกดแขกผู้มาร่วมงานให้มองกันเป็นตาเดียว ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีก็มิอาจถอดถอนสายตาออกจากลลิลดอกนี้ได้
ชดช้อย…อ่อนหวาน…สง่างาม…สมคำเลื่องลือ
บรรดาแขกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าลลิลดอกนี้สวยงามพอ ๆ กับชุฌาเลยก็ว่าได้ กับลลิลที่นั่งอยู่ข้างเจ้าชายชาร์วิสว่างดงามแล้ว เจอคนนี้ไปถึงกับอยากตั้งใจทำงานเก็บเงิน เพื่อซื้อตัวลลิลมาไว้ดูเล่นเลยเชียว
พลันใบไม้ที่ใช้ตกแต่งเครื่องรังสาในครานี้ลู่ลมลงสู่พื้น การแสดงของลลิลก็จบลง รินเหนื่อยหอบพลางถอนหายใจขณะกลัดเครื่องรังสาไว้ที่เดิม ทั้งใจเต้นและเคอะเขินยามร่ายรำเพลงบทนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นการรำถวายดอกลลิลแท้ ๆ แต่เหมือนจะไปแต่งงานเลย
เสียงปรบมือดังสนั่นหลังจากเงียบไปนานหลายนาที เพราะเอาแต่ตะลึงเลยไม่ทันรู้ตัวว่าเพลงได้จบลงแล้ว จักรพรรดิและจักรพรรดินีลุกขึ้นปรบมือให้ลลิลเสียงดัง ถูกใจเด็กคนนี้มากมายไม่ต่างจากไมล์เลยสักนิด ยิ่งมองความแปลกประหลาดของสีผมก็ยิ่งชื่นชอบ
จักรพรรดิยกมือปรามให้หยุดเสียงปรบมือและโห่ร้องอย่างไร้มารยาทลง จนกระทั่งรอบ ๆ เงียบสนิท ชายร่างใหญ่และสูงสง่ากระแอมเล็กน้อย ก่อนจะตะเบ็งเสียงกล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า
“ข้าขอรับลลิลดอกนี้ให้แก่ เชียน เจ้าชายรัชทายาทลำดับที่สองของข้า!!”
เสียงตกใจดังขึ้นพร้อมกันไม่เว้นแม้รินเอง ในลิเทียร์น่านี้มีคนเดียวที่ไม่เหมาะกับคำว่าความรักเลยสักนิดก็คือ ท่านเชียน หรือ เชียนแห่งลิเทียร์น่า นี่แหละ วัน ๆ เอาแต่จับดาบ ไม่ก็ศึกสงคราม ถึงจะมีลือกันมาบ้างว่าท่านเชียนใช้บริการเรือนกุหลาบ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าท่านแม่ทัพคนนี้มีหัวใจ รักใครเป็น
รินอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปถวายบังคมให้เข่าติดพื้นผืนเสื้อติดฝุ่นต่อจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เขานั่งอยู่ตรงนั้นราว ๆ นาทีกว่า คนที่ได้ครอบครองไม่เห็นลุกมารับเสียที จักรพรรดินีเห็นท่าไม่ดี จึงหันไปสะกิดเรียกลูกชายหน้าบึ้งตึง แสดงออกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ร่างสูงลุกขึ้นจากบัลลังก์ ก้าวเท้าเดินลงขั้นบันไดอย่างเนือย ๆ อัศวินสองคนรู้ดีว่าใบหน้าแบบนั้นคงกำลังไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด บางทีพวกเขาก็ควรเตรียมพร้อมรับมือนายตัวเองด้วย รินก้มหน้าหายใจหนัก ตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ฟึ่บ!
ราวกับถูกคีมหนีบเข้าที่ต้นแขน เป็นท่านเชียนนั่นเองที่รั้งแขนเขาให้ลุกขึ้นจากพื้นด้วยมือข้างเดียว ไม่มีแม้แต่ความอ่อนโยนหรือยินดีกับการได้รับดอกไม้ดอกนี้ มีแต่ความเย็นชา ไม่พอใจ และ…เกลียดชัง
“ขอบพระทัยฝ่าบาทสำหรับของที่ข้าไม่ต้องการ”
คำพูดใจร้ายที่ไม่สนว่า…ของ…จะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟัง
ท่านเชียน…ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการท่านเหมือนกันนั่นแหละ!
#ดอกไม้ลลิล
แต่งช้าจังเลย ตอนเดียวปาไปสามวัน นี่แต่งฟิคหรือเข้าค่ายอ่ะแม่นาง
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำทุกอย่างจากนักอ่านทุกท่านเลยนะคะ เราจะนำไปปรับปรุงค่ะ ส่วนบางจุดที่มีคำทันสมัยอยู่ นั่นเราตั้งใจค่ะ อยากให้ตลกเฉยๆ 55555555
ถ้าชอบก็อย่าลืมเป็นกำลังใจให้น้องรินและท่านเชียนด้วยนะเพคะ
แก้ไขเพิ่มเติม ลืมบอกเมจค่ะ5555
เซพาร์ = เซฮุน
ไคเซอร์ = จงอิน
ซู = คยองซู
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แต่ท่านเชียนนิปากคอเราะร้ายเย็นชามาก!! น้องรินลูกแม่สู้!! ดื้อใส่เลย ดื้อสู้ลูกแม่!!!
โกรธ พระเอกแล้วนะ ทำไม ใจร้ายกับน้อง