ตอนที่ 2 : ❀ ดอกไม้ลลิล : บทที่สอง
บทที่ 2
บุตรแห่งลิเทียร์น่า
ด้านหลังของตำหนักลลิลมีสวนส้มขนาดใหญ่กินแนวยาวสุดลูกหูลูกตา เมื่อถึงฤดูที่ผลส้มรับแสงอรุณ ตำหนักลลิลจะมีส้มสามผลฝากมาถึงดอกไม้ลลิลชั้นสูงลำดับที่สี่ทุกวัน ลูกที่หนึ่งหมายถึงความรัก…ลูกที่สองหมายถึงความห่วงหา…และลูกที่สามหมายถึงความซื่อสัตย์
เมื่อนำมารวมกันแล้วก็มิต่างจากการสารภาพรัก
รินขยับผลส้มพันธุ์มารอทท์ในมือ เขาไม่เคยรู้ความหมาย จนกระทั่งพี่ไมล์ได้บอกกับเขา ส้มสามผลถูกส่งมาอยู่ตลอดตั้งแต่รินอายุสิบห้าและจะส่งมาทุกวันกระทั่งหมดฤดู จนอายุเท่านี้ก็ยังได้รับอยู่ …หากแต่เขาไม่เคยพบหน้าผู้ให้ ความปลื้มปริ่มในหัวใจเลยได้แต่เก็บไว้คนเดียว
“วันนี้แล้วรึ?”
“ท่านพี่เวเธีย?!”
“ยามใดกันที่เจ้าจะตอบรับเขา”
“ข้า…ไม่ทราบขอรับ”
ลลิลคนสนิทของชุฌายิ้มรับ หยิบผลส้มพันธุ์ดีที่สุดในลิเทียร์น่าขึ้นมามองดู มันช่างหวาน หอม และมีราคาแพงกว่าส้มทุกสายพันธุ์ เนื้อของเปลือกเรียบเนียนและเป็นสีสด ดูจากภายนอกยังรับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ ลลิลผู้นี้เป็นที่โปรดปรานยิ่ง ขนาดอยู่แต่ในตำหนัก ความสวยงามยังเล็ดลอดออกไปได้
“รู้สึกดีกับส้มสามผลไปก็ไม่มีประโยชน์ ภาวนาให้เขาผู้นั้นมีความกล้ามากพอมาหาเจ้าถึงตำหนักเสียดีกว่า”
“ข…ข้า…ไม่ใช่นะขอรับ!”
“ไปทำหน้าที่ของตนเถิด ข้าต้องไปแล้ว” เสียงบางอย่างดังจากข้างนอกเข้ามาถึงในนี้ คงได้เวลาที่เวเธียจะต้องไปหาชุฌา เธอขอส้มผลหนึ่งจากลลิลตัวน้อย ซึ่งเด็กคนนั้นไม่อิดออด ทั้งยังจะให้อีกสองลูกที่เหลือเสียด้วย
ความโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อมีเสียงกีบม้ากระทบพื้น ทหารนับพันรายเดินเรียงกันเป็นกองทัพเข้ามายังประตูฝั่งตะวันออก เพื่อมุ่งหน้าสู่ปราสาทใหญ่ ข่าวร้อนเดินทางมาถึงก่อนกองทหารจะก้าวผ่านประตูเสียอีก ชุฌารุ่นที่สิบสวมผ้าคลุมผืนใหญ่ สีขาวสะอาดตา ตั้งแต่เมื่อครู่นี้
เตรียมตัวออกไปต้อนรับท่านแม่ทัพที่นำชัยมาสู่บ้านเมือง
“หวังว่าท่านผู้นั้นจะเดินทัพผ่านหน้าตำหนักของเรานะ”
ประตูตำหนักไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก พร้อมเสียงเซ็งแซ่ที่ประดาประดังทะลุผ่านหูทั้งสองข้างจนต้องหรี่ตา การปรากฏตัวของชุฌาเป็นที่น่าตกใจอยู่เสมอ เพราะนางเป็นสาวงามที่ถูกขนานนามว่าสวยที่สุดในเมืองนี้ แม้แต่จักรพรรดินีก็มิอาจสู้ความงามของชุฌาผู้นี้ได้
ร่างบางระหงส์เดินไปตามทางแยกของพวกชาวบ้านที่หลบให้ ขึ้นมาหยุดยืนอยู่หน้าสุดของแถวพร้อมองครักษ์หน้าตาดีมากมาย รวมถึงผู้ติดตามอย่างลลิลสาวอีกสองสามคน เรียกได้ว่าถ้าในยุคนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเคป็อป ตำหนักนางก็น่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ผิดแน่
การเดินเท้าของกองทัพช่างชักช้ายิ่งนัก เพราะติดเข้ากับชาวบ้านที่เตรียมของมามอบให้ท่านแม่ทัพและทหารผ่านศึกมากฝีมือ ชุฌาเหยียดยิ้ม จำนวนพลไม่ต่างไปจากตอนที่เดินออกไปเลยแม้แต่น้อย นึกไม่ถึงว่าท่านแม่ทัพผู้นี้จะมีฝีมือในการฝึกสอนยิ่งนัก
กลีบดอกกุหลาบแดงหลายหมื่นกลีบร่วงโรยลงสู่พื้นดินจากการโยนใส่กองทัพนั้น แสดงความยินดีด้วยความสวยงามและสีประจำตำหนัก ชุฌาปล่อยให้คนของนางโยนกลีบดอกไม้ฉลองชัยชนะให้แก่เหล่าทหารไปเรื่อย ๆ ส่วนนางนั้น…
มือเรียวสวยโผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อ กำกลีบดอกสีแดงเต็มฝ่ามือก่อนจะปาใส่บุคคลที่อยู่บนม้าศึกสีถ่าน การกระทำของนางช่างสามหาว ทำเอาบริเวณโดยรอบเงียบสงัด และตำแหน่งที่นางเล็งนั้นเป็นเหตุให้ท่านแม่ทัพต้องหยุดการเคลื่อนไหวของม้าลงเสีย เล่นปาซะแรงจนเกือบโดนเข้าที่ใบหน้า แต่นางก็คิดเอาไว้แล้วว่าคนอย่างท่านแม่ทัพคงยกมือขึ้นมากันทันอย่างแน่นอน
“ชุฌา…” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอดทน
“ถ้าหม่อนชั้นไม่ปาให้โดนใบหน้า ก็เกรงว่าอาจจะพลาดการพูดคุยกับท่าน ต้องขอประทานอภัยด้วยจริง ๆ เพคะ” สาวงามโค้งคำนับและกล่าวขอโทษขอโพยที่ล่วงเกิน หากแต่ใบหน้านางกลับไม่มีแม้แต่ความรู้สึกผิด
“ถ้าเจ้าเล็งหน้าข้าเอาไว้ตั้งแต่แรก ข้าเกรงว่าคำขอโทษคงไม่จำเป็น”
“งั้นหรือ งั้นหม่อมชั้นขอคืนนะเพคะ”
ท่านแม่ทัพถอนหายใจใส่อย่างไม่ปิดบัง ชุฌายิ้มขำที่กวนท่านผู้นี้ได้สำเร็จ ถึงจะพูดไปว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย แต่เอาเข้าจริงการพูดคุยในที่สาธารณะไม่ใช่เรื่องที่น่าทำเลย พวกชาวบ้านก็อยู่ตรงนี้กันเยอะไปหมด เชื่อสิว่าท่านแม่ทัพคงบอกให้หล่อนไปเข้าเฝ้าที่ปราสาทแทน
“ถ้าหากมีเรื่องอยากจะหารือก็เชิญท่านชุฌาที่ปราสาท”
“เพคะ”
นั่นไงล่ะ… ชุฌาส่งรอยยิ้มหวานหลังจากก้มโค้งคำนับให้ท่านผู้สูงศักดิ์ แต่นางกลับใช้คำพูดที่แทนตนเสมือนคนฐานะเท่าเทียมกัน แต่ทุกอย่างในลิเทียร์น่าย่อมเป็นข้อยกเว้นแก่ตำหนักลลิลอยู่แล้ว ถึงแม้ประเพณีและการมีอยู่ของตำหนักลลิลจะแปลกหูแปลกตาไปเสียหน่อย แต่ก็นับว่านี่เป็นจุดยืนจุดหนึ่งที่ทำให้ตระกูลลลิลใหญ่โต
“ไปได้!”
“ไปดีมาดีนะเพคะท่านเทพ”
“เจ้านี่มัน…”
สาวงามที่สุดในเมืองนี้หมุนตัวกลับเข้าไปยังประตูตำหนัก เธอแอบหัวเราะให้กับใบหน้าไม่สบอารมณ์และเหมือนจะกระโดดลงหลังม้ามาทุบเธอเสียให้ได้ แต่นั่นแหละ…เพราะเธอรู้ว่ามันคือจุดอ่อน เธอถึงชอบเอาไปแหย่ชายผู้นั้นเล่น
“เจ้าไปเตรียมขนมชั้นสูงสิบอย่าง เครื่องหอมสิบชนิด และ…”
“และอะไรอีกหรือคะท่านหญิง?”
“และ…สิ่งนั้น”
“ได้เพคะ”
มุมปากของชุฌายกยิ้มพอใจ เธอสั่งให้ลลิลสวยคนสนิทเข้ามาช่วยแต่งตัวให้ เธอจะเตรียมตัวเข้าปราสาทในช่วงเย็น เสียงเปิดประตูพร้อมของกำนัลอย่างละสิบถูกวางเตรียมไว้ ถึงแม้จะน้อยไปหน่อยกับการต้อนรับท่านแม่ทัพกลับจากศึกสงคราม
แต่มันยังไม่ใช่รางวัลใหญ่…
ของกำนัลยี่สิบอย่างวางเรียงรายบนโต๊ะน้ำชาขนาดกลางทรงกลม บรรยากาศโดยรอบต่างกับในตำหนักยิ่งนัก มีต้นไม้สีเขียวขจีสูงใหญ่ ถัดไปเป็นน้ำพุที่ไหลเป็นแม่น้ำตัดผ่านข้างปราสาทสวย ทันใดที่ชุฌารุ่นสิบเดินทางมาถึง สาวใช้ของจักรพรรดิก็ออกมาต้อนรับนางอย่างดิบดี แต่กลับบอกให้เธอนั่งรอที่โต๊ะน้ำชานอกปราสาท เพียงเพราะองค์ชายสองอาบน้ำอยู่
เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน
“ขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องรอนาน”
“หม่อมฉันเพิ่งมาถึงเมื่อสี่สิบนาทีก่อน ไม่ได้รอท่านนานเลยเพคะ”
“งั้นรึ”
ชุฌาลอบจิ๊ปาก ยังมีหน้ามาแหยะยิ้ม คิดจะเยาะเย้ยกันหรืออย่างไร สาวงามยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ดับความหัวเสียที่องค์ชายปล่อยให้รออยู่ตั้งสี่สิบนาที เอาคืนที่เธอปากลีบกุหลาบใส่หน้าแน่ ๆ แต่ท่านก็กันไว้ได้นี่นา เหตุใดถึงแค้นเคืองกันอีกเล่า
“หม่อมฉันนำขนมชั้นสูงจากตำหนักมาให้ท่านกับพวกเครื่องหอม โดยเฉพาะลาเวนเดอร์ ท่านเคยบอกว่าชอบนักชอบหนา หม่อมฉันนำเข้าจากเมืองตอนเหนือเลยนะเพคะ”
“อืม”
“โอ๊ะ หม่อมฉันคงลืมไปว่าท่านชอบกลิ่นดอกลาเวนเดอร์มาก มากเสียจน…ปลูกไว้ที่หลังบ้านพักทางตอนเหนือเองเลย”
“นี่เจ้า! …รู้ได้ไง”
เจ้าชายรัชทายาทหน้าเข้มติดจะขรึมและขี้หงุดหงิด เผลอหลุดกิริยาไม่ดีต่อหน้าชุฌาเสียได้…ยังดีที่กู่กลับทัน สาวเจ้าหัวเราะเบา ๆ ตามนิสัย องค์ชายสองมักโดนเธอปั่นหัวเล่นอยู่เสมอ แต่ใช่ว่าเขาจะปั่นเธอกลับไม่ได้ หลาย ๆ ครั้งก็ชอบพูดวาจาว่าร้ายในระดับสูงที่ต้องคิดหลาย ๆ ตลบ จึงจะแปลออกว่าตนเองถูกด่า แต่กว่าจะหันไปเอาเรื่องได้ องค์ชายบ้านั่นก็หายไปเสียแล้ว
“จะให้บอกอีกกี่ครั้ง ว่าหม่อมฉันกับจักรพรรดินี…สนิทกันมาก”
“นั่นสิ คงเพราะใบหน้าของเจ้าชอบทำให้แม่ข้าสับสน”
“หม่อนชั้นอายุเท่าท่านนะเพคะองค์ชาย”
“หึ”
เชียนในตอนนี้เยือกเย็นกว่าครั้งที่เจอกันวันแรกมากโข ใบหน้านิ่งสงบเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและแฝงจิตสังหารอ่อน ๆ กับทุกคนที่เข้าไปใกล้ ชุฌาในวัยนั้นพูดได้เต็มปากว่ากลัวเด็กผู้ชายคนนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด รั้งมือตัวเองออกจากท่านแม่ เมื่อรู้ว่านางจะพาไปเข้าเฝ้า
แต่พอได้เจอกันบ่อยครั้ง ชุฌาก็ได้รับรู้ว่าเชียนไม่ใช่คนที่ดุร้ายกับทุกคน และไม่รู้เมื่อใดที่คนต่างขั้วได้กลายมาเป็นเพื่อนกันได้ ถึงกระนั้น…ความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของเราสองก็ไม่ได้ถูกลดทอนจากความเป็นเพื่อน เชียนไม่ชอบดอกไม้ลลิล เขาไม่เคยให้ค่าดอกไม้ดอกใดในตำหนักเลยสักคนเดียว แต่เชียนก็ไม่เคยก้าวก่าย คงเพราะเกรงเพื่อนที่เป็นถึงชุฌาด้วยกระมัง
เจ้าชายรัชทายาทเมินชุฌามาที่สิ่งของหลายสิบอย่างบนโต๊ะขนาดกลางแทบวางไม่พอ เครื่องหอมอีกแล้ว… เข้าเฝ้าทีไรก็มักจะนำเครื่องหอมมาตลอด ของกำนัลที่ตำหนักทำอยู่สองอย่างเสียล่ะมั้ง ไม่ขนมก็เครื่องหอม ล้นปราสาทจนอยากจะเอาไปขายต่อให้ชาวบ้านเหลือเกิน
“อันนี้เรียกว่าอะไร?”
“ชื่อหมู่เมฆเพคะ ทำจากน้ำตาล เคี่ยวให้ได้ที่แล้วค่อยเอาไปดึงเป็นเส้น พันห่อกันให้มีรูปร่างคล้ายกับก้อนเมฆ มีรสหวาน กลิ่นหอมนมอ่อน ๆ อยากลองชิมเลยไหมเพคะ”
“แล้วแต่เจ้า”
ชุฌาโบกมือให้ลลิลสาวจัดการเปิดฝากล่องออก แม้องค์ชายจะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ นำชัยกลับมานับครั้งไม่ถ้วน แต่แท้จริงแล้วก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีหน้าตาหล่อเหลา ฉลาดหลักแหลม เจ้าเล่ห์ แถมยังเอาแต่ใจ เป็นคนที่มีทัศนคติชัดเจนและแสดงออกมาให้รู้อย่างไม่ปิดบัง หลายครั้งเรามักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง นั่นก็เพราะความคิดของเราช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”
“หวาน”
“หม่อมฉันเพิ่งรู้ว่าท่านไม่ชอบพอของหวานแล้ว”
“ให้แค่วัยเด็กเท่านั้นที่จะชอบรสชาตินี้”
คำขององค์ชายสองหนักแน่น แม้กระทั่งแววตาที่มองทอดมา
“สำหรับหม่อมฉัน องค์ชายยังเป็นเด็กน้อยเสมอ”
“นั่นเป็นข้ออ้างเอาไว้มองหน้าข้าต่างหาก เมื่อไรเจ้าจะเลิกนิสัยเช่นนี้”
“ฮิฮิ ขอประทานอภัยองค์ชาย ให้หม่อมฉันทำอย่างไรกับความหล่อเหลาของท่านล่ะเพคะ”
ชุฌายังคงไม่รู้ว่านางทำอะไรผิด องค์ชายเลยได้แต่หงุดหงิดที่โดนจ้องอยู่ฝ่ายเดียว เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่นางเลิกหวั่นเกรง เมื่อได้พบกันทีไร จะมีแต่เชียนที่นั่งเล่นคนเดียว ชวนให้มาเล่นด้วยกันก็ปฏิเสธ นั่นเพราะถ้านางลงแรงเล่นด้วย นางจะพลาดการมองใบหน้างดงามของเจ้าชายรัชทายาทไปหลายอาทิตย์เลยทีเดียว
“ขอแค่เวลามอง เจ้าไม่ยิ้มกริ่มเหมือนคนสติไม่สมประกอบก็พอ ข้าขนลุก”
“ท่านนี่…ปากร้ายจริง ๆ นะเพคะ”
“ว่าธุระของเจ้ามาได้แล้ว ข้ายังมีงานที่ต้องสะสางอยู่อีกพันอย่าง”
เธอเพิ่งได้สังเกตใบหน้าองค์ชายเป็นจริงเป็นจังก็คราวนี้ ถึงแม้เราจะเป็นเพื่อนกัน แต่หน้าที่และตำแหน่งก็ทำให้เราเจอกันลำบากขึ้น นานทีปีหนเราถึงจะได้มาพบและพูดคุยกันแบบนี้ สัดส่วนใบหน้าขององค์ชายคมขึ้น น่าจะได้อิทธิพลจากเส้นผมสีดำสนิท ความยาวแค่ระต้นคอ ดวงตาคมสีสนิมอมแดงแสนดุดันก็ตวัดขึ้น จมูกก็โด่งขึ้น ไหล่ก็กว้างขึ้น รู้สึกว่าจะขี้หงุดหงิดขึ้นด้วยเช่นกัน
“ของล้ำค่ามักอยู่ในจุดที่ตามองไม่เห็น เคยได้ยินผู้ใดกล่าวไหมเพคะ?”
“เคย”
“ที่ไหนหรือเพคะ”
“เจ้าไง”
ชุฌายิ้มค้าง ขณะมองร่างสูงจิ้มขนมชิ้นอื่นเข้าปาก อยากจะปัดขนมเหล่านี้ลงจากโต๊ะให้หมดเสีย แต่ก็ต้องข่มใจตัวเองเอาไว้ ชุฌากวักมือเรียกลลิลข้างกายให้รินน้ำชาอุ่น ๆ ใส่แก้ว ก่อนจะดันมันไปให้ท่านแม่ทัพพร้อมรอยยิ้มหวาน เชียนทำหน้ารังเกียจเล็กน้อย แต่ก็ยกแก้วขึ้นดื่ม
“อ่า…เสด็จมาพอดีเลย”
เชียนหันหน้าไปตามสายตาของชุฌา เลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นท่านพ่อกับท่านแม่เดินมาด้วยกัน คงเป็นชุฌาตัวดีเรียกมาเป็นแน่ ไม่งั้นนางคงไม่ยิ้มระรื่นทันทีที่เจอหรอก คิดจะทำอะไรของเจ้ากัน
“ลุกขึ้นเถิดชุฌา ข้าไม่อยากให้ชุดของเจ้าเปรอะเปื้อน”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หญิงงามกว่าใครในแผ่นดินวาดยิ้มกว้าง ลุกขึ้นจากพื้นด้วยความช่วยเหลือของเชียนที่ลุกขึ้นโค้งคำนับเช่นกัน
“ไม่เจอเจ้าตั้งนาน กาลเวลาทำอะไรเจ้าไม่ได้เลยใช่ไหมเนี่ย” จักรพรรดิเอ่ยชมอย่างอารมณ์ดี ท่านแก่ลงมาก แต่ร่างกายยังดูแข็งแรงไม่เปลี่ยน
“ไม่ขนาดนั้นหรอกเพคะ”
“หืม? นี่จันทร์เสี้ยวที่เจ้าเคยเอามาถวายให้ข้าคราวนั้นใช่หรือไม่?”
“ใช่เพคะ หม่อนชั้นนำขนมชั้นสูงจากตำหนักมาต้อนรับท่านเชียนแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าฝ่าบาทต้องการ วันรุ่งหม่อมฉันจะให้ลลิลนำมาถวายเพคะ”
จักรพรรดิทำหน้าพึงพอใจ ขนมจากตำหนักลลิลถือว่าเป็นขนมหายาก ไม่เพียงแต่ต้องมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งเท่านั้น จำต้องมีโอกาสมากพอให้ลลิลเอ่ยปากชวนด้วย นับว่าเป็นโชคดีอยู่มากที่เชียนได้ชุฌาเป็นเพื่อน แต่บาปหนาเลยทำให้ไม่ลงรอยเรื่องความหลงใหล
อีกทั้งหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงทำให้เด็กชายวัยสิบขวบเติบโตมาเป็นคนนิ่งขรึมไม่สมอายุ พรสวรรค์ชี้ทางด้านการรบมาตั้งแต่เริ่มจับดาบ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปกะทันหันเมื่อตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางนี้ เลือดและเสียงกระทบของดาบหล่อหลอมให้เชียนโตมาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่
เชียนแห่งลิเทียร์น่า
เป็นชื่อที่แค่ตะโกนเบา ๆ ก็ได้ยินไกลถึงสามแผ่นดิน
“นั่งหน้าเป็นหินเชียวลูกข้า ถ้าเจ้าไม่กินเพลิงมัจฉา พ่อขอได้หรือไม่”
“ท่านก็ได้ยินแล้วว่านางจะเอามาให้วันรุ่ง จะมาแย่งข้าทำไม”
ว่าจบก็จิ้มเข้าปาก ชุฌาลอบยิ้มขำกับจักรพรรดินี ถึงเชียนจะบ่นว่าหวาน และดูเหมือนจะไม่ชอบกินขนมพวกนี้แล้ว แต่นาน ๆ ทีได้ลิ้มลอง รสชาติเลยแปลกใหม่พอให้จัดการจนหมด
“หม่อมฉันเกือบลืมธุระไปเสียแล้ว”
“ข้านึกว่าเจ้ามาเที่ยวเล่นหาเชียนเสียอีก มาเพราะธุระหรอกหรือ?”
“เพคะ พอดีหม่อมฉันเห็นว่าเพลานี้ดอกไม้บานสะพรั่งแล้ว เลยมาทูลฝ่าบาทเกี่ยวกับเครื่องราชบรรณาการเพคะ”
“บานสะพรั่งแล้วงั้นรึ…”
“เพคะ”
สบตาอย่างรู้ทันกัน ก่อนชุฌาจะก้มหลบเพื่อไม่ให้เชียนผิดสังเกต แต่เจ้าชายลำดับที่สองฉลาดเสียขนาดนั้น เรื่องแค่นี้ไม่รู้คงกลายเป็นคนโง่ จักรพรรดิลูบเคราพลางใช้ความคิด ตัวผู้เป็นพ่อหลงใหลในความงามของตำหนักลลิลก็จริง แต่ไม่ได้อยากบังคับจิตใจของเชียนเท่าไรนัก ลูกชายคนนี้ไม่เหมือนลูกคนอื่น ๆ การจะให้เขาเรียนรู้กับสิ่งที่ไม่ชอบให้เปลี่ยนมาเป็นชอบ คงเป็นอะไรที่แข็งกระด้างจนอาจจะหักเอาได้ง่าย ๆ
“คิดจะทำอะไรของเจ้า…ชุฌา”
เสียงของเชียนกดต่ำชวนขนลุก เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าปฏิกิริยาคงไม่ต่างไปจากนี้ จักรพรรดินีแตะแขนผู้เป็นลูกให้ใจเย็นลง อย่างน้อยฟังนางพูดให้จบคงไม่ถึงกับแย่นัก อีกอย่างเธอเองก็อยากให้ลูกชายมีคู่ครองที่ดี หรือได้รู้จักกับความรักเสียบ้าง
เพราะเรื่องแบบนี้…เธอน่ะห่วงเชียนมากที่สุด
“หม่อมฉันมิบังอาจฝืนใจองค์ชายหรอกเพคะ ฝ่าบาทเองก็รับรู้ว่าหม่อมฉันมีแต่ความหวังดีต่อพระองค์เท่านั้น จริงไหมเพคะ”
เอาท่านพ่อกับท่านแม่มานั่งกดดันถึงเพียงนี้ คงอ้าปากตามใจได้อยู่หรอก
“แต่ถ้าท่านจะปฏิเสธความหวังดีของหม่อมฉัน เกรงว่าความอับอายในวันนี้จะทำให้หม่อมฉันไม่กล้าถวายสิ่งใดให้อีกเลยเพคะ”
“โธ่…ชุฌา”
ชุฌาตีหน้าเศร้า ทำเอาจักรพรรดินีคล้อยตาม นางเป็นเพื่อนที่รู้จุดอ่อนของเขาได้ทุกอย่าง การเอาท่านพ่อกับท่านแม่มานั่งฟังความต้องการก็เพื่อกดดันเขาโดยตรง ถึงปากจะบอกว่าไม่อยากบังคับ แต่เรื่องที่เชียนไม่สามารถขัดพระประสงค์ของบุพการีได้นั่นน่ะ…นางรู้ดีที่สุด
ริมฝีปากหนายกยิ้มเย็นยะเยือก รังสีไอเย็นแผ่ไปถึงผู้เป็นแม่ที่แอบสะดุ้งเล็กน้อย ชุฌายิ้มพอใจ สีหน้าเช่นนั้นคงกำลังคิดแผนแก้แค้นอยู่เป็นแน่ ชุฌากวักมือเรียกและรับเอาสิ่งนั้นที่ตนเตือนลลิลไม่ให้ลืมนำมา รูปร่างหน้าตาอาจจะแปลกไปเสียหน่อย เพราะมันเป็นเครื่องประดับที่ใช้กันในตำหนัก คนนอกจะไม่ค่อยเข้าใจถึงประเพณีการแต่งกายของลลิล
“มันคืออะไรหรือชุฌา ใยถึงงดงามได้เพียงนี้”
“สิ่งนี้คือเครื่องประดับรังสา เอาไว้ตกแต่งที่ผ้าคาดเอวแบบนี้เพคะ”
รังสา หมายถึงผ้าคาดเอว ส่วนเครื่องประดับรังสาจะถูกนำมาใช้ยามออกงาน ถ้าในเวลาปกติเขาจะไม่ตกแต่งรังสากัน ซึ่งรูปร่างจะแตกต่างกันไปตามความชอบของลลิล นั่นก็เพราะผู้ใส่ต้องทำมันขึ้นมาเอง
เธอเหยียดยิ้มหวานพลางวางมันลงกลางโต๊ะ ผู้ปกครองทั้งสองดูท่าจะชอบใจเครื่องรังสาเส้นนี้มากเป็นพิเศษ เว้นแต่องค์ชายหน้าบูดที่พิจารณามันอยู่สักพัก จากนั้นก็คว้าสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างไร้ความถนอม เล่นเอาจักรพรรดินีใจหายแวบ
“กระดิ่ง?”
“เพคะ”
“ไว้สั่นเรียกเจ้ารึ?”
ไม่กวนประสาทกันจะได้หรือไม่… ท่านเชียนแกว่งพวงกระดิ่งสีทองอันเท่านิ้วโป้ง มันถูกร้อยด้วยเปลือกไม้ของต้นบ๊วยเป็นเส้นเล็ก ๆ ทาทับด้วยสีแดงประจำตำหนัก และตกแต่งด้วยใบไม้กับดินปั้นรูปดอกบ๊วย ถือว่าสวยเข้าตาชุฌาเลยเชียวล่ะ เธออดชื่นชมฝีมือการตกแต่งมิได้ แล้วตอนเอามาก็ไม่ได้บอกเจ้าของด้วย
“เป็นของกำนัลแก่ท่านเชียนเพคะ”
“ข้าไม่ต้องการ”
“ไม่ได้นะเชียน! โง่เขลาหรืออย่างไรถึงได้ปฏิเสธของสวยงาม”
เมื่อจักรพรรดินีโวยวาย เชียนจึงต้องรับไปอย่างช่วยไม่ได้ มันมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอะไรบางอย่างลอยแตะจมูก กลิ่นที่ว่านั่นถือว่าหอมถูกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อลองสั่นที่ต้นเชือกก็พบว่ามีเสียงของกระดิ่งดังขึ้นเบา ๆ เสียงนั้นไพเราะ
แต่ข้าก็ไม่โปรดอยู่ดี
“หม่อมฉันดีใจที่ท่านเชียนชอบเพคะ”
“ยังไม่ได้พูดเลยสักคำ”
พอเถียงไม่ได้เลยหันไปคุยกับจักรพรรดิแทน องค์ชายสองกลับมาพร้อมกับชัยชนะแบบนี้ มีหรือแผ่นดินจะปล่อยให้คนทำงาน จักรพรรดิต้องจัดงานเฉลิมฉลองกับศึกครั้งนี้แน่ ๆ แม้เชียนจะไม่ชอบงานรื่นเริงเท่าไร แต่ให้ขัดพระประสงค์คงเป็นไปไม่ได้ ลูกชายไปรบทีหายไปเป็นเดือนสองเดือน แม้จะเป็นถึงจักรพรรดิก็ต้องมีอารมณ์คิดถึงลูกกันบ้าง แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่เอ่ยชวนข้าเสียทีล่ะ
“หม่อมฉันคงต้องขอลากลับก่อน แม้จะอยากอยู่ยินดีกับชัยชนะนานกว่านี้ แต่อาทิตย์กำลังเคลื่อนอยู่เหนือจักรพรรดิแล้วเพคะ” ชุฌาเจ้าเล่ห์ไม่เป็นรองผู้ใด หย่อนคีย์เวิร์ดเล็กน้อยไม่พอ ยังกระตุ้นให้ฝ่าบาทนึกออกถึงวาระสำคัญที่ชุฌามาวันนี้
“อ๋า…จริงด้วย! ข้าเกือบลืม วันมะรืนจะมีงานฉลองให้กับชัยชนะของเชียน ข้าคงรู้สึกเสียใจมากถ้าไม่ได้เชิญคนของลลิลมาที่งาน”
“เป็นเกียรติมากเพคะฝ่าบาท ข้าจะเตรียมเครื่องราชบรรณาการและการแสดงจากตำหนักลลิล เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านเชียนเพคะ”
“ข้าจะรอชมนะ”
ผู้นำตำหนักถวายบังคมแก่ฝ่าบาท ไม่ลืมที่จะล่ำลาเพื่อนสนิทหน้านิ่งอีกด้านด้วยเช่นกัน ช้อนเอามือหนาที่วางไว้บนหัวเข่าเข้าหาตัว ก่อนจะใช้ริมฝีปากจรดลงบนหลังมือใหญ่ ถึงจะเถียงกันอยู่ทุกคราแต่ก็เคารพท่านผู้นี้ไม่เสื่อมคลาย ชุฌาเงยหน้าขึ้นสบตาในท่าคุกเข่า
พลางเอื้อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“หม่อมฉันรู้ว่าท่านเชียนไม่พอใจ แต่ฟ้าลิขิตชะตาไว้ให้ท่านแล้ว มองหาดอกไม้ลลิลที่ประดับกระดิ่งบนรังสาไว้นะเพคะ”
…ที่มีทั้งความจริงใจและเศร้าใจอยู่ในที
#ดอกไม้ลลิล
จริง ๆ สองตอนแรกแต่งทิ้งไว้นานแล้ว มาแต่งเติมนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ดีใจที่มีคนชอบนะคะ ขอบคุณสำหรับฟีดแบคทุกช่องทาง เกินคาดมาก ๆ เลยค่ะ
มีคอมเม้นท์ถามถึงบ้านเรือนในเรื่องว่าประมาณไหน เราเลยหาเรฟมาให้ดู ก็คือเป็นทำนองนี้ แต่ไม่แออัดแบบนี้(ด้วยมุมของรูปด้วย) ลักษณะบ้านจะเป็นประมาณนี้ค่ะ กระเบื้องกับปูน(?)
ที่มา https://imgur.com/gallery/Rq1nB
อันนี้ไม่มีที่มา หาไม่เจอ ตามเครดิทในรูปภาพเลยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แสนน่ารักจังเลยย
ตอนหน้าจะได้เจอกันไหมนะ
แต่แบบ อ้ากกกกกก
ฮื่อ เก้ทใจกันมั้ย มันไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาแล้วนะ!
อยากเห็นลลิลแล้ว จะเป็นคนยังไงกันนะ ชอบเรฟเมืองมากๆ เห็นภาพเลย