ตอนที่ 13 : ❀ ดอกไม้ลลิล : บทที่สิบสาม
13
พารันตะนิยม
เปลือกตาคู่หนึ่ง…เปิดขึ้นเมื่อยามฟ้าสาง ขยับพลิกตัวหันมาหาคนด้านข้าง ที่ยังคงหลับตาพริ้มอยู่ไม่ห่างกาย ฝ่ามือใหญ่ และหยาบกระด้างสัมผัสแผ่วเบาบนกลุ่มเส้นผมสีขาวนวล ก่อนจะขยับลูบไปตามแนวศีรษะ จนมาบรรจบลงที่ใต้ใบหู…
วันนี้แล้วสินะ…
ดวงตาคมดุจับจ้องใบหน้าหวานขณะนอนหลับ เชียนไม่เคยสังเกตใบหน้าของอีกฝ่ายในเวลาเช่นนี้มาก่อน แม้เราจะใช้เวลานอนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ท่านแม่ทัพผู้นี้ก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะทำอะไรเช่นนี้ได้ ริมฝีปากบางสวยที่ไม่อ้าปากเถียงคำไม่ตกฟากจึงน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเคย
พลันเสียงควบม้าดังขึ้นนอกตัวเรือนทำให้เชียนชะงักเล็กน้อย เขาปล่อยความรู้สึกสบายใจทิ้งไว้บนเตียง ก่อนจะลุกขึ้นกระชับเสื้อคลุมนอนเพื่อออกไปดูว่าใครมา ปรากฏว่าเป็นโฉมหน้าขององครักษ์ผู้เก่งกาจประจำกาย พร้อมด้วยทหารราว ๆ สิบคน ซึ่งดูจากผ้าคลุมแล้ว จึงรู้ได้ว่าเป็นทหารนักล่า หน่วยลับที่เชียนตั้งขึ้นมา
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“มาเร็วดีนี่”
ถึงจะแปลกใจที่เห็นเซพาร์มาคนเดียว แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่ หลังจากฝากให้สาวรับใช้คอยดูแลทหารนักล่า ตนจึงผละไปเตรียมตัวโดยไม่คิดที่จะปลุกริน ใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินออกมายังคงเห็นทหารนั่งทานข้าวกันอย่างหนักหน่วง ถึงแม้ทหารนักล่าจะฝีมือดีใกล้เคียงปีศาจ แต่ถึงกับให้ออกเดินทางแบบไม่กินข้าวกินปลา มันก็ออกจะเกินไปหน่อย เขาคงต้องหาเวลาอบรมในเรื่องความเป็นมนุษย์ให้เซพาร์เสียใหม่แล้ว
“ท่านรินล่ะ”
“นอนอยู่ในห้อง”
อัศวินเหมันต์พยักหน้ารับ
“ไคเซอร์ไม่ได้มากับเจ้าด้วยรึ?”
“พอดีว่า…หลังจากที่จักรพรรดิประกาศสภาวะฉุกเฉินระดับสี่ ไคเซอร์ก็ได้ไปเจอหนอนบ่อนไส้ตัวหนึ่งที่กำลังติดต่อกับอีกาดำ”
คิ้วของเชียนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ไม่คิดว่าไคเซอร์จะจับตัวมันมาได้เร็วกว่าที่คิด คงนึกว่าใกล้จะสำเร็จแล้วสินะ ถึงได้ลดความรอบคอบลง แต่ใช่ว่าจะปักใจเชื่อในทันที ไคเซอร์จับอีกาตัวนั้นได้ทันก่อนมันจะบินหนีไป และเมื่อออกแรงบีบจนตัวมันจะแตก ดวงตาที่หลบซ่อนความโสมมก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดังเดิม
“อัครเสนาบดี…คือคนที่คอยรายงานการเดินทางของท่านริน และอยู่เบื้องหลังการลอบโจมตีในปราสาท โดยสั่งปลดการทำงานของทหารยาม กระทั่งเปลี่ยนเวร และเปิดช่องทางการยิงลูกธนูในครั้งนั้น”
“หึ ทำได้ไม่เลว”
“ตอนนี้ไคเซอร์กำลังรีดข้อมูลจากมันอยู่ หลังจากได้ข้อมูลสำคัญ กองกำลังทหารที่ท่านได้สั่งไว้จะออกเดินทางทันที”
“อืม”
เชียนวางแผนไว้อย่างละเอียดในจดหมายที่ส่งไปยังปราสาทเมื่อไม่กี่วันก่อน แม้จะเป็นจดหมายสั้น ๆ แต่กลับตีความได้ยาวละเอียด ซึ่งผู้ที่สามารถตีความได้ มีแค่เขา เซพาร์ ไคเซอร์ และชาร์วิสเท่านั้น ตอนนี้ท่านพี่คงกำลังเตรียมรับมือช่วยท่านพ่ออยู่
“แล้วตอนนี้…ท่านคิดจะทำอะไร”
“มีสถานที่ที่หนึ่งที่ข้าต้องไป”
กำหนดการนี้เขาไม่ได้บอกใคร เพราะมันเกิดขึ้นหลังจากที่เชียนได้พบกับอุซากะ เขาจึงอธิบายแผนการให้ทุกคนฟัง ซึ่งลางสังหรณ์ของเชียนแม่นยำพอ ๆ กับสัตว์รับรู้ถึงภัยพิบัติ เขารู้สึกได้เลยว่าพวกมันต้องตามมาแน่ ป่านนี้ไอ้หนอนบ่อนไส้ตัวนั้นคงรายงานที่อยู่ของพวกเขาเรียบร้อย และอัครเสนาบดีไม่ใช่คนโง่ มันคงปะติดปะต่อการออกคำสั่งจนได้ความไม่มากก็น้อย
“เจ้าก็เป็นคนจากไลซีลล่า คุ้นชื่อตระกูลไกวเนร่าบ้างหรือไม่?”
“ข้าเคยได้ยินเมื่อตอนเด็ก แต่ตระกูลนั่นสาบสูญไปแล้ว ข้าจึงไม่ได้ใส่ใจ”
“เราต้องไปที่ปราสาทไกวเนร่า หลังหุบเขาต้องห้ามทันทีที่ระฆังดัง”
“แม้ข้าจะไม่รู้เกี่ยวกับตระกูลเก่าแก่ แต่ข้ารู้จักเส้นทางการเดินที่เมืองนี้เป็นอย่างดี ให้ข้านำก็แล้วกัน”
เซพาร์ยังบอกอีกว่า ระฆังของเมืองจะดังครั้งแรกคือตอนแปดโมงเป็นต้นไป ก่อนแสงแดดจะส่องลงมา หิมะที่ตกอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน จะค่อย ๆ ผ่อนลงในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ซึ่งนั่นคงเป็นการเดินทางตามเวลาที่อุซากะบอก เพราะการเดินทางตอนกลางคืนไม่อาจทำได้ เนื่องจากกระแสลมกระโชกแรง พร้อมพายุหิมะ แม้พวกพารันตะจะมีพลังอำนาจทัดเทียมปีศาจก็ไม่อาจต้านกระแสพายุได้
“เจ้าไปเตรียมความพร้อมพวกทหารซะ เมื่อถึงเวลา…เราจะออกเดินทางทันที”
“พะย่ะค่ะ”
เชียนกลับเข้ามาที่ห้องนอน แต่เขาไม่เห็นรินอยู่บนเตียงแล้ว พลันเสียงน้ำไหลดังขึ้นจึงรู้ว่าลลิลใต้อาณัติกำลังชำระร่างกายอยู่ จริงอยู่ที่เชียนไม่มีความรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องจุกจิก แต่ในตอนนี้เขากลับอึกอักแม้เพียงนิดเดียวที่รู้ว่าตนกำลังฟังเสียงอาบน้ำของคนอื่นอยู่
“อ๊ะ…ท่านเชียน”
รินทักขึ้นหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดทะมัดทะแมงที่เชียนหาให้ ร่างสูงสบตาเพียงครู่เดียวก่อนจะเบือนหน้าหนีรอยยิ้มทักทายยามเช้า ปฏิกิริยาเฉยชาเหมือนตอนเจอกันแรก ๆ ทำให้รินถึงกับฉุนในใจ หยาบคาย…หยาบคายที่สุด
ตึง!
“โอ๊ย!”
รินร้องเสียงหลงเพราะดันเดินเตะอะไรบางอย่างที่แข็งกระด้าง เชียนหลุดขำในลำคอ เมื่อเห็นรินก้มตัวคลำหาต้นเหตุ เป็นเพราะอยากเดินไปหาท่านผู้นั้นนั่นแหละ เขาถึงได้ลืมไปว่าในห้องกว้างขวางนั้นไม่ได้ว่างเปล่า
“โต๊ะรึ?”
“เตียงต่างหาก”
“อ่า…”
เชียนตัดสินใจเดินเข้าไปรับคนตัวเล็กให้มาด้วยกันเสียเลย จะได้ไม่เดินชนอะไรเข้าอีก ร่างสูงจับเอามือเล็ก ๆ ของรินพาดไว้ที่ต้นแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็คล้องประคองเข้าที่ไหล่ เป็นท่าที่ครั้งหนึ่งรินเคยเห็นเชียนเดินประคองจักรพรรดินีเช่นนี้ในปราสาท วินาทีนั้นเขารู้สึกถึงความอ่อนโยนของร่างสูงที่ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร และเขาก็ไม่คิดไม่ฝันว่าตนจะถูกท่านเชียนประคองเช่นนี้เหมือนกัน
“เจ้านี่ซุ่มซ่ามเสียจริงนะ”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย”
“มองก็ไม่เห็น จะรีบเดินทำไมนัก”
“ก็ข้าอยากไปหาท่านนี่นา…”
เสี้ยววินาทีที่คำพูดซื่อตรงของรินสั่นไหวหัวใจด้านชาของเชียนเข้าอย่างจัง ร่างสูงจึงลอบกระแอมกับตัวเองเบา ๆ ทั้งที่คนพูดไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด เพราะรินนั้นสบายใจมากกว่าที่แล้วมา ยามที่ได้อยู่กับเชียน เขาจึงไม่ได้ระวังคำพูดมากนัก
“…ข้าหมายถึง…ถ้าข้าเดินไปช้า ท่านก็จะ…ดุข้า…น่ะสิ”
“ฮึ ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
เชียนประคองร่างเล็กให้เดินออกมาจากห้อง ก่อนจะช่วยจัดแจงเสื้อผ้าให้ แม้หิมะจะตกไม่หนัก แต่อากาศยังคงหนาวเย็น เชียนกระชับผ้าคลุมหัวของรินให้แน่น และผูกเชือกไว้ใต้คาง ร่างสูงตรวจเช็คความเรียบร้อยไปตามประสาคนเจ้าระเบียบ เพราะผ้าคลุมหัวของรินมักจะมีเหตุให้ต้องปลิดปลิวอยู่ตลอด ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
“ใกล้จะได้เวลาแล้วพะย่ะค่ะ”
“…เข้าใจแล้ว เตรียมตัวกันเสร็จแล้วสินะ?”
“พะย่ะค่ะ”
เซพาร์เข้ามาเตือนเรื่องเวลาที่ระฆังใจกลางจะดัง กระแสลมพัดพาเกล็ดหิมะเองก็ค่อย ๆ แผ่วลงแล้ว เชียนพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับมาเช็คความเรียบร้อยของรินอีกครั้ง
“เสียงคุ้นจัง”
“กระหม่อม…เซพาร์เองพะย่ะค่ะ”
“อ่า…นั่นสินะ”
ถึงแม้เซพาร์จะงุนงงกับสถานการณ์เบื้องหน้า ว่าเป็นเพราะเหตุใดลลิลของนายตนถึงทักเรื่องเสียง ทั้งที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเซพาร์ก็ยังสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี เราพากันออกมาด้านนอก โดยที่ไม่มีใครอธิบายคลายความสงสัยให้กับเซพาร์สักคำ
แต่องครักษ์เหมันต์แสนเยือกเย็นผู้นี้ฉลาดหลักแหลม แค่ประเมินสถานการณ์เงียบ ๆ ก็พอเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นดวงตาของท่านรินแปลกไป มันไม่สดใส และมีสีสันเหมือนอย่างก่อน ท่านเชียนเองก็ให้ท่านรินเกาะแขนเวลาเดินอยู่ตลอด ทั้งที่ท่านผู้นั้นไม่ชอบพอลลิลผู้นี้เลยด้วยซ้ำ เห็นทีเขาจำเป็นต้องเอาเรื่องเหล่านี้ไปหารือกับไคเซอร์เสียแล้ว
พลันเสียงระฆังยักษ์กลางเมืองไลซีลล่าดังขึ้น เหมาะเจาะกับที่หิมะหยุดตกพอดี เชียนไม่เคยได้สังเกต ถึงแม้จะมีบ้านพักอยู่ที่เมืองนี้ก็ตาม อาจเพราะไม่ได้มาพักบ่อย ๆ หรือศึกษามาไม่ดีพอ เหล่าทหารคุมบังเหียนก่อนเสียงเกือกม้าจะกระหน่ำตีกันอึกทึก ภายในใจของรินเต้นระรัว เขารู้สึกตื่นเต้นเพราะรับรู้ว่าไม่ได้มีเพียงท่านเชียน และเซพาร์ที่ร่วมเดินทางกันในคราวนี้ ยังมีเสียงม้าวิ่งจากทิศทางอื่น ๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทหารที่อัศวินเหมันต์พามาด้วย
รินโอบกอดเอวของท่านเชียนไว้แน่น ร่างสูงให้รินนั่งซ้อนด้านหลังเพราะการเดินทางด้วยม้าที่วิ่งด้วยความเร็วจะทำให้คนด้านหน้าต้านลมอย่างรุนแรง เขาจึงไม่อาจให้ลลิลผอมแห้งแรงน้อยอย่างรินนั่งหน้าเป็นอันขาด อย่างน้อยถ้ารินเผลอตกหลังม้า เขาก็น่าจะคว้าตัวได้ทัน แบบนี้ดีกว่าให้นั่งต้านลมจนหน้าชาเป็นไหน ๆ
ระหว่างทางจะมีการให้สัญญาณมือคอยบอกเส้นทางอยู่ตลอด ซึ่งมีเซพาร์เป็นคนนำขบวน เมื่อหลุดพ้นเส้นทางหลัก ความเร็วในการเดินทางจึงจำเป็นต้องผ่อนลง เพราะปราสาทไกวเนร่าเป็นพื้นที่ต้องห้าม ไม่มีผู้ใดใช้ถนนในการสัญจรมาหลายปีแล้ว เส้นทางเลยมีแต่หิน และหลุมที่หิมะทับถมกันจนมองไม่เห็น
“เส้นทางเริ่มเล็กลงแล้ว! ระวังตกหน้าผา!”
“ด้านซ้ายมีหลุมใหญ่!”
“มีทหารของเราตกลงไป!”
เชียนหยุดม้า คนอื่น ๆ จึงหยุดตามกันหมด ร่างสูงหันไปมองคนรายงาน ซึ่งกำลังยืนมองรอยไถลของหิมะอยู่ เชียนยังคงจำคำของอุซากะได้ดี ดังนั้นเขาจึงไม่ควรเสียเวลาไปกับการเดินทางมากนัก
“ใครตกลงไป?”
“รหัสแมกไม้พะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคิดว่าไม่น่าตาย เราควรออกเดินทางกันต่อ”
“เข้าใจแล้ว”
รินตกใจกับข้อสรุปตรงหน้า ร่างเล็กจึงกระตุกชายเสื้อของท่านแม่ทัพใจโฉดให้หันมาคุย รินยอมรับไม่ได้กับการตัดสินใจละทิ้งลูกน้องของตัวเองไว้ในตอนที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทหารคนนั้นปลอดภัยจริงหรือเปล่า หน้าผาสูงแค่ไหน ตกลงไปจะโดนอะไรกระแทกก็ไม่มีใครบอกได้ แล้วเหตุใดจึงกล้าสรุปออกมาว่าน่าจะไม่ตาย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นด้วยตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“มีอะไร”
“เราควรไปช่วยเขาก่อน”
“ทหารพวกนั้นเก่งเกินกว่าที่เจ้าจะมาเป็นห่วง…ห่วงตัวเองเถอะ”
“ไม่! ถึงแม้ทหารของท่านจะเก่งกล้าสามารถ แต่ใช่ว่าเขาจะไม่ต้องการความช่วยเหลือ!”
“เจ้าควรเป็นกังวลว่าจะไปถึงที่นั่นอย่างเร็วที่สุดได้อย่างไรดีกว่า เส้นทางไม่แน่ไม่นอนเช่นนี้ จะทำให้เราเสียเวลาไปค่อนข้างเยอะ”
“แต่ว่า—”
ปัง!
เสียงคล้ายปืนดังขึ้นจากทางด้านหลัง รินหันไปมองแต่ลืมไปว่าตัวเองไม่เห็น มันเป็นปืนแฟร์ที่คนยิงคงเป็นทหารนายนั้นที่ตกลงไป สัญญาณควันเป็นสีเขียว แสดงว่าปลอดภัย เชียนส่ายหน้า เมื่อใบหน้าของรินบูดบึ้งปนกลัวเสียงปืน เขาจึงตีหน้าผากเนียนเบา ๆ จนรินที่มีหลากหลายความรู้สึกแสดงสีหน้าไม่ถูก
“เจ้าได้ยินเสียงปืนเมื่อกี้ใช่หรือไม่?”
“ช…ใช่ มันดังมาจากไหนรึ”
“มาจากคนที่เจ้ากังวลว่าจะตายนั่นแหละ”
“งั้นเขาก็ปลอดภัยน่ะสิ?!”
“ก็ปลอดภัยน่ะสิ”
“เฮ้อ…โล่งอกไปที”
รินมีท่าทีอ่อนลง ร่างบางถอนหายใจยาว ก่อนจะโถมตัวลงมาซบแผ่นหลังเชียนแนบแน่นกว่าเดิม …มนุษย์ที่เริ่มจับดาบตั้งแต่เด็ก เวลาส่วนใหญ่ที่ใช้มักจะหมดไปกับสนามรบ เลยไม่ค่อยเข้าใจความห่วงใยคนอื่นอย่างลึกซึ้ง ดังเช่นตอนนี้ที่เขาไม่เข้าใจรินเลยสักนิดว่าทำไมถึงได้เป็นห่วงทหารนายนั้น แล้วพอรู้ว่ายังปลอดภัยดีก็ถอนหายใจโล่งอกราวกับเป็นญาติพี่น้องกัน ตั้งแต่ที่ท่านพ่อยัดเยียดสิ่งที่เขาคิดว่ามันคือ ‘ภาระ’ มาให้
…ในแต่ละวันมักมีสิ่งที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด
ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงในที่สุดเราก็เดินทางมาจนถึงกำแพงขนาดใหญ่โต แต่สภาพดูไม่ได้ มีบางส่วนที่ยังคงเป็นกำแพงอยู่ แต่บางส่วนก็เละเทะ
ตัวปราสาทไม่อาจนึกภาพในสมัยที่มันยังคงอยู่ได้ เพราะในตอนนี้เรียกว่าซากน่าจะหรูที่สุดแล้ว ในกองหิมะมหึมามีเสาโผล่อยู่สามสี่ต้น ถ้าให้กวาดหิมะออก คงได้เห็นความย่อยยับเป็นแน่ เชียนเดินสำรวจดูรอบ ๆ ไม่เห็นทางที่จะช่วยให้ล้างคำสาปได้นอกจากหิมะขาวโพลน จนกระทั่งตาเหลือบไปเห็นเงาดำ ๆ ของใครบางคนยืนอยู่
“ท่านมาช้า แต่ก็เร็วกว่าที่คิดเอาไว้”
“อุซากะ?!”
เซพาร์ชักดาบพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วเมื่อพบเห็นคนแปลกหน้า แต่เสียงของเชียนหยุดปลายดาบไม่ให้สะบั้นคอของชายแก่ไว้ได้ทัน ร่างสูงลงจากม้า ไม่ลืมที่จะอุ้มคนตัวเล็กให้ลงมาด้วย ขืนปล่อยให้อยู่บนหลังม้าทั้งที่มองไม่เห็น คงได้ตกลงมาคอพับ
“จิ๊ ๆ เสียมารยาทจริง ๆ เลย…เด็กหนุ่มสมัยนี้”
“ขออภัย ข้าไม่ทราบว่าท่านเป็นแขกของท่านเชียน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้ แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ เจ้านี่มีฝีมือนะ”
เซพาร์โค้งหัวให้เล็กน้อย เขาสังเกตเห็นรอยเท้าที่ขยับถอยหลังไปนิดหน่อย แต่เขามั่นใจว่าระยะเมื่อสักครู่นี้ ปลายดาบจะถึงคอแน่นอน อีกอย่างชายแก่คนนี้ไม่ได้ดูเป็นคนมีภูมิเรื่องการต่อสู้ เหตุใดถึงได้หลบการโจมตีอย่างรวดเร็วของเขาได้
“ท่านไม่ได้บอกว่าจะมา”
“เพราะยังไงข้าก็ต้องมาน่ะสิ”
อุซากะเดินไปหาริน ชายแก่จับมือที่สั่นน้อย ๆ ของรินไว้ทั้งสองข้าง แผ่นหลังค่อมของแกสั่นไหว ก่อนจะเงยหน้าจดจ้องความงามที่ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่าย ๆ เพราะเขาไม่ได้เห็นมันมาตั้งยี่สิบปี ช่วงเวลาเท่านี้นั้นนานมากพอที่จะทำให้ลืมภาพจำไปจนหมด แต่รินในตอนนี้…สวยงามเสียจนเผลอนึกถึงวันวานที่ครั้งหนึ่งเคยได้จดได้จำ
“ฟังนะเจ้าเด็กโง่”
“ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย”
“จิ๊! เจ้านี่เถียงเก่งนักนะ!”
เชียนหลุดเสียงขำในลำคอออกมา แต่รินดันได้ยินเลยหน้าบึ้งใส่ ร่างสูงเห็นด้วยมาก ๆ กับคำที่อุซากะดุ ทั้งเถียงเก่ง ทั้งดื้อดึง แถมยังชอบหาเรื่องใส่ตัว แต่ลึก ๆ ในใจเชียนกลับกลัวความคิดของรินเสมอเวลาตกอยู่ในอันตราย เพราะรินสามารถทิ้งตัวเองไปอย่างง่าย ๆ ถ้าหากมันเป็นทางสุดท้ายที่จะทำให้เขาปลอดภัย
“ข้าขอโทษ…ก็ข้าไม่ได้โง่จริง ๆ นี่”
“ฟังนะเจ้าเด็กโง่ ข้าเคยล้างคำสาปมาให้คนในตระกูลเจ้าก็จริง แต่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน ดังนั้นเจ้าจงเตรียมใจกับความเจ็บปวดที่ไม่มีใครรู้ไว้ด้วยล่ะ”
“ท…ท่านพูดให้ข้ากลัวงั้นหรือ”
“ข้าพูดให้เจ้าเตรียมใจต่างหาก… ตามข้ามาทางนี้!!”
อุซากะทิ้งรินที่กำลังจินตนาการถึงความน่ากลัวอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า นั่นจึงทำให้เชียนที่ไม่ได้ยินบทสนทนานั้นถึงกับขมวดคิ้ว เขาเดินตรงไปหาร่างเล็ก ก่อนจะจับเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้าง เรียกสายตาของคนตรงหน้าให้เงยขึ้นผสานกัน
“เป็นอะไร?”
“ข้าไม่เป็นไร”
“…ข้าดูแลเจ้าทุกฤดูหนาวได้ หากเราจะกลับกันตอนนี้”
“ท่าน…?!”
รินตกใจ ก่อนจะประหลาดใจมากขึ้น…เมื่อได้เห็นสีหน้าของเชียน ใบหน้าคมคายขมวดคิ้ว และแววตามีแต่ความจริงจัง ร่างสูงไม่รู้ว่ารินคุยอะไรกับอุซากะ แต่ถ้าหากสิ่งที่กำลังจะเผชิญ มันร้ายแรงถึงขนาดที่คนตัวเล็กมีสีหน้าหม่นลง เขาก็จะหาหนทางใหม่ที่จะทำให้รินไม่เป็นเช่นนี้
“ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ แค่รู้สึกหนาวนิดหน่อย”
“เจ้าพูดราวกับว่าข้าดูไม่ออกว่าเจ้าโกหกอยู่”
“ข้าบอกให้ตามข้ามาทางนี้!! เจ้าสองคนนั้นน่ะ!!!” อุซากะตะโกนเรียกเราเสียงดัง ถือเป็นโอกาสดีที่รินจะตัดบทหลบออกไป
เขารู้สึกซาบซึ้งที่ท่านเชียนพูดออกมาตรง ๆ ว่าจะดูแลเขาในยามหิมะร่วง แต่รินพอแล้วกับการเป็นตัวถ่วงเช่นนี้ แค่ตามองเห็นทุกอย่างยังไม่เก่งพอจะวิ่งหนีเอาตัวจนรอดได้ นับประสาอะไรกับตาบอดแล้วอยู่กลางหุบเขาหิมะ แม้มันจะเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน รินก็จะพยายามผ่านมันไปให้ได้
ก็มีคนรออยู่นี่นา…
“ถ้ำ?”
“ทำไมข้าถึงไม่เห็นว่ามีอยู่ตรงนี้”
อุซากะอธิบายว่าเป็นเพราะเวทมนต์ที่ตระกูลอุไรร่ายไว้คุ้มครองตระกูลไกวเนร่า มนต์นี้ถูกร่ายทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่อุซากะยังเป็นเด็ก จึงไม่แปลกที่อำนาจของมนต์จะแข็งกล้าถึงขั้นลบตัวตนได้ ภายในถ้ำมืดสนิท สัมผัสได้แต่ความอบอุ่น อุซากะเป่าลมออกจากปากเบา ๆ จากนั้นเปลวไฟในตะเกียงก็ลุกขึ้นพร้อมกันตลอดทั้งทางเดิน
ภายในนี้ต่างจากที่เชียนคิดเอาไว้ เขานึกว่ามันจะเป็นแค่ถ้ำหินธรรมดา แต่กลับถูกสร้างด้วยหินแร่สีขาวปนฟ้าอย่างดี ทางเดินราบไม่ได้ยาวมากนัก เราเดินมาจนกระทั่งเจอบันไดที่ลึกเสียจนมองไม่เห็นพื้น อุซากะเดินนำลงไปก่อน ตามด้วยเชียนที่อุ้มรินตัวลอยด้วยมือข้างเดียว
เกรงว่าถ้าปล่อยให้เดินเองคงไม่ถึงข้างล่างวันนี้
พอเดินลงมาถึงพื้นด้านล่าง จึงได้รู้ว่ามันไม่ได้ลึกเท่าไร แต่เป็นเพราะมันมืดสนิท จนมองไม่เห็นอะไรเลยต่างหาก อุซากะจุดไฟด้วยลมปากเหมือนอย่างทุกที ตอนไปหาที่บ้านก็ทำแบบเดียวกันนี้ และเมื่อแสงจากเปลวไฟส่องสว่าง…เราทุกคนจึงได้เห็นความสวยงามที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้ผืนดิน
“ที่นี่มัน…”
“สุสาน?”
สถาปัตยกรรมถูกออกแบบโดยใช้สีขาว และสีฟ้าเป็นหลัก มันส่องประกายราวกับพื้นต่าง ๆ ทำจากน้ำแข็ง มีเพียงแค่เชียน เซพาร์ และอุซากะเท่านั้นที่ได้เห็นความตระการตานี้ ถ้าการถอนคำสาปสำเร็จ รินก็จะได้รู้ว่าตระกูลของตนยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน…
“ป…เป็นอย่างไรบ้าง ช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าต้องเรียกว่าอย่างไร แต่ที่นี่เหมือนเป็นสุสาน…หรือที่เก็บอัฐิของตระกูลเจ้า”
เชียนค่อย ๆ บรรยายภาพที่เห็นทีละอย่างให้ลลิลตัวน้อยที่เกาะแขนเสื้อเขาแน่น รูปภาพของเหล่าขุนนาง ซึ่งน่าจะเป็นผู้นำตระกูลยุคต่อยุคติดอยู่ตามแต่ละช่อง หน้ารูปภาพมีโถแก้วสลักลวดลายสวยงามวางตั้งไว้อยู่ โดยไม่มีแม้สักอันจะหล่นเสียหาย ทั้งยังมีเสื้อผ้า และของตกแต่งมากมายเก็บไว้ในตู้บานหนึ่ง
แต่ที่น่าแปลกใจคือรูปของหญิงสาวคนสุดท้าย ผู้ซึ่งมีใบหน้าคล้ายกับรินทุกประการ ทั้งดวงตา…จมูก…ริมฝีปาก…ให้ความรู้สึกราวกับกำลังจ้องมองรินอยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่ทว่า…เบื้องหน้าของรูปผู้หญิงคนนี้ไม่มีโถอัฐิเหมือนรูปอื่น ๆ วางอยู่
“พารินมาตรงนี้”
อุซากะชี้ไปยังอีกมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งมีรูปปั้นที่เชียนรู้จัก และคุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นก็คือ…พรรลารีเทพ…เทพผู้โปรดปรานคำสาป และการแลกเปลี่ยน ตัวรูปปั้นสูงใหญ่กว่าตัวเขาประมาณสามถึงสี่เท่า และด้านหน้ามีแท่นหินวงกลมใหญ่ ดูไปดูมาคล้ายแท่นทำพิธี แต่กลับมีเก้าอี้หินล้อมโดยรอบ
“ใช้เวลาไม่นานหรอก”
ชายแก่พูดไว้ก่อนจะเดินไปอีกทาง เชียนวางร่างบางไว้บนแท่นหิน มันดูไม่น่าไว้วางใจ แต่บนพื้นหินไม่มีวงแหวนเวทย์อย่างที่คิดไว้ รินเกาะแขนเชียนแน่น ณ เวลานี้ การได้สัมผัสท่านเชียนดูจะเป็นวิธีที่ทำให้รินสบายใจมากที่สุด และเหมือนท่านเชียนจะเข้าใจภาษากาย ร่างสูงพยักหน้าให้รินหนึ่งที ก่อนจะผละออกไปยืนรอรอบนอกกับเซพาร์
“เราจะเชื่อถือชายแก่คนนั้นได้จริง ๆ น่ะหรือท่านเชียน?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะชายแก่คนนั้น เราคงไม่มีทางรู้ว่าที่นี่มีถ้ำ”
“ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจ ทั้งยัง…?!”
เซพาร์ชะงักคำพูด ไม่ต่างจากเชียนที่เบิกตากว้างตกใจ เมื่ออุซากะที่เดินไปอีกทาง จริง ๆ แล้วหมายจะใช้โถอัฐิ ชายแก่บ่นพึมพำในขณะที่มือก็คว้าเอาโถใบหนึ่งมา ก่อนจะเดินเข้าไปหาริน เท้าของเชียนเผลอก้าวออกไป แต่ก็ฝืนหยุดไว้เพราะโดนอุซากะชี้หน้า
“น่าเสียดายที่ไม่มีของแม่เจ้า ใช้ของยายเจ้าก็แล้วกัน”
“อ…อะไรรึ”
“ขี้เถ้า”
พูดจบก็เทขี้เถ้าสีเทาขุ่นออกมาจากโถสวย และล้วงหยิบเอาขวดที่ตนเก็บหิมะระหว่างทางเอาไว้ออกมาผสมมันเข้าด้วยกัน จากนั้นก็นำมันไปป้ายที่ดวงตาของรินที่หลับอยู่ทั้งสองข้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนรินไม่อาจตั้งตัว ไม่นานเท่าไรหลังจากที่โดนขี้เถ้าป้ายเปลือกตา รินก็อยู่ในสภาพที่ขยับตัวไม่ได้ แม้แต่พูดออกมายังอ้าปากไม่ได้!
“อึก!!”
เสียงร้องในลำคอของรินดูทรมาน เชียนที่เฝ้ามองอยู่ได้แต่กัดปากข่มความหงุดหงิดไว้ข้างใน พลันสายลมระลอกใหญ่ได้พัดผ่าน ทั้ง ๆ ที่ถ้ำใต้ดินไม่น่าจะมีลมเข้ามาได้ ไม่สิ…ไม่มีทางเข้ามาได้เลยต่างหาก เชียนใช้มือกำบังสายลมอันน่ารำคาญไว้ไม่ให้บดบังภาพของลลิลภายใต้อาณัติแม้แต่วินาทีเดียว หากอุซากะทำร้ายรินแค่เพียงปลายเล็บ ดาบของเขาจะสะบั้นคอโดยไม่มีการปรานี
ภายในก้อนกระแสลมปริศนา…ราวกับเทพเจ้าได้ยินเสียงร้องขอ รินนั่งคุกเข่า หลังเหยียดตรง และพยายามยื้อตัวเองให้ไม่ปลิวไปตามลม ดวงตาทั้งสองข้างร้อนระอุไม่ต่างจากโดนไฟเผา เขารู้สึกเจ็บจนอยากจะควักลูกตาทิ้งไปเสีย ได้ยินเสียงอุซากะพึมพำอะไรบางอย่างคล้ายบทสวด คงเป็นคาถาของนักเวทย์ดึกดำบรรพ์
“เจ็บ! ข้าเจ็บ!! อึก…อ๊ากกกกกกกกกกก!!!!!”
รินร้องโหยหวนเพราะไม่อาจทนความเจ็บตามที่อุซากะบอกให้เตรียมใจได้ มันทรมาน และรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย มือทั้งสองข้างไม่สามารถขยับมากุมดวงตาเพื่อบรรเทาความเจ็บได้ ราวกับโดนโซ่พันธนาการกักขังร่างกายของรินเอาไว้ ความรู้สึกแสบร้อนดั่งดวงอาทิตย์แผดเผาทำให้รินรู้สึกสังเวชตัวเองจนอยากจะตาย ๆ ไปเสีย
ในที่สุด…บทสวดบรรทัดสุดท้ายได้หยุดการเคลื่อนไหวริมฝีปากแห้งผากของอุซากะลง หลังจากมันขยับก่นสวดมานานหลายนาที ทันใดนั้น…สายลมกระโชกแรงก็หยุดพัด และสลายหายไปเสียดื้อ ๆ วินาทีเดียวกันนั้นที่รินได้ยินเหมือนเสียงแก้วแตก และความรู้สึกสั่นไหวเบา ๆ ของนัยน์ตา ร่างบางก็ได้ทรุดนอนลงบนแท่นหินอย่างหมดแรง
“ริน!!”
เชียนพุ่งเข้าไปหาร่างเล็กที่นอนหายใจพะงาบ ๆ สภาพเหนื่อยอ่อนของรินที่เชียนไม่เคยเห็นทำให้ท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งอ่อนไหว เขาสะบัดสายตาค้อนใส่อุซากะด้วยอารมณ์คุกรุ่น หากรินเป็นอะไรขึ้นมา เขาจะออกคำสั่งให้เซพาร์ตัดหัวชายแก่ต่อหน้าตระกูลที่ตนคอยรับใช้ซะ
ครืน!
เสียงราวกับฟ้าผ่าดังอยู่สองสามที จนกระทั่ง…รูปปั้นพรรลารีเทพที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ปรากฏเป็นรอยเฉือนบริเวณขาทั้งสองข้าง จากนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียว…รูปปั้นสูงใหญ่ก็ได้ถล่มลงมาจนเกิดเสียงดังสนั่น พร้อมกับการสั่นสะเทือนของถ้ำที่ต้องทนรับแรงกระแทกมหาศาล
แต่แทนที่จะตกใจ…อุซากะดันหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า! คำสาปของเจ้าช่างแรงดีจริงเชียว!!”
“หมายความว่าไง”
“ไม่เคยมีการถอนคำสาปครั้งไหน ทำลายรูปปั้นพรรลารีเทพได้รุนแรงเท่านี้ นางคงกลืนกินเจ้าไปเยอะเลยล่ะสิ”
รินค่อย ๆ ฟื้นฟูร่างกายจากความเจ็บปวดภายในจิตใจได้ทีละนิด จนสามารถคุมลมหายใจให้สม่ำเสมอได้แล้ว แต่ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเจ็บแสบจนไม่อาจลืมตาได้ เชียนประคองรินให้อยู่ในท่าที่สบายมากที่สุด เขาคิดว่าถ้ารินได้น้ำเพียงสักนิด น่าจะทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
“เซพาร์ เจ้าขึ้นไปเอาน้ำมาให้ข้าหน่อย”
“พะย่ะค่ะ”
เซพาร์เดินหายขึ้นไปหลังจากได้รับคำสั่ง
“ให้ไปตอนนี้จะดีรึ…?”
ไม่มีใครเข้าใจการสื่อสารของผู้หยั่งรู้ สายเลือดนี้จะสามารถมองเห็นอนาคตได้ แต่ไม่อาจนำสิ่งที่เห็นมาพูดให้คนทั่วไปรับรู้ หากคิดฝืนจะถูกลงโทษขั้นร้ายแรงไปชั่วลูกชั่วหลาน เชียนมองชายแก่ที่เดินเข้ามาใกล้ทั้งที่หลับตาอยู่ ใบหน้าของชายผู้นี้มีรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับโล่งใจอะไรบางอย่าง ซึ่งเชียนเองก็ไม่อาจรู้ได้
“ท่านเชียน”
“…”
“ท่านเชื่อใจลลิลของท่านแค่ไหน”
คำถามของอุซากะทำให้เชียนชั่งใจ เขาไม่เคยคิดคำตอบเกี่ยวกับคำถามนี้จริงจัง เลยไม่สามารถตอบออกไปได้ทันที แต่ตลอดระยะเวลาที่เชียนได้ใช้ชีวิตร่วมกับลลิลดอกนี้ หลาย ๆ คำพูดของรินมันทำให้เชียนรู้สึกว่าความเด็ดเดี่ยวที่เขามี…อาจจะยังน้อยกว่าที่รินมีก็เป็นได้
“ข้า…ไม่อยากจะเชื่อใจ”
“ฮึ เจ้าเด็กนี่คงดื้อกับท่านมากสินะ”
อุซากะหลุดขำ เป็นจังหวะเดียวกับที่เปลือกตาของชายแก่ขยับเปิดขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เชียนสะกิดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?!
“ตาเจ้า?!”
“ท่านคิดว่าเทพที่โปรดปรานคำสาปและการแลกเปลี่ยนจะทำให้ฟรี ๆ อย่างนั้นรึ…น่าขัน”
ชายแก่หลุบตามองเด็กหนุ่มที่นอนหายใจแผ่วเบา ถึงจะขอแลกเปลี่ยนดวงตาตัวเองให้กับรินไป แต่เพราะเป็นนักเวทย์ดึกดำบรรพ์ เขาจึงสามารถมองเห็นได้ด้วยพลังเวทย์ที่มีอยู่ได้ น่าเศร้าตรงที่ภาพมันมืดสนิทกว่าที่คิดไว้น่ะสิ เขาไม่นึกว่าพรรลารีเทพจะกลืนกินนัยน์ตาของรินไปมากถึงเพียงนี้ ถ้าหากท่านเชียนไม่พารินมาที่ไลซีลล่า หรือมาถึงช้าเกินไปกว่านี้ รินคงไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดแม้จะไม่ได้อยู่ในฤดูหนาวก็ตาม
คำสาปจะกลืนกินทุกฤดูหนาวให้มองไม่เห็นอย่างยาวนานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวว่า…ตนเองมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว
เชียนละความสนใจจากอุซากะเมื่อรู้สึกได้ว่ารินขยับตัว ร่างบางค่อย ๆ พยุงตัวเองให้นั่งโดยไม่ต้องพิงเชียน รินพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ ด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าของท่านผู้เป็นที่รักคนแรก
และใช่…รินเห็นใบหน้าเชียนเป็นคนแรก
“ท่านเชียน!”
รินโผเข้ากอดเชียนแน่น แม้ภาพที่เห็นจะยังเบลอ และมีอาการปวดหัวรุนแรงอยู่ แต่ก็ไม่ยอมเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ รินส่งยิ้มขอบคุณอุซากะที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ซึ่งแกก็ยิ้มตอบกลับให้เช่นกัน อุซากะกำชับเชียนไว้เรียบร้อยแล้วว่า…การแลกเปลี่ยนในครั้งนี้จะเป็นความลับระหว่างเรา อุซากะใช้ชีวิตมานานเกินพอแล้ว เขาไม่อยากให้รินต้องรู้สึกไม่ดีต่อการให้ในครั้งนี้ของเขา
“มองเห็นแล้วสินะ”
“อื้อ ข้าดีใจจังที่เห็นหน้าท่านเป็นคนแรก”
“งั้นรึ?”
“อ…เอ่อ…ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…คือ…”
ถ้าหากว่าตอนนี้เราอยู่ที่ปราสาท เชียนคงไม่หยุดแกล้งรินแน่นอน แต่ทว่า…เพราะไม่ได้อยู่ที่ปราสาทนั่นแหละ เราถึงไม่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขเกินสองนาทีเลย เสียงฝีเท้าหนักกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดมาดังตุบตับ จังหวะย่ำเท้าไม่ปกตินั้นทำให้เราต่างมองหน้ากัน ก่อนจะพบว่าเป็นเซพาร์ที่กระหืดกระหอบวิ่งเข้ามา พลางกุมแขนข้างหนึ่งซึ่งมีเลือดชุ่ม!
อัศวินเหมันต์โดนฟันงั้นรึ!?
“ท่านเชียน! เราถูกโจมตี!”
“จากใคร?”
“พวกพารันตะพะย่ะค่ะ!”
“…หึ มาเร็วกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”
เซพาร์หอบเหนื่อยจากการวิ่งมารายงาน ทหารนักล่าด้านบนถูกฆ่าตายไปสองคน ส่วนคนอื่น ๆ ก็กำลังต่อสู้สกัดกั้นไม่ให้พวกมันเข้ามาข้างในได้ เชียนรู้สึกผิดสังเกตมาตั้งแต่เริ่มขึ้นเขา เขาสัมผัสได้ว่าพวกมันกระจายตัวอยู่ทั่วไลซีลล่า…นับตั้งแต่เขากับรินมาที่นี่ เห็นได้จากพวกอีกาที่บินวนไปมาในบริเวณที่เขาอยู่
เชียนประคองรินให้ลุกขึ้นยืน ซึ่งคนตัวเล็กแสนดื้อดึงก็ทำทีว่าสามารถเดินเหินได้ปกติ…นั่นแหละคือสิ่งที่เขากังวล เด็กคนนี้มักจะทำ และพูดในสิ่งที่เกินตัวเสมอ ร่างสูงกระชับดาบข้างกาย ก่อนจะหันไปคุยกับอุซากะที่สีหน้าดูหนักใจ
“ตัวข้าคงไม่อาจช่วยพวกท่านในครั้งนี้ได้ โปรดให้อภัยกับความอ่อนแอของข้าด้วยเถิด”
“ถ้าเป็นเพราะสิ่งนั้นข้าพอเข้าใจได้ แต่เจ้าเป็นนักเวทย์ดึกดำบรรพ์มิใช่รึ?”
“เวทย์ของข้าไม่อาจต่อกรกับปีศาจได้ มีทางเดียวคือท่านต้องเชื่อใจริน”
แม้แต่ตัวรินเองยังฉงน ไม่มีใครเข้าใจว่าผู้หยั่งรู้ต้องการจะบอกใบ้ถึงอะไร รินไม่ใช่นักรบมากประสบการณ์อย่างท่านเชียน เขาไม่เคยต้องวางแพลนหรือตัดสินใจอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เชียนก้มหน้าสบตากับลลิลน้อยที่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม เพียงละสายตามองกันแวบเดียว อุซากะก็ได้หายไปเสียแล้ว
“ข้าสำรวจในถ้ำดูหมดแล้ว ที่นี่มีทางออกทางเดียว”
“งั้นคงแย่สินะ”
“ข้าจะเบี่ยงเบนความสนใจไว้ สบโอกาสพวกเจ้าก็รีบหนีไปซะ”
“ทำไมเจ้าถึงได้พูดเป็นกันเองกับข้าล่ะไอ้องครักษ์”
ร่างสูงจูงมือเล็กไว้ไม่ห่าง ยิ่งเดินออกมาด้านนอกยิ่งได้ยินเสียงดาบกระทบกันชัดเจนขึ้น เชียนไม่คิดจะทิ้งองครักษ์ที่เป็นเพื่อนกันมาอย่างยาวนานให้สู้คนเดียว แล้วตนหนีไปหรอก แต่เพราะที่ถ้ำนี้มีทางเข้า และออกเพียงทางเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่อาจตัดสินใจใช้แผนของเซพาร์ได้
“มันมากันเท่าไร?”
“ประมาณยี่สิบสาม มีสองคนใช้ปืน”
ดีที่ม่านเวทย์ช่วยซ่อนตัวตนเราจากพวกมัน จึงทำให้เชียนสามารถยืนประเมินสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่ได้เห็นสนามรบขยาดย่อมด้านหน้า เขาก็ถึงกับนิ่งงันจนลืมหายใจ…ใบหน้านั่น…ไม่ผิดแน่ มันคือ ‘บูราเซน’ นักเล่นแร่แปลธาตุที่ทำสัญญากับปีศาจ และเป็นผู้นำของพารันตะ แต่ยังเร็วไปที่จะตัดสินว่ามันคือตัวจริงหรือเปล่า บางทีอาจจะเป็นร่างปลอม
“ถ้าหลุดออกจากเขตแดนตรงนี้ไป พวกมันจะเห็นตัวพวกท่านแน่ ๆ ดังนั้นข้าอยากให้พวกท่านหลบหนีไปในตอนที่ข้าออกไปข้างนอก”
“พูดราวกับว่าหลังเจ้ามันจะซ่อนข้ามิดอย่างนั้นแหละ”
“แล้วจะเอายังไง”
“เจ้าได้จุดแฟร์หรือยัง”
เซพาร์พยักหน้า
“งั้นข้าจะสู้กับเจ้าด้วย พวกทหารนักล่าคงต้านไว้ได้อีกไม่นาน”
“หยุดก่อน! นี่มันไม่ได้อยู่ในแผน”
“ข้าก็ไม่ได้มีแผนมาตั้งแต่เริ่มนี่”
“ถ้าเจ้าออกไปสู้ เราอาจจะตายกันจริง ๆ ก็ได้”
“สิ่งที่พวกมันต้องการคือริน ในเมื่อนี่คือเขตแดนเวทย์ ข้าจะให้รินซ่อนตัวอยู่ในนี้ ส่วนข้าจะออกไปเจรจากับพวกมันก่อน”
“คิดว่ามันจะฟังที่เจ้าพูดหรือไง”
“เอาเวลาเถียงข้าไปกดแผลซะ”
เชียนตัดสินใจจะก้าวเท้าข้ามเขตเวทย์ แต่กลับถูกมือเล็กรั้งเอาไว้เสียก่อน ด้านนอกดูอันตราย และเลอะไปด้วยเลือดสีแดงสด ถึงแม้ทหารนักล่าจะฝีมือเก่งกาจ ฆ่าพวกมันไปได้เยอะมากมาย แต่ใช่ว่าจะแรงดีกำลังเหลือไปได้ตลอด ถ้าหากท่านเชียนออกไป รินกลัวว่าสิ่งที่พวกมันจะทำคงไม่ใช่การคุย แต่เป็นการลั่นไกปืนแทน
“ไม่เอาวิธีนี้ได้ไหม ถ้าท่านเป็นอะไรขึ้นมา…”
“ตอนนี้แผนของข้าคือซ่อนตัวเจ้าเอาไว้จนกว่าข้าจะสังหารพวกมันจนหมด”
“ไม่นะ…”
“เข้าใจแล้วก็หลบอยู่ในนี้ จนกว่าข้าจะมารับ”
รินนึกโกรธความอ่อนแอของตัวเองในตอนนี้เสียจริง เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยืนมองท่านเชียน และเซพาร์เดินออกไปผจญชะตากรรมด้านนอก อุซากะทิ้งทวนไว้แค่ให้เชื่อใจเขา…คนอย่างรินน่ะหรือจะทำให้ใครเชื่อใจได้ แม้แต่ในสถานการณ์ที่ตนเป็นต้นเหตุ ยังต้องคอยให้คนอื่นปกป้องอยู่เลย
ไร้ค่า…ไม่ต่างจากที่ท่านเชียนเคยพูดไว้
“โอ้…ออกมาแล้วรึ ท่านรัชทายาท?”
“…บูราเซน” เชียนกัดฟันกรอด
“นึกว่าจะรอให้ทหารรับใช้ตายหมดเสีย ถึงค่อยโผล่หน้าออกมาเชยชม”
เชียนยกยิ้ม พวกของมันตายเป็นเบือแล้วยังมีหน้ามาปากดีใส่เขาอีก ทหารนักล่าเหลือจำนวนครึ่งหนึ่งจากที่พามา ส่วนพวกมันเหลือไม่ถึงสิบคน ไม่คิดว่าจะปัญญานิ่มถึงเพียงนี้ ร่างสูงกระดิกนิ้วเบา ๆ จากนั้นพวกทหารนักล่าก็พากันมายืนคุ้มกันด้านหน้า ในจำนวนคนเท่านี้…เชียนสามารถฆ่าพวกมันได้หมดในเวลาไม่กี่นาทีเลยเชียวนะ
“ข้าไม่ใช่เจ้านะ ที่จะยืนยิ้ม…มองทหารของตัวเองตายไปทีละคน”
“นั่นก็เพราะข้าไม่คิดจะเลี้ยงพวกไร้ประโยชน์ต่างหากเล่า”
“…งั้นรึ?”
เทพแห่งสงครามยกยิ้มเยาะมุมปาก ท่าทางโอหังทำเอาบูราเซนถึงกับเดือดดาลอยู่ในใจ ต่างคนต่างประเมินสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้าม…ว่ามีทางไหนที่จะสามารถเอาชนะในศึกย่อยครั้งนี้ อาวุธเจ้าปัญหาคงหนีไม่พ้นปืนสองกระบอก กระบอกหนึ่งอยู่ที่ทหารข้างกายบูราเซน ส่วนอีกกระบอกมันถืออยู่ เขารู้ว่าอนุภาพของปืนนั้นรุนแรงเพียงใด…รวดเร็ว…และยิงจากระยะไกล ซึ่งทหารนักล่าของเขามีผู้ใช้ธนูสองคน ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน อาจจะดักซุ่มโจมตีอยู่สักที…หรือไม่ก็ตายไปแล้ว ดังนั้นหากเราขยับขาผิดไปก้าวเดียว…ลูกกระสุนจะพุ่งฝังสักจุดในร่างกายแน่
“ข้าต้องการเจรจา”
“อ๋อ ได้สิ ข้าเองก็อยากจะเจรจาก่อนเหมือนกัน”
“แกต้องการอะไร?”
“…ดอกไม้ลลิลขององค์รัชทายาทลำดับที่สอง”
“แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”
“งั้นการเจรจาของเราก็ต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้”
ร่างกาย และใบหน้าของบูราเซนนั้นไม่เคยเปลี่ยน แม้จะผ่านมาเป็นร้อย ๆ ปี ใบหน้าน่ารังเกียจนั่นก็ยังเป็นใบหน้าของชายอายุสามสิบต้น ๆ อยู่ดี นั่นหมายความว่ามันไม่เคยทุกข์ทรมานกับการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์…เพื่อให้แผนการล้มจักรวรรดิสำเร็จ อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่ความเห็นใจให้กับพวกลูกน้องที่ตายตรงหน้า…เพื่อปกป้องมัน
คนอย่างมันคือเศษเดนที่อีแร้งเหลือทิ้งไว้ให้เน่าเหม็น
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าลลิลของเจ้าอยู่ที่นี่นะ…”
“…”
บูราเซนเย้ยหยัน มันยกปืนชี้หน้า พลางส่งยิ้มที่น่าขยะแขยงที่สุดเท่าที่เคยเห็น ก่อนจะขยับยกขึ้น คล้ายกับส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งเชียนไม่อาจรู้ได้ จนกระทั่ง…เสียงของปืนแฟร์ดังขึ้นจากระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก ควันของมันเป็นสีดำสนิท ตำแหน่งการลอยของควันอยู่ทางผาน้ำแข็งใหญ่ที่ยื่นยาวออกมา และมันเป็นผาที่ใกล้กับตัวหมู่บ้านมากที่สุด
“เจ้ารู้หรือไม่ เพียงแค่ข้าตวัดปลายปืนนิดเดียว ผาน้ำแข็งตรงนั้นจะหัก…และหล่นลงไปถล่มทั้งหมู่บ้าน กลไกที่จะทำให้ผาตรงนั้นถล่มได้มีเพียงแค่ลมปากเจ้าเท่านั้น”
“…นี่แก”
“บุตรแห่งจักรวรรดิลิเทียร์น่าผู้สูงส่งเช่นเจ้า จะเลือกประชาชนนับพันที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือลลิล…ดอกไม้ที่เจ้ารักกันล่ะ?”
ร่างสูงกัดฟันกรอด ไม่คิดว่ามันจะเล่นไม้นี้ ผาน้ำแข็งนั่นใหญ่โต และกว้างมาก ถ้าได้หล่นลงไปกลางหมู่บ้านแล้วล่ะก็…คงไม่ต่างจากโศกนาฎกรรม แต่การที่จะให้เขาละทิ้งริน เพื่อช่วยทั้งหมู่บ้านมันก็ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายที่ดีที่สุดเช่นกัน หากเขาพุ่งตรงเข้าไปแล้วใช้ดาบแทงเข้าที่คอมันล่ะก็…
ไม่…ระหว่างที่วิ่งไป ลูกปืนก็จะวิ่งตามมาเช่นกัน ร่างของพวกมันคืออีกาดำ ไว้ใจไม่ได้เด็ดขาดว่าหลังจากนี้จะไม่มีพวกมันมาเพิ่มอีก ถ้าหากเขาใจเย็นกว่านี้ แล้วรอให้กำลังเสริมที่กำลังเดินทางขึ้นเขามาสมทบ เราก็จะมีโอกาสฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด
แต่ทว่า…มันจะไม่ทันผาน้ำแข็งที่อาจจะถล่มในตอนที่กองกำลังเสริมมาถึง
“ไม่รีบส่งตัวมาจะดีรึ?”
“ข้าจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าถ้าเจ้าได้ตัวลลิลไปจริง ๆ แล้วจะไม่ถล่มผาน้ำแข็งทีหลัง”
“หึหึ องค์ชายสองช่างขี้กังวลเสียจริง หรือเป็นเพราะเจ้ากำลังถ่วงเวลาอยู่…?”
แววตาของมันวาววับ และเริ่มมีจิตอาฆาตแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม…เขาไม่มีทางส่งตัวรินให้ตามที่พวกมันต้องการ และก็จะไม่ปล่อยให้พวกมันพังผาน้ำแข็งด้วยเช่นกัน เชียนขยับหางตามองเซพาร์ แม้เพียงแวบเดียวเราต่างก็รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ไม่ทันจะได้ขยับดาบออกจากฝัก…ปลายกระบอกปืนของบูราเซนก็แกว่งเล็กน้อย และเสียงครืนประหลาดก็ดังลอยเข้าหูมา
“แค่ก้าวเดียวเท่านั้น”
“…”
“ข้าจะเสกเมืองทั้งเมืองให้เป็นหิมะสมชื่อ”
ปลายเท้าของเซพาร์ขยับกลับมาที่เดิม เราเสี่ยงดวงเพื่อคนทั้งเมืองไม่ได้ ไม่ว่าเป็นทางไหนก็เสียเปรียบไปหมด พลันความทรงจำของคำพูดในม้วนกระดาษเล่มหนึ่งได้คลี่ออก พร้อมทั้งสีหน้า…แววตา…และน้ำเสียงปรากฎชัดเจนราวกับเจ้าตัวมาพูดอยู่ตรงหน้า
‘ถ้าเมื่อไรที่การมีข้าอยู่ทำให้ท่านลำบาก…ได้โปรดปล่อยมือข้า โดยไม่ต้องลังเล’
เจ้าเด็กหน้าสวยคนนี้ช่างโง่เขลา…และปากดีเสียจริง กล้าพูดเป็นลางร้ายจนมันเกิดจริงแล้วเห็นหรือไม่ ตอนนั้นข้าเองก็ตอบออกไปอย่างไม่คิดว่า
‘ข้าปล่อยมือเจ้าแน่ ถ้ามันเป็นทางเดียวที่จะยุติปัญหาได้’
แต่เอาเข้าจริง…ทำไมมันถึงได้ยากกว่าที่ปากเคยพูดเอาไว้ เชียนกัดฟันกรอด เขาไม่อาจทำตามคำสัญญาที่เจ้าตัวขอให้ละทิ้งตนไม่ได้ มันไม่ใช่ทางออกสุดท้าย…เชียนคิดเช่นนั้น แต่ไม่ทันจะได้ใช้สมองคิดหาวิธีที่ดีที่สุด เสียงย่ำฝีเท้าจากการวิ่งมาก็ดังขึ้นขัดสมาธิของเชียนเสียก่อน
ริน?!!
“ไม่น่าเชื่อ ฮ่าฮ่าฮ่า! โอ้…ความรักของพวกเจ้านี่มันหวานชื่นเสียจริงเชียว ข้าล่ะปลื้มใจนัก”
ร่างเล็กกระหืดกระหอบวิ่งออกมาจากเส้นเขตแดน เมื่อได้ยินว่าพวกมันเอาชีวิตของชาวบ้านมาแลกกับชีวิตของรินเพียงคนเดียว และดูท่าว่าท่านเชียนก็จะไม่ยอมเสียให้สักอย่าง ถึงขั้นคิดจะเข้าไปสู้ แม้จะเป็นถึงเทพแห่งสงคราม แต่จะหาทางฆ่าปีศาจที่ไม่มีวันตายได้หรือ?!
ท้ายที่สุด…รินก็ไม่อาจคิดว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าประชาชนทั้งไลซีลล่า พวกมันต้องการรินเพียงคนเดียว นั่นหมายความว่าชาวบ้านทุกคนจะปลอดภัย…หากรินไปกับพวกมัน เพราะตั้งแต่หลบอยู่ในถ้ำนี้ เขาก็พยายามคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง และนี่คงเป็นอย่างเดียวที่รินพอจะทำได้
แต่สาบานด้วยเกียรติของลลิลเลยว่า…การที่เขามอบตัวเองไปง่าย ๆ เช่นนี้ มันไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้พวกพารันตะจะทำอะไรง่ายขึ้นแน่นอน
“นี่เจ้า! ขัดคำสั่งข้ารึ?! เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!!”
“ท่านเชียนนั่นแหละที่เป็นบ้า! คิดจะช่วยทั้งข้า…ทั้งชาวบ้านได้รึ?!”
“แต่การที่เจ้าออกมา…จะทำให้ข้าช่วยได้ทุกคนที่ไม่ใช่เจ้านะ”
เสียงของท่านเชียนอ่อนลง ตั้งแต่วินาทีที่เห็นรินวิ่งออกมา…เขาก็รู้สึกว่า…ทุกคำพูดของริน มันคือคำพูดที่มาจากใจจริงทั้งหมด ไม่มีครั้งไหนที่รินจะอ้อนวอนขอให้ช่วย และไม่มีครั้งไหนที่เขาคิดว่าคำพูดพวกนั้น…มันจะเกิดขึ้นจริง ๆ
“ท่านเชียน…”
รินพยายามจะสบตา หากแต่เชียนหลบสายตาคู่นั้น
“อะไร”
“ท่านให้สัญญากับข้าแล้ว”
ลลิลตัวน้อยเผยยิ้มจาง ๆ ออกมา มันคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นรอยยิ้มเหนื่อยใจ แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว… รินกุมมือของเชียนที่จับด้ามดาบแน่น จดจ้องเข้าไปในดวงตาดุดันคู่นั้น…ในตอนที่ร่างสูงยอมแพ้ที่จะหลบหนี รินไม่เคยรู้สึกลำบากใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้…แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องเสียใจก็ตาม
“…ว่าในยามที่ท่านต้องเลือก ข้าจะไม่เป็นตัวเลือกของท่าน”
“ข้า…ไม่เคยสัญญาอะไรกับเจ้า”
“ท่านเชียน…”
“…”
“ข้าตัดสินใจแล้ว”
ร่างเล็กส่งความรู้สึกผ่านนัยน์ตาสีสวย และบีบฝ่ามือของเชียนแน่น ร่างสูงกัดฟัดกรอด ไม่เคยคิดว่าอยากจะพุ่งเข้าใส่ จากนั้นก็กระหน่ำแทงไปที่หัวใจของมันซ้ำ ๆ จนกระทั่งมันตายคาดาบขนาดนี้ แต่พอจะขยับเท้า เสียงครืนจากผาน้ำแข็งก็ลอยมาตามลมเป็นการขู่กลาย ๆ
รินส่ายหน้าเบา ๆ หวังว่าท่านเชียนจะจำคำที่อุซากะพูดได้ว่าต้องเชื่อใจข้า แม้ตัวข้าเองจะไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ ณ ตอนนี้รินไม่เสียใจเลยที่เลือกจะก้าวเดินไปทางศัตรู
บูราเซนยิ้มเยาะเย้ยชอบใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ท่าทางของมันทำเอาเชียนเดือดดาลจนแทบจะระเบิดออกมาได้ในทันที ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัวว่าช่างหัวชาวบ้านมันปะไร เขาอยากจะฆ่ามัน และชิงตัวรินกลับมา แต่ไม่ได้…เขาจะขาดสติ และกลายเป็นปีศาจเหมือนพวกมันไม่ได้
“ตัดสินใจได้ดี…แม่ลลิลน้อย ผมสีขาวของเจ้า…โอ้…ใช่จริง ๆ ด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่าจะเห็นมันมานักต่อนัก…ก็ยังงดงามเสมอ”
“อย่าได้แตะต้องข้า”
รินปัดมือโสโครกของมันออกก่อนจะถึงเส้นผมของตัวเอง มันหัวเราะใหญ่ ในปากของมันมีแต่คราบเลือดเลอะตามไรฟัน สกปรก และน่าสะอิดสะเอียน บูราเซนล็อคเอวรินไว้ไม่ห่างกาย ตระกูลไกวเนร่านับเป็นสายเลือดที่สวยสดงดงามที่สุดกว่าตระกูลขุนนางหน้าไหน ๆ เส้นผมสีขาวสว่างช่างกระตุกต่อมหัวใจได้ดียิ่งนัก
“เลือกได้ฉลาดดีนี่ไอ้เจ้าชาย ข้าล่ะซาบซึ้งในน้ำใจแทนชาวบ้านของเจ้าจริง ๆ ในอนาคตก็ขึ้นบัลลังก์แทนพี่ชายตัวเองไปเลยสิ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“พูดมากเสียจริงนะ”
“อะไร…โมโหแล้วรึ?”
เชียนดึงดาบออกจากฝักช้า ๆ ไม่เร่งรีบ ก่อนจะหันปลายดาบไปที่บูราเซน โดยไม่มองแม้แต่ลลิลที่อยู่ข้าง ๆ เชียนกัดฟันจนกรามขึ้นรูปชัด หลังจากนี้เขาจะประกาศกร้าว และจะทำทุกวิถีทางเพื่อกัดจัดพวกมันให้สิ้นซาก
แม้ตัวตาย…เขาจะไม่ทิ้งดาบในมือ
“ได้ตามที่ต้องการแล้วก็ไสหัวไปซะ! แล้วถ้าหากแกเล่นไม่ซื่อล่ะก็…”
น้ำเสียงของเชียนกดต่ำ มันเยือกเย็น…และน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน นานแล้วที่ไม่ได้เห็นจิตสังหารของท่านเชียนรุนแรงเท่านี้ แม้แต่ของบูราเซนยังเทียบไม่ติด ดวงตาแข็งกร้าวถลึงมองไปที่บูราเซนราวกับกำลังกินเลือดกินเนื้ออยู่
“ข้าจะเป็นคนสังหารลลิลที่เจ้าต้องการนักหนาเอง”
#ดอกไม้ลลิล
จัดไปยาวๆให้สมกับที่หายไปนาน คึคึ ขอโทษนะค้าบบบ
เรื่องหนังสืออาจจะเปิดให้จองประมาณต้นเดือนมิถุนายนนะคะ
ช่วยรอคอยและอุดหนุนน้องรินกับพี่เชียนด้วยนะ T^T
ราคาเล่มละ 320 รวมค่าส่งแล้ว (270+50) ราคาน่ารักเป็นมิตรมากๆ
ใครต้องการเล่ม เกียมเก็บเงินไว้โอนจองเร็วๆนี้ค่า กรี๊ดๆ
ถ้าชอบก็อย่าลืมกดเลิฟ กดรี กดทวีตติดแท็กให้กันด้วยนะคะ
รักคนอ่านเสมออออ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่รู้ว่าทำอะไร แต่หนูทำได้แน่ๆ คูมแม่เชื่อมั่น
หนังมากกก แบบบ
เซียน จะฆ่ารินได้ลงคอหรอ
เคียดสงสารทั้งคู่เลย รอเสมอค่ะรอเล่มด้วยยยย เริฟ