ตอนที่ 10 : ❀ ดอกไม้ลลิล : บทที่สิบ
10
ตระกูลที่หายสาบสูญ
ภายในห้องหนังสือโอ่อ่า มีลลิลตัวน้อยนั่งงมอ่านหนังสืออะไรบางอย่างอยู่เพียงคนเดียว หลังจากผ่านวันพรรลารีโปรดมาได้สองวัน รินก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวของเชียนเปลี่ยนไป ท่านนักรบอยู่ติดปราสาทมากขึ้น ทั้งยังไม่ไปลานฝึก แต่กลับสั่งใช้ลานกว้างของปราสาทเป็นลานฝึกแทน ทหารคุ้มกันก็แน่นหนามากขึ้นกว่าเดิมด้วย
มันคงเป็นเพราะธนูดอกนั้น…ที่ซึ่งแผดเผาต้นไม้พันปีจนเหลือแต่ลำต้นสีเถ้าถ่าน
รินเองก็รู้สึกกังวลใจแปลก ๆ เขาอยากรู้เรื่องของตำนานพรรลารีให้มากกว่านี้ จึงได้ถามลิลลี่ว่าตนจะหาหนังสือเกี่ยวกับตำนานนี้ได้ที่ใด และลิลลี่พารินมายังที่นี่ แต่เธอเข้ามาไม่ได้… เขาใช้เวลาเกินครึ่งวันในการตามหาหนังสือที่อยากจะอ่าน และจมปลักอยู่กับหนังสือเล่มนั้นจนลืมเวลา
เมื่อ 1,000 ปีก่อน ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิรุ่นแรก และยังมีตระกูลขุนนางชั้นสูงคอยเกื้อหนุน…เป็นประหนึ่งเสาหลักให้จักรพรรดิยังคงอยู่บนสุด แต่แล้ว…ตระกูลขุนนางผู้หลงทางได้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดิ ส่งผลให้ยอดที่ตั้งตระหง่านเกิดบิดเบี้ยว เพราะฐานแท่งหนึ่งได้พังทลาย
ในตอนนั้นถือว่าเป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในลิเทียร์น่า ฝ่ายกบฏที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดต่างแสดงตัวออกมา จนการเมืองในตอนนั้นปั่นป่วนไปหมด ไม่แม้แต่ฝ่ายขุนนางชั้นสูงที่สาบานตนจะเป็นเสาที่แข็งแรงให้แก่จักรวรรดิ…ก็เริ่มทยอยพังไปทีละต้น
ขุนนางชั้นสูงแตกออกเป็นสองฝ่าย ผู้นำฝ่ายจักรวรรดิคือ…ตระกูลลิเทรเซีย หรือก็คือตระกูลของราชวงศ์ในปัจจุบัน ส่วนผู้นำฝ่ายต่อต้านคือ…ตระกูลพารันตะ ในหนังสือได้กล่าวไว้ว่า ทั้งสองตระกูลนี้ไม่ถูกกันอยู่แล้ว และได้บอกถึงรายละเอียดยิบย่อยที่ว่า ตระกูลลิเทรเซียนั้น…เกิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดิอย่างแท้จริง เพราะแต่ละครั้งในการออกความคิดเห็น จะคิดเผื่อประชาชนอยู่เสมอ ตรงกันข้ามกับตระกูลพารันตะ ที่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน และห่วงแต่พวกพ้อง
สงครามยืดเยื้อยาวนานข้ามฤดูกาล ฝ่ายจักรวรรดิกำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่สงครามสกปรก ที่พวกฝ่ายต่อต้านทำสัญญากับ ‘บูราเซน’ นักเล่นแร่แปลธาตุแปลกถิ่นที่ไม่มีใครรู้ที่มา ทั้งยังเป็นตัวอันตรายที่ทางการได้สั่งให้จับตาดูเป็นพิเศษ เพราะพฤติกรรมของบูราเซนไม่ปกติ
และใช่… บูราเซนคือนักเล่นแร่แปลธาตุที่ไม่ต่างจากผีร้าย เขามีอายุหลายร้อยปี จนไม่อาจทราบตัวเลขที่แน่นอนได้ …ดูอย่างไรสงครามในครั้งนี้ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ดังนั้นฝ่ายจักรวรรดิจึงได้เรียกประชุมเพื่อหวังให้ตระกูลเทพช่วยเหลือ ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ ‘พรรลารีเทพ’ ได้ปรากฎตัวบนโลกมนุษย์
“เหลือเชื่อ…ราวกับข้าอ่านนิทานปรัมปราอยู่เลย” คงเพราะแผ่นดินเปลี่ยนรูปร่างมาตลอด เรื่องของเทพจึงเป็นเพียงความเชื่อให้ชาวบ้านได้สักการะบูชา มากกว่าการเห็นเป็นตัวเป็นตนอย่างที่หนังสือกล่าวถึง
…หลังพรรลารีเทพถูกอัญเชิญออกมา เพื่อเป็นเครื่องมือต่อกรกับบูราเซน ในหนังสือไม่ได้เล่าถึงวิธีที่ทำให้ฝ่ายจักรวรรดิชนะศึกในครั้งนั้น ผู้เขียนบรรยายแค่ว่า…
‘นภาทมิฬเลือนหาย ปรากฏสะพานแห่งแสงบนหิมะสีเลือด พารันตะกางปีกหนีพ่าย ชัยชนะอยู่ข้างจักรวรรดิตลอดกาล’
ในหนังสือยังกล่าวอีกว่า ภายหลังสงครามสองฝ่ายจบลง ลิเทียร์น่าก็ไม่เคยเกิดสงครามขึ้นอีกเลย มีเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่น่าจดจำ ผู้เขียนเรียกมันว่า ‘เหตุการณ์ล้างบาป’ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน ครั้งที่ลิเทียร์น่าถูกปกครองโดย ‘ชาฮาน’ ปู่ของจักรพรรดิคนปัจจุบัน ผู้ที่ถูกขานนามว่าเป็น ‘จักรพรรดิเดนมนุษย์’
ความจริงปรากฏทีหลังว่าชาฮานเป็นหนึ่งในหัวหลักของพารันตะ เขาประกาศจับตระกูลเทพ และปล่อยข่าวลือด้านลบ จนตระกูลที่เคยช่วยให้ชนะสงครามกลายเป็นผีร้ายในชั่วพริบตาเดียว… ตระกูลลิเทรเซีย และตระกูลอื่น ไม่อาจต่อกรกับชาฮานได้
ในวันนั้นทุกคนทำได้แค่…หลับตาฟังเสียงเหล็กกล้าตวัดเฉือนเนื้อนับร้อยครั้ง
ไม่มีใครรู้ว่าชาฮานฆ่าล้างบางตระกูลเทพทำไม แต่ที่รู้ได้แน่ใจคือตระกูลเทพจะต้องเกี่ยวข้องกับพารันตะแน่นอน อีกทั้งผู้เขียนเองก็ไม่ทราบชื่อจริง ๆ ของตระกูลเทพ เขาเพียงแค่ตั้งขึ้นมา เพื่อที่จะชื่นชมตระกูลที่หายไปในหน้าประวัติศาสตร์นี้ก็เท่านั้น
“พรรลารีเทพตัวสูงใหญ่เสียดฟ้า….ดวงตาถูกคาดด้วยผ้าสีขาว”
ในขณะที่กำลังจดจ่อกับคำโปรยท้ายเล่ม จนไม่ได้สังเกตว่ามีใครกำลังเดินเข้ามาใกล้ ชายผู้นั้นทิ้งตัวนั่งอยู่บนขอบโต๊ะ เข้าใกล้ถึงเพียงนี้แต่ลลิลข้างกายยังไม่รู้สึกตัวอีก…ใช้ไม่ได้
“ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชอบประวัติศาสตร์”
“เฮือก!!!”
รินสะดุ้งโหยง เผลอปล่อยหนังสือในมือหล่นกระทบโต๊ะไม้เสียงดังลั่น ตวัดสายตาตำหนิใส่ท่านแม่ทัพที่ชอบปรากฎตัวแบบผลุบ ๆ โผล่ ๆ เชียนยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ยสีหน้าชวนขบขัน ไม่เคยชินเสียทีสิน่า…
“ทำไมท่านถึงชอบเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
“ทำไมเจ้าถึงชอบเหม่อลอย เปิดช่องว่างอยู่ตลอด”
“ข…ข้าไม่ได้เหม่อลอย ข้าแค่กำลัง…คิด”
“ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าก็เพิ่งได้ยินว่าเจ้าคิดนี่แหละ”
“นี่ท่าน ถ้าจะเข้ามากวนข้าล่ะก็ ออกไปเสียเถอะ”
“เจ้าไล่ข้าให้ออกไปจากห้องหนังสือของข้า?”
รินอ้าปากพะงาบ ๆ เพราะเถียงไม่ออก ได้แค่พ่นลมหายใจเบา ๆ เท่านั้น เหอะ…ตั้งแต่อยู่ติดปราสาท เขาก็เจอหน้าท่านเชียนบ่อยมาก ตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอน ก่อนหน้านั้นที่นาน ๆ ทีท่านเชียนจะกลับปราสาท หรือจะนอนที่ห้องแทบไม่มี ทำไมตอนนั้นถึงมีความรู้สึกโหยหา ทั้งที่ตอนนี้อยากไล่ให้ออกไปไกล ๆ จะแย่
“เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่?”
“…พรรลารีเทพ”
“ทำไมถึงได้สนใจเทพตนนี้”
“ข้าอยากหาคำตอบอะไรบางอย่าง”
เชียนหยิบเอาหนังสือไปเปิดผ่าน ๆ ถึงแม้การอยู่กันสองต่อสองจะไม่ได้ทำให้อึดอัดเท่าตอนแรก ๆ แล้ว แต่รินก็ยังเกร็งอยู่ดี ชุดสบาย ๆ ของเชียนที่เห็นไม่บ่อยนัก ทำให้บรรยากาศในห้องหนังสือนี้ผ่อนคลายกว่าที่คิด
“งั้นเจ้าก็คงจะได้รู้เรื่องเกี่ยวกับพารันตะแล้ว”
“ข้ารู้เท่าที่หนังสือเล่มนี้เขียนไว้…ว่าพารันตะเป็นผู้นำกบฏ”
“และตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่”
“หมายความว่าอย่างไร”
เขานึกว่าพารันตะจะเป็นแค่อดีต ไม่ลากมายาวนานจนถึงตอนนี้เสียอีก
“พารันตะเป็นปรปักษ์กับจักรวรรดิมาช้านาน พวกมันตั้งใจจะโค่นล้มจักรพรรดิทุกยุคสมัย แต่เพราะมีตระกูลเทพ และขุนนางชั้นสูงคอยปกป้อง จักรวรรดิถึงไม่เคยล่มสลายได้จริง ๆ เสียที จนกระทั่งชาฮานได้ขึ้นครองบัลลังก์ ไอ้แก่นั่นทำให้จักรวรรดิต้องแปดเปื้อน เพราะมันหลงในอำนาจมืดที่บูราเซนมอบให้ มันสั่งฆ่าคนนับแสน ไม่แม้แต่ขุนนางที่ปกป้องมัน”
“เขาทำแบบนั้นทำไม”
“เพราะตระกูลเทพต้องคำสาปพรรลารี”
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”
เรื่องนี้ซับซ้อน…รินสัมผัสได้ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เท่าที่ควร เพราะฌุชาถือว่าเราเป็นดอกไม้ประดับ เรื่องการเมืองไม่ใช่สิ่งที่ลลิลควรยุ่ง หรือแม้จะอยากรู้…ก็ต้องรู้เท่าที่ห้องหนังสือมีให้อ่าน
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าทำไมถึงต้องเรียกว่าเป็นวันพรรลารีโปรด”
“ลิลลี่บอกข้าว่าเพราะผู้คนหวาดกลัวว่าจะถูกสาป เลยอยากให้พรรลารีโปรด”
“ใช่ เพราะพรรลารีคือเทพที่ให้แต่คำสาป ตระกูลไกวเนร่าอัญเชิญพรรลารีออกมา เมื่อทำสำเร็จก็จะต้องรับคำสาป…นั่นคือข้อตกลง”
“แล้วคำสาปที่ว่านั่น…”
“ข้าเองก็ไม่รู้ ตระกูลไกวเนร่าถูกล้างบางทันทีที่พารันตะมีโอกาส บางที…คำสาปนี้อาจเป็นหายนะสำหรับพวกมันก็ได้”
เชียนลอบมองใบหน้าของคนด้านข้าง เขาสงสัยอะไรบางอย่างในตัวริน ข้อความในกระดาษแผ่นนั้นทำให้เขาเริ่มเอะใจ แต่ประวัติศาสตร์เขียนชัดเจน หรือแม้กระทั่งท่านพ่อเองก็บอกว่าไกวเนร่าถูกทำให้หายสาบสูญไปหมดแล้ว นั่นจึงทำให้เชียนไม่กล้าปักใจว่ารินเป็นคนของตระกูลเทพ เพียงแต่รินอาจมีอะไรบางอย่างที่พวกพารันตะต้องการ
“ถ้าวันพรรลารีโปรดถูกจัดขึ้นก่อนสามวันที่หิมะจะตก วันนี้ข้าควรกลับตำหนักได้แล้ว”
“ข้าว่าข้าบอกเจ้าไปแล้วนะ”
“ข้าเองก็บอกท่านไปแล้วด้วยเช่นกัน ว่าข้าจำเป็นต้องกลับไปจริง ๆ”
ถ้าเขาไม่ได้กลับไปภายในวันนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้คงสายเกินไป รินไม่มีทางรู้ว่าหิมะจะตกตอนไหน เขารู้แค่ว่าต้องรีบกลับตำหนักให้ทันก่อนมันจะตกเท่านั้น
“ตอนนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าออกนอกปราสาท”
“ท่านพูดราวกับว่า…ข้ากำลังอยู่ในอันตราย”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่เจ้าไม่ควรอยู่ห่างจากข้า”
“ข้าอ่อนปวกเปียก ใช้ดาบก็ไม่เป็น ขี่ม้าก็ไม่แข็ง เหตุใดท่านถึงไม่ส่งข้าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ดีกว่าให้ข้าติดสอยห้อยตาม รังแต่จะเป็นภาระของท่าน”
“ไม่ได้ ตำหนักลลิลไกลเกินไป”
จะพูดว่าไกลเกินจะมองเห็นก็ไม่ผิดเสียทีเดียวนัก เชียนไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนี้เท่าไร ถึงแม้รินจะกลายเป็นภาระในภายหลัง แต่ยังดีกว่าไม่เห็นว่าเจ้าตัวเป็นภาระเขาอย่างไร การส่งไปตำหนักลลิลไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก
เพียงแต่…ที่นั่นไม่มีทหารเก่งกาจเหมือนที่นี่
“ข้าจำเป็นต้องกลับตำหนักลลิลจริง ๆ แค่ฤดูหนาวเท่านั้น…ได้โปรด”
“ไม่”
“ทำไมถึงไม่ได้!”
“คำว่าไม่ของข้า มีความหมายเดียวคือ ไม่!”
“ทำไมท่านถึงไม่ให้ข้ากลับตำหนัก ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้แยแสข้าเลยสักนิด”
“ไม่”
รินเริ่มมีน้ำโห หน้าแดงระเรื่อเพราะความโกรธมิใช่เขินอายแต่อย่างใด เชียนในตอนนี้ไร้เหตุผล กอดอกดึงหน้าตึงทะมึนตอบแต่คำว่าไม่ รินไม่เคยขออะไรมากมาย…แค่เรื่องนี้เท่านั้น
“ถ้าท่านเอาแต่ตอบว่าไม่ ข้าจะ…”
“เจ้าจะทำไม”
“ข้าจะ…จะ… ข้าจะจูบท่าน!”
“อะไรนะ?”
ลลิลตัวน้อยโกรธจนลืมหูลืมตา โพล่งออกไปด้วยความโมโหโดยแท้ แต่นาทีนี้รินมีแต่พุ่งเข้าใส่ ในขณะที่เชียนตั้งรับไม่ทัน ร่างสูงถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ นึกว่าตัวเองฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า ลลิลที่แค่เจอหน้าก็หัวหดคอย่น ในตอนนี้กลับพูดจาสามห้าว ยืดคอโก่ง เถียงหน้าดำหน้าแดงไปหมด
“ข้าจะจูบท่าน! เอาให้ท่านตอบคำว่าไม่ไม่ออกเลย!”
“…เอาสิ”
รินชะงักกึก ราวกับได้สติ ไม่คิดว่าเชียนจะตอบกลับรินแบบนั้น ร่างเล็กไม่ได้คิดเผื่อเอาไว้ คิดแค่ว่าเชียนที่ไม่ชอบลลิล…ไม่ชอบเขา…ไม่ชอบมนุษย์คนไหนนอกจากตัวเอง จะปฏิเสธ และยอมแพ้ไปเสียอีก
กลายเป็นรินเองที่อยากจะยอมแพ้…
“ข้าไม่ได้พูดผล่อย ๆ นะ ลลิลที่ท่านไม่ชอบกำลังจะจูบท่านนะ ท่านไม่รังเกียจรึ?!”
“ก็ลองมาจูบดูก่อนสิ ข้าจะได้บอกว่ารังเกียจหรือไม่”
แขนเล็กถูกดึงให้เข้าไปใกล้ แม้จะรั้งออกยังไงก็ไม่มีผล รอยยิ้มมุมปากของเชียนทำให้รินใจสั่น ปัดมือของร่างสูงเป็นพัลวัน
“เร็วสิ”
“ท่านก็ปล่อยข้าก่อนสิ”
“ปล่อยให้เจ้าหนีไปน่ะรึ?”
“ทำไมข้าต้องหนี คนที่ควรหนีคือท่านต่างหาก!”
จู่ ๆ สายตาต่างระดับก็ผสานกัน รินเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองโง่เขลาก็วันนี้ ไม่คิดว่าเชียนจะมีสายตาแพรวพราวชวนสะกดใจดั่งบุรุษทั่วไป พาลให้นึกไปถึงข่าวลือเรื่องเรือนกุหลาบ…ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ข่าวลือเสียแล้ว
“ข้าดูเหมือนคนที่อยากจะหนีงั้นรึ?”
“ข…ข้าเองก็ไม่”
“งั้นเจ้าก็ควรจะเริ่มสิ่งที่เจ้าพูดได้แล้ว”
เชียนรั้งร่างของรินให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม ร่างสูงโน้มใบหน้าเข้ามาหา ส่งความรีบเร่งผ่านทางสายตาให้ร่างเล็กหยุดยื้อตัวเองออกจากเขาเสียที
“บางที…จูบของเจ้าอาจทำให้ข้าเปลี่ยนใจ”
คำพูดของเชียนจุดประกายความหวังเล็ก ๆ ให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า และระเบิดออกมาเป็นพลุลูกใหญ่ แม้มันอาจจะเกินตัวไปเสียหน่อย แต่หากทำให้ท่านเชียนเปลี่ยนใจได้ก็ต้องลองเสี่ยงดู
ด้วยพลังแห่งความโมโหยังคงคุกรุ่นอยู่ จึงทำให้รินกล้าขึ้นมานิดหน่อย เขาหยุดดิ้น ใช้มือดึงเสื้อหมายให้อีกฝ่ายโน้มลงมาใกล้มากกว่านี้ และค่อย ๆ ประทับริมฝีปากอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
จูบไม่ประสีประสาไม่ได้ทำให้เชียนแปลกใจเลยสักนิด เขายืนนิ่งงันให้ลลิลภายใต้อาณัติแนบสัมผัสแผ่วเบา และไม่ยอมขยับเขยื้อน ถึงกับลงทุนจูบเขาเพียงนี้ แสดงว่าเหตุผลที่ต้องกลับไปคงใหญ่พอตัว
แต่เชียนพูดว่า…อาจจะ
รินถอนจูบออกด้วยใบหน้าแดงก่ำ หูอื้อ ตาเบลอ ราวกับคนเป็นไข้หนัก ร่างบางไม่กล้าสบตาดุ พอปล่อยคอเสื้อของท่านแม่ทัพ ก็รีบหลุบตาหลบทันที อื้ออึงชนิดที่ว่าไม่ได้ยินแม้แต่เสียงขำลอย ๆ ในห้องแสนเงียบงัน
“ท…ท…ท่านให้ข้ากลับแล้วใช่หรือไม่”
“ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง”
“แต่ท่านบอกว่าถ้าข้าจูบ ท่านจะเปลี่ยนใจ”
“ข้าพูดว่าอาจจะ…แล้วเมื่อกี้ก็ไม่ใช่จูบด้วย”
“มันจะไม่ใช่ได้อย่างไร! ก็ปาก…กับปาก”
“ฮึ ไม่ประสีประสาเสียจริง”
คำพูดเยาะเย้ยทำเอารินหน้าแดงแปร๋ดดั่งมะเขือเทศสุกงอม ง้างมือจะทุบแผ่นอก แต่ดันโดนจับไว้ทัน ทั้งยังโดนดึงให้เซเข้าไปหา หวังแกล้งให้รินใจระทวย
“แล้วก็…”
“อ…อะไรอีก!”
“ข้าไม่ได้รังเกียจหรอกนะ”
ท่านเชียนตายด้านอย่างปากคนใช้ว่า…ไม่น่าใช่ท่านผู้นี้หรอกกระมัง
สุดท้ายแล้วรินก็ยังไม่ได้กลับตำหนักอยู่ดี… ร่างบางกระวนกระวายภายในใจอยู่ลึก ๆ เพราะถ้าหากวันพรรลารีโปรดถูกจัดก่อนหิมะตกสามวันจริง วันรุ่งขึ้นอาจไม่ทันการณ์…
ยิ่งคิดยิ่งกังวลใจ เผลอแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนไม่ปิดบัง เขาเดินวนอยู่ภายในห้องนอนไปมา แม้เพลาจะใกล้ยามวิกาลที่ต้องเตรียมนอน แต่รินคงนอนไม่หลับ
“เจ้าเหมือนลูกหมาหากระดูกที่แอบเอาไปฝังไม่เจอ”
“ท่านคงมีความสุขที่กวนโมโหข้าสินะ”
“อย่างนี้ก็แย่สิ…นั่นความลับของข้าเลยนะ”
รินอ้าปากอยากเถียงใจจะขาด แต่ความรู้สึกที่ตีกันอยู่ข้างในทำให้นึกคำไม่ออก ดูท่าทางยังไงท่านเชียนก็ไม่ให้เขากลับตำหนักแน่ ๆ ซึ่งรินเองก็เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงกลับไม่ได้ แต่จะให้อยู่ที่ปราสาทในยามหิมะตกก็ไม่ได้เช่นกัน
เขามีตัวเลือกไม่มากนัก
“ท่านเชียน…”
“เดี๋ยวนี้หัดอ้อนข้ารึ?”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย!”
เวลาทำเสียงอ่อน แน่นอนอยู่แล้วว่ามันคือการอ้อน แต่ทำไมท่านเชียนถึงต้องพูดมันตรง ๆ ออกมาเช่นนี้ด้วย…พาลให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายเลย ไม่ได้! ถ้าหากว่ารินเขินตั้งแต่เนิ่น ๆ เขาคงไม่มีวันได้กลับตำหนักแน่นอน
…หนักแน่นกว่านี้หน่อยสิ
“ทำไมท่านถึงไม่อยากให้ข้ากลับตำหนักนัก”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยากกลับตำหนักนัก”
“ท่านตอบคำถามข้ามาก่อนสิ”
“คำตอบของข้าอยู่ในคำถามที่ข้าถามเจ้า”
เชียนจ้องตา…รินเองก็ไม่หลบ เหตุผลของคำถามนี้หนักใจเกินกว่าจะบอกออกไปให้ชัดเจน แม้จะอยากบอกความจริงกับเชียนมากแค่ไหน แต่รินไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระต่อใคร โดยเฉพาะท่านผู้นี้… เพราะอย่างนั้นเขาถึงไม่ยอมแพ้ที่จะขอกลับไป แม้จะกวนใจจนน่ารำคาญมากก็ตาม
“ข้าต้องทำยังไง ท่านถึงจะให้ข้ากลับไป”
“…ไปนอนซะ”
“…”
สุดท้ายรินก็แพ้คำพูดเด็ดขาด และแววตาที่ทำราวกับห่วงใยกัน ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม หันหลังให้อีกฝ่ายด้วยอารมณ์ง้องอนในใจ รินขออะไรไม่เคยจะได้ กระทั่งเรื่องที่แสดงออกว่าจำเป็นที่สุด เขายังปฏิเสธ …น้อยเนื้อต่ำใจเสียเหลือเกิน
ไม่รู้เพราะใช้สมองมากเกินไปหรือเปล่า รินถึงได้หลับสนิทตั้งแต่หัวถึงหมอน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้าเดินอยู่ข้างเตียง ยังไม่ทันได้รู้สึกถึงหนึ่งตัวตนใหม่ เตียงก็ยวบยาบรุนแรง จนรินสะดุ้งตื่น
อ่อก!!
ภาพเบื้องหน้าทำให้รินเผลอร้องเสียงหลงออกมาด้วยความตกใจ ชายปริศนาถูกเชียนบีบเข้าที่คอ และยกขึ้นจนขาลอยเหนือพื้น ใบหน้าเชียนดุดัน มีแต่ความโกรธา แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตรุนแรง ถ้าหากรินนอนคนเดียว…เขาคงถูกปลิดชีพแบบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“ท่านเชียน…”
ท่านแม่ทัพไม่ตอบอะไร ดวงตาของชายปริศนาทำให้รินขนลุกขนชัน…มันไม่ใช่สีดวงตาของมนุษย์…ดวงตาของมนุษย์ไม่แดงเถือกเช่นนั้น แถมหัวใจของมันก็…
เทพแห่งสงครามไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อ ร่างสูงเดินไปหยิบเอาดาบที่วางไม่ใกล้ไม่ไกลจากเตียงนอน มือก็บีบคอโจรปริศนาอยู่ไม่คลาย เมื่อได้จับดาบคู่ใจถนัดมือ ปลายคมของมันก็เสียบเข้าที่ร่างมนุษย์ในกำมือตน
“เซพาร์!!!”
เชียนตะโกนเรียกทหารคนสนิทเสียงดังสนั่น น้ำเสียงรับสั่งทำให้ทหารด้านนอกคนอื่นกรูกันเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ ไม่เว้นแม้แต่เซพาร์เอง เมื่อได้เห็นว่าอะไรเป็นตัวการที่ทำให้เชียนตะโกนเรียก ทุกคนก็แตกตื่นกันไปหมด
“เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“พวกมัน…กล้าบุกมาถึงห้องข้า”
เชียนสะบัดร่างไร้วิญญาณลงกับพื้น ไม่นานเลือดก็ไหลท่วมพื้นห้อง รินยืนไร้สติอยู่ข้างเตียงอีกฝั่ง ไม่ได้ยินเสียงใครเลยสักคน ดวงตาจดจ้องไปที่ร่างกลางกองเลือด…ที่ดวงตาของมันยังคงลืมอยู่
“กระหม่อมว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ตัดหัวแล้วส่งไปให้พวกมันเป็นของกำนัล”
เชียนว่าพลางเช็ดเลือดที่มือกับดาบออก คนรับใช้เดินสวนเข้ามาในตอนที่ทหารแบกศพออกไป ไคเซอร์ตรงดิ่งมายังริน เมื่อเห็นว่าลลิลตัวน้อยไม่อยู่กับร่องกับรอยตั้งแต่ตนเข้ามา องครักษ์ยิ้มเก่งแตะไหล่เล็กเบา ๆ เจ้าของร่างสะดุ้งเล็กน้อย ราวกับเพิ่งหลุดออกจากภวังค์มา
“ไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้า…ไม่เป็นอะไร”
“ท่านกลัวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…” รินไม่ได้ตอบอะไรออกไป แค่สบตาเท่านั้น
“ท่านกลัวชายที่บุกเข้ามา…หรือท่านกลัวคนที่ช่วยชีวิตท่านไว้”
ไม่ใช่…
ในตอนนี้รินสับสน รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เชียนทำลงไปนั้นถูกต้อง แต่ภาพที่เห็นมันน่ากลัวเกินกว่าจะทำใจยอมรับได้ เลือดสาดกระเซ็นออกมาทันทีที่ดาบเสียบเข้าที่หน้าอก มันทะลุกลางหัวใจได้อย่างแม่นยำ แววตาของเชียนไม่มีลังเลที่จะตวัดดาบเลยสักนิด…
“แม้ภาพที่ข้าเห็นจะสร้างความกลัวให้กับข้า แต่ไม่…ข้าไม่ได้กลัวเขา”
“กระหม่อมดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”
“…”
“มาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เราไม่อาจใช้ห้องเดิมนอนได้ ถึงแม้จะไม่มีคราบเลือดแล้ว แต่กลิ่นคาวของมันยังคงอยู่ และรินเองก็ไม่อยากนอนในห้องที่เพิ่งจะมีคนเข้ามาลอบฆ่าได้ ในคืนนั้นรินเลยขอแยกมานอนกับพี่ไมล์ เขาอยากสงบจิตสงบใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเสียหน่อย
“พี่ไมล์ เดี๋ยวข้ามานะ”
“จะไปไหนงั้นรึ?”
“ข้าจะไปหาท่านเชียน”
พี่ไมล์พยักหน้ารับ เขาจึงเดินออกจากประตูไปยังห้องสำรองที่ท่านเชียนใช้อยู่ไม่ไกลนัก วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วสินะ… แม้แต่เชียนที่ดื้อด้านก็ไม่อาจรั้งรินที่ดื้อกว่าได้
ทหารยามหน้าห้องเปิดประตูให้เป็นสัญญาณว่าคนด้านในอนุญาตแล้ว รินเห็นร่างสูงกำลังขยับเสื้อคลุมสีดำ ก่อนจะหันมาสบตากันแวบหนึ่ง เผลอหลุดสายตาไปทางหน้าต่าง…ท้องฟ้าเริ่มขุ่นแล้ว
“เมื่อคืนนอนหลับเป็นเช่นไรบ้าง”
“แม้คนที่ข้าช่วยไว้จะหนีไปนอนที่อื่น แต่ข้าก็นอนหลับได้…สบายดี”
รินแอบก่นด่า เขาถามเป็นมารยาท แต่ดันโดนเหน็บแนมเสียนี่
เชียนเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกริมหน้าต่าง ก่อนจะผายมือเชิญให้เขาไปนั่งตัวตรงข้าม วันนี้แหละ เขาต้องทำสำเร็จ ไม่อยากทำตัวเซ้าซี้ด้วยคำถามเดิม ๆ อีกแล้ว แต่ถ้าหากเชียนยังยืนยันที่จะไม่ให้รินกลับไป การหนีคงเป็นหนทางเดียวเท่านั้น
“เจ้าจะมาพูดเรื่องนั้นอีกใช่หรือไม่”
“อ่า…ใช่ ข้า—”
“ข้าอนุญาต”
“หา?”
“ตอนนี้แม้แต่ในปราสาทก็ไม่ปลอดภัยสำหรับใครทั้งนั้น”
แม้เหตุการณ์ตรงหน้าจะเร็วไปเสียหน่อย แต่รินก็ตามทันแล้ว เขากล่าวขอบคุณเชียนหลายครั้งในใจ พลางส่งยิ้มที่หุบไม่มิดไปให้ แต่อีกฝ่ายกลับเมินแล้วมองออกนอกหน้าต่างไปเสียนี่ ทิ้งให้ลลิลน้อยนั่งยู่ปาก นาน ๆ ทีรินจะอยากยิ้มให้เชียวนะ
“แต่ข้ามีข้อแม้”
“อ…อะไรรึ?”
“ครั้งเดียว…ข้าให้เจ้ากลับตำหนักแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”
“แต่ฤดูหนาวมีทุกปีนะ”
“ถ้าเจ้าไม่ตกลง ปีนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่”
“ข้าตกลง!”
รินหน้าบึ้ง สุดท้ายเชียนก็เผด็จการถึงที่สุด เราไม่ได้คุยอะไรกันต่อ เพราะหลังจากนั้นไคเซอร์ก็เข้ามาตามตัวเชียนไปประชุมอะไรสักอย่าง แต่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนเป็นแน่ เชียนสั่งทหารคนหนึ่งให้เตรียมรถม้า และไล่ให้เขาไปเตรียมตัว แม้ท่านแม่ทัพจะอยากไปส่งด้วยตัวเองสักแค่ไหน แต่หน้าที่กับตำแหน่งที่ค้ำคอต้องมาก่อน
“กระหม่อมให้ทหารเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังยกของขึ้นรถม้าอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“จับตาดูจนกว่าจะถึงปลายทาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เชียนมองลงไปยังหน้าต่าง เห็นร่างเล็ก ๆ กำลังหอบถุงผ้าพะรุงพะรังยัดใส่เข้าไปในตัวรถม้า ก่อนเจ้าตัวจะตามขึ้นไป ร่างสูงยืนจ้องจนกระทั่งรถม้าเริ่มออกตัว พลันเสียงของเซพาร์ก็ดังขัดขึ้น
“ท่านอัครเสนาบดีมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้ามีอะไรต้องรายงาน ให้เข้ามาได้ทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
รับสั่งไว้เช่นนั้นแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่ปกติจะไม่ชอบเวลามีคนเข้าไปขัดตอนประชุม เซพาร์พยักหน้ารับ ประตูห้องถูกปิดลง แสดงว่าข้างในคงเริ่มประชุมกันแล้ว ด้านข้างเขาเป็นไคเซอร์ ที่เมื่อไรเขาหันไป มันจะส่งยิ้มกวนประสาทมาให้ตลอด ถึงจะเป็นเพื่อน…แต่ก็เกลียด
“ท่านหัวหน้าเหมันต์!!”
จู่ ๆ ทหารนายหนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา พลางตะโกนเรียกตำแหน่งของเซพาร์ด้วยความรีบร้อน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นทหารที่เพิ่งได้รับคำสั่งจากท่านเชียนไปว่าให้จับตาดู ผ่านไปยังไม่ทันจะสามสิบนาที เหตุก็เกิดขึ้นแล้วหรือ
“มีธุระอันใด”
“รถม้าพ่ะย่ะค่ะ!”
“รถม้าทำไม”
“รถม้าเปลี่ยนเส้นทางพ่ะย่ะค่ะ!!”
เสียงเกลือกม้ากระทบพื้นทันทีหลังสารถีสะบัดเชือก ทหารม้ารักษาพระองค์คนนั้นเป็นหนึ่งในกองเดียวกับตอนไปไอลา รินจำหน้าชายผู้นั้นได้ เป็นเพราะว่าเราได้คุยกันตอนรินนำอาหารไปไถ่โทษ แล้วพวกพี่ ๆ คนใช้ที่บ้านหลังนั้นก็พูดให้ฟังบ่อย ๆ ว่าพวกเธอชอบนักชอบหนา
หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก นึกตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้าน…กลับไปเจอซู…กลับไปเจอฌุชา นานแล้วที่รินออกมา ป่านนี้ทุกคนจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ
อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นจนรู้สึกได้ ฟ้ายามเช้าอาจเหมาะแก่การโปรยหิมะลงมาก็เป็นได้ พลันจังหวะฝีเท้าของม้าได้เปลี่ยนไป มันวิ่งเร็วขึ้นมานิดหน่อย จึงทำให้ตัวรถโคลงเคลง รินเปิดหน้าต่างถามถึงความผิดปกติแก่ทหารม้า ที่ใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“กระหม่อมรู้สึกเหมือนมีคนตามมาน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“มีคนตามมารึ?!”
“ท่านรินอย่าโผล่หน้าออกมา จนกว่าข้าจะบอกว่าถึงตำหนักแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“เข้าใจแล้ว เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ”
รินปิดหน้าต่างทันทีที่ได้ยินเสียงควบม้าตามหลังมาจริง ๆ อย่าบอกนะว่าเป็นโจรป่า ไม่สิ…โจรป่าไม่ดักปล้นใกล้เขตปราสาท หรือว่าอาจจะเป็น…
“อ๊ากกกกกก!!”
เสียงร้องด้านนอกทำให้รินนั่งไม่ติดพื้น รถม้าโคลงเคลงแรงกว่าเก่า จึงทำอะไรไม่ถนัดเท่าที่ควรนัก เขานั่งหลับตาฟังเสียงเท้าม้าให้ดี ๆ ว่าทั้งหมดแล้วมีกี่ตัว แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะตัวรถถูกกระแทกอย่างแรงจนสติเตลิดเปิดเปิง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง!!”
“อ๊ากกก!!”
“เฮือก!”
ภาพทหารบนหลังม้าถูกดาบฟันกลางลำตัวปลิวมากระแทกตัวรถต่อหน้าต่อตา เห็นเลือดกระฉูดออกเป็นสาย และมันกระเด็นมาเลอะที่ข้างแก้มรินสองสามหยด ดวงตาเล็กตะลึงนิ่งงัน พลางเคลื่อนไปมองเจ้าของคมดาบ…ที่ตวัดปลายคมใส่ทหารของจักรพรรดิ
“เจ้า…”
“บ้าเอ๊ย!! รู้ตัวกันเร็วชะมัด!!!”
ทหารม้ารักษาพระองค์ถูกส่งมาหยุดรถม้าบ้าคลั่งคันนี้ไม่ขาดสาย เสียงดาบกระทบดังสนั่นหวั่นไหว รถม้ากระท่อนกระแท่น คาดว่าอีกไม่นานคงแตกกระจุย รินหาที่เกาะรั้งเอาไว้ หากจะต้องตกลงไปก็คงจะช่วยบรรเทา
โครม!!!
…เป็นดั่งใจนึก รถม้าที่รินนั่งอยู่เลี้ยวไปชนต้นไม้ จนหัว และหางปลิวกระจุยกระจายไปคนละทิศละทาง ร่างเล็กลอยไปยังที่ไหนสักที่ในป่า ด้วยความเจ็บจึงทำให้ขยับตัวลำบาก แม้กระนั้นก็ยังพอมีสติ และแรงที่จะวิ่งไปซ่อนตัว แทบไม่ต้องเดาว่าทหารคนนั้นตั้งใจจะทำอะไร
“อึก…”
ดีที่หัวไม่กระแทกจนสลบไป เนื้อตัวมีรอยถลอก แต่ไม่ได้เจ็บเท่าไร เขาวิ่งไปหลบที่ซอกหลืบของหินใหญ่ นั่งกอดตัวเองเพราะรู้สึกหนาวเฉียบพลัน เดี๋ยวนะ…
หัวใจเต้นแรงจนบีบรัดแผ่นอก ฝ่ามือสัมผัสพื้นดินที่เริ่มมีความชื้น และความเย็นผิดปกติ แม้จะรู้อยู่แก่ใจ…แต่ลลิลแสนสวยก็กลัวที่จะมองท้องฟ้าในตอนนี้อยู่ดี ในที่สุด…ความกลัวก็ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เมื่อเกล็ดสีขาวร่วงหล่นลงมาบนฝ่ามือ
“…ไม่นะ”
#ดอกไม้ลลิล
จริง ๆ แต่งทิ้งไว้แล้ว 70% และยังหาอารมณ์มาต่อไม่ได้ แต่ที่ไม่ได้เอาลงก่อนเพราะเราไม่ชอบลงแบบแต่งไม่จบ
พูดถึงเกล็ดหิมะ เรานึกคำว่า เกล็ด ไม่ออก จะเขียนเป็น เม็ด ตลกอ่ะ คนอ่านต้องขำเราแน่ ๆ
ขอโทษน้าที่ปล่อยให้รอนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ปมอันเบอเร่อหลุดแล้วจ้า
หวังว่าจะมีคนอ่านอยู่นะ55555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อย่าทำร้ายน้องนะ!!!!!!!!!!!!
กำลังสนุก
สู้ๆนะคะไรท์