ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #3 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๒

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25.27K
      2.3K
      14 ส.ค. 61






    2

     

     

     

    นิ้วชี้ขยับจิ้มจึก ๆ อยู่ที่หน้าขา ชะโงกหน้ามองซ้ายมองขวาเมื่อแผ่นหลังของคนด้านหน้าเปลี่ยนไปมาไม่ซ้ำกันราว ๆ สามคนได้ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างระงับความรีบ ขยับเท้าชิดติดกับส้นรองเท้าผู้ชายข้างหน้า กันคนอื่นมาแทรกเป็นรอบที่สี่ เขายืนอยู่ตรงนี้มาประมาณห้านาทีแล้วและยังไม่มีวี่แววว่าจะเข้าใกล้ร้านน้ำได้เสียที

     

    เหมือนการเห็นหน้าเขาก็จะเห็นป้าย แทรกเลยจ้าอย่างไงอย่างนั้น

     

    พริ้มสั่งน้ำตามที่โดนสั่งมาอีกทีอย่างคล่องแคล่ว รอมาเนิ่นนานในที่สุดก็ได้ซื้อสักที หอบเอาขวดน้ำเจ็ดขวดมาด้วยมือทั้งสองข้าง เดินทุลักทุเลไปยังโต๊ะสาวสวยที่คุ้นหน้าคุ้นตาเพราะอยู่ห้องเดียวกัน พริ้มวางขวดน้ำทั้งหมดลงบนโต๊ะ ระวังไม่ให้ขวดที่อยู่ริมสุดล้มไปโดนใคร พวกเธอเหล่ตามองเบ๊ตัวเล็กนิดหน่อย

     

    แต่ก็ไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยพริ้มเลยสักคน

     

    “ทำไมช้า หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว!

    “ขอโทษ

    “จะไปไหนก็ไป”

     

     แคทโบกมือไล่ เธอเป็นหัวหน้าใหญ่คิดว่างั้นนะ แคทไม่ชอบเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยคิดจะลองชอบด้วย ถึงแคทจะไม่ได้แกล้งหนักเท่าผู้ชาย แต่ก็เป็นจอมใช้งานที่ไม่เคยปล่อยให้เขาว่างเลยสักวัน เวลามีงานกลุ่มทีไร แคทก็จะเอาเขาเข้ากลุ่มด้วยเพื่อให้คนเต็ม อีกอย่างก็จะให้เขาทำงานให้ ส่วนพวกเธอก็รับหน้าที่พรีเซ้นต์แล้วก็ได้คะแนนพิเศษไปคนเดียว ทั้ง ๆ ที่ทั้งเล่มนั้นเขาเป็นคนทำสรุปที่เอาไว้พรีนั่นก็เขาทำเหมือนกัน

     

    พริ้มวางเงินทอนที่เป็นเหรียญบาทลงบนโต๊ะ พลันสายตาก็หันไปเห็นใบหน้าของใครบางคนอยู่ทางขวามือ เป็นยี่หวานั่นเอง คนตัวเล็กหันหน้าหลบแทบจะทันที เขาไม่กล้าสบตาแม้ยี่หวาจะไม่ได้มองอยู่ก็ตาม เขาจำโต๊ะนั้นได้ มันเป็นโต๊ะประจำของพวกยี่หวา ส่วนโต๊ะที่แคทนั่งก็เป็นโต๊ะที่สาว ๆ มักจะแย่งกันเพื่อให้ตัวเองได้นั่งใกล้กับกลุ่มนักวอลเล่ย์บอลชายของโรงเรียน

     

    ส่วนโต๊ะประจำของเขาคืออีกฟากฟากที่ไม่มีใครอยากนั่ง

     

    ฟักทองผัดไข่ราดข้าวเพียงอย่างเดียวบนจานพลาสติกสีชมพูถูกถือผ่านกลุ่มผู้คน ก่อนจะหยุดลงเมื่อถึงจุดที่ร้างคน โต๊ะเก่า ๆ ที่โรงเรียนจะโล้ะทิ้งแต่เสียดายเลยเอามาวางไว้ใช้ที่ตรงนี้ เป็นมุมทึบ ๆ สปกรกเล็กน้อย แต่ก็เหมาะกับคนแบบเขาดี พริ้มวางจานข้าวลงบนโต๊ะ นั่งในฝั่งที่จะมองกลุ่มของแคทเห็น แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้า

     

    พริ้มเป็นคนตัวเล็ก ไม่ค่อยมีแรงเพราะแคระแกนมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนชอบล้อว่าเขาเป็นคนขี้โรค ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยเป็นโรคอะไรนอกจากไข้หวัดเห็นแบบนี้แต่ก็มีภูมิต้านทานดีไม่แพ้ใคร แต่เอาเข้าจริงเขาก็มีอยู่โรคหนึ่งที่รักษาไม่ได้คือเขาไม่กล้าขัดใจใคร เพราะแบบนั้นเลยโดนเอาเปรียบอยู่เสมอ ด้วยความที่พอกลัวแล้วจะชอบหดคอหนี เลยกลายเป็นภาพลักษณ์ขี้แพ้ให้คนอื่นเขารังแกได้ง่าย

     

    แรก ๆ ก็ลำบากหน่อย แต่ทำไปทำมาก็ชินไปเอง

     

    เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีจานข้าวของใครบางคนวางกระแทกลงอย่างแรงที่ฝั่งตรงข้าม เด็กผู้ชายคนนั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างแรงใส่เก้าอี้จนขวดน้ำของเขาสั่นไหว ใช้สายตามองผู้มาใหม่ด้วยความงุนงง

     

    มีใครสติดีที่ไหนมานั่งกินข้าวกับคนอื่นในมุมนี้กัน

     

    “หวัดดี”

     

    เด็กคนนั้นเอ่ยทักเขาที่จ้องอยู่

     

    “เอ่ออื้อ หวัดดี”

    “ขอนั่งด้วยคนนะ เราชื่อ จิ้มลิ้ม เทออ่ะ?”

     

    ดวงตาของพริ้มเป็นประกายทันทีที่โดนถามชื่อ เขาน่าจะเผลออ้าปากด้วยความดีใจแต่ช่างมันแล้วกัน พริ้มอึกอัก ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่สิตอนอนุบาลหรือปอสองก็เคยมีเพื่อนถามชื่อเขาเหมือนกัน แต่จำไม่ได้แล้วเนี่ยสิว่าต้องตอบว่ายังไง

     

    “ฮาโหลลลลล”

    “เอ่อเราพริ้ม ชื่อพริ้ม ทับสี่”

    “เราทับแปด”

     

    จิ้มลิ้มพูดไว้แค่นั้นแล้วตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวหนุบหนับเต็มแก้มทั้งสองข้าง ทิ้งปริศนาหลายร้อยข้อให้พริ้มนั่งแก้ว่าทำไมจิ้มลิ้มถึงมานั่งกับเขาได้ คนตัวเล็กค่อย ๆ ลดสายตาลงและหันกลับมาสนใจจานข้าวตัวเองต่อ กินก่อนแท้ ๆ แต่ของจิ้มลิ้มใกล้จะหมดแล้ว แน่สิเจ้าตัวเอาแต่ตักเข้าปากแบบไม่รอให้ตัวเองเคี้ยวเสร็จก่อน กินคำหนึ่งยังไม่ทันหมด คำที่สองกับสามก็ยัดตามเข้าไปทันที

     

    แล้วจู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมา

     

    “พวกผู้ชายชอบแกล้ง!

    “หื้อ?”

    “เห็นเราตัวเล็กก็ชอบแกล้ง นิสัยไม่ดี!

     

    พริ้มมองคนพูดมากตรงหน้าด้วยความแปลกใจ พอเห็นว่าพริ้มนั่งฟัง จิ้มลิ้มก็บ่นความในใจยาวเท่าเอสี่แปดหน้ารัว ๆ แบบไม่เว้นช่องไฟ บี้ไข่พะโล้ในจานระบายความหงุดหงิดที่เมื่อกี้ก็เพิ่งโดนมาหยก ๆ พร่ำตั้งแต่ผู้ชายในห้องที่มักจะชอบแกล้ง ชอบแหย่ เพื่อนในกลุ่มของตัวเองที่จะแกล้งให้แต่งหญิง ใส่หูแมว ทาปาก เขียนคิ้ว อะไรต่อมิอะไรที่ทำให้จิ้มลิ้มอารมณ์ไม่ดี แล้วก็จะบอกว่าเขาน่ารักเองทำไม มันใช่เหตุผลที่จะมาแกล้งหรอถามจริง! บ่นปากบิดปากเบี้ยวใส่จานข้าวอย่างออกรส

     

    โดยที่คนฟังก็ยิ้มไปน้ำตาคลอไป

     

    “เฮียเพลิงบอกให้จดชื่อคนทำแล้วส่งไป ไอ้เราก็ดีใจจะได้แก้แค้น พอเฮียอ่านชื่อเท่านั้นแหละ เฮียบอกไม่รู้จัก! โธ้ะ!! จะให้บอกชื่อไปทำไมก็ไม่รู้ เซ็งเลย!

    “ฮ่ะ ๆ จริงหรอ”

    “ว่าแต่พริ้มรู้จักเฮียเพลิงมะ หัวแดง ๆ นิสัยไม่ดี ๆ หน่อยอ่ะ”

    รู้จัก”

    “นั่นล่ะ ลูกพี่เราเอง ฮี่ฮี่”

     

    เด็กแสบยิ้มปากกว้างเป็นสี่เหลี่ยมโอ้อวดสรรพนามที่จบไปได้ประมาณสองปีที่แล้ว ตอนเฮียเพลิงอยู่ก็ปลอดภัยไร้แมลงมากวนตีน แต่พอเฮียจบได้แค่ปีแรกเท่านั้นแหละ จิ้มลิ้มโดนเละ โดนทุกวันจนหัวฟู จะแหย่อะไรนักหนาก็ไม่รู้ พวกผู้ชายน่ะน่ารำคาญ!

     

    “เรากินหมดและ เราไปก่อนนะ”

    จะไปแล้วหรอ”

    “ห๊ะ? เมื่อกี้พูดว่าไรนะ?”

    “เปล่า บ๊ายบายนะ”

     

    เขาโบกมือลาจิ้มลิ้มที่ยกยิ้มร่าแล้วหมุนตัวเดินออกไป แขนข้างนั้นยกค้างเอาไว้เพื่อย้ำว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เขานั่งฟังเพื่อนเล่าเรื่องให้ฟัง เขานั่งฟังจิ้มลิ้มเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง! ใช่มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ ข้าวที่จิ้มลิ้มกินหกยังอยู่ตรงหน้าเขาอยู่เลย

     

    มันเกิดขึ้นเร็วมากมากจนนึกว่าเขาฝันไป

     

    “จิ้มลิ้มทับแปด”

     

    จะได้เจอกันอีกมั้ยนะ

     

     

     

     

     






    ซานเดินกลับมาที่โต๊ะหลังจากที่ฝากรุ่นน้องซื้อน้ำโกโก้ให้เพราะไม่อยากต่อแถวเอง ที่โต๊ะมีแต่พวกเพื่อนในชมรมวอลเล่ย์ พวกมันมักจะมานั่งกินข้าวด้วยกันตามประสาผู้ชายที่นั่งกินที่ไหนก็ได้ขอแค่เป็นคนรู้จักก็พอ แต่ส่วนมากก็จะมานั่งกินด้วยกันเป็นประจำทุกวัน

     

    หันไปมองกัปตันทีมที่นั่งกินข้าวไม่สนใจใครแล้วก็ไม่คุยกับใครในเวลากิน ยี่หวาอยู่ตำแหน่งตบหัวเสา ลูกหมุนและแม่นยำที่สุดในทีม เป็นตัวแข็งแกร่งที่ต้องมีอยู่ในสนามหากจะเอาชนะภายในระยะเวลาอันสั้น คนที่สูสีกับไอ้หวาก็คือ จอมทัพ อยู่ตำแหน่งเดียวกัน ถึงแม้ลูกจะไม่มีเทคนิคหมุน แต่ลูกของไอ้จอมหนักและแรงมาก ถ้าใช้แขนรับหลาย ๆ ลูกติด ๆ กันมีโอกาสที่แขนจะช้ำเลือดได้ ทีมก่อน ๆ เคยโดนมาแล้ว

     

    ซานเป็นตัวตีบอลเร็ว โค้ชมอบตำแหน่งนี้ให้ทันทีที่เริ่มฝึกท่าตบเพราะพรสวรรค์ของมันเฉิดฉาย เช่นเดียวกับไอ้เทค ที่เป็นตัวบล็อกมือฉมังและลูกตบสามเมตรของมันมีจุดตายอยู่ที่เส้นขอบสนาม ตัวสำคัญของทีมที่จะขาดไม่ได้เลยคือ มุก ตัวเซ็ตสุดเทพของทีมคาลันโช เซ็ตหลอกทั้งสนามและทีมตัวเอง ยังดีที่เราเล่นด้วยกันมานานก็เลยรับมือได้

     

    ยังมี เนย เป็นตัวตบบอลบี บางทีก็เซ็ตแทนมุก สองคนนี้ฝีมือเซ็ตไม่ต่างกันมาก แต่เนยไม่เคยเล่นตำแหน่งนี้เป็นจริงเป็นจัง สุดท้ายก็คือ ผ้า ผ้าอะไรมันก็ไม่ต่อท้ายมา เรียกผ้าฝ้ายมันก็ด่า ผ้าแพรมันก็ไม่เอา สรุปก็คือผ้า ผ้าเฉย ๆ ไม่ระบุประเภท ไอ้ผ้าเป็นลิบบอโร่ ตัวเตี้ย ๆ หน้าตากวนตีน ปากดี ๆ กัดเจ็บ ๆ แต่พอลงเล่นก็เป็นตัวกวาดบอลทั้งสนาม ไม่ว่าลูกจะลอยไปหน้าบ้านใครก็ตามไปเก็บได้หมด

     

    แต่กว่าจะมาได้ขนาดนี้น้ำตาลูกผู้ชายก็หยดไปหลายเม็ดอยู่

     

    “เมื่อเช้ากูแวะไปห้องชมรม โค้ชให้มาถามว่าใครจะไปทำความสะอาด”

    “ไอ้ซาน”

    “ไอ้หวา!! ไม่เอาเว้ย!

     

    ซานโวยใส่ยี่หวาทันทีที่โดนแกล้งให้ไปทำความสะอาดห้องอุปกรณ์เก่าคนเดียว เพราะไปแกล้งคุณกัปตันทีมเขาล่ะนะ ก็เลยโดนเล็งอยู่ตลอด ยี่หวาเมินเสียงน่ารำคาญของเพื่อนสนิทตัวเองที่พยายามจะลากคนอื่น ๆ ให้ไปทำด้วยกัน แต่ทุกคนส่ายหัว

     

    “ไอ้หวามันก็พูดไปงั้นแหละ ยังไงมันก็ไม่ให้มึงไปทำคนเดียวหรอก”

    “ดีมากเลยเพื่อน ถุย!

    “สกปรกไอ้สัส มึงจะถุยจริงทำเชี่ยไรเนี่ย”

     

    ความวุ่นวายของโต๊ะนี้เกิดขึ้นทุกวันจนเหนื่อยใจจะเตือน จู่ ๆ ไอ้ซานก็ทำเสียงชู่ให้เราเบาเสียงลงท่ามกลางโรงอาหารที่มีแต่คนตะโกนแหกปากทั้งที่ข้าวอยู่เต็มวง มันรั้งคอยี่หวาให้เข้ามาใกล้ ทำเหมือนคนจะซุบซิบกันแต่ยี่หวาสะบัดออก

     

    “มึงดู ๆ เป็นเบ๊ไอ้เหี้ยเท็ดหรือเบ๊ใครกันแน่วะ”

     

    สายตาทั้งเจ็ดคู่ ค่อย ๆ หันไปตามนิ้วของซานที่ชี้ไปยังเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่เดินมาเก็บจานให้พวกผู้หญิงที่เขารู้จักผ่าน ๆ จำชื่อเบ๊ไอ้เท็ดไม่ได้ แต่จำได้ว่าวาเลนไทน์ปีที่แล้วมันเอาช็อคโกแลตมาให้ไอ้หวา

     

    “กูเห็นมันทำมานานแล้วนะ แต่พวกมึงคงไม่ได้สังเกต”

    “มีคนเก็บจานข้าวให้ก็ดีเหมือนกันนะเว้ย ลองมะ?”

     

    ยี่หวาเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว ลอบมองคนที่เป็นหัวข้อสนทนาของจอมทัพและซานอย่างเงียบ ๆ เด็กคนนั้นกวาดเศษข้าวออกจากจาน แยกช้อน และซ้อนจานไว้อย่างดี อยู่ ๆ ก็ลืมตัวสังเกตพฤติกรรมของคนตรงหน้าซะอย่างนั้น ใบหน้าของคนโดนเอาเปรียบไม่ได้แสดงสีหน้าเสียใจที่โดนใช้งาน แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความตั้งใจกับหน้าที่ที่ตัวเองทำอยู่

     

    ไม่เข้าใจ

     

    “จ้องขนาดนั้นเดี๋ยวมันก็อ้วกแตกหรอก”

     

    ยี่หวาหันไปทางไอ้เนยที่พูดแทรกขึ้นมา ขัดเขาให้หลุดออกจากภวังค์

     

    “เออ เกร็งแล้วนั่น ตลกว่ะ”

    “จะว่าไปก็น่าแกล้งดีเหมือนกัน ไม่แปลกใจทำไมไอ้เหี้ยเท็ดถึงไม่ชอบ”

     

    เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นเมื่อเบ๊คนนั้นเดินจากไป เขาไม่รู้จักแต่จำได้ลาง ๆ ว่าเคยเห็น ไอ้ซานก็ชอบย้ำข้างหูหลายรอบแต่ก็จำไม่ได้เสียทีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ห้องอะไร แล้วทำไมถึงเป็นเบ๊ของคนอื่นได้ แต่เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจ

     

    “มันชอบมึงด้วยนะไอ้หวา สตอล์คเกอร์ไง ตามมึงต้อย ๆ ตอนแข่งโอเบงปีก่อน”

    “จริงหรอวะ ไม่ใช่บังเอิญเจอหรือไง แบบเดินมาป๊ะหน้ากันพอดีงี้”

    “สองสามรอบเลยเนี่ยนะ สาบานว่าต้องมีตามกันบ้าง”

    “อาจจะใช่ แต่กูว่าไอ้หวาจำไม่ได้”

    “เออ แม่งไม่ฟังกูอีกแล้วเนี่ย”

     

    ซานบ่นยี่หวาที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่สนใจเขาเม้าท์แหลกเหมือนทุกที เขาทำใจยอมรับความไร้มนุษย์สัมพันธ์ของมันมานานแล้ว หนักกว่าลูกพี่ลูกน้องมันคือแม่งจำใครไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริง ๆ ขนาดเพื่อนร่วมห้องยังถูกมันลืมเลย นิสัยเสียอีกอย่างหนึ่งคือแม่งไม่เอาใคร ไม่เอาในที่นี้คือไม่เอาจริง ๆ แบบไม่สน ไม่แคร์ ไม่พูดถึง ไม่มองด้วย ทุกอย่างคือลมฟ้าอากาศที่มีอยู่จริงแต่ไม่มีค่าให้สนใจ อะไรเทือก ๆ นั้น

     

    เมื่อไรที่เขาได้ยินสาว ๆ คุยกันว่ายี่หวาสบตาอย่างนั้นอย่างนี้ เชื่อเถอะว่ามันมองฝุ่น ไม่ก็หน้าของเธอไปบังแมลงวันที่มันกำลังมองอยู่พอดี ไม่มีหรอกที่มนุษย์ไม่ใช่เพื่อนจะอยู่ในสายตามันได้

     

    ไม่มีทาง

     

     

     







     

     

    ลูกกุญแจเก่า ๆ โทรม ๆ ถูกดึงออกจากรูล็อคที่ไม่ได้แตะมันมานานแรมปี เหล่าคนที่ถูกใช้งานต่างเอามือปัดฝุ่นที่ฟุ้งไปทั่วหลังจากเปิดประตูเข้าไป เสียงไอดังค่อกแค่กไปทั่วห้อง คิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะเอาผ้าปิดปากใส่กันก่อนจะเข้ามาทำ ใครจะไปนึกว่ามันจะเลอะเทอะและสกปรกขนาดนี้

     

    “เอาตามทฤษฎีของโลกนะมึง กูคิดว่าเขาควรให้เด็กใหม่มาทำแทนพวกตัวจริงที่ควรจะซ้อมกันอยู่ที่สนามปะวะ” ซานบ่นกระปอดกระแปด

    “หุบปากแล้วไปหยิบอุปกรณ์มา ไอ้เนยมึงไปเอาน้ำใส่กะละมัง”

    “กูคนเดียวเนี่ยนะ”

    “หรือจะให้กูไปด้วย?”

    “เอาไอ้ผ้าไปแทนได้มะ”

     

    ยี่หวาพยักหน้าอนุญาต เนยเดินไปลากแขนผ้าที่กำลังทำหน้าเซ็งโลก ยืนทบทวนอยู่ตรงนี้หลายนาทีว่าโค้ชใช้เกณฑ์อะไรตัดสินให้พวกเขาทั้งเจ็ดคนต้องมาทำความสะอาดอยู่ตรงนี้ แล้วไอ้ยี่หวามันใช้เหตุผลอะไรของแม่งในการตกปากรับคำของโค้ช แล้วลากพวกเขามาเผชิญกับฝุ่นจำนวนมหาศาลนี้

     

    ไอ้เพื่อนเวร ไอ้คนไม่รักความสบาย

     

    “กะอีแค่มาสคอต ทำไมกูต้องต้อนรับแม่งขนาดนี้”

    “มองมันให้เป็นสีสันของทีม อย่างน้อยเรื่องที่ถูกพูดถึงก็ไม่ใช่แค่เบอร์ของพวกมึงที่ติดอยู่บนอก”

    “เฉียบ”

    “ยังไงก็เลือกที่จะมีมันแล้ว พวกมึงก็ช่วยดูแลให้เหมือนมันเป็นเพื่อนในทีมด้วยแล้วกัน”

    “หวาว่าไงเพื่อนว่างั้น แต่อยากรู้ว่ะใครเป็นคนใส่ลึกลับสัส”

     

    สองมือทำ ส่วนปากก็พร่ำไปเรื่อย ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้มาจากห้องเดียวกัน แต่ก็สนิทกันเพราะไปแข่งและซ้อมด้วยกันบ่อย ๆ มีบ้างที่วันหยุดจะชวนกันไปเที่ยวนู้นนี่ แข่งต่างจังหวัดทีก็ตัวติดกันเสมอ เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มอต้นที่เราทั้งเจ็ดคนเข้าร่วมทีมของโรงเรียน

     

    “ไอ้มุก นิ้วมึงหายดีแล้วยัง?”

    “ก็โอเคขึ้นอ่ะ ถ้าไม่เซ็ตลูกผิดจังหวะก็ไม่เจ็บ”

    “สมหน้าไอ้ควาย เสือกรับลูกตบของไอ้หวาด้วยท่าเซ็ตเฉย”

    “ก็กูตกใจปะวะ กูเห็นไอ้ซานขึ้นนึกว่าจะตบมา เสือกเป็นไอ้หวาขึ้นแทน ไอ้เหี้ยพูดละเสียวนิ้ว”

     

    หยากไย่กองสุดท้ายหลังล็อกเกอร์เก่าโดนโจมตีด้วยไม้กวาดเป็นอย่างสุดท้าย พร้อมกับเก้าอี้เก่า ๆ ที่ไสออกไปข้างนอกห้องหลังจากกลายเป็นห้องเก็บของอยู่หลายเทอม มุกกับเนยรับหน้าที่ถูพื้น ไอ้เทคกับไอ้จอมเช็ดฝุ่นบนหลังตู้ ไอ้ซานเช็ดกระจกระบายอากาศช่องเล็ก ๆ ในขณะที่ปากก็พล่ามไม่ยอมหยุด

     

    “กูลืมของ” ยี่หวาพูดขึ้นในตอนที่มือกำลังใช้ผ้าเช็ดที่โต๊ะและเก้าอี้ เขาเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วตอนจินตนาการว่าตัวเองจะต้องไปเปลี่ยนชุด แต่ดันลืมหยิบเอากระเป๋าเสื้อผ้าลงมาจากห้องเรียน

    “ลืมไรวะ”

    “กระเป๋าเสื้อผ้า เดี๋ยวกูมา ทำกันไปก่อน”

     

    ร่างสูงโยนผ้าขี้ริ้วใส่ถังจนน้ำกระเด็นออกมา ไม่ได้สนใจเสียงโวยวายที่ด่าปาว ๆ ตามหลังมาว่าพื้นที่เนยเพิ่งเช็ดเลอะเพราะเขา วิ่งเหยาะ ๆ ไปที่อาคารเรียน ผ่านสนามหญ้าที่มีเหล่าชมรมฟุตบอลเล่นกันอยู่เต็มไปหมด เวลาที่เพิ่งเลิกเรียนเรียกได้ว่าคึกครื้นที่สุด ดังนั้นเลยมีคนอยู่รอบ ๆ โรงเรียนเต็มไปหมด

     

    ไม่เว้นแม้แต่บนอาคาร

     

     

     







     

     

    เขาบอกว่าท้องฟ้าหน้าตาเหมือนเดิมเสมอกว้างใหญ่และเป็นแผ่นเดียวกัน ยกเว้นก้อนเมฆที่แปรเปลี่ยนไปตามความชื้นและไม่เคยที่จะหยุดเคลื่อนที่ พริ้มคิดว่าตัวเองเหมือนท้องฟ้าเป็นท้องฟ้าที่มีสถานะเดียวไม่ว่าหน้าจะเปลี่ยนไปตามอารมณ์ไหน

     

    เป็นสถานะที่อยู่คนเดียวเฉกเช่นตอนนี้

     

    รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นมากะทันหันทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน เขานึกถึงคนชื่อ จิ้มลิ้ม นักเรียนในโรงเรียนคนแรกของปีนี้ที่เข้ามาคุยกับเขาเหมือนคนปกติ ในขณะที่เขานั่งพยักหน้าฟังเพื่อนทับแปดบ่นความฝันของคืนวันนั้นก็แวบเข้ามา เหมือนเป็นฝันทำนายอนาคต

     

    ว่าไปนั่น

     

    ไม้ถูพื้นด้ามเดิมที่น่าจะมีเขาใช้มันอยู่คนเดียวในห้อง ลากไปตามพื้นตั้งแต่หน้าห้องยันหลังห้อง ก่อนจะพาตัวเองมาที่หน้าต่างมุมประจำที่เขามักจะมาเชียร์ชมรมฟุตบอลเล่นอยู่เสมอ เคยโชคดีอยู่ครั้งหนึ่ง ในวันที่ทีมวอลเล่ย์บอลเลิกเร็ว เขากำลังทำเวรอยู่ในห้อง และในวันนั้นเป็นวันที่เขาได้มีโอกาสเชียร์ยี่หวาเตะบอลครั้งแรก เป็นอะไรที่มีความสุขไม่รู้ลืม ยังจำได้เลยว่ายี่หวาใช้เท้าขวาเตะเข้าโกล

     

    เท่กว่าใครในสนามเลยล่ะ

     

    who lives in a pineapple under the sea~

     

    เสียงเล็ก ๆ ร้องเพลงอะไรสักอย่างออกมาในตอนที่กำลังใช้มือบิดผ้าเช็ดพื้น

     

    Spongebob! SquarePants!

     

    พริ้มหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ตอนตะโกนเนื้อเพลงน่ารัก ๆ ที่เคยดูตอนเช้าตรู่ในช่วงวันหยุดคนเดียวในบ้าน เนื้อเพลงมีคำว่ากัปตันตอนแรกเริ่มด้วย แล้วเวลาร้องทีไรเสียงก็จะอ้อมแอ้มทุกที 


    เงยหน้าปาดเหงื่อที่หน้าผากออก ก่อนจะเผลอไปสบสายตาของใครคนหนึ่งเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว

     

    ยี่หวา!!

     

    ร่างสูงมองมาด้วยสายตาเรียบเฉย ทำเอาพริ้มถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้ว่ายี่หวาเห็นเขาตั้งแต่ตอนไหน ถ้าเห็นตั้งแต่ตอนร้องอันเดอร์เดอะซีต้องถูกหาว่าเป็นเด็กปัญญาอ่อนแน่ ๆ คนตัวเล็กเม้มปาก กัดมันไปมาและก้มหน้างุด ได้ยินเสียงรองเท้าเดินผ่านไปแล้ว

     

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเงยหน้ามองอยู่ดี

     

    สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้อง แต่ถ้าทุกสิ่งเกี่ยวกับยี่หวามันก็จะกลายเป็นอะไรที่ยากสำหรับเขาไปเสียหมด และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกรอบ ใบหน้าเฉยเมยของยี่หวาก็ปรากฏในสายตาเขาอีกรอบ!

     

    นี่เขาเล่นก้มหน้าตั้งแต่ยี่หวาเดินมาจนเดินไปเลยหรอเนี่ย

     

    “เอ่อ…!

     

    เมื่อหัวใจไม่ฟังสมอง ปากเล็ก ๆ ก็เผลอเปล่งเสียงเรียกคนหน้าห้องที่ส่งสายตาดุมาให้ทันที ร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามขึ้นเล็กน้อย สีหน้าแบบนั้นทำเอาพริ้มนิ่งงันราวกับปากเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

     

    ยี่หวาเปลี่ยนท่ายืนมาเป็นกอดอก มองอีกฝ่ายที่ทำท่าเงอะงะไม่ยอมพูดอะไรสักอย่างออกมาเสียที เมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของร่างสูง พริ้มก็ค่อย ๆ ก้มหน้าจนคางแตะที่คอเหมือนอย่างเก่า ตะโกนขอโทษอยู่ในหัวที่ถือวิสาสะเรียกแต่ไม่มีความกล้าที่จะพูด และพอเงยขึ้นมาอีกรอบ

     

    ก็ไม่เห็นใครยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว

     

     

    #พริ้มเพียงหวา










    ขอบคุณทุกฟีดแบคจากทุกช่องทาง จะมาบ่อย ๆ เท่าที่สามารถทำได้เลยค่ะ

    ไหนใครจำจิ้มลิ้มได้บ้าง55555555 ก็อยากให้น้องมีเพื่อน แต่ก็ไม่รู้อีกแหละว่าพริ้มจะได้จิ้มลิ้มเป็นเพื่อนมั้ย เพราะน้องแค่มาบ่น ๆ ที่โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งเฉย ๆ (โดนคนละแบบกับพริ้มนะ)

    ถ้าชอบ อย่าลืมบอกต่อนะ//ธูปมาเขียนบรรยายแทนพี่ที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×