คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๙
19
เรื่องที่แคทย้ายออกกลายเป็นข่าวใหญ่
หัวข้อข่าวไม่ได้พาดชื่อเจาะจง แต่คนในโรงเรียนก็รู้อยู่ดีว่าเป็นเธอ การเป็นลูกนักการเมืองที่พ่อกำลังดำรงตำแหน่งอยู่
กลายเป็นหลุมบ่อใหญ่ที่ต่อให้ตะเกียดตะกายหลบหนีแค่ไหน…ก็ทำได้แค่สบสายตากับคนด้านบน มันคือบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ…เป็นบทสุดท้ายของการกระทำเลวร้ายกับคนอื่น และต่อให้เธอจะมีชีวิตที่ดีพอจะเริ่มต้นใหม่
ความทรงจำพวกนั้นจะย้อนกลับมารังควานเหมือนที่เธอเคยก่อ
ส่วนเท็ดดี้
หลังจากโดนไล่ออกก็แวะเวียนมาทำเรื่องที่โรงเรียนอยู่ตลอดทั้งสัปดาห์
หมอนั่นเข้ามาอาละวาดใส่เพื่อนกลุ่มเดียวกัน คล้ายกับว่าจะให้รับโทษตามที่ได้บอกผู้อำนวยการโรงเรียนในวันนั้น
แต่สิ่งที่เท็ดดี้ได้รับคือแววตานิ่งเฉย…ราวกับคนไม่รู้จัก
ไม่มีใครยอมรับว่าร่วมมือด้วย แต่ก็นั่นแหละ…ผ้าบอกเอาไว้ว่าคนตอแหลต่อให้เอาหมามาดูก็ยังเห่าเสียงแตก
ยี่หวาออกตัวเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ในวันงานโอเบง เล่ารายละเอียดไม่ตกหล่นอย่างกับอยู่กับพริ้มตั้งแต่เริ่มต้น
อีกทั้งยังไปขอดูกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แถวนั้น และเห็นว่าพวกของเท็ดดี้วิ่งหน้าตั้งกันออกมาในสภาพสะบักสะบอม
หลักฐานแน่นขนาดนี้ ดูท่าจะหลุดยาก…
หมายถึงหลุดจากยี่หวาน่ะนะ
พริ้มเดินไปที่โต๊ะประจำของพวกยี่หวา
ทุกคนคุยกันสนุกสนานเหมือนเดิมเสมอ…ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน
ชมรมวอลเล่ย์บอลเหมือนยาใจ หรืออะไรสักอย่างที่เอาไว้ชาร์ตพลัง
พอเห็นว่าใครคนหนึ่งเดินเข้ามาใหม่ คนอื่น ๆ ก็หันมาทักทาย
พร้อมกับทำหน้าทำตาแปลกใจทันทีที่เห็นพริ้ม
“อ…อะไรหรอ?”
“หน้ามึงดูสดใสขึ้นมั้ย
แต่กูว่าใช่นะ” ผ้าจับคางพริ้มก่อนจะโยกไปมา
…อาจจะพริ้มหายใจสะดวกขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสะใจที่แคทหรือเท็ดดี้โดนแบบนั้น
สักวันพวกเขาก็จะต้องได้รับผลกรรมที่เคยได้ก่อ ไม่ว่าจะด้วยข่าวใหญ่โต
หรือการหมดอนาคต มันจะเป็นบทเรียนที่จะสั่งสอนให้เราทุกคนเปลี่ยนตัวเอง
เขาไม่ได้ให้อภัยคนที่ทำร้ายเขา…ไม่เคยให้เลยสักครั้ง
แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าการแก้แค้นกลับมันคือการให้อภัย พริ้มมีชีวิตที่ต้องใช้
เขาคงไม่เอาเวลาที่เหลืออยู่ไปทำอะไรที่มันเสียเวลาแบบนั้น
“ก็ปกตินะ”
พริ้มยิ้มให้
และนั่นก็ยิ่งทำให้ผ้ากับคนอื่น ๆ ตกใจเข้าไปใหญ่
“มึง…ยิ้ม…?”
“ยิ้มจริง ๆ
กูก็เห็น”
“พริ้มยิ้ม?”
ผ้า จอมทัพ
และเทคพูดต่อกันด้วยสีหน้าตื่นเต้น คนตัวเล็กเกาหลังหูแก้เขินเบา ๆ เมื่อเข้าใจสิ่งที่คนอื่นตกใจ
พริ้มเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าล่าสุดที่ตัวเองยิ้มมันคือตอนไหน แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาร้องไห้…ต่อหน้ายี่หวาด้วย น่าขายหน้าสุด ๆ เลยไม่ใช่หรอ แถมยังไปซบอกอีก
อกคนที่ชอบเลยนะ ทำไมถึงได้อ่อนแอมาก ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าหวาด้วยก็ไม่รู้
“เรายิ้มออกจะบ่อย”
“ไม่จริงอ่ะ ปกติหน้ามึงอย่างกะแมวหิวนม”
“แสดงว่าผ้าเป็นคนป้อนนมหรือเปล่า
ถึงรู้ว่าหน้าแมวหิวนมเป็นยังไง”
“อ้าวไอ้นี่
เถียงยาวขึ้นกว่าเดิมหรอห๊ะ!”
พริ้มหลบมือผ้าพลางหัวเราะร่า
ยามเช้าที่อ้าปากส่งเสียงได้อย่างเต็มที่ไม่คุ้นชินเท่าไร แต่เขาว่ามันก็โอเคดี
พริ้มหย่อนตัวลงนั่งข้างผ้าที่ซานขยับให้ เทคที่มองอยู่ลอบยิ้มเมื่อเห็นว่าลูกแมวที่พวกเขาเลี้ยงไว้เริ่มมีอาการซ่าขึ้นมาบ้างแล้ว
จริง ๆ เทคเองก็รู้ว่าพริ้มเป็นคนที่ขี้เล่นพอตัว ดูได้จากการหยอกเล่นกับผ้า
คำแต่ละคำก็เรียกว่ากวนใช้ได้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่ทำให้พริ้มต้องปิดกั้น
เลยทำให้ลืมวิธีการมีความสุขไปอยู่หลายปี
“ก็จริงอย่างที่ไอ้ผ้ามันพูดนะ
กูเองก็ไม่เคยเห็นมึงยิ้มหรือหัวเราะแบบเมื่อกี้เลย” มุกว่าพลางหมุนขวดน้ำเล่น
“นั่นสิ จะว่าไปก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเห็นพริ้มยิ้มตอนไหนบ้าง”
เทคทำท่าครุ่นคิด
“ยิ้มได้ก็ดีแล้ว
เป็นไงบ้างไอ้หวา ผลงานมาสเตอร์พีซของมึง?”
อยู่ ๆ
จอมทัพก็โบ้ยไปทางยี่หวา ร่างสูงนั่งเยื้องพริ้มในฝั่งตรงข้ามไปแค่คนเดียวเท่านั้น
ด้วยระยะที่ใกล้กัน สายตาของพริ้มเลยชอบหลุดโฟกัสไปทางนั้นบ่อย ๆ กัปตันทีมหน้านิ่งขยับตัวนิดหน่อยเมื่อโดนถาม
ไม่ได้ตอบออกมาทันที เพราะเอาแต่สังเกตปฏิกิริยาของคนที่โดนกล่าวถึงอยู่เงียบ ๆ
ด้วยสายตาเรียบเฉย เขาเห็นลูกตาเล็กขยับหลุกหลิก มองโต๊ะ มองมือ แต่ไม่ยอมมองเขาตรง
ๆ สักที
“…สดใสดี”
เพียงคำพูดเดียวที่ไม่มีความสมบูรณ์ของประโยค…ใจทั้งใจของพริ้มก็กระตุกอย่างแรง
เสียงพูดคุยของเพื่อนคนอื่น ๆ ต่อจากนั้นไม่เข้าโสตประสาทของพริ้มเลยสักคำ
เขาเอาแต่ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยกับคำว่า ‘สดใสดี’ ของยี่หวานานหลายนาที
ก่อนจะถูกผ้าเรียกให้ออกจากภวังค์
“พริ้ม…หน้าแดง”
“จ…จริงหรอ”
“จริง”
ผ้ากระซิบบอก
ดีที่ทุกคนไม่ได้ใส่ใจเขาแล้ว เลยไม่มีใครเห็นว่าพริ้มหน้าแดงอย่างที่ผ้าว่าจริง ๆ
คนตัวเล็กก้มหน้างุดกว่าเดิม ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้า เมื่อคำว่า ‘สดใสดี’ ยังคงเล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในเพลย์ลิสต์โปรด
และต่อให้กดปุ่มหยุดเล่นหลาย ๆ ครั้งมากแค่ไหน มันก็ยังลูปเสียงทุ้มนั่นซ้ำ ๆ ราวกับเครื่องได้พังไปเสียแล้ว…
“เฮ้อ กูแม่ง
คิดถึงปูส้มว่ะ”
ผ้าโพล่งออกมาก่อนจะไหลไปซบไหล่ของพริ้มเล่น
คนที่รู้ว่าไส้ในคือใครต่างเลิกลัก มองตากันไปมา เพราะไม่รู้ว่าอยู่ ๆ
ไอ้ผ้ามันพูดขึ้นมาหมายความว่าอะไร และมันพูดทำไม แต่คนที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่จอมทัพหรือซาน
เป็นพริ้มต่างหากที่ตอนนี้นิ่งงันไปเรียบร้อยแล้ว
เพื่อนตัวเล็กส่งสายตาขอความช่วยเหลือ ให้ใครก็ได้พูดต่อผ้าที
“เออ ๆ จริง กูยังแกล้งไม่สุดเลย”
“ตอนคืนชุดก็ไม่เห็นด้วยว่าใครเป็นไส้ใน
มึงว่ามีคนอยู่ข้างในนั้นจริงหรอวะ”
“มันก็ต้องมีดิ
ไม่งั้นมันจะไปเสิร์ฟ ไปเต้นได้ไงล่ะ”
“ก็จริง ตอนแรกกูนึกว่าหุ่นยนต์
ตกลงเป็นคนจริง ๆ หรอวะไอ้หวา?”
แจ็กพอตตกไปที่กัปตันทีมอย่างช่วยไม่ได้
และทุกคนก็ไม่คิดจะช่วย แต่อย่างยี่หวาคงรับมือได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว
การไม่ตอบของมันก็ถือเป็นคำตอบเหมือนกัน ถ้าถามแล้วมันไม่ตอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ยกเว้นเวลาถามหาเหตุผล ถ้าถามแล้วไอ้หวาให้ไม่ได้ แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ ซึ่งกรณีนี้น้อยมาก
ๆ ที่จะเจอ เท่าที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องของพริ้มทั้งนั้น
“มึงรู้นี่ว่าข้างในคือใคร
บอกได้ปะวะ ไหน ๆ สัญญาก็หมดไปแล้ว”
“จะอยากรู้ไปทำไม”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
“ผู้ชาย”
“หน้าตาเป็นไง?”
“…”
ยี่หวาเว้นคำไว้
ก่อนจะตอบออกมาพร้อมสายตาที่มองไปยังไส้ในตัวจริง
“เหมือนแมว”
ไม่เหมือนสักหน่อย…
“จริงปะ ไอ้เชี่ย!
กูลงห้าบาท ไส้ในคือหุ่นยนต์แมว!”
“ปัญญาอ่อนไอ้สัส”
ซานตบหัวเพื่อนสมองทึบที่เขาใบ้ขนาดนี้ยังไม่รู้อีกว่าเป็นเพื่อนที่ตัวเองไถหัวซบเล่น
ส่ายหน้าเหนื่อยอ่อนให้กับสติปัญญาเท่าฝุ่นพีเอ็มสองจุดห้า ถ้ามีเล็กกว่านี้กูก็จะเก็บไว้เปรียบให้มึงโดยเฉพาะ
“ตอนเย็นเจอกันที่ยิมนะพริ้ม”
“อื้อ ๆ
เจอกันนะ”
“ตอนนายไม่อยู่
ผ้าล้นเครื่องเลย”
ช่วงที่ยุ่ง ๆ
กับการเตรียมแผน เทคเป็นคนรับผิดชอบซักผ้าแทนพริ้มที่โดนสั่งงดเข้าชมรม
เพราะยี่หวาไม่อยากให้กลับบ้านเย็น ด้วยความที่ประสบการณ์ในการรับผิดชอบกับหน้าที่นี้น้อยนิดนัก
เขานึกว่าผ้าต่อวันมันจะไม่เยอะ เลยกะซักทีเดียวปลายสัปดาห์ แต่กลายเป็นว่าเทคคาดการณ์ผิด
ในวันที่ต้องซัก ผ้ากลับล้นเครื่องจนต้องซักถึงสองครั้ง ซักเสร็จแล้วก็ขี้เกียจตาก
สุดท้ายเลยต้องเรียกรุ่นน้องเข้ามาช่วยกันทำ ตอนที่เอาเสื้อใส่ไม้แขวนก็ได้แต่นึกไปถึงพริ้มที่รับผิดชอบหน้าที่ตรงนี้ได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง
ตลอดระยะเวลาหลายเดือน เขามีเสื้อใส่ทุกวัน ไม่เหมือนกับอาทิตย์ก่อนที่ต้องริบเอาเสื้อไอ้หวามาใส่ไปพลาง
ๆ
พริ้มได้กลายเป็นส่วนหนึ่งโดยที่พวกเขาไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
“จริงหรอ แล้วยังมีเสื้อใส่กันอยู่มั้ย?”
“ไอ้จอมมันเอาเสื้อกูไปใส่สองตัวแล้ว
อีกตัวอยู่ที่ใครอย่าให้กูรู้” ซานจ้องเขม่น
“อยู่ที่กูเอง
ฮ่า ๆ มึงเสือกมีเสื้อซ้อมเยอะเองนี่หว่า”
“ไอ้เหี้ยมุก
เอาไปไม่บอกกู”
พริ้มมองซานตีกับมุกอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่ผ้าพูดข้าง ๆ หูจนทำให้อีกฝ่ายงอนใส่ เขย่าแขนเพื่อนตาโตเบา ๆ
ให้หันมามองกัน แต่ผ้าก็เอาแต่กอดอกไว้แน่น และหันไปอีกทาง…พลางลอบยิ้มหวาน ปลากินเบ็ดทุกทีสิน่า พริ้มไม่เคยเข็ดเลยจริง ๆ เวลาโดนผ้าแกล้งงอนใส่
พอโดนเขย่าถี่เข้าหน่อยก็หลุดขำออกมาเสียงดัง พริ้มที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองโดนแกล้งอีกแล้วก็ได้แต่บึนปาก
กอดอกใส่ผ้า วางท่าขึงขังแต่ไม่น่ากลัวเลยสักนิดเดียว
พริ้มจะรู้ตัวมั้ยว่ายิ่งทำท่าแบบนี้
เขายิ่งชอบใจกันนะ
“ผ้าแกล้งเราอีกละนะ
แล้วถ้าผ้าโกรธขึ้นมาจริง ๆ เราจะรู้ได้ยังไง”
“โอ๋ ๆ เบะแล้ว
ๆ”
“มึงชอบแกล้งพริ้มจังวะ
มันทำให้พวกกู…อยากแหย่ตามด้วยนะโว๊ย!! เบะเลย! เบะเลย!”
จอมทัพชูมือตามจังหวะงานแต่งที่พวกตัวประกอบจะชอบตะโกนเชียร์ให้คู่บ่าวสาวเขาจูบกัน
พริ้มค้อนใส่ แต่สำหรับคนโดนกลับเห็นเป็นค้อนจิ๋วหลิว
ใช้นิ้วเขี่ยแก้มขาวที่มีสีแดงระเรื่อปนนิด ๆ เล่นเบา ๆ ไม่มีความเกรงกลัวกับค้อนของพริ้มเลยสักนิด
และสักคนเดียวด้วย
“อย่ามายุ่งกับแก้มเรา”
“มีหวง ๆ
เฮ้ยไอ้ซาน ขอกำลังเสริม!”
“จัดไปดิวะ!”
พริ้มเห็นซานลุก
ตัวเองก็ลุกตาม หอบกระเป๋าวิ่งหนีวนรอบโต๊ะ ไม่งั้นเขาโดนจั๊กจี้ที่เอวแน่ ๆ
ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เขารู้สึกว่าซานเปิดใจให้ ทั้งพูดคุย ทั้งถามความรู้สึกต่าง
ๆ เขาอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้
แต่พริ้มรู้สึกว่าบรรยากาศของเราดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
ในจังหวะที่เขาต้องวิ่งผ่านหลังของยี่หวาหนีผ้าที่วิ่งตามมาติด
ๆ แขนเล็กก็โดนมือใครสักคนรั้งเอาไว้ และทำให้พริ้มติดแหง่กอยู่ตรงนั้น
เขาสะบัดเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นมือของยี่หวาที่จับเข้าที่ข้อมือ พริ้มคิ้วตก
ตะปบเข้าที่มือของร่างสูงเพราะไม่รู้จะทำยังไงให้อีกฝ่ายปล่อยข้อมือเขา
จนในที่สุดผ้าก็เข้ามารัดตัวพริ้มทัน โดยที่มีมือของยี่หวารั้งไว้อยู่
“จับได้แล้วแมวน้อย!”
“อื้อ…อย่ากอดแน่นสิ”
“โดนแน่ ไอ้จอม
ไอ้ซาน จัดการช็อตไฟฟ้า”
“อย่าจี้เรา!”
จะหนีไปได้ยังไงล่ะถ้ามือของยี่หวาจะจับเขาไว้แน่นขนาดนี้
พริ้มโดนจี้รอบทิศทาง กลั้นเสียงขำเอาไว้ไม่ไหวจนต้องระเบิดหัวเราะ
น้ำตาเล็ดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
มืออีกข้างก็ปัดป่ายคนขี้แกล้งสลับกับแงะมือใครบางคนที่กุมอยู่ไม่ยอมปล่อย
นั่งอยู่เฉย ๆ
มาตั้งนาน ก็นึกว่าจะไม่เลือกฝั่ง
เพื่อนคนอื่น ๆ
มองมาทางสามเกลอที่ชอบแกล้งพริ้มต่างก็อมยิ้มออกมา
ไม่มีใครรู้เลยว่าใบหน้าขาวจะมีรอยยิ้มที่สวยขนาดนี้ พวกเขามักจะเห็นพริ้มทำหน้านิ่ง
ไม่ก็ทำหน้าหนักใจเสมอ…และตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เวลาคุยกัน เจ้าตัวมักจะก้มหน้า
แต่ใบหน้าของพริ้มที่มีรอยยิ้มทำเอาทุกคนสบายใจแทนอย่างบอกไม่ถูก
การทำเพื่อใครสักคนแล้วได้รอยยิ้มตอบกลับมา
มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะ…
มนุษย์มีร้อยกลุ่ม…พันนิสัย…แสนบุคลิก…และล้านความคิด
…และนั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป
เพื่อนบางกลุ่มที่ไม่ได้มีปัญหากับเขา…เริ่มเข้ามาคุยกับพริ้มมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน
ไม่แคทหรือเท็ดดี้ก็จะระรานจนทุกคนไม่กล้าคุยกับเขาอีก
พริ้มเหมือนได้ชีวิตตอนมอสี่กลับคืนมาอีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าจะดีไปซะทีเดียว
เพื่อนผู้หญิงบางกลุ่มและเพื่อนกลุ่มเดียวกับเท็ดดี้ยังคงไม่ชอบพริ้ม
และพริ้มเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้ชีวิตให้ดี ๆ
แต่ก็ใช่ว่าพริ้มอยากจะได้เพื่อนสนิทสักคนในห้องนี้หรอกนะ
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น…มันสอนให้เขาเข้าใจคำว่า ‘เพื่อน’ อย่างที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน มันไม่ใช่ว่าการเดินไปกินข้าวพร้อมกันแล้วจะหมายถึงเพื่อน
…แต่มันมากกว่านั้น
และคนที่สอนให้เขาเข้าใจคำนั้นก็คือชมรมวอลเล่ย์บอล…
แต่พริ้มเข้าใจ
เขาไม่โกรธคนพวกนี้หรอก
“…พริ้ม”
เพื่อนในห้องคนหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้คุยกัน
เธอมักจะนั่งหน้าห้อง ใส่แว่น และเป็นเด็กหัวดี ชื่อของเธอคือเอื้อน
เพื่อนทำงานเพียงกลุ่มเดียวที่ถามพริ้มเสมอว่าจะอยู่กลุ่มด้วยกันมั้ย
แต่เธอเป็นเด็กหัวอ่อน ไม่กล้าเข้ามายุ่งอะไรกับพริ้มมากมาย
งานที่ให้ทำก็แบ่งเรียบร้อยจนไม่จำเป็นที่จะต้องคุยอะไรกันเยอะแยะ
อาจจะเพราะพริ้มเองก็เว้นระยะห่างกับเธอพอสมควร เขาไม่อยากให้ใครก็ตามที่ดีกับเขาต้องเจ็บตัว
“ว่าไง”
“เมื่อวันที่พริ้มไปห้องปกครอง…มีรายงานที่ต้องทำส่งอาทิตย์หน้าน่ะ”
“อ่า…งั้นหรอ…งั้นเราขอ…”
“เราจดไว้ให้พริ้มแล้ว”
เอื้อนพูดเสียงค่อย
เธอหยิบเอากระดาษเล็ก ๆ ที่คาดว่าน่าจะฉีกออกมาจากสมุดจดบันทึกยื่นมาให้ เป็นงานต่าง
ๆ ที่พริ้มไม่ได้อยู่ฟังเพราะต้องไปที่ห้องนั้น
คนตัวเล็กรับมาด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ นานแล้วที่ไม่มีใครทำแบบนี้ให้
และเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมี…
“ขอบคุณมากเลยนะ”
“อื้ม…ส่วนเรื่องเวร เราน่าจะไปช่วยพริ้มทำได้แล้ว”
“…”
“ขอบคุณทำให้มาตลอด”
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาทั้งจากเธอและจากเขา
เราต่างก็ยิ้มให้กันบางเบา เพราะเราเข้าใจความหมายของคำพูดพวกนี้ดี
นิสัยแคทเหมือนกับเด็ก เธอลั่นวาจาขู่เพื่อนทั้งห้องว่าถ้าใครมาช่วยพริ้มทำเวร
เธอจะเล่นให้ไม่อยากมาโรงเรียนอีกต่อไป เพื่อนที่ไม่แคร์อะไรอยู่แล้วก็สบายไปสิ มีคนคอยทำเวรให้สบายจะตาย
แต่เอื้อนไม่ใช่ หลังจากวันนั้นเธอก็มาช่วยเขาทำ แต่พอแคทรู้
เอื้อนก็โดนแคทแกล้งจนไม่กล้ามาช่วยเขาอีกเลย
เป็นการเลิกเรียนที่ไม่ต้องเสียวสันหลังว่าตัวเองจะโดนแกล้งจากทางไหนอีกแล้ว
แถมยังไม่ต้องอยู่ทำเวรที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองคนเดียวอีกด้วย สถานการณ์ใหม่ ๆ
มักให้ความรู้สึกใหม่ ๆ จนพริ้มตามไม่ทัน แต่ก็พอปรับตัวได้ แม้จะยังไม่ใช่เร็ว ๆ
นี้
ในจังหวะที่เขากำลังเดินออกทางประตูหลัง
หางตาก็เหลือบไปเห็นจอมทัพยืนพิงขอบระเบียงอยู่หน้าห้อง พริ้มเดินเข้าไปหาร่างสูงที่กำลังอยู่ในท่าเล่นเกมในมือถืออย่างเมามัน
สะกิดเรียกเบา ๆ ที่นิ้วโป้ง จากที่กดรัว ๆ แทบไม่พักหายใจ นิ้วข้างนั้นก็หยุดชะงัก
พลางเจ้าของโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมอง
“อ้าว
เลิกแล้วหรอ” ว่าไว้แค่นั้นก่อนจะก้มหน้าเล่นต่อ
“อืม
รอใครอยู่หรอ”
“รอมึงอ่ะแหละ เดี๋ยวเดินไปยิมพร้อมกัน”
รอพริ้ม?
“แล้วคนอื่น ๆ
ไปไหนหรอ”
พริ้มเดินไปดูที่ห้องข้าง
ๆ ไม่เห็นใครอยู่ในห้องแล้ว สงสัยจะเพิ่งเลิกก่อนพริ้มไปไม่กี่นาที
เขายืนพิงข้างกันกับจอมทัพที่เล่นเกมเอาเป็นเอาตายด้วยสีหน้าสะใจ เจ้าตัวตอบเขาในตอนที่นึกขึ้นได้ว่าโดนถาม
ว่าคนอื่น ๆ เดินลงไปไม่รอในตอนที่จอมทัพไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีก็ไม่มีใครอยู่แล้ว
แล้วพอดีเห็นห้องพริ้มกำลังจะเลิก ก็เลยรอจะได้เดินไปยิมพร้อมกัน
“กูเล่นเสร็จละ
ไปกันเถอะ”
พริ้มเดินตามจอมทัพมาจนถึงโรงยิมก่อนจะแยกกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
เขาแวบเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องล็อกเกอร์ ถึงผ้าจะบอกว่าให้เอามาวางไว้ในห้องพักนักกีฬาก็ได้
แต่พริ้มก็ไม่กล้าถือตนเหนือใครอยู่ดี
พอได้กลับมาใช้ชีวิตในชมรมวอลเล่ย์บอลตามปกติก็รู้สึกไม่แน่ใจ
เรื่องมาสคอตก็จบไปแล้ว เขาไม่ต้องซ้อมกับขมหรือยี่หวาอีกต่อไป
แต่พริ้มก็เลือกที่จะอยู่ต่อ โดยที่ตัวเองไม่ได้คิดจะจริงจังกับการเป็นนักกีฬาเหมือนอย่างคนอื่น
ๆ
เขาอยู่เพราะอยากเห็นหน้ายี่หวา
ใช้ตำแหน่งซักผ้าเป็นข้ออ้างในการเดินเข้ามาที่นี่ มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเห็นแก่ตัว…
พริ้มเดินผ่านความครื้นเครงกลางสนามซ้อม
จอมทัพกับซานคงชวนคนในชมรมเล่นเกมอะไรสักอย่างแน่เลย เขาค่อย ๆ เปิดประตูกระจกช้า
ๆ เพราะเห็นรองเท้าคุ้นตาคู่หนึ่งถอดวางไว้อยู่หน้าห้อง ไม่มีใครอยู่ในนั้นยกเว้นเจ้าของรองเท้าที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เงียบ
ๆ ที่เดิมคนเดียว
“หวัดดี”
“…หวัดดี”
อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยคำเดียวกัน
แต่แรงกระทำต่างกันมาก พริ้มเดินดุ่ม ๆ เข้าไปข้างในห้องซักผ้า ผ่านด้านหลังของยี่หวาที่แอบเห็นว่าบนตักมีแมวตัวหนึ่งนอนซบอยู่
นึกอิจฉาความอ่อนโยนที่มีแต่คุณกะรัตที่รู้ ชาตินี้แกเกิดมาคุ้มแล้วแหละ ถึงจะเคยเป็นแมวเศรษฐี
แต่ตอนนี้ชีวิตดีกว่าเยอะเลย
“ว้าว…”
เผลออุทานยามเห็นเสื้อหลายสิบตัวพาดอยู่เต็มขอบเครื่องซักผ้า
พริ้มปัดผ้าพวกนั้นให้เข้าไปในเครื่อง ดีที่มันไม่ล้นออกมาจนต้องแบ่งซักอีกรอบ
ราวตากผ้าที่มีแต่ไม้แขวนเปล่า ๆ ขยับเล็กน้อยไปตามแรงลมจากตัวเขา เปิดเอาช่องใส่น้ำยาออกมา
แต่กลับไม่มีน้ำยาเลยสักถุง
เขาจำได้ว่าของสำรองอยู่ในตู้ด้านบน
จำได้ดีด้วยตอนที่ยี่หวาหยิบให้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใส่เสื้อ พริ้มเขย่งเท้าเปิดตู้ข้างบนหัวที่ดูจะสูงเกินตัวพริ้มไปมากเสียหน่อย
ข้างในมืดมาก เหมือนไม่มีอะไรอยู่ในนั้น แต่ใจหนึ่งก็คิดว่ามันน่าจะมี
แต่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน
มือเล็ก ๆ
ตะปบพลางควานหา ด้วยความที่มันสูงมาก เลยทำให้พริ้มต้องแวะพักหายใจก่อนจะเริ่มเอื้อมแขนไปตะปบใหม่
วินาทีสุดท้ายที่กำลังจะท้อแท้แล้วเดินออกไปบอกยี่หวาว่าน้ำยาหมด ปลายนิ้วของเขาก็สัมผัสเข้ากับอะไรสาก
ๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นถุงน้ำยาปรับผ้านุ่มแน่ ๆ
“ฮึ้บ!”
“วันนี้จะถึงมั้ย”
!!!
พริ้มสะดุ้งโหยง
เสียวสันหลังวูบวาบเมื่อเสียงยี่หวาลอยมาจากทางด้านหลัง
ร่างสูงเปิดประตูเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร แถมยังกอดอกพิงขอบประตู ทีท่าเหมือนอยู่แบบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว
ยี่หวายักคิ้วเป็นเชิงถามอีกครั้งเมื่อพริ้มไม่เปิดปาก คนตัวเล็กตั้งใจว่าจะไม่ขอความช่วยเหลือ
เขาอยากทำเท่าที่ทำได้ก่อน และเหมือนยี่หวาจะรู้ ร่างสูงถึงได้รอจนกว่าเขาจะเอ่ยปากเอง
“เอ่อ…เราหยิบไม่ถึง”
“อืม เห็นอยู่”
“หวาช่วยหน่อยได้มั้ย”
ยังไม่ทันจะพูดจบดี
ร่างสูงก็เดินเข้ามาใกล้ ไม่ทันให้พริ้มถอยออกไปเสียก่อน หน้าอกที่อยู่ภายใต้เสื้อซ้อมสีดำชนเข้ากับปลายจมูกของเด็กน้อยที่ไปไม่เป็น
ยี่หวาแค่เอื้อมมือขึ้นไปก็แทบจะทะลุกำแพงห้องแล้ว ไม่ต้องเขย่งเหมือนเขาเลยด้วยซ้ำ
แล้วจู่ ๆ ก็ไม่มีใครขยับ…ยี่หวานิ่งงันในระยะห่างที่เหลือไม่กี่เซ็นกับพริ้มที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
เพราะกลิ่นหอมของยี่หวามีสรรพคุณทำให้หน้าแดง
“แบมือสิ”
“หือ?”
“สองข้าง”
พริ้มยกมือขึ้นมาช้า
ๆ แบมือออกตามที่หวาสั่ง น้ำยาถุงนั้นวางแหมะลงเบา ๆ ที่ฝ่ามือเล็กทั้งสองข้าง ก่อนที่หวาจะผละออกไป
“บอกแล้วไงว่าถ้าหมดให้บอกฉัน”
“ถ้าเราตัวสูง
เราก็อยากหยิบเอง”
“ร้อยแปดสิบเมื่อไรค่อยพูดคำนี้”
ร่างสูงลอบยิ้มเมื่ออีกฝ่ายงอปาก
พริ้มหันไปจัดการงานตัวเองต่อ โดยมียี่หวายืนมองอยู่เงียบ ๆ ปกติพวกเราจะเอาผ้าที่ซักแล้วตากในนี้
เพราะขี้เกียจเดินออกไปตากข้างนอก หลายครั้งมันเหม็นอับ แต่ไม่มีใครสนเพราะยังไงเราก็ต้องเปียกเหงื่อกันอยู่ดี
แต่พริ้มไม่… คนตัวเล็กจะเอาผ้าที่ซักแล้ว
ใส่ไม้แขวนไปตากข้างนอกเสมอ ก็หลังจากที่พริ้มเข้าชมรมมา ก็ไม่มีปรากฏการณ์เสื้อเหม็นอับกันอีกเลย
“ยี่หวาาาาาาาาา!!”
เสียงแหลมของใครสักคนดังขึ้นพร้อมเสียงเปิดประตูกระจก
เจ้าของชื่อหันไปหาพู่กันที่วิ่งเข้ามาใกล้ เธอมีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนจะมาชวนไปทำอะไรสักอย่างด้วยกัน
แต่พอหันมาเห็นพริ้มที่ยืนเยื้องอยู่ด้านใน รอยยิ้มของเธอก็ค่อย ๆ อ่อนลง
“มีอะไร?”
“มาชวนไปเล่นลิงชิงบอล
ไปมะ”
“เดี๋ยวตามไป”
“พริ้มใช่ปะ? เล่นด้วยกันมั้ย”
ทำไมพู่กันถึงย้ำชื่อกับเขาเหมือนเราไม่เคยคุยกันมาก่อน
แต่เกินกว่าจะใส่ใจ พริ้มพยักหน้าตอบตกลงแต่ต้องหลังจากตากผ้าเสร็จแล้ว
พู่กันเลยได้ตัวยี่หวาที่ตื้อให้ออกไปด้วยกันแค่คนเดียว ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้ว่าใครประดิษฐ์
แต่มันทำให้พริ้มนึกย้อนไปถึงตอนนั้น…ตอนที่พู่กันเล่าให้ฟ่างกับหม่อนฟังว่าเธอไม่ได้เป็นแฟนกับยี่หวา
แค่สนิทกันมากคนหนึ่ง และดูจากยี่หวา พริ้มก็คิดว่าสิ่งที่เธอพูดก็ไม่น่าใช่เรื่องโกหก
พริ้มปาดเหงื่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกมาใส่รองเท้าไปที่สนามซ้อม
เขายังเห็นคนอื่น ๆ เล่นกันอยู่เลย ไม่ซ้อมกันแล้วล่ะมั้ง ผ้าเดินออกจากวงมารับเขา
เราสองคนไปแทรกตรงช่องว่างของขอบวงกลมที่มีขมกับเนยนั่งกุมหัวอยู่ ลิงชิงบอลเล่นแบบนี้หรอ?
“มาสักที คนมาใหม่ไปอยู่ตรงกลางเลย”
“หือ? ไม่ใช่ต้องวิ่งไล่บอลหรอ”
“เล่นลิงชิงบอลรอมึงก็หอบแดกแล้ว
ตอนนี้เปลี่ยนมาเล่นเจาะไข่แดงกัน เร็ว ๆ ไปนั่งเลย”
พริ้มเออออไปตามซาน
เขานั่งยอง ๆ ข้างกันกับขมและเนย เราสามคนนั่งกอดเข่าเอามือกุมหัว และหันหน้าชนกัน
เนยกำชับเขาหลายรอบมาก ๆ ว่าให้เอามือกุมหัว กุมหน้า กุมก้นไว้ เพราะพวกมันเล่นแรง
และถ้าลูกที่เจ็ดไปอยู่ที่ยี่หวา ก็หาทางหลบเข้าไว้ ไม่งั้นเคล็ดแน่
“รับนะ”
“ปล่อย…หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
ในขณะที่นั่งรอให้คนข้างบนโต้ลูกกัน
เนยก็อธิบายว่าเจาะไข่แดงเขาเล่นกันยังไง เพราะดูจากหน้าพริ้มแล้วเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย
กติกาที่ชมรมวอลเล่ย์ใช้ประจำคือจะโต้ลูกกันทั้งหมดเจ็ดลูก ไม่นับคนส่ง พอลูกสุดท้ายคือลูกที่เจ็ด
คนที่ได้ลูกนี้จะต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกบอลไม่ตกพื้น แต่ไปกระทบไข่แดง ซึ่งก็คือพวกเขาทั้งสามคนนั่นเอง
แต่ถ้าพลาดทำตกพื้น คนที่เป็นไข่แดงก่อนคนแรกจะได้กลับขึ้นข้างบน สลับกับคนที่ทำตกพื้น
“หก ไอ้หวารับ”
เทคส่งสัญญาณให้เพื่อนสนิทที่ง้างมือตบมาแต่ไกล
เนยได้แต่หลับตาปี๋ ไม่รู้ว่าท่องพุทโธด้วยหรือเปล่า เสียงตบดังปักพร้อมกับเสียงร้องของเนยโอดครวญดังลั่น
ยี่หวาไม่ออมมืออย่างที่ว่าจริง ๆ ด้วย หลังของเนยจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
“ไอ้เหี้ย! กูไปทำอะไรให้มึงวะไอ้หวา”
“เกม”
“เออไอ้สัส! อย่าให้มึงมานั่งเป็นไข่แดงบ้างนะ”
ขู่ไปงั้น แต่ไม่เคยเห็นมันลงมานั่งเหมือนพวกเขาบ้างเลย
ตบเอา ๆ เสือกโดนทุกลูกด้วยประเด็น แสบหลังชะมัด มือแม่งจะหนักไปไหน
ผ่านไปประมาณสามเกมแล้ว
แต่เราสามคนก็ยังนั่งเป็นนักโทษอยู่กลางวงเหมือนเดิม พริ้มโดนผ้าตบเข้าที่หลังคอ
ไม่เจ็บมากเท่าไร แต่เล่นเอาหน้าสั่นเลยล่ะ แถมเจ้าตัวยังหัวเราะชอบใจอีกต่างหาก
ถ้าเพื่อนชอบพริ้มก็ทนได้… เราสามคนต่างโดนกันคนละลูกคละ
ๆ กัน เหลือลูกนี้ที่กำลังจะนับถึงเจ็ด
และหวยออกที่พริ้ม
“โห่…ไรวะไอ้หวา”
“ทีกูนะ
ตบอัดซะแรง หลังกูเดาะแล้วมั้ง”
“เพื่อนกูตัวเล็กนิดเดียว
มึงจะให้ตบแรงแค่ไหนวะ”
“มึงเนี่ยตัวดีเลยไอ้ผ้า”
ลูกสุดท้ายทีไรจะชอบส่งให้ยี่หวาเผด็จศึก
แต่ครั้งนี้ที่ทุกคนโวยวาย เป็นเพราะยี่หวาแค่เซ็ตลูกโดนตัวเขาเบา ๆ เท่านั้น ใช้คำว่าสะกิดก็ดูจะแรงไป
เรียกว่าแปะน่าจะดีกว่า เนยบ่นใส่ยี่หวาที่ตัวเองโดนลูกตบอัดอย่างแรง
แต่พริ้มโดนแค่เบา ๆ ร่างสูงทำหน้านิ่งหูทวนลม เดาะลูกวอลเล่ย์กับพื้น ไม่ฟังเพื่อนคนอื่น
ๆ งอแง
“ต่อ ๆ”
คิดยังไงถึงเล่นเจาะไข่แดงด้วยกีฬาที่ตัวเองถนัดกันนะ
แล้วดูผู้เล่นแต่ละคนสิ เป็นถึงตัวจริงกับตัวเก็งทั้งนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะเล่นพลาดแล้วบอลตกพื้นเลย
ถ้าไม่แกล้งกันเอง เนยชวนเขาเม้าท์เป็นเรื่องที่สี่แล้ว เพราะเราไม่ได้ลุกออกจากวงสักที
ส่วนขมก็ได้แต่พยักหน้ารับนั่นนี่ ไม่กล้าคุยกับรุ่นพี่มากมาย
“ห้า”
“จอม ๆ
ส่งลูกสุดท้ายให้เรา”
“เค รับนะพู่”
พริ้มหลุดโฟกัสกับเกมไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเนยเล่าเรื่องผีให้ฟัง
หน้าสิวหน้าขวานยังไง เรื่องผีก็เอฟวี่แวร์จริง ๆ และนั่นแหละที่ทำให้พริ้มโดนลูกตบของพู่กันเข้าเต็ม
ๆ ที่เบ้าตาขวา ทั้งแรง ทั้งตกใจ พริ้มล้มตึงลงก้นแตะพื้น และมีอาการมึนหัวนิดหน่อย
ก่อนจะเอามือมากุมไว้ที่ตาข้างนั้น
“อ้าวพริ้ม
เอาตามารับบอลทำไม” พู่กันกลั้วขำ
“โดนแรงหรอวะ” ผ้ารีบพุ่งเข้ามาหา
การเล่นที่ต้องมีเจ็บตัวบ้างนิด
ๆ หน่อย ๆ เลยทำให้ไม่มีใครตกใจ แต่ไม่ใช่สำหรับร่างสูงที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง
แต่พยุงแขนพริ้มให้ลุกออกจากวงทันที ยี่หวาบอกให้ทุกคนเล่นต่อ ก่อนจะพากันออกมาจากวง
ร่างสูงพาพริ้มมาที่ขอบอัฒจันทร์ ผ้าเองก็ตามมาติด ๆ พริ้มกุมตาข้างนั้นไว้แน่น และไม่พูดอะไรสักอย่าง
“ลืมตาได้มั้ย?”
“…เรามึน”
ยี่หวาก้มหน้าเข้ามาใกล้
เขาอยากจะดูว่าเป็นอะไรมากมั้ย จะได้รู้ว่าต้องดูแลยังไง
แต่พริ้มก็ยังกุมเอาไว้แน่น ทั้งยังก้มหน้างุด ไม่ยอมให้ดูง่าย ๆ หวาเลยตัดสินใจอุ้มพริ้มขึ้นนั่งบนขอบอัฒจันทร์ที่ไม่ได้สูงอะไรมากมาย
คนตัวเล็กผวาพลางร้องเสียงหลง จับเข้าที่ไหล่กว้างด้วยความลืมตัว
“ย…ยี่หวา”
“เอามือออก”
“อ๊ะ…”
“ขอดูหน่อย”
คนที่ต้านทานยี่หวาได้…ไม่น่าจะชื่อพริ้ม พอโดนเสียงทุ้มกดต่ำเข้าหน่อยก็ค่อย ๆ
เอามือที่กุมไว้ออก ตาข้างขวาเขายังหลับอยู่ และมันเลอะไปด้วยน้ำตา เขาไม่ได้เจ็บมากมายถึงขนาดร้องไห้
แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง
แทบหยุดหายใจเมื่อนิ้วโป้งหนาปาดเข้าเบา
ๆ ที่ใต้ดวงตา และกดปาดย้ำให้อีกครั้ง จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีน้ำตาถึงเปลี่ยนไปประคองแก้มเขาแทน
จากที่มึนหัวอยู่ก็คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นลมพ่วงเข้ามาอีก สัมผัสอ่อนโยนที่ไม่รู้ว่าเหมือนกับที่คุณกะรัตรู้สึกหรือเปล่าทำให้พริ้มใจเต้นแรง
ไหนจะระยะห่างที่ได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจนี่อีก
เอาหน้าออกไปหน่อยได้มั้ย…
“ลืมตา”
“มัน…ส…แสบ”
“ผ้า มึงไปหาอะไรเย็น
ๆ มาให้หน่อย”
อยู่ ๆ
ก็โดนเรียก เล่นซะตกใจเลย ผ้าเออออหลังจากลอบมองเพื่อนทั้งสองของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อกี้
เขาเดินผละออกมา กะจะไปหาขวดน้ำเย็น ๆ ไม่ก็เอาน้ำมาชุบกระดาษทิชชู่ไปประคบ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
บอกตามตรงว่าไม่เคยเห็นไอ้หวาสนใจใครขนาดนี้ กับเพื่อนในกลุ่มก็ไม่เท่านี้ มันไม่แม้แต่จะจูงให้เดินไปด้วยกันช้า
ๆ ไอ้อุ้มให้ขึ้นไปนั่งบนขอบอัฒจันทร์นี่ตัดไปได้เลย แต่มันเกิดขึ้นกับพริ้ม… นั่นคือสิ่งที่เขาเริ่มไม่แน่ใจ
…ว่ากำแพงที่มันก่อไว้
พังทลายไปแล้วหรือยัง
“พริ้มเป็นไงบ้างวะ”
“ไม่เจ็บมาก แค่ลืมตาไม่ขึ้น”
“เฮ้ย…ขนาดนั้นเลยหรอวะ”
ซานว่าพลางมองไปยังยี่หวากับพริ้มที่ยื้อหยุดอะไรกันสักอย่าง
เกมเจาะไข่แดงเริ่มซาแล้วเพราะพริ้มยังไม่หายเจ็บสักที เหลือแต่พวกผู้หญิงกับผู้ชายใจดีที่ยังเล่นกันต่อ
เหมือนพู่กันจะเห็นว่าซานกับผ้าคุยอะไรกันอยู่ เธอเลยเดินเข้ามาคุยด้วย
“พริ้มเป็นไงบ้างอ่ะผ้า
เราไม่ได้ตั้งใจ มันชินมือ”
“ไม่เป็นไรมากหรอก
แค่แสบ ๆ แหละ”
“อ๋อ
เหมือนตอนนั้นที่ผ้าตบใส่เราอ่ะ แสบโคตร”
“ฮ่า ๆ”
ผ้าเดินแยกไปก่อนที่ไอ้หวาจะรู้ตัวว่าให้เขามาหาของเย็น
ๆ ไปประคบ ดีที่พวกผู้หญิงพกกระดาษทิชชู่ เขาเลยขอมาสามสี่แผ่น แล้วเอาน้ำเย็นเจี๊ยบที่ขอมาจากไอ้ซานรดจนชุ่ม
แล้วเอาไปให้ไอ้หวา แต่พอไปถึง พริ้มกลับกะพริบตาปริบ ๆ มองมาที่เขาเหมือนไม่เคยเจ็บมาก่อน
ถ้าไม่ติดว่ามีรอยแดง ๆ หลงเหลืออยู่อ่ะนะ
“ขอบคุณนะ”
พริ้มว่าพลางรับไปแปะไว้ที่ตาตัวเอง
“เช็ดให้รอบเลย”
“ต้องเช็ดอีกหรอ
เมื่อกี้หวาก็เช็ดให้เราไปแล้ว”
“เช็ดอีก
เสื้อฉันไม่สะอาดขนาดนั้น”
ผ้าลอบมองพริ้มที…หวาที…ด้วยสายตาและความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่
แต่คงไม่ใช่หน้านิ่งเฉยหรือไม่คิดอะไรเลยแน่ ๆ มันคงจะดีไม่ใช่น้อยถ้าเพื่อนเขาทั้งสองคนนี้ได้รู้จักกับอะไรใหม่
ๆ ที่ตัวเองไม่เคยคิดถึง พากันเรียนรู้ที่จะใส่ใจอีกฝ่ายให้มากขึ้นและเข้าหากันและกันให้บ่อยขึ้น
ยี่หวาไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรออกมามากมาย เลยทำให้ใครต่อใครที่ไม่รู้ เข้าใจผิด ๆ
ถูก ๆ เพราะเอาแต่เดาว่ายี่หวาคิดอะไรอยู่
และอีกนิสัยหนึ่งที่มีแต่เจ้าตัวรู้ อาจจะทำให้ใครบางคนหัวปั่นเลยก็ได้
#พริ้มเพียงหวา
ใกล้จบแล้วค่ะ ใครที่อยากได้เล่มน้องพริ้ม เก็บเงินไว้รอได้เลยยยย ราคาไม่เกินเลขสี่แน่นอน ไม่เคยขายมากไปกว่านี้ แต่เล่มนี้อาจจะปิดจองนานหน่อย เพราะติดอะไรหลาย ๆ อย่าง สักเดือนครึ่งหรือสองเดือน ประมาณนี้ค่ะ ถ้าจะเอาแน่ ๆ ก็อย่าลืมมาจองเด้อ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันเสมอมา แม้ว่าเราจะมาช้ามาก ๆ แต่ก็มาน้า55555 อ่านจบแล้วอย่าลืมคอมเม้นท์ ติดแท็ก หรือกดใจให้น้องพริ้มและกัปตันยี่หวาด้วยนะคะ เจอกันที่ยิมเด้อ
ความคิดเห็น