คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๑
กระดาษเอสี่พับครึ่งไปสองรอบยื่นมาให้ตรงหน้าร่างสูงที่เพิ่งปาดเหงื่อออก
หลังจากที่กระโดดตบลูกวอลเล่ย์ที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ กัปตันทีมทำหน้าฉงนใส่โค้ช
กระดาษใบนั้นขยับสองสามทีเร่งเร้าให้เขารับไปแทนที่จะมองหน้าโค้ชตัวเอง
“ไปจัดการมาด้วย
ชอบตัวไหนก็จิ้ม ๆ มา”
ยี่หวาเงยหน้าขึ้นสบตาเมื่ออ่านเอกสารใบเดียวที่เรียกว่าหนังสือขอใช้งบจบ
เขาค่อนข้างไม่เห็นด้วย
ที่จะเอาเงินของทีมไปใช้อะไรที่มันไม่จำเป็น อย่างเช่น การไปเช่า ‘มาสคอต’ เพื่อเอามาเป็นสัญลักษณ์ของทีมคาลันโช…ทีมวอลเล่ย์บอลที่กำลังเป็นที่จับตามอง
ถ้าถามว่าอะไรเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของทีม ชื่อก็บอกความหมายอยู่แล้วว่าคือ ‘กุหลาบหิน’
จะให้ไปหามาสคอตมาแทนทำไม
“รู้ว่าไม่ชอบ
แต่ต้องใช้ ตั้งแต่ทีมได้แชมป์ปีที่แล้ว โรงเรียนเราก็มีเด็กใหม่เข้ามาเยอะมาก
รวมไปถึงทีมวอลเล่ย์บอลด้วย”
โค้ชเบนสายตาไปทางกลุ่มเด็กใหม่ที่กำลังยืดเส้นยืดสาย
จำนวนราว ๆ ยี่สิบกว่าคน นับว่าเป็นเรื่องดี
แม้บางคนอาจจะหนีไปซะตั้งแต่วันนี้หลังซ้อมเสร็จ
ส่วนหนึ่งที่ชมรมป็อปขึ้นก็เพราะมีกัปตันทีมคนเก่ง ดุไปหน่อย แต่ก็เพื่อทีม
เจ้าหมอนี่ไม่ค่อยไว้หน้าใคร ไม่ชอบสอนใคร เลยอยู่แต่กับตัวจริงในสนามเสมอ ไม่คลุกคลีกับเด็กใหม่…ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาเพราะอยากเล่นหรืออยากมาดูกัปตันทีมกันแน่
อ๋อใช่
ชมรมวอลเล่ย์บอลไม่แยกชายหญิง ยกเว้นตัวจริงที่ต้องแยกสนามซ้อม
“มีตัวอะไรที่โค้ชอยากได้มั้ย?”
“ไม่มี”
โค้ชหัวเราะ
เมื่อสีหน้าของยี่หวาไม่มีแม้แต่กล้ามเนื้อขยับ
“ฉันฝากนายดูแลมาสคอตด้วยนะ ไม่รู้ว่าคนที่ใส่จะเล่นวอลเล่ย์เป็นหรือเปล่า”
“ต้องเล่นด้วย?”
“ต้องสิ เหมือนพวกเปิดงาน…ต้องโชว์”
“ยุ่งยาก
น่ารำคาญชะมัด…”
ชายวัยยี่สิบปลาย
ๆ ขยี้หัวสีสวยที่แสนแสบตาเล่นอย่างมันเขี้ยว
ยี่หวาสะบัดหัวตัวเองออกอย่างไม่สบอารมณ์ เวลาโค้ชรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีล่ะชอบแหย่ให้โมโห
จัดทรงผมตัวเองลวก ๆ ก่อนจะหันมองรอบ ๆ สนาม
พอจะมีใครที่สามารถดูแลและสอนไอ้เจ้ามาสคอตตัวปัญหานี่เล่นแทนเขาได้มั้ย
การสอนคนที่ไม่มีพื้นฐานเป็นอะไรที่น่ารำคาญ…
“ทำหน้าอย่างเข้ม
เป็นเหี้ยไรไอ้หวา”
เพื่อนผิวขาวเดินเข้ามาหาด้วยขาที่ยาวเกินครึ่งหนึ่งของความสูงมัน
ไอ้ซานตวัดแขนกอดคอเขา มันเป็นตัวตบบอลเร็ว ซ้อมด้วยกันมาตั้งแต่มอต้น
ยี่หวาเหล่ตามองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มีอยู่ตลอดของมัน ก่อนจะเบนออกด้วยความหงุดหงิด
ปัดแขนที่เปียกเหงื่อออกเบา ๆ แสดงท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจน
“เรื่องมาสคอต”
“อ๋อ เอาจริงดิ แล้วเอาตัวไรอ่ะ”
“ไม่รู้ โค้ชให้ไปเลือกที่ร้านเอง”
“เจ๋งสัส
กูขอเลือกนะ”
กัปตันทีมส่งสายตาขู่
มึงมีสิทธิ์อะไรในหน้าที่นี้
“โห่ ไม่อยากทำแต่ก็หวง หวงไปหมด…”
“หุบปาก”
เสียงปรบมือดังสองที
เป็นสัญญาณเรียกรวมเหล่านักกีฬาทั้งตัวจริง ตัวสำรอง และเด็กใหม่ ให้มาเข้าแถว
อย่างที่รู้กันดีว่าการเป็นลูกทีมของยี่หวาจะต้องไม่ช้า ไม่อืดอาด ไม่ยืดยาด
ต้องเร็วเท่าที่จะทำได้
เร็วให้เหมือนบ้านถูกไฟไหม้แล้วต้องวิ่งไปยกตู้เย็นใหม่ออกมาให้ทัน
เพราะแบบนั้นคนที่เรียนรู้ช้าก็เลยมักจะโดนปล่อยทิ้งไว้
บางคนก็หมดกำลังใจจนออกจากชมรมไป บางคนก็แปรเปลี่ยนเป็นพลัง…
“วิ่งรอบสนามคนละ
10
รอบก่อนกลับ เทค…มึงนำ”
เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ
ก่อนจะเดินออกมาที่หัวแถว
“มึงห้ามพาคนอื่นโกงรอบนะไอ้จอม”
“เลิกแล้วว่ะ”
“เลิกโกงรอบ?” ซานแทรกขึ้นมากลางวง
“เลิกโกงรอบเดียว”
จู่ ๆ
ลูกวอลเล่ย์ก็ปลิวไปกลางดง ไอ้ตัวแสบสองตัวหลบได้ทัน
บอลลูกนั้นเลยปลิวไปโดนน้องใหม่เข้าเต็ม ๆ แต่มีหรือจะสำนึก
พวกมันยังขำอัดรุ่นน้องที่ทำได้แค่ลูบหัวไหล่ตัวเองเบา ๆ แล้วขำแห้ง ๆ
ไปพร้อมกับพวกมัน ยี่หวาปรบมืออีกครั้ง เรียกสติไอ้พวกตัวจริงที่ชอบพาคนอื่นเล่นอยู่ตลอด
“ใครโกง…จะให้มารับลูกตบจากกู”
เสียงยี๋เบา ๆ
ดังงึมงำจากคนที่เคยลิ้มรส
“ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งก็จงเป็นส่วนหนึ่งที่มีประโยชน์ เข้าใจมั้ย?”
“เข้าใจครับ!!”
“ไปได้”
หัวแถวที่นำโดยเทค มือบล็อกที่โคตรเหนียวยิ่งกว่าตังเม ถ้ามันขึ้นบล็อกได้
โอกาสที่บอลจะข้ามมันมาแทบไม่มี
สมาชิกใหม่ของทีมในวันนี้มีถึงยี่สิบคน
ไม่นับรวมผู้หญิงที่เข้ามาใหม่เกือบ ๆ สามสิบ
ใครต่อใครก็บอกว่าส่วนมากเข้ามาส่องผู้ชาย เพราะอย่างที่บอกไปตอนแรกว่าซ้อมด้วยกัน
แต่คนละสนาม ซึ่งไม่ได้ห่างกันมากเท่าไร
ยี่หวาวิ่งเหยาะ
ๆ รั้งท้ายแถว ตำแหน่งในการวิ่งประจำของเขาจะอยู่ตรงนี้เสมอ
ไม่ว่าจะวิ่งวอร์มก่อนเล่นหรือวิ่งคลายเส้นหลังเล่นเสร็จ เขาชอบสังเกตลูกทีมคนใหม่
ยี่สิบคนในนี้อาจจะมีเพชรเม็ดงามซ่อนอยู่ เขาต้องเริ่มปั้นเด็กใหม่ขึ้นมารับช่วงต่อได้แล้ว
แต่พวกตัวสำรองก็ยังไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นกัปตันทีมต่อจากเขาได้เลย
“ไอ้หวา”
ซานชะลอฝีเท้าให้ตัวเองไหลลงมาจนมาวิ่งข้าง
ๆ กันกับเขา
“?”
“มึงจะไปร้านมาสคอตเย็นนี้เลยใช่ปะ”
“อืม”
“ร้านมันอยู่แถวไหนวะ”
“มึงแค่เดินตามมาก็พอ”
ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเร่งฝีเท้าหนี
ซานรีบวิ่งตามมาให้ทัน พวกเขาสองคนลัดเลาะไปเรื่อย ๆ
จนถึงหัวแถวเมื่อรอบนี้เป็นรอบสุดท้าย ก้าวขาข้ามเส้นสีแดงที่เสมือนเส้นชัยเล็ก ๆ
ได้ ทุกคนก็พากันแตกแถวไปยังกองสัมภาระโดยมีโค้ชนั่งเล่นโทรศัพท์เฝ้าอยู่ข้าง ๆ
“ยี่หวา”
“ว่า?” เจ้าของเรือนผมสีม่วงหันไปหาเสียงเรียกของโค้ชที่ดูงัวเงีย น่าจะแอบหลับแน่ ๆ
“พรุ่งนี้ไปทำความสะอาดห้องอุปกรณ์เก่าด้วยนะ”
“เพื่อ?”
“เดี๋ยวไปคุยกับเจ้าของร้านก็รู้เอง จะไปเลยใช่มั้ยเนี่ย?”
“ครับ”
“ให้ไปส่งมั้ย?”
“ไปเองดีกว่า”
โค้ชโบกมือหน่าย
ๆ แล้วเดินหายไปในห้องพัก
ในมือถือไอแพดที่หน้าจอค้างเกมแนวโมบ้าทิ้งไว้ให้เห็นเต็มตาอีกต่างหาก
ร่างสูงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว เขากะจะอาบน้ำก่อนออกไป
ได้ยินเสียงสาดน้ำโครม ๆ กับเสียงหัวเราะเล่นกันดังออกมาจากด้านใน
เป็นไอ้พวกตัวแสบนั่นแน่ ๆ
“ไอ้มุก! หลังมึง!!”
“ไอ้ชิบหาย!
มึงบอกกูช้าไปปะไอ้ผ้า!!”
ฟักบัวถูกใช้เป็นอาวุธแม้มันจะไม่ได้แรง
ระยะห่างร้อยเมตรยังไม่รู้เลยว่าจะโดนหรือเปล่า
เป็นไอ้พวกตัวจริงทั้งเจ็ดคนที่วิ่งวุ่นอยู่ในห้องน้ำรวม
เล่นสาดน้ำสนุกสนานเหมือนทุก ๆ วันหลังซ้อมเสร็จ กัปตันทีมเหนื่อยที่จะด่าเลยหันมาเปิดน้ำฟักบัวอาบให้ตัวเองไปเงียบ
ๆ
แต่ก็ไม่วายโดนลากไปร่วมทีมอยู่ดี
“ไอ้เหี้ยเนย!! สบู่เข้าตากู!!”
“โทษ ๆ มือกูไว”
กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง
เราแยกกันกลับบ้าน โดยเขามีซานกับจอมทัพห้อยติดตัวอย่างนี้ทุกวัน เพราะเรานั่งรถบัสสายเดียวกัน
ขายาว ๆ
สามคู่เดินสะเปะสะปะออกจากโรงเรียนเมื่อกัปตันทีมพยายามยื้อคอตัวเองให้หลุดออกจากแขนทั้งสองข้างของพวกมัน
“กวนตีนอยู่ได้”
“หน้ามึงเครียดดี
กูชอบ”
ยี่หวาแสกลงกลางหัวของซานจนผมพัง
“พรุ่งนี้มึงไปทำความสะอาดที่ห้องอุปกรณ์เก่าด้วย”
“อะไรวะไอ้หวา
อย่าทำกับกูแบบนี้ดิวะ”
กว่าจะเดินมาถึงร้านมาสคอตเก่า
ๆ โทรม ๆ ที่หน้าร้านไม่ได้บ่งบอกความเป็นมาสคอตเลยสักอย่าง
เหมือนพวกร้านปล่อยเงินกู้ กระจกก็เป็นฝ้าซะจนมองไม่เห็นด้านใน
หรือเขาติดฟิล์มให้มันฝ้า?
พวกเขาสามคนเลื่อนประตูฝืด
ๆ แล้วแทรกตัวเขามาด้านใน ประตูก็เลื่อนได้ครึ่งเดียวอีกต่างหาก ด้านนอกว่าไม่เห็นใครแล้ว
ด้านในก็ไม่ต่างกัน ซานเดินสำรวจดูนู่นนี่ตามนิสัยชอบเสือก
ไอ้จอมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟารับรองด้านหลัง เขาเองก็ต้องหาที่นั่งให้ตัวเองด้วย…
“มาทำไรไอ้หนู”
“เอ่อ…สวัสดีครับ”
หนุ่มน้อยสะดุ้งพร้อมกันเมื่อเจ้าของร้านเดินออกมาพร้อมแก้วใหญ่
ๆ ลายคิตตี้ พวกเขารีบยกมือสวัสดีคุณลุงหัวล้านแต่มีหนวดด้วยความรวดเร็ว
หน้าตาลุงดูไม่เหมาะกับกิจการชุดมาสคอต
เขานึกว่าจะเป็นคุณลุงที่หน้าตาดูใจดีกว่านี้ แต่กลับตรงข้าม…
ยกเว้นแก้วน้ำ
“ผมชื่อยี่หวาครับ เป็นกัปตันทีมวอลเล่ย์จากโรงเรียนอซ.”
“อ๋อ… อ๋อ…
นั่งก่อนสิ” แกอ๋อสองรอบแล้วผายมือลงที่เก้าอี้หนัง
ชายแก่หยิบเอาสมุดจดอะไรสักอย่าง
ขนาดใหญ่กว่าเอสี่เห็นจะได้ เปิดมันด้วยน้ำลายที่เอานิ้วชี้แตะ ๆ ปลายลิ้น
เปิดได้หน้าหนึ่งก็แตะทีหนึ่ง ทำแบบนั้นอยู่ประมาณสามสี่รอบ
ถึงจะหยุดอ่านอะไรอยู่สักพัก
“ตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่ตัว เรื่องมากมั้ย?”
“ที่สุดในทีมแล้วครับลุง”
ซานตะโกนแทรกมาจากทางด้านหลัง
ลุงแกยกยิ้มแล้วมองใบหน้ายี่หวา
“เหลืออยู่สามตัว”
“ผมขอดูรูปหน่อยครับ”
บนโต๊ะมีอัลบั้มรูปถูกเปิดอยู่สามอัน
เป็นตัวประหลาด ๆ ที่น่าจะขายไม่ออกมากที่สุดในร้าน ไม่ก็คงกำลังจะเอาไปทิ้ง
เขาเลื่อนอัลบั้มรูปพวกนั้นเข้ามาดูใกล้ ๆ เรียกเพื่อนทั้งสองตัวมาช่วยตัดสินใจ
ไอ้สามตัวนี้ไม่มีตัวไหนน่าเอาไปใช้ แต่ยังไงก็ต้องเลือกเพราะสภาสั่งมา
โค้ชบอกเขาไว้แล้วว่าต้องเอาชุดที่มาสคอตจะเล่นวอลเล่ย์บอลเปิดงานได้
แต่สองในสามดันเป็นชุดที่ไม่มีมือยื่นออกมา ยกเว้นตัวสุดท้ายที่มีมือ
แต่สภาพก็ยากต่อการเล่นอยู่ดี
สรุปคือ แย่
ทั้งชุด…ทั้งเจ้าของร้าน
“ตัวไรวะ”
“เห็ด? หรือกระปู๋?”
“จรวด!!” เสียงแหบ ๆ ขัดขึ้นเสียงดังที่ไปว่าจรวดของร้านแกเป็นกระปู๋ ไอ้ซานยิ้มแห้ง หลบสายตาดุ ๆ ของลุงแกมาพิจารณาหมายเลขสาม
“ปู?”
“เอาจริงหรอวะ”
ยี่หวาไม่ตอบ
มือหนายื่นอัลบั้มที่เป็นรูปปู หน้าตาปัญญาอ่อน แถมขาเล็ก ๆ ด้านข้างของมันก็ดูอ่อนเปลี้ย
เห็นแล้วรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแปลก ๆ ดีที่ตรงกล้ามมันต่อออกมาเป็นช่วงแขนกลางลำตัว
ชุดนี้น่าจะอันเดอร์บอลได้ตามที่โค้ชสั่งมา แต่ขาของมันสั้นมาก ตัวก็กว้างมาก ถ้ามันทำให้เขาต้องดูแลอยู่ตลอดล่ะก็…
จะไล่มันออกซะ…
“ตกลงเอาปู?”
“ครับ”
แกจดยิก ๆ ลงสมุดอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ยื่นกระดาษที่มีแต่ตัวอักษรสีดำ ๆ เลอะ ๆ มาให้
“อ่านกฎซะ หรือจะให้อ่านให้?”
“เอาที่ลุงสะดวกเลยครับ”
“งั้นไม่ต้องอ่าน”
กระดาษแผ่นนั้นถูกริบไปทันที
“กฎคือ… ห้ามให้ใครรู้ว่าคนข้างในเป็นใคร ห้องส่วนตัวจัดไว้หรือยัง?”
“พรุ่งนี้คงเสร็จครับ”
“ดี…
อนุญาตให้มีคนรู้ได้ไม่เกินสองคน ถ้าผิดกฎ…ทางโรงเรียนต้องเสียค่าปรับ”
เยอะ…
ไอ้การใส่ชุดมาสคอตมันเป็นปัญหาระดับโลกเลยหรือไง
จำเป็นต้องปิดเป็นความลับระดับหน่วยซีลเลยดิ คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน
ไม่ต่างจากไอ้ซานและจอมทัพที่อ้าปากหวอกับกฎบ้ากฎบอของร้านไปแล้ว
“ถามได้มั้ยว่าทำไม”
“ฉีกสัญญาเสียค่าปรับสิบเท่า!”
“…ผมก็แค่ถาม”
“คนของเราจะรักษากฎและเข้มงวดกับมันมาก
ดังนั้น… ไอ้หนู พวกนายต้องปกปิดให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
จะได้ไม่ต้องเจียดเงินชมรมมาเสียค่าปรับร้านลุง เข้าใจ๊?”
กัปตันพยักหน้ารับ
นั่นหมายความว่าถ้ามีคนรู้มากกว่าสอง แล้วลุงเรียกค่าปรับกับชมรม
ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร
หยิบเอาปากกามาเซ็นสัญญาดูแลชุดมาสคอตจนกว่าจะจบกิจกรรม
ลงชื่อผู้รักษาความลับเป็นเขาเพียงคนเดียวเพราะไอ้สองตัวข้างหลังมันตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะมาร่วมด้วย
ความรู้สึกตอนเซ็นเสร็จเหมือนตัวเองเซ็นสัญญากู้เงินแปลก
ๆ
“กะอีแค่มาสคอต มันต้องขนาดนั้นเลยหรอวะ?”
“ก็ดูเป็นงานเป็นการ… ที่ปัญญาอ่อนดี”
“โหไอ้หวา ปากมึงนี่แม่ง…”
“กูเคยร้องไห้เพราะโดนมันด่าด้วย”
ซานขึ้นหัวข้อนี้รอบที่…
“มึงเคยเล่าแล้ว
ตั้งแต่มอสามแล้ว พอไอ้สัส”
จอมทัพตีปากเพื่อนผิวขาวของตัวเองเบา
ๆ แล้วลากคอยี่หวาที่ชอบเดินรั้งท้ายคนอื่นเสมอให้ขึ้นมาเดินข้างกัน
ล้วงเอาช็อคโกแลตห่อสีทอง ราคาแพง ๆ ที่แอบจิ๊กมาจากมันขึ้นมาแกะกิน
พอมันเห็นเท่านั้นแหละ…
“มึงขโมยขนมกูอีกแล้วหรอไอ้จอม?”
“ลูกเดียวเอง…โอ๊ย!”
เลยเวลาเลิกเรียนไปประมาณสองชั่วโมง
แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยังอยู่ในห้อง
เสียงลากโต๊ะและเก้าอี้ดังขึ้นท่ามกลางแสงสีส้มอ่อน ๆ ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างห้องเรียน
วิวด้านล่างของห้อง 6/4 เป็นสนามบอล
เป็นมุมที่พริ้มจะชอบปรบมือเชียร์คนที่เล่นอยู่ในสนามเงียบ ๆ คนเดียวเสมอ
อาทิตย์หนึ่งมีห้าวัน…พริ้มเป็นคนเดียวที่ต้องทำเวรทุกวัน
ไล่ตั้งแต่ลบกระดาน กวาดห้อง ถูพื้น ทิ้งขยะ จัดโต๊ะ
เป็นแบบนี้ทุกวันจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
เวลาหนึ่งชั่วโมงไม่เพียงพอสำหรับการทำคนเดียว โต๊ะสามสิบสามตัวขยับได้แค่ทีละตัว…แล้วต้องทำซ้ำแบบนี้สองครั้ง
ครั้งแรกคือขยับเพื่อกวาดและถู ครั้งที่สองคือขยับเข้าที่ให้เป็นระเบียบ
และนี่คือเหตุผลหลัก
ๆ ที่ทำให้เขากลับบ้านหกโมงเย็นทุกวัน
เด็กน้อยกุมไม้กวาดที่มือแน่น
เขาได้ยินเสียงเฮอะไรบางอย่างดังมาจากสนามบอล เดินไปหยุดอยู่ที่หลังบานกระจกหนา
จดจ้องไปยังสนามหญ้าสีเขียวและทีมใดทีมหนึ่งกำลังส่งเสียงเฮอย่างสนุกสนาน …คงมีใครทำประตูได้
มือเล็ก ๆ
ปรบมือตาม พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสมาชิกทีมวอลเล่ย์บอลคนหนึ่ง วิ่งกอดคอเพื่อนแล้ววิ่งวนอยู่แบบนั้น
แล้วก็นึกออกว่าคนนั้นคือ เทค ผู้ชายตัวสูง ๆ ผิวสีเข้มค่อนไปทางโดนแดด
เขาเคยเห็นเทคเดินกับยี่หวา เป็นตัวจริงที่ไปคว้ารางวัลมาเมื่อปีก่อน
“ชมรมวอลเล่ย์เลิกเร็วจัง”
เขาหันกลับมาสนใจงานที่ค้างคาของตัวเองต่อ
นาฬิกาเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข็มสั้นชี้เลขหก ร่างเล็กรีบหอบเอาถุงดำในถังขยะออกมามัดปาก
มันล้นและมีนมสีข้น ๆ ไหลออกมา กลิ่นนมเหม็นจนต้องย่นจมูก
แต่ก็ไม่มีเวลามาใส่ใจมากนัก
ถ้าไม่รีบตอนนี้…เขาอาจจะถูกขัง
เสียงฝีเท้าดังลั่นอาคารตั้งแต่ชั้นห้าจนกระทั่งผ่อนลงที่ชั้นล่างสุด
พริ้มก้มหลังลอดประตูบานใหญ่ สบตากับป้าภารโรงที่กำลังเลื่อนปิดมันจากทางด้านบน
เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ ผงกหัวขอโทษขอโพยที่พุ่งพรวดมากะทันหัน
“หนัก… ฮึบ!”
ถุงดำถูกเหวี่ยงลงถังขยะด้วยแรงทั้งหมดที่มี
พริ้มแอบหอบนิดหน่อยเพราะถังขยะมันอยู่สูงกว่าตัวเขาหลายเซ็น มือสองข้างเลอะคราบนม
รู้สึกเหนียว ๆ และกลิ่นมันก็แรงมากด้วย สองขาก้าวไปที่ก๊อกน้ำข้างสนามบอล
ชำระล้างความสกปรกที่คนในห้องจงใจบีบนมที่กินเหลือเล่นในถังขยะ
“เฮ้อ…”
ถอนหายใจแรง ๆ
จนหน้าม้าแยกเป็นสองข้าง
!!!
พริ้มสะดุ้งโหยงเมื่อหางตาขวาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเสียเหลือเกิน
ก้มหน้าถูมือตัวเองเป็นพัลวันทั้ง ๆ ที่ล้างเสร็จไปตั้งนานแล้ว …ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เหมือนมีคนมารัวกลองใหญ่อยู่ข้างใน
ลูกตาดำส่ายไปมาอย่างกับคนมีพิรุธ ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันช้า ๆ จนเริ่มแน่นขึ้น…
“มึงจะเล่นมั้ยไอ้หวา”
“ถ้ามีว่างก็ลง”
…และเหมือนก๊อกน้ำเล่นตลก
จู่ ๆ หัวก๊อกก็หลุดกระเด็นกระดอนพร้อมกับกระแสน้ำที่พุ่งออกมาอย่างแรง สาดใส่คนที่ร่างกายไม่รู้หน้าที่จนเปียกซ่กไปทั้งตัว
เขาไม่เห็นว่าใครเป็นคนวิ่งไปปิดวาล์วน้ำ เพราะได้ยินแต่เสียงหัวเราะดังระงมอยู่โดยรอบ
หัวเราะให้กับตุ่นปากเป็ดที่เหมือนโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
“ไม่รู้หรือไงว่าก๊อกน้ำอันนั้นมันเสีย”
“อย่างมันจะไปรู้อะไร โง่ชิบหาย”
“อ้าว ตรงนั้นฝนตกหรอวะ ฮ่าๆๆ”
“ขำสัส
มึงดูหน้ามันดิ”
เสียงเยาะเย้ยยังคงดังไล่หลังมาไม่ขาดสาย
พริ้มใช้แขนเสื้อตัวเองปาดน้ำบนหน้าเบา ๆ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเพราะแขนเสื้อเขาก็เปียกเหมือนกัน
กระชับสายกระเป๋าด้วยความเคยชินเวลาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ
…ยี่หวาไม่น่าอยู่ตรงนั้นเลย
ถอนหายใจไล่ความผิดหวังที่วันนี้ก็ให้เห็นด้านแย่
ๆ อีกแล้ว ซานกับจอมทัพก็อยู่
ถึงจะเห็นไม่ชัดแต่เดาก็รู้ได้เลยว่าสองคนนั้นคงกำลังหัวเราะเขาอย่างสนุกสนานมากแน่
ๆ แต่เขาไม่ได้สนใจ ขอแค่ยี่หวาไม่ขำก็พอ… เดิมทียี่หวาก็ไม่ได้อะไรกับเขาอยู่แล้ว
ไม่ต้องนับจำนวนเลยว่ายี่หวาเคยมองเขากี่ครั้ง…เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้น
พริ้มไม่เคยอยู่ในสายตาใคร…
ครั้งหนึ่งเขาเคยฝัน…ว่าตัวเองมีเพื่อน
มีคนที่คอยเล่าเรื่องราวตลก ๆ ให้ฟังทุกวัน แม้แต่เรื่องไร้สาระอย่างกระดาษทิชชู่ทำมาทำไมสองชั้นก็ยังน่าฟัง
แล้วหลังจากนั้นเขาก็เป็นฝ่ายเล่า เล่าให้ใครบางคนฟังสารพัดเรื่องราว
แล้วคนคนนั้นก็ยิ้ม…ยิ้มรับกับเรื่องที่เขาเล่า
เสียดายที่มันเป็นแค่ความฝัน
พริ้มพ่นลมหายใจไล่ความจุกที่แผ่นอกออกสองสามรอบ
หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้พลาสติกถลอก ๆ
รอรถบัสที่จะผ่านหน้าโรงเรียนเป็นรอบสุดท้ายด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว
เขาเถียงกับตัวเองอยู่นานว่าควรจะหันหลังไปมองคนที่สนามบอลดีมั้ย
ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะมีใครมองอยู่ แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าถ้ามี…คนคนนั้นจะเป็นใคร
แต่สุดท้ายก็ว่างเปล่า…
ก็พอจะรู้คำตอบอยู่หรอกว่าคงไม่มีใครมองมา
แต่ก็หวังในใจลึก ๆ ว่ามันจะมี เด็กหนุ่มจับปลายผมเปียกชื้นของตัวเองแล้วขยี้มันเบา
ๆ ด้วยนิ้วทั้งสองข้าง ไล่สายตามองร่างกายตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า…แล้วก็ได้รู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครมองมา
เพราะมันไม่น่ามองเลยน่ะสิ
#พริ้มเพียงหวา
10/8/18
ถ้าชอบอย่าลืมบอกต่อ//ป้องปากกระซิบ
ขอบคุณทุกเม้นท์ ทุกแท็ก และทุกคนที่กดกำลังใจนะคะ//ทำมือเป็นรูปมินิฮาร์ททึ
ความคิดเห็น