คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๗
17
วันนี้พริ้มมีรอยยิ้ม...เพราะเขาไม่ได้เดินเข้าโรงเรียนมาเพียงคนเดียว
ความบังเอิญที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่ดันเกิดขึ้นกับพริ้ม นั่นก็คือเมื่อตอนเช้า เขากำลังวิ่งเอาถุงขยะไปทิ้งที่ถังใหญ่ ซึ่งถังส่วนรวมอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่จิ้มลิ้มเคยบอกว่าอยู่แถว ๆ นั้น แต่พริ้มไม่ทันสังเกต และเมื่อเขาหมุนตัวกำลังจะเดินกลับบ้าน...ก็เผอิญสบตาเข้ากับเพื่อนตัวเล็กที่กำลังยืนดูดน้ำอัดลมตั้งแต่เช้าตรู่
จิ้มลิ้มทักทายเขาด้วยเสียงเล็ก ๆ แหลม ๆ เกินกว่าจะเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย พลางยื่นขวดน้ำสีอำพันมาให้ ถึงจะรู้สึกดีใจที่จิ้มลิ้มแบ่งขนมให้กินมากแค่ไหน แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งที่พริ้มปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เขาเคยปวดท้องเพราะกินน้ำอัดลมไม่ถูกเวลามาแล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่อยากเป็นอีก
ระหว่างทางมาโรงเรียนแปลกกว่าเมื่อวานหรือวันก่อน ๆ พริ้มชินชากับสายตาหลาย ๆ คู่ที่จ้องมองมา แต่ถ้ามันมีสักคู่สองคู่ เขาก็ไม่รู้สึกระแคะระคายอะไรหรอก แต่ครั้งนี้ไม่ใช่...ไม่ว่าพริ้มเดินผ่านใคร พวกเขาก็จะละความสนใจเพื่อจ้องมาที่เขา
อะไรติดหน้าหรือเปล่านะ...
“นี่พริ้ม มีอะไรติดหน้าเราปะ”
“...ไม่มีนะ”
“หรือตรงหน้าผากเรายังมีรอยแดงอยู่? โธ่...เฮียเพลิงนะเฮียเพลิง! ดีดซะแรงเลย!!”
“ที่หน้าผากก็ไม่มีนะ”
“อ่าว...งั้น...เขามองอะไรกันอ่ะ”
จิ้มลิ้มเลิกลัก ในเมื่อไม่มีอะไรติดอยู่บนหน้าสักอย่างแล้วพวกผู้หญิงรอบ ๆ ที่เราเดินผ่านเขามองมากันทำไม แถมยังมองไม่ละสายตาด้วยนะ เดินไปจนจะสุดแล้วถึงได้ป้องปากกระซิบกันต่อ เอ๊ะ หรือกางเกงพละจะขาด? ต้องดูให้พริ้มก่อนมั้ย หรือจะให้พริ้มดูให้เราก่อนดี
“เราว่า...พวกเขาไม่ได้มองจิ้มลิ้มหรอก”
“เราเช็คก้นพริ้มแล้วนะ...ไม่ขาด เราก็ไม่ขาดเหมือนกัน”
“ฮึฮึ ไม่ใช่ที่กางเกงหรอก ...แยกกันตรงนี้เลยมั้ย”
“เอ๊ะ? ไม่ได้จะไปนั่งด้วยกันหรอกหรอ”
“ไม่ดีกว่า เรา...มีธุระ”
พริ้มเดินแยกจากจิ้มลิ้มแม้จะไม่อยากทำแบบนั้นเลยก็ตามที เขาเดินขึ้นอาคารเรียนมาคนเดียว ในเวลาเช้าตรู่แบบนี้ไม่ค่อยจะมีคนขึ้นมาข้างบนหรอก เพราะต้องรอเข้าแถวข้างล่าง พริ้มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป...จากสายตาที่มองมา...เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด ขึ้นอยู่กับว่าคราวนี้จะเป็นเรื่องอะไร
แผลที่มุมปากเขายังไม่หายดี มันยังเป็นแผลเปียกอยู่ หลังจากวันนั้นที่ยี่หวามาส่งบ้าน พริ้มก็เอาแต่นอนคิดอย่างหนักว่าตัวเองจะโอเคกับการอยู่ชมรมต่อจริง ๆ หรอ เขายังอยากอยู่ใกล้ยี่หวาถึงได้ตอบออกไปแบบนั้น แต่แท้จริงแล้วพริ้มเป็นคนโลภที่รู้สึกตัว...การอยู่ใกล้ยี่หวาจะทำให้เขาก้าวออกมายากขึ้น
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะที่กระจกตรงทางเดินดังขึ้น พริ้มวางกระเป๋าของตัวเองลงบนเก้าอี้ก่อนจะเดินไปหาคนที่เคาะเรียกเขา
“หวัดดีเทค”
“หวัดดี มาทำอะไรอยู่คนเดียว?”
“เราเอากระเป๋าขึ้นมาเก็บน่ะ แล้วเทคล่ะ?”
“ขึ้นมาหานาย”
พริ้มเลิกคิ้วสงสัย ขึ้นมาหาเขาทำไมกัน…
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“เห็นจิ้มลิ้มบอกว่านายขึ้นห้องไปก่อน ฉันก็เลยตามมาดู”
“อ่า...” แล้วมันทำไมกันล่ะ
พริ้มพยักหน้าหงึกหงัก เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าเทคจะว่ายังไง เจ้าตัวยิ้มให้เขาก่อนจะทำมือชวนให้เดินลงไปด้วยกัน ทีแรกเขาช่างใจ...แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ
“เห็นไอ้หวาบอกว่านายจะอยู่ชมรมต่อใช่มั้ย?”
“อ๋อ...ใช่แล้วล่ะ” พวกเขาคุยกันอยู่ตลอดเลยงั้นสินะ ดีจัง เขาเองก็อยากคุยแชทกับยี่หวาบ้าง มันน่าจะทำให้เขากล้าคุยมากกว่าตอนอยู่ต่อหน้าหรือเปล่านะ ก็...ตามที่อ่าน ๆ มาเขาบอกว่าการแชทแบบไม่เห็นหน้ามันช่วยทำให้คุยได้ง่ายกว่่ามองตากัน
“ดีแล้ว ตอนนายซ้อมก็พอมีแววนะ ถ้าลองให้โค้ชขัดเงาก็น่าจะรุ่งได้เลย”
“พูดไปนั่น เราไม่เห็นจะรู้สึกว่าตัวเองกล้ารับบอลมากขึ้นเลย”
เทคทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เหมือนสมุนไพรกลิ่นอ่อน ๆ ที่ทำให้รู้สึกเย็น การชวนคุยก็เป็นธรรมดาเสียจนพริ้มไม่ทันรู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินมาถึงม้านั่งแล้ว เขาเดินเลี่ยงไปทางผ้าที่กวักมือเรียกให้เข้าไปหา ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ผ้า เป็นช่องว่างที่ได้มาจากการที่ซานขยับให้
“แผลยังไม่หายอีกหรอพริ้ม”
“ยังเลย แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ”
“โกหก ถ้าใกล้แล้วจะปิดพลาสเตอร์ทำไมอีก”
“ถ้าแค่อยากแปะ...ก็ไม่ได้หรอ”
ผ้าชะงักเมื่อพริ้มทำหน้าหงอยใส่
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอก แล้วมึงจะทำหน้าหงอทำไมเนี่ย”
“เราเปล่านะ”
และเขาก็โดนผ้าเขกหัวเบา ๆ ให้หายมันเขี้ยว
เขาว่าไม่ได้รู้สึกไปเองหรอกว่าตัวเองโดนมอง ยิ่งพอได้นั่งก็รู้สึกว่าจะมองกันแบบไม่หลบซ่อนเลยด้วย พริ้มเหลือบมองยี่หวา ใบหน้าของร่างสูงก็ไม่ต่างอะไรจากเดิมนอกจากเส้นตรงและคงที่ ขนาดเขาหัวเราะกันเพราะมุกตลก หวายังทำแค่ยกมุมปากกับส่งเสียงเบา ๆ ออกมาจากลำคอเท่านั้นเอง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมุกไม่ตลกหรือเป็นคนยิ้มยากกันแน่…
“เอ้อไอ้หวา แล้วเรื่อง...” เนยโพล่งขึ้นก่อนจะเหล่ตามองพริ้มที่นั่งคุยเล่นกับผ้า ไม่ได้ยินที่เขาพูด
“จัดการแล้ว เหลือแค่รอ”
“ดี อยากเล่นแม่งจะแย่แล้ว”
และอยู่ ๆ ก็มีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวแทรกขึ้นมา
“เล่นไรกันวะ เล่นด้วย”
“เล่นเหี้ยไรไอ้ผ้า ไอ้เด็กติดเกม!”
“ติดเกมบ้านมึงดิ!”
“...อย่าตะโกนใส่หูเราได้มั้ย”
พริ้มที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างผ้ากับซานถึงกับยกมืออุดหู ขอร้องเสียงหงอยเพราะถ้าแค่บอกกับผ้าน่ะไม่เป็นไรหรอก ให้พูดเสียงดังกว่านี้ก็ทำได้ แต่อีกคนดันเป็นซานที่พริ้มเกรงใจมาก เสียงที่พูดออกไปมันเลยออกแนวน่ารักเสียมากกว่า
“เออ ๆ เห็นแก่เสียงงุ้งงิ้งเหมือนแมวหรอกนะเลยยอมให้”
“มันก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้นหรอกมั้ย”
“เสียงพวกกูมันดังมากขนาดที่ต้องพูดด้วยเสียงแมวร้องหิวนมเลยหรอวะ”
“เอ่อ...เราขอโทษนะ จะไม่พูดอีกแล้ว”
“ฮ่า ๆๆ หงอแล้ว ๆ หูตกแล้ว เพราะมึงอ่ะไอ้ซาน!”
“กูเหี้ยไร เพราะมึงแหละ เสียงพริ้มเลยกลายเป็นแมว”
ซานกับผ้าหัวเราะดังลั่น พอจอมทัพเห็นว่าสนุกก็มุดเข้ามาแจมด้วย กลายเป็นว่าพริ้มโดนล้อจนปากงอเพราะบีึนใส่แต่ไม่มีใครหยุด
ท่ามกลางเวลาที่เหมือนถูกหยุด…
กลับมีใครบางคนขยับได้
ยี่หวาลอบมองอยู่เงียบ ๆ เขาไล่สายตาไปตั้งแต่เรือนผมสีสวย ลงมายังคิ้วที่กำลังคดงอเป็นรูปตัวยูเพราะถูกล้อเลียนอย่างหนัก ดวงตาหวานจดจ้องใบหน้าเพื่อนตัวเองไปมาและมีบางครั้งก็หลุบต่ำ ริมฝีปากเล็กบึนสลับกับอ้าออกเพื่อจะเถียง แต่พอจะเอ่ยก็โดนไอ้ผ้าสกัดเอาไว้ตลอด คนอย่างพริ้มจะไปเถียงทันมันได้ยังไง
และแล้วดวงตาก็หยุดลงที่มุมปาก ถึงจะมีพลาสเตอร์ปิดอยู่ แต่ก็พอจินตนาการได้ว่าป่านนี้มันคงช้ำเลือดอยู่เป็นแน่ ร่องรอยเมื่อสองวันก่อนคงยังไม่หายไปไหน นั่นเลยทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออก
“โอ๋ ๆ อย่าเบะปากดิ เดี๋ยวเลี้ยงน้ำ”
“ไม่ต้องเลย ผ้าล้อเราหนักสุด เราไม่อยากกินน้ำจากผ้า”
“ใครเขาอยากกินน้ำจากผ้ากันมั่งวะ เขาก็กินจากแก้วกันทั้งนั้นอ่ะ”
“จอมทัพอย่ากวนเรา”
“เสียงดุด้วยเว้ยเฮ้ย!”
ตั้งแต่อาจารย์ยังไม่เข้าห้องจนกระทั่งสอนเสร็จไปหนึ่งวิชา เขาก็รู้สึกว่าแคทมองมาทางนี้ไม่หยุด เท็ดดี้ก็มา ๆ หาย ๆ คงจะโดดเรียนอีกตามเคย แต่ที่น่ากังวลเห็นจะเป็นสายตาจากแคทเสียมากกว่า ปกติแคทแทบจะไม่ชายตามองมาทางเขาเลยด้วยซ้ำ มีแค่ตอนจะใช้ทำนู้นนี่ให้เท่านั้นแหละถึงจะมอง
พริ้มนั่งเรียนไม่มีสมาธิเลยเพราะโดนจ้อง แคทน่าจะมีอะไรสักอย่างอยากจะพูดกับเขาแน่ ๆ แต่มันยังไม่มีจังหวะ อาจารย์สอนติดต่อกันสี่คาบไม่เหลือช่องว่างให้แคทพุ่งมาทางเขา จนเมื่ออาจารย์คนสุดท้ายรับคำขอบคุณจากนักเรียนเสร็จ แคทก็รีบฝ่าเพื่อน ๆ มาหาเขาทันที
“อีพริ้ม!!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง ถึงจะรู้อนาคตว่าแคทจะต้องมาแน่ ๆ แต่ไม่ได้คิดเผื่อไปว่าจะมาพร้อมเสียงดังขนาดนี้ สาวเจ้าคว้าเข้าที่ไหล่ก่อนจะออกแรงผลัก ใบหน้าสวยดูโมโห แต่ไม่รู้ว่าโมโหอะไรมา สาเหตุมาจากพริ้มแน่ไม่ต้องสงสัย แต่เพราะอะไรล่ะ
“มึงกล้ามากนะ!!”
“...”
แคทโวยวายเสียงดังโดยไม่สนว่าคนอื่นในห้องจะมองอยู่หรือเปล่า เธอเหมือนหมาบ้าที่เอาแต่ตะโกนแหกปากใส่หน้าเพื่อนที่ตัวเล็กไม่น้อยไปกว่าเธอ พริ้มตกใจ แต่ยังมีสติ เขาไม่ได้ตอบที่แคทถาม เพราะไม่รู้ว่าแคทพูดอะไร แรงเขย่าที่ไหล่เริ่มแรงมากขึ้น พริ้มเริ่มเจ็บเลยจับเข้าที่มือแคทหวังจะให้ปล่อย
“ปล่อยเราก่อน...ได้มั้ย”
“กูนึกแล้วว่ามึงน่ะพวกแรดเงียบ!! ตั้งแต่เข้าชมรมวอลเล่ย์ได้แล้ว...กูนึกแล้วไม่มีผิด!!”
“จ...ใจเย็น ๆ ก่อนนะ”
“มึงคิดจะทำอะไร? ห๊ะ! ตอบ!!”
พริ้มลุกขึ้น ถ้าขืนเอาแต่นั่งก็จะถูกแคทดันไหล่จนเจ็บไปมากกว่านี้ เขารั้งมือแคทตรงหัวไหล่ เล็บของเธอจิกลงมาผ่านเสื้อนักเรียนบาง ๆ จนยับยู่ยี่ไปหมด พริ้มกะจังหวะอยู่ในใจ จากนั้นก็ใช้สองมือสลัดการกระทำอันรุนแรงของแคทจนต่างคนต่างเซ
เป็นครั้งแรกที่พริ้มกล้าสู้กับแคท นั่นเลยทำให้แคทยิ่งโมโหเข้าไปอีก
“อีพริ้ม!!!”
“อย่านะ!”
ไม้ทีขนาดใหญ่ที่วางทิ้งไว้บนตู้ริมหน้าต่างไม่เคยมีประโยชน์เลยจนกระทั่งตอนนี้ ดีที่มันเป็นเหล็ก อย่างน้อยก็ใช้ต่อกรกับแคทได้ประมาณหนึ่ง ยังไงพริ้มคนเดียวก็สู้ผู้หญิงเจ็ดคนไม่ไหว แต่ถ้าพอซื้อเวลาได้เขาก็ควรจะควักเงินจ่าย
ก็พอรู้มาบ้างว่าแคทเป็นคนจิตอ่อน ๆ ไม่ใช่แค่การทำร้ายเขา แคทก็ยังทำร้ายเพื่อนตัวเองแบบทีเผลออีกด้วย ประมาณว่าแกล้งกันไปมา แต่แคทดันเล่นแรงจนได้เลือด พริ้มสูดหายใจเข้าลึก ๆ บอกตัวเองย้ำ ๆ ว่าเขาไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว ถ้าสู้แล้วได้แผล อย่างน้อย ๆ ก็มีผ้าที่ยินดีจะทำแผลให้ ไม่ต้องไปส่องกระจกแล้วป้ายยาผิด ๆ ถูก ๆ เพราะกะตำแหน่งไม่ถูกอีกแล้ว
“เอาสิ...ฟาดลงมาเลย กล้ามั้ยล่ะ?”
แคทยื่นแขนของเธอเข้ามาใกล้
“เราไม่รู้หรอกนะว่าแคทไปโมโหอะไรมา แต่ถ้าไม่บอก...เราก็คุยกับแคทไม่รู้เรื่อง”
“เหอะ! ใครเขาอยากคุยกับมึง คนอย่างมึงน่ะ...ควรจะลาออกไปพร้อมกับอีเหม็นเปรี้ยวซะตั้งแต่ตอนนั้น!!”
“อย่าพูดถึง...มะนาวแบบนั้น”
“โธ่พริ้ม แม่พระเกินไปหรือเปล่า อีนั่นมันควรจะโดนแบบที่มึงโดนด้วยซ้ำนะ ไม่รู้สึกหรอว่ามันไม่แฟร์…?”
เอาแต่พูดถึงอดีตที่เขาไม่อยากจดจำอยู่ได้ เห็นว่าจี้ใจดำได้อยู่ตลอดเลยคิดจะขยี้เมื่อไรก็ได้งั้นหรอ แคทไม่ได้เดินเข้ามาใกล้ แต่คิดว่าไม่ใช่เพราะกลัวไม้ทีที่พริ้มถืออยู่แน่ ๆ ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็นั่งสะเปะสะปะดูเขากับแคททะเลาะกัน ไม่มีใครคิดจะช่วยห้ามอีกตามเคย
ถ้าอยู่ในห้องนี้...เขาก็ตัวคนเดียว
“เราขอร้อง...เราไม่เคยขัดใจแคทเลย เราทำตามที่แคทบอกให้ทำเสมอ แต่ครั้งนี้เราขอไม่ได้หรอ...”
“...”
“เราไม่ใช่ที่รองรับเวลาแคทอารมณ์เสีย...เราเจ็บทุกครั้งเลยนะ เราไปทำอะไรให้....”
“หุบปาก!! เพราะกูเกลียดมึงไง! รำคาญ!! เหม็นขี้หน้า!! ไปตายซะได้ก็ดี!!!”
เอาเข้าจริง… พริ้มก็ไม่กล้าเหวี่ยงไม้ทีไปที่ผู้หญิงคนนี้ เกลียดตัวเองที่เป็นคนขี้ขลาด และในเวลาคับขันก็ยังนึกไปถึงผลลัพธ์ต่าง ๆ นานาว่าถ้าหากเขาเหวี่ยงมันไปจริง ๆ แล้วจะเกิดอะไรตามมา เรื่องมันคงไม่จบลงที่แคทได้แผลแล้วเขาสะใจหรอก เธอเป็นถึงลูกคนใหญ่คนโต มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเล่นงานเขา แค่ที่เจอก็สาหัสแล้ว และพริ้มมั่นใจว่ามันจะต้องสาหัสกว่านี้
...แต่มีคนที่ไม่ได้คิดแบบนั้น
กระจกบานเดียวกับที่เทคเคาะเรียกพริ้มเมื่อเช้าถูกเลื่อนออกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครทันเห็น มือปริศนาโผล่ออกมาจากทางด้านหลังก่อนจะผลักหัวแคทที่กำลังจะพุ่งเข้ามาอย่างแรงจนเซไปชนเข้ากับโต๊ะเรียน ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก...มากเสียจนพริ้มยืนนิ่งงันอยู่สักพัก
และก็พบเข้ากับใบหน้าที่พริ้มไม่เคยนึกว่าเขาคนนี้จะยื่นมือเข้ามา
“เป็นบ้าไปแล้วหรอ”
เสียงนั่นทุ้มต่ำและคุ้นหู...เพียงแค่ได้ยินก็แทบจะบอกได้ทันทีเลยว่าเจ้าของเสียงคือใคร พริ้มใจเต้นรัว...ไม่รู้ว่ามาจากเหตุการณ์เมื่อกี้หรือจากอะไรกันแน่ แคทเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เธอค่อย ๆ ลุกโดยมีการช่วยเหลือจากเพื่อนสาวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ ใบหน้าของเธอไม่มีรอยกระแทกหรือเลือดไหล นั่นเลยทำให้พริ้มรู้สึกโล่งใจนิดหน่อย
“ย...ยี่หวา”
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
พริ้มส่ายหน้าเป็นคำตอบ มองตามยี่หวาที่เดินอ้อมเข้ามาทางประตูด้านหลัง ไม่มีใครเดาใจผู้ชายคนนี้ได้เลยสักคนเดียว ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็หวั่นใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกัปตันชมรมทีมชาย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้น
นั่นคือปรากฏตัวเพื่อ...พริ้ม
มือหนาคว้าเข้าที่ข้อมือเล็ก ใบหน้าด้านข้างดูไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่ไม่มีใครแยกออกว่าที่ตัวเองคิดกับความจริงเป็นเรื่องเดียวกันมั้ย ยี่หวาหันไปหาแคทที่ยืนกำมือจ้องพริ้มตาเขียว ถ้าไม่ติดว่ามีคนที่เธอชอบอยู่ตรงนี้ พริ้มก็คงเละไปแล้ว
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบอยู่แบบเงียบ ๆ สินะ”
“...”
“ระหว่างนี้ก็...หาคำแก้ตัวไว้ด้วยแล้วกัน”
ทิ้งทวนด้วยน้ำเสียงและแววตานิ่งสนิท มันเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งที่เกาะตัวกันหนากว่าชั้นหินเสียอีก พริ้มก้าวขาไปตามแรงดึงของยี่หวา ก่อนจะเห็นว่าไม่ได้มีแค่หวาที่ยืนอยู่กับเขา ยังมีซาน จอมทัพ และเทคที่อยู่ห้องข้าง ๆ กันยืนอยู่นอกหน้าต่างด้วย
และสิ่งที่ทำให้พริ้มอึ้งนั้นไม่ใช่ยี่หวาที่ลากเขาไปตามทางเดิน...แต่เป็นโทรศัพท์มือถือของซานที่ยกตั้งราวกับใช้เป็นลูกตาของคน อย่าบอกนะว่า...สิ่งที่ทุกคนในห้องเห็น
กล้องของซานก็เห็นด้วยเหมือนกัน
“ห๊ะ!! โดนอีแมวผีเล่นอีกแล้วหรอ!!!”
“ผ้าอย่าเสียงดังสิ แล้วเราก็ไม่เป็นอะไรด้วยนะ”
...เพราะได้หวามาช่วยไว้ทัน
เขาเดินลงมาที่โรงอาหารจนกระทั่งถึงโต๊ะที่ผ้านั่งรออยู่ ยี่หวากับคนอื่น ๆ บอกว่าจะขอแวบไปที่โรงยิมแปปหนึ่ง แต่ก่อนไปจอมทัพก็เล่าเรื่องเมื่อกี้ให้ผ้าฟังจนอีกคนหัวร้อน โวยวายอย่างที่เห็น พริ้มได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรแล้วเพราะผ้าโกรธให้แทนซะหมดม้วน
“ถ้าไอ้มุกไม่ลากกูลงมาแดกข้าวก่อน ก็อย่าได้หวังว่ามันจะรอด!”
“อย่ามีเรื่องเลย มันเสียหายนะ”
“เหอะ! ใครจะไปใจเย็นอยู่ได้วะ เพื่อนโดนทั้งคนนะเว้ย!”
“แต่เราไม่ได้โดนอะไรนะ”
“เออดิ ถ้าไอ้หวาไปไม่ทันก็เข้าอีหรอบเดิม กูกับมึงลากกันไปที่ห้องพยาบาล!”
“ครั้งนี้ไม่เป็นแบบนั้นหรอก...”
“...”
“ถึงเราจะไม่กล้า แต่เราก็ไม่คิดจะอยู่นิ่ง ๆ หรอกนะ”
ผ้าถอนหายใจเหนื่อยอ่อน อยากซื้อต่อนิสัยของพริ้มชิบหาย แต่อย่างน้อย ๆ มันก็น่ารักตรงที่ไม่อยากทำร้ายผู้หญิงนั่นแหละนะ ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเป็นปีศาจประสาทแดกก็เถอะ พอเห็นพริ้มทำหน้าทำตาเหมือนรับวิตามินมาเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้เพิ่งหลุดออกจากสนามรบมาหมาด ๆ เขาก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เลียนแบบกลับไป ลูบเรือนผมสีหวานที่หลาย ๆ ครั้งมักจะรั้งมาขยี้เล่น
“ดีแล้ว อย่าทำให้ตัวเองเจ็บอีกนะ”
“ขอบใจนะ”
“มาขอบคุณกูทำไม ไปพูดกับไอ้หวานู้น”
“อ่า...”
ผ้าลากพริ้มไปที่ร้านขายข้าวแกง กังวลนิดหน่อยว่าเจ้าเพื่อนตัวจ้อยอาจจะไม่อยากอาหาร แต่เปล่าเลย เจ้าตัวเล็กคนนี้จิ้มนู้น จิ้มนี่ จิ้มนั่น ตั้งสามอย่าง ใบหน้าไม่มีความกังวลเหมือนผ้าที่ทำอยู่ตอนนี้เลย เด็กคนนี้...เข้มแข็งเกินไปหรือกำลังทำตัวเข้มแข็งอยู่ก็ไม่รู้
“เราไม่เป็นไรจริง ๆ”
“ถามจริงนะ...เกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนมอสี่?”
“...”
“...”
มุมนี้เงียบสงบขนาดที่ได้ยินเสียงจานกระทบโต๊ะ ต่างคนต่างเงียบเพราะมีความอึดอัดลอยอยู่รอบตัว พริ้มไม่อยากพูดถึงอดีต และผ้าก็ไม่คิดจะพูดว่า ‘ถ้าไม่สะดวกใจจะไม่เล่าก็ได้’ เพราะเขาอยากรู้ เห็นเวลาแคทมองพริ้มทีไรแล้วรู้สึกโมโหทุกที ใช้สายตาดูถูกปนรังเกียจ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในโรงเรียน มันก็ต้องมีมวยสักยกสองยกกันบ้างแหละ
“จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าฟังเท่าไรน่ะ”
“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ อนุญาตให้พักเล่าได้”
พริ้มกำลังจะเอ่ยปากเล่าหลังจากจ้องมองกับข้าวบนจานอยู่หลายนาที แต่ยี่หวาและคนอื่น ๆ กลับเดินมาขัดจังหวะเขาเสียก่อน ผ้าโวยวายยกใหญ่ อุตส่าห์กล่อมพริ้มจนจะยอมเล่าเรื่องเมื่อตอนนั้นได้แล้วแท้ ๆ แต่ดันมาในเวลานี้เสียได้
เทคแตะไหล่พริ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดออกมา
“งั้นให้พวกเราฟังด้วยได้มั้ย?”
2 ปีก่อน
ตอนนั้นพริ้มอยู่มอสี่ทับสี่ เขาก็เป็นเด็กนักเรียนทั่ว ๆ ไปที่พูดคุยกับเพื่อน ๆ ได้เป็นปกติ ช่วงเทอมสองของพวกเราทุกคนมักจะสนิทสนมกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ต่างคนต่างปรับตัวและซ่อนนิสัยแย่ ๆ เอาไว้ เพราะเราต่างก็กลัวการไม่มีสังคม…
พริ้มมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นเด็กผู้หญิงจากต่างจังหวัด และเรานั่งโต๊ะติดกันเลยสนิทกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน แต่มันเริ่มมีบางอย่างแปลกไปตอนที่เข้าเดือนที่สองของการเรียนเทอมสอง ‘มะนาว’ เหมือนอยากเข้าไปร่วมกลุ่มกับแคท ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีปัญหา ดีซะอีก เพราะสำหรับเขา...การมีเพื่อนเพศเดียวกันก็จะทำให้เราคุยกันได้ง่ายขึ้น
แคทในตอนนั้น...ถึงจะไม่แรงเท่าตอนนี้ แต่ก็มีความต่างออกไปเพียงนิดเดียว พริ้มไม่ค่อยเอาตัวเองไปอยู่ในรัศมีของเธอหรอก เพราะเขารู้ว่าเราสองคน...ไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลยสักอย่าง ดูจากการคบเพื่อนกลุ่มผู้ชายของเธออย่างเท็ดดี้ แค่นี้ก็พอรู้ได้แล้ว
แต่หลังจากที่มะนาวไปอยู่กับแคทบ่อยขึ้น แคทก็เริ่มใช้สายตาแปลก ๆ มองมาทางเขาอยู่บ่อย ๆ จับความหมายไปในทางลบ เพราะนอกจากสายตาแล้ว ปากของเธอก็ไม่เคยอยู่นิ่งเลย เขาเพิ่งมารู้เอาตอนหลังว่าเธอเอาเรื่องของเขาไปนินทา...
เรื่องที่ว่านั่นก็คือ เรื่องที่เขาชอบยี่หวามาก ถึงขนาดพยายามติวสอบเพื่อให้ติดโรงเรียนนี้ แต่ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าแคทเองก็ชอบยี่หวาเหมือนกัน มันก็เลยเหมือนกับว่าพริ้มกำลังจะไปแย่งปลาทูในเข่งที่เธอกำลังเล็งอยู่ จากนั้นแคทก็เริ่มมีอคติกับเขา
ส่วนเท็ดดี้เราเจอกันครั้งแรกบนรถบัสที่เขาขึ้นประจำ ตอนแรกพี่เบิ้มไม่ได้สนใจเขาเลย แล้วหลังจากนั้นก็นึกไม่ออกแล้วว่าเท็ดดี้เริ่มลงมือแกล้งเขาตอนไหน
มะนาวก็ไป ๆ มา ๆ ระหว่างเขากับแคทอยู่แบบนี้หลายวัน จนกระทั่งเราอยู่ในช่วงสอบไฟนอลเทอมสองของมอสี่ เรื่องราวที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตนักเรียนของพริ้ม...เพียงเพราะคำพูดเพียงคำเดียวของเพื่อนที่สนิทที่สุดในตอนนั้น
ธรรมชาติจะหล่อหลอมให้เราเข้ากับคนในกลุ่มเดียวกัน...
เรื่องมันเกิดขึ้นก่อนวันสอบไฟนอลวันแรก ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าวันไหนเหมือนกัน แคทได้คำตอบวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมจากไหนไม่มีใครรู้ เธอเอามันมาแบ่งให้เพื่อนในกลุ่ม และมะนาวก็เป็นหนึ่งในนั้นที่จดคำตอบเข้าไป
เขาเชื่อว่ามันต้องแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากกว่าที่พวกเธอคิดแน่ ๆ แต่เพื่อนสนิทของพริ้มกลับกลายเป็นแพะตัวน้อยที่ตื่นเต้นจนเผลอทำยางลบตก...และมันเด้ง...แหงนให้เห็นคำตอบที่เธอจดมาซะเต็มก้อน
ครูที่คุมสอบจับได้คาหนังคาเขา เธอโดนส่งเข้าห้องปกครองเพื่อไต่สวน มะนาวยืนกำยางลบก้อนนั้นแน่นและเหงื่อก็เริ่มไหล เธอกัดปากไม่ยอมตอบอะไร แต่พอโดนซักถามมาก ๆ ความกดดันที่เก็บเอาไว้ดันล้นออกมาจนกลายเป็นคำสาวไปถึงตัวการ
วันนั้นเธอเอ่ยชื่อของแคท
‘จริงหรอ?’
‘จ...จ...จริงค่ะ หนูเอามาจาก...กุลิสรา’
ท่ามกลางบรรยากาศแสนตึงเครียด ดีที่ทุกคนทำข้อสอบใกล้เสร็จเสียส่วนใหญ่ เพราะหลังจากที่มะนาวโดนลากตัวออกไป เพื่อนในห้องก็ฮือฮากันระงม แต่เราก็ต้องทำข้อสอบกันต่อ
พริ้มนั่งทำมันด้วยหัวสมองที่เริ่มตื้อขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดข้อสุดท้ายอยู่นานหลายสิบนาทีทั้งที่มันไม่ได้ยากอะไร เอาแต่คิดเป็นห่วงว่ามะนาวจะโดนอะไรบ้าง คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก แทบไม่เหลือทางรอดอะไรให้มะนาวเลยสักอย่าง เพราะยางลบที่ตกอยู่บนพื้นไม่ต่างจากอนาคตเธอ
มะนาวเดินกลับมาที่ห้องหลังหมดเวลาสอบ ด้านข้างเธอมีครูที่คุมสอบเดินตามมาด้วย เธอร้องไห้อย่างหนัก สังเกตจากดวงตาแดงก่ำและแก้มที่เลอะคราบน้ำตา ครูคนนั้นเดินไปคุยกับแคท ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกันอีกรอบ
พริ้มอยากอยู่ข้าง ๆ มะนาว แต่เธอไม่ได้มองมาที่พริ้มเลย
‘อย่าจดเข้าไปเลยนะ ถ้ามะนาวโดนจับได้...’
‘โอ๊ยยย ไม่โดนหรอกน่าพริ้ม มัฟฟินสอนเทคนิคเนียนให้ตั้งเยอะ ระดับนี้...สบาย ๆ’
‘อย่าดีกว่านะ ถ้าโดนจับได้ขึ้นมาต้องแย่แน่ ๆ’
‘อะไรเนี่ยพริ้ม กลัวอะไรวะ’
‘กลัวสิ นี่มันร้ายแรงมากเลยนะ ถ้ามะนาวโดนขึ้นมา เราก็ช่วยอะไรไม่ได้ด้วย’
เพื่อนสาวได้แต่กรอกตามองบน หน่ายกับนิสัยขี้กลัวของเพื่อนตัวเองเสียจริง
‘เอาเป็นว่าถ้าเค้าโดนจับได้ก็จะบอกว่าเอามาจากแคท แค่นี้ก็ชิว ๆ แคทน่ะใหญ่จะตายไป’
‘มันก็น่าจะได้อยู่หรอก แต่เราว่า...’
‘โอ๊ยพริ้ม! ถ้าจะป๊อดก็ป๊อดไปคนเดียวดิ วิชานี้ยากจะตายไป ใคร ๆ เขาก็อยากผ่านปะ’
มะนาวตัดบทก่อนจะลุกไปนั่งกับกลุ่มของแคท พริ้มถอนหายใจ… อุตส่าห์เตือนแล้วแท้ ๆ เด็กต่างจังหวัดที่ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อย่างมะนาวจะไปทำเนียนได้ดีเท่ากลุ่มแคทได้ยังไง ขนาดแกล้งถามว่าแอบขโมยลูกชิ้นในชามก๋วยเตี๋ยวเขาไปใช่มั้ย มะนาวยังเหงื่อแตก สายตาเลิกลัก ถึงจะไม่ได้สารภาพผิดออกมาตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายก็เปิดปากบอกออกมาอยู่ดี
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพื่อนของเขาคงหลุดปากออกไปว่าเอามาจากแคทอย่างที่ได้พูดไว้เป็นแน่
ในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า แคทกับมะนาวก็เดินกลับมาที่ห้อง ไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ แคทปรี่เข้าไปกระชากผมของมะนาวที่มัดรวบตึงอย่างแรง ผลักเพื่อนของตัวเองเข้ากับกระดานดำ ก่อนจะจับหัวของมะนาวโขกกับแผ่นกระดานซ้ำ ๆ อย่างไม่ปรานี
‘มึงกล้าดียังไงถึงบอกว่าเอามาจากกู!! ห๊ะอีมะนาว!!’
‘แคท...เราเจ็บ...ฮือ’
‘อีโง่!! มึงมันเลว!! คนขายเพื่อนอย่างมึงโดนแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ!!!’
แคทเริ่มลงมือแรงขึ้น จากที่จับโขกก็เปลี่ยนมาเป็นตบแก้ม พริ้มทนดูไม่ไหว เขาตัดสินใจพาตัวเองเข้าไปในรัศมีเน่าเฟะ...ที่ไม่มีทางจะออกมาได้ง่าย ๆ เด็กผู้ชายตัวเล็กทำใจกล้า พุ่งเข้าไปห้ามระหว่างกลางคนสองคนที่กำลังดุเดือดไม่สนสายตาใคร
ถึงจะมีคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่มากเพราะลงไปทานข้าวกันแล้ว แต่ก็ไม่ใ่ช่เรื่องดีที่จะถูกเห็น
‘มึงไม่เกี่ยว! ไม่ต้องเสือก!!’
‘มะนาวไม่ได้ตั้งใจจะพูดไปแบบนั้นหรอกนะ ใจเย็น ๆ ก่อน’
‘กูบอกว่ามึงไม่เกี่ยวไง!! ปล่อย!’
‘เราว่าแคทสงบสติอารมณ์ก่อนดีมั้ย แล้ว...แล้วเราค่อยมาคุยกัน’
‘อย่ามาเสือก!!!’
พริ้มเพิ่งได้รู้ว่าแคทแรงเยอะก็ตอนนี้ เขาโดนผลักกระเด็นไปชนเข้ากับขอบโต๊ะครู ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าเข้ามายุ่งเหมือนเขา ทุกคนต่างดูอยู่ไกล ๆ เกาะขอบประตูมองเข้ามาด้วยสายตาน่าสนใจ...ไม่ใช่ห่วงใยหรือขอให้คนในนั้นปลอดภัย
และพริ้มก็เพิ่งได้รู้เหมือนกันว่า ‘เพื่อน’ สำหรับเขา มันไม่เคยมีมาตั้งแต่แรกแล้ว… น่าเศร้าที่ต้องมารู้สึกเหมือนครั้งยังเป็นเด็กประถม ...ในตอนที่คุณครูให้เขียนชื่อเพื่อนสนิทลงในสมุดบันทึก พริ้มเลือกเพื่อนที่ตัวเองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยที่สุด...เพื่อนที่นั่งข้างกัน...เพื่อนที่มักจะคุยเล่นด้วยกัน เขาเขียนชื่อเด็กคนนั้นด้วยความหวัง...หวังว่าเพื่อนคนนั้นก็จะเขียนชื่อเขาด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ใช่…
‘เป็นเพราะพริ้มนั่นแหละ!!’
‘...หมายความไง’
‘ก็...ก็พริ้มนั่นแหละที่ให้เราบอกครูไปแบบนั้น!’
‘ว่าไงนะ’
เป็นคำพูดเพียงคำเดียวที่ทำให้พริ้มถึงกับล้มทั้งยืน
ทุกคนอึ้ง จากนั้นก็เงียบ...เขาเองก็ไม่ต่างกัน มะนาวพูดคำโกหกออกมาได้เต็มปาก แววตาไม่หลงเหลือคำว่าเพื่อนให้กันอีกแล้ว ...ในนั้นมีแต่การจะเอาตัวให้รอดจากสถานการณ์นี้ โดยทำให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุด พริ้มพูดอะไรไม่ออก เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างที่เรียกว่าความผิดหวังจุกดันอยู่ที่ลำคอ ...และมันก้อนใหญ่เสียด้วย
‘ท...ทำไมมะนาวพูดแบบนั้นล่ะ’
‘ก็พริ้มรู้! ว่าเราเอามาจากแคท พริ้มยังบอกเราอยู่เลยว่าถ้าโดนจับได้ขึ้นมาก็โบ้ยไปให้แคทซะ’
‘จริงหรอ?’
แคทหันมาทางเขาด้วยสีหน้าเก็บอารมณ์โกรธ
‘เราไม่ได้พูด...มะนาว...อย่าเป็นแบบนี้สิ’
‘พริ้มพูด!! เรายังคุยกันก่อนจะเข้าห้องสอบอยู่เลย จำไม่ได้หรอ?!’
‘ทำไมทำแบบนี้ล่ะมะนาว...’
หญิงสาวเลือดร้อนผลักคอเสื้อที่เธอกำอยู่ในมือทิ้งแล้วหันมาทางแกะขาวหน้าโง่ที่ถูกเพื่อนป้ายสีดำใส่ ปากเล็กพร่ำด้วยคำซ้ำ ๆ ว่าไม่ได้ทำ แต่คนที่มีอคติอย่างแคทจะไปฟังอะไรจากคนที่เธอเกลียดกันล่ะ
ในตอนนั้นเขาถึงรู้ว่าตัวเองน่ะ...ไม่ต่างจากกระสอบทราย พอถึงเวลาก็มาระบายใส่ทรายกระสอบลูกนี้ซ้ำ ๆ ด้วยความสนุก จนผ้าที่ห่อหุ้มเริ่มเป็นรูเพราะความเจ็บปวด กระสอบทรายลูกนั้นตัดสินใจร้องขอความเห็นใจ แต่กลับไม่ได้รับอะไรนอกจากคำว่า สมควร
สมควรได้ยังไงกัน เขาไม่ได้เป็นคนทำสักหน่อย ...ทำไมเรื่องนี้เขาถึงเป็นคนผิดกันล่ะ อ๋อ...ไม่น่าถาม เป็นเพราะว่าเกลียดไงล่ะ ทำอะไรก็รกหูรกตาไปเสียหมด
หลังจากวันนั้น ข่าวลือผิด ๆ ที่ว่าพริ้มใส่ร้ายแคทก็ลามไปทั่วโรงเรียน พอมีข่าวหนึ่งผุดขึ้นมา ข่าวสอง...ข่าวสามก็ผุดตาม แม้จะเป็นคนละสายพันธุ์ ใช่...ไม่มีข่าวไหนจริงเลยสักอย่าง มีแต่ปากคนทั้งนั้นแหละที่แต่งขึ้นมาเล่าเอาสนุก ไม่สนว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า ขอแค่มีเรื่องสนุกเอาไว้คุยตอนนั่งล้อมกันก็พอ
ชีวิตของเขาเริ่มเน่าตั้งแต่ตอนนั้น พริ้มกับมะนาวโดนกลั่นแกล้งจากเท็ดดี้และแคทไม่เว้นแต่ละวัน คำให้การที่สาวไปถึงตัวแคททำอะไรเธอไม่ได้เลยสักนิดเดียว เพราะแคทน่ะฉลาด เธอลบข้อมูลในโทรศัพท์ทุกอย่าง โพยที่เธอจดเข้าไปก็ทำการฉีกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ราดน้ำให้เปียกจนมองไม่รู้ภาษาและปิดท้ายด้วยการโยนมันทิ้งออกนอกหน้าต่างไป กลายเป็นว่ามะนาวโดนโทษจากโรงเรียนขั้นร้ายแรง
...ส่วนพริ้มก็โดนทัณฑ์บนจากแคท
มะนาวทนอยู่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็หยุดเรียนในระหว่างที่ทำเรื่องย้ายออก ทิ้งให้พริ้มรับความเจ็บปวดทั้งที่ไม่ได้ก่อเอาไว้คนเดียว ไม่มีแม้แต่คำขอโทษหรือคำบอกลาก่อนจะย้ายออกไป เขากลายเป็นใครก็ไม่รู้ในสายตาของเพื่อนคนนั้น ทำไมถึงมีแค่เขาคนเดียวที่ต้องทนอยู่กับอะไรแบบนี้…
ไม่มีใครรับผิดชอบกับคำพูดที่ตัวเองได้ใช้ทำร้ายใครสักคน
...ไม่มี
เรื่องที่พริ้มรู้สึกว่าตัวเองอ่อนไหวกับมันที่สุด...ในวันนี้เขากลับไม่ได้ร้องไห้เพราะมันอีกแล้ว มีแค่รอยยิ้มบาง ๆ ตบท้ายหลังจากเล่าให้เพื่อนในชมรมฟัง ทุกคนทำหน้าไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะว่าพริ้มไม่ได้แสดงออกมาว่าเจ็บปวดกับมัน
พริ้มถึงได้รับแต่รอยยิ้มบางเบาที่คล้ายจะเป็นกำลังใจก็ไม่ปาน
“ตัวเล็กแค่นี้แต่เข้มแข็งกว่าที่คิดนะเนี่ย” เทคยิ้มขำก่อนจะลูบหัวพริ้มเบา ๆ
“หนังคนละม้วนชิบหาย มึงรู้มั้ยพริ้มว่าที่พวกกูได้ยินมามันเป็นยังไง” ซานพูดจบก็ดูดน้ำแดงอึกใหญ่
“ตัวดีเลยมึงอ่ะไอ้ซาน กูก็บอกแล้วว่าพริ้มไม่ใช่คนแบบนั้น” จอมทัพตบหัวซานจนน้ำแดงในแก้วกระฉอกออกมา
“พริ้มเอ้ย...ยิ่งกว่านี้ก็เสาหินแล้วล่ะนะ ถ้าหลังจากนี้โดนใครแกล้งมาอีกล่ะก็ บอกกูได้เลย กูจะเอาปัตตาเลี่ยนไปไถหัวมัน!” ผ้าพูดพลางทำท่าประกอบ
พริ้มเหลือบมองยี่หวาที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรหลังจากฟังจบ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พริ้มเล่าได้คล่องขึ้น...นั่นก็คือยี่หวาที่นั่งเท้าคางมองมาอยู่ตลอด แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ปกติแค่ยี่หวาจ้องสติก็หลุดแล้ว แต่ในเวลาแบบนี้กลับมีพลังขึ้นมาเสียได้
“เอ้อ แล้วเรื่องคลิปอ่ะ เป็นครั้งแรกเลยนะที่กูได้เห็นผีบ้าแบบใกล้ ๆ สุดยอดไปเลยว่ะ”
“เห็นว่าตอนมอห้าก็ก่อเรื่องไปตั้งหลายอย่าง แต่ไม่ยักโดนห่าอะไรสักอย่าง”
“มันขนาดนั้นเลยหรอวะ กูไม่รู้มาก่อนเลย” เนยทำหน้าเหลือเชื่อ
“มันขนาดนั้นแหละ มึงก็หัดสนใจรอบ ๆ ตัวบ้างสิวะ”
“อ้าวเฮ้ย พวกมึงก็รู้กันหรอวะ? มึงด้วยหรอหวา?”
เนยหันไปหาพวก เขามักจะรู้เป็นคนท้าย ๆ เสมอเพราะไม่ค่อยจะสนใจเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่ได้สนใจ ทุก ๆ อย่างที่ไม่ได้สนใจก็ไม่ต่างอะไรกับอากาศ รู้ว่ามีอยู่จริงแต่ไม่คิดจะพยายามมองให้เห็น ยี่หวาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบแชท
“เรื่องนิสัย...รู้นานแล้ว”
“เชี่ย ทำไมมีแต่กูที่ไม่รู้วะ”
ข้าวในจานพร่องไปครึ่งเดียว คงพูดได้เต็มปากแล้วว่าพริ้มไม่มีอารมณ์จะกินจริง ๆ ใกล้หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว ทุกคนเลยแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวกันแต่เนิ่น ๆ ผ้าเดินขนานข้างกับพริ้ม เพื่อนขนาดตัวใกล้ ๆ กันยืนยันว่าจะไปนั่งเล่นรอจนกว่าครูจะเข้าสอน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พริ้มก็โดนยี่หวาเรียกขึ้นมาเสียก่อน
“วันนี้กลับบ้านกี่โมง”
“...หื้ม?”
“วันนี้กลับบ้านกี่โมง”
ที่หื้มออกมาไม่ใช่เพราะไม่ได้ยิน แต่ตกใจต่างหาก
“หวามีอะไรหรอ”
“วันนี้กลับบ้านกี่โมง?”
“เอ่อ...ประมาณห้าโมง เราต้องทำเวรน่ะ”
ร่างสูงไม่ได้เอออออะไรกลับมา แค่ผงกหัวเบา ๆ ก่อนจะเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ...ไม่เข้าใจที่ยี่หวาถามเลยสักอย่าง แถมยังถามด้วยประโยคเดิมซ้ำ ๆ ราวกับคนใจร้อน เฮ้อ...เมื่อไรเขาจะเข้าใจว่าหวาคิดอะไรอยู่สักทีนะ
16:40 น.
ไม้กวาดที่พริ้มกำลังจับมันทำหน้าที่ด้วยท่าทางคล่องแคล่วถูกใครก็ไม่รู้แย่งมันไป
ยี่หวาหมุนด้ามไม้กวาดให้ตรงปลายหงายขึ้นแล้วเอามันไปเสียบไว้ที่เดิม พริ้มมองตามด้วยความงุนงง จู่ ๆ โผล่มาจากไหนกันนะ
“เอ่อ...เรากวาดเสร็จพอดี ขอบคุณนะที่เก็บให้”
“ไม่ได้เก็บให้”
“นั่นสินะ...”
พริ้มเกาท้ายทอยแก้เขิน ยี่หวาในชุดนักเรียนกำลังแบกกระเป๋าไว้บนบ่ากับรองเท้าผ้าใบคู่สวยที่พริ้มชอบลอบมองอยู่เป็นประจำ ก็...ตกหลุมรักแม้กระทั่งรองเท้าก็แบบนี้ ร่างสูงเอามือล้วงกระเป๋า คิ้วสวยขมวดเข้าหากันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ายี่หวากำลังโมโหอะไรอยู่
“เวรวันไหน”
“วันนี้”
“หมายถึงเวรจริง ๆ ที่ลงชื่อไป”
“วันอังคารน่ะ”
หวาวางกระเป๋าลงที่โต๊ะหลังห้อง
“รีบทำซะสิ”
“...โอเค”
ไอ้พลังที่โดนจ้องเมื่อตอนกลางวันหายไปไหน ในตอนนี้น่ะ...ถึงไม่จ้อง แรงจะเดินก็แทบไม่มี พริ้มจัดโต๊ะช้ากว่าทุกทีเพราะสมองเอาแต่สั่งให้เหลือบตามองไปทางยี่หวา แสงสีส้มยามเย็นลอดเข้ามาทางหน้าต่าง สะท้อนใบหน้าด้านข้างของคนที่นั่งรอจนเกิดเงาสวย
ที่นี่สวรรค์หรือเปล่า
“หวาจะพาเราไปไหนหรอ”
หน้าด้านถามออกไปด้วยคำถามที่หลงตัวเองสุด ๆ แต่การกระทำของยี่หวามีเหตุผลเสมอ แค่เจ้าตัวไม่ชอบที่จะพูดออกมาก็เท่านั้น ในขณะที่จัดโต๊ะในหัวก็วิเคราะห์การกระทำของยี่หวามาตลอด จนสังเคราะห์ออกมาเป็นคำถามเมื่อกี้นี้เนี่ยแหละ
“มีที่ที่อยากให้ไปด้วยกันหน่อย”
“อ๋อ บอกตอนนี้เลยได้มั้ยว่าที่ไหน”
“คลินิก”
อย่างนี้นี่เอง…
พริ้มเดินออกมาพร้อมกับแผ่นกระดาษสองสามใบ หลังจากเขาทำเวรเสร็จ (แบบลวก ๆ เพราะยี่หวาบังคับ) เราสองคนก็พากันเดินมาที่คลีนิกแถว ๆ นี้ด้วยกัน กระดาษที่ว่านั่นเป็นผลการตรวจร่างกายที่ได้ร่องรอยมาประมาณสองจุดใหญ่ ๆ หนึ่งคือมุมปาก หมอระบุไว้ว่ามาจากการโดนกระแทกด้วยของแข็ง ถ้าภาษาบ้าน ๆ ก็คือโดนต่อยนั่นแหละ จุดที่สองคือหลัง พริ้มรู้ว่าตัวเองมีรอยช้ำตรงนั้น แต่มองไม่เห็นเวลาส่องกระจก
“หวาจะเอาใช่หรือเปล่า?”
“อืม ค่าตรวจเดี๋ยวฉันออกเองก็แล้วกัน”
“ไม่เอา ๆ เราเป็นคนไปตรวจ แล้วหวาจะจ่ายให้เราทำไม”
“แต่ฉันเป็นคนบังคับนายมา”
หน้าของหวาเริ่มหงิกงอ แต่พริ้มก็ยังยืนยันที่จะจ่าย
“แต่มันเป็นผลตรวจของเรานะ”
“แล้วไง”
“งั้นคนละครึ่งดีมั้ย?”
เอกสารที่มือพริ้มโดนแย่งไป...นั่นคงเป็นคำตอบ พริ้มลอบถอนหายใจ อย่างน้อยจ่ายกันคนละครึ่งก็ยังดีไม่ใช่หรอ แค่หวามาด้วยกันก็รบกวนจะแย่แล้ว
ร่างสูงเดินกลับมาหลังจากจ่ายเงินเสร็จ ที่มือมีถุงอะไรสักอย่าง หน้าตาคล้ายถุงยา… ไม่ทันจะได้สังเกตดี มือข้างที่ถือถุงลูกนั้นก็ยื่นเข้ามาใกล้ ...ของเขาหรอ?
“ยาแก้ปวดกับพลาสเตอร์”
“อ่า...งั้น...อันนี้ขอเราจ่ายเองได้มั้ย”
“ไม่ได้”
พูดจบก็ออกเดินไปก่อน ทิ้งให้พริ้มแอบบึนปากอยู่ข้างหลัง หวาซื้อพลาสเตอร์ยามาเพิ่มให้ ไทม์มิ่งดีทีเดียวเพราะอันเก่าที่ได้รับมาเหลืออันเดียวแล้ว ไหนจะยาแก้ปวดนี่อีก…
อย่าทำอะไรแบบนี้ได้มั้ย...ใจของพริ้มไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น
“เดินมาเร็ว ๆ”
“ก็ยี่หวาเดินไม่รอเราเลย”
“นายน่ะชักช้า”
“เป็นเพราะหวาขายาวต่างหาก”
พริ้มหอบแฮ่ก กว่าจะไล่ยี่หวาทันก็เอาเรื่องอยู่ ไหนจะต้องสับขาเร็ว ๆ เพราะคนตัวสูงคนนี้น่ะขายาวมากกกกก ก้าวแต่ละก้าวยาวเท่าบ้านหลังหนึ่งได้เลยมั้ง ขาสั้น ๆ อย่างเขาจะไปตามทันได้ยังไง
“หวา”
“ว่า?”
“โรงเรียนอยู่ทางนั้นนะ”
“อือ”
ขานรับแต่ไม่หยุดเดิน
“หกโมงแล้วนะ”
“ห้าโมงห้าสิบสี่ต่างหาก”
อะไรของเขากันล่ะเนี่ย
พริ้มเดินตามมาเงียบ ๆ รู้สึกดีนิดหน่อยที่หวาคอยผ่อนจังหวะฝีเท้าให้อยู่ตลอดทาง เห็นใจหนุ่มน้อยขาสั้นที่เริ่มจะหอบแฮกรอบที่สอง ร่างสูงลดสายตาลงมา มองคนด้านข้างที่ทำหน้ามุ่งมัน เดินดุ่ม ๆ ตามมาจนไม่ทันระวังรถข้างหน้า ยี่หวาเลยรั้งเข้าที่แขนแล้วดึงเข้าหาตัว
คนตัวเล็กเซหน้ากระแทกไหล่ จับจมูกแล้วลูบ ๆ ถู ๆ ด้วยท่าทางที่ทำให้คนมองลอบขำ
“ระวังหน่อย”
“ขอโทษที เราไม่ทันได้มอง”
ยิ่งเดินไปตามทางก็ยิ่งคุ้น นี่มันทางกลับบ้านเขานี่นา หวาตั้งใจเดินมาส่งเขางั้นหรอ? อ่า...ไม่เข้าใจเอาซะเลย จังหวะก้าวเดินของหวาช้าลงมากแล้ว แต่พริ้มเลือกที่จะเดินตามอยู่ด้านหลัง ได้แอบมองแผ่นหลังกว้างเงียบ ๆ แบบนี้ดีกว่าเยอะเลย พาลให้นึกถึงตอนนั้น...ตอนที่หวารั้งเขาให้เดินไปพร้อมกัน แผ่นหลังของยี่หวากว้างมาก และมันเหมือนมีความหมายอะไรบางอย่างยามที่ได้มอง
“ชิงช้า?”
“...”
พริ้มชะงักก่อนจะหันมองไปยังข้างทาง
“อยากเล่นหรือไง”
“เปล่า เราแค่สงสัยว่ามันมีชิงช้าตรงนี้ด้วยหรอ”
“...”
“ทุกทีเดินผ่านไม่เคยเห็น”
เดินมาส่งที่บ้านจริง ๆ ด้วยสิ จำทางมาบ้านเขาได้ยังไงทั้งที่มาแค่ครั้งเดียว แล้วยังเป็นตอนมืดอีกต่างหาก ใจจริงเขานึกเสียดายที่ทางมาบ้านตัวเองสั้นไปหน่อย ยังอยากเดินกับยี่หวาให้นานกว่านี้ีอีกสักนิดก็ยังดี หลายวันมานี้พริ้มล้ำเส้นความรู้สึกตัวเองไปเยอะมากพอสมควร ตั้งแต่วันนั้นที่เหมือนคำว่าชอบจะหลุดออกมาจากปากแล้ว ดีที่ห้ามตัวเองไว้ทัน เขายังไม่พร้อมจะยอมรับกับคำตอบ เพราะรู้ว่าเปอร์เซ็นต์มันน้อยเกินไป
“ขอบคุณนะที่มาส่ง”
“อืม”
“แล้วหวากลับยังไง”
“แท็กซี่”
พริ้มพยักหน้ารับ เกรงใจเข้าไปใหญ่ที่อีกฝ่ายต้องกลับมืด
“ให้เราไปส่งมั้ย?”
“ไม่เป็นไร”
“เรา...ขอบคุณหวามาก ๆ นะสำหรับวันนี้ ขอบคุณมากจริง ๆ ที่มาช่วยเรา”
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันรู้ว่านายช่วยตัวเองได้...”
เผลอสบตาเข้ากับดวงตาดุนั่นเสียแล้ว… เป็นแรงดึงดูดที่หลุดออกมายากจริง ๆ แม้รอบ ๆ จะเริ่มมืดลง แต่เขากลับเห็นสีนัยน์ตาของหวาชัดเจน...ราวกับมันมีแสงอยู่ในตัว มือหนาวางลงบนหัวของพริ้มเบา ๆ พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากจากคนตัวสูงกว่าส่งมาให้
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้พริ้มใจเต้นแรงมากกว่าครั้งไหน ๆ
“ตอนนี้นายน่ะ...เก่งกว่าคุณกะรัตซะอีก”
มือข้างนั้นเลื่อนลงมาที่แก้มขวา ขยับส่ายเล่นไปมากับเส้นผมของเขาสองสามทีก่อนผละออกไป จะว่าไป...มันเหมือนท่าที่ยี่หวาลูบขนคุณกะรัตเล่นบ่อย ๆ ...ท่าเดียวกันเลย
“กลับดี ๆ นะ”
ไม่ต้องถามให้สงสัย...ว่าหัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาแบบนี้เพราะใคร
“อืม”
“...”
“อย่าลืมกินยา”
เพราะคนคนนี้ยังไงล่ะ
ความคิดเห็น