คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๓
13
มันเป็นเรื่องปกติที่เรามักจะตื่นเต้นก่อนวันสำคัญเสมอ
ดังเช่นวันนี้ที่ทั้งโรงเรียนกระตือรือร้นเตรียมงานโอเบงกันอย่างขะมักเขม้น
อาจารย์ก็ช่างเข้าใจเด็กเสียเหลือเกิน
วิชาไหนที่ไม่ต้องเร่งเรียนก็ปล่อยให้นักเรียนไปทำกิจกรรมกัน ยกเว้นวิชาที่ไม่ว่ายังไงก็ขาดไม่ได้
เห็นทีคงเป็นคณิตศาสตร์นั่นแหละ
ถึงครูไม่ลา
มาก็ไม่รู้เรื่อง
ช่วงพักเที่ยงเป็นอะไรที่คนเยอะมากถึงมากที่สุด
เป็นช่วงเวลาที่สามชั้นปีเลิกลงมากินข้าวพร้อมกัน กินเสร็จแล้วก็จะชอบเดินเตร่เล่นทั่วโรงเรียน
พริ้มเองก็เช่นกัน… เขาโดนผ้าลากมาที่ชมรมวอลเล่ย์บอล
นั่งเล่นด้วยกันได้ไม่นานก็ถูกยี่หวาเรียกประชุม
ยิ่งเข้าใกล้วันแข่ง
พริ้มยิ่งไม่เห็นยี่หวาเรียนหนังสือเลย ต้องซ้อมอย่างเอาจริงเอาจัง
เพราะเป้าหมายของยี่หวาอยู่สูงมากสำหรับเทศกาลครั้งนี้ โอโซระค่อนข้างเก่ง
ชื่อเสียงของทีมนู้นเขาโด่งดังสูสีคู่กับคาลันโชมานาน ใคร ๆ
ก็รู้ว่าถ้าไม่ใส่ให้เต็มแรงก็อาจจะแพ้ไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
ผ่านมาไม่กี่วันหลังจากที่ความแตก
พริ้มที่ต้องใส่ชุดมาสคอตซ้อมอีกครั้งตามคำขอของชมรมเชียร์ไปเมื่อวันอังคาร เข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์ที่บิดเบือนของพริ้มและซานนั้น…แย่กว่าที่คิด ปกติที่เขาอยู่ในชุดปูส้ม
ซานจะเข้ามาเล่นด้วยเวลาที่ปูส้มยืนนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรทำ แต่วันนั้นเขายืนโง่ ๆ
ทั้งวัน…ซานไม่แม้แต่จะเดินเข้ามาใกล้ มีเพียงเทคและจอมทัพที่ผลัดกันเดินเข้ามาจูงไปตามทาง
สลับกับยี่หวาที่เดินเข้ามาบอกว่าเขาต้องทำอะไร
ถึงจะพูดว่าทำใจไว้แล้ว
แต่เอาเข้าจริงมันไม่ง่ายเลย
พริ้มว่างเหลือเกิน… เขาไม่มีเรียนเลยตั้งแต่คาบเที่ยงจนถึงบ่ายสาม เพื่อนในห้องบางส่วนขออนุญาตอาจารย์ไปจัดซุ้มขายของ
พวกแคทก็ต้องไปซ้อมโชว์ ส่วนพวกเท็ดดี้…ก็น่าจะเดินเล่นอยู่แถวไหนสักที่
ไม่ก็หนีออกนอกโรงเรียนไปแล้ว
ข้างหน้ามีกลุ่มเด็กผู้หญิงกำลังนั่ง
ๆ นอน ๆ เอาพู่กันทาสีอะไรสักอย่างอยู่บนผ้าดิบ หรือจะเป็นตอนที่ผ้าบอกกับเขาว่า ตอนวันแข่งเราจะมีแบนเนอร์เชียร์อันใหญ่ยักษ์
ติดเอาไว้บนอัฒจันทร์ ข่มขวัญให้รู้ว่างานถิ่นใครถิ่นนั้นชนะ
พริ้มรู้จักคนที่นอนฟังเพลงในขณะที่มือก็ทาสี
เธอเป็นกัปตันทีมหญิง ชื่อพู่กันตามที่ยี่หวาเคยเรียก พู่กันเป็นคนตัวสูง หน้าสวย
ออกแนวลุย ๆ ผมหางม้าสีดำของเธอยาวสลวย มันพลิ้วอยู่ตลอดเลยเวลาที่เดินไปมา
ดูเหมือนพู่กันกับยี่หวาจะสนิทกันมาก่อนหน้านั้น
แต่เขาไม่รู้ว่าสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน
“จะทำทันมั้ยเนี่ย
เหลืออีกตั้งเยอะ”
“สีแดงหมดแล้วอ่ะ
พู่!”
“อะไร?”
กัปตันทีมหญิงถอดหูฟังข้างหนึ่งออก
เงยหน้าฟังเพื่อนสาวที่ชูขวดสีแดงให้ดู มันก็น่าจะหมดอยู่หรอกเพราะเป็นสีเก่า
ดีแค่ไหนแล้วที่ยังไม่แห้งกรังไปเสียก่อน ไม่งั้นเปลืองงบชมรมอีก
“มีสีไหนจะหมดอีกปะ?”
“มีม่วงกับแดงเนี่ยแหละ”
“เค
งั้นเดี๋ยวกูออกไปซื้อ”
“เดี๋ยว
มึงไปแล้วใครจะทำต่อ มันเหลืออีกตั้งเยอะ งานมีพรุ่งนี้แล้วนะ”
พริ้มไม่ได้ตั้งใจจะฟังแต่ดันได้ยินชัดเจนทุกคำพูด
เขาอยากเสนอตัวออกไปช่วยเหลือเกิน เพราะยังไงก็งานชมรม
แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเข้าไปบอกตรง ๆ ว่าอยากช่วย พริ้มไม่รู้ว่าเพื่อนคนอื่น
ๆ ได้ยิน ‘ตัวเขา’ มาในแง่ไหน
แต่ส่วนมากก็แง่ลบทั้งนั้น เพราะแบบนั้นเขาเลยไม่กล้าที่จะเอาตัวเองไปทำให้ใครอึดอัดใจ
“กูไปแปปเดียวแหละ
เดี๋ยวให้พวกผู้ชายไปส่ง”
“พวกมันเอารถมากันหรอ
มันเก็บตัวไม่ใช่?”
“เออว่ะ
ไปถามโค้ชแปป เผื่อโค้ชจะไปส่ง”
แวบหนึ่งที่พู่กันสบตาพริ้มในตอนที่เดินผ่านไป
เธอหายเข้าไปในห้องพักนักกีฬา ห้องที่ทีมชายกำลังประชุมกันอยู่
โค้ชเองก็อยู่ในนั้น พริ้มยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงนี้มานานหลายนาทีเห็นจะได้ หญิงสาวสองคนที่ก้มหน้าก้มตาปาดแปรงลงบนผ้าดิบต่างก็สลับกันเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย
แต่ไม่มีใครกล้าถามก่อน
จนในที่สุดก็มีผู้กล้า…
“เอ่อ…พริ้มใช่มั้ยอ่ะ”
“เรา…เราหรอ”
เธอพยักหน้า
ผู้ชายที่ชื่อพริ้มก็มีแค่พริ้มคนเดียวเท่านั้นแหละ
เจ้าของชื่อค่อย
ๆ เดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงนั่งทับขาตัวเองช้า ๆ ด้วยสีหน้าเคอะเขิน พริ้มไม่ค่อยรู้จักใครในทีมหญิงเลยสักคน
ทีมชายก็ไม่เคยเดินคุยจนหมด รู้จักแค่คนที่เขาต้องข้องเกี่ยวเท่านั้น
“เราหม่อน
ส่วนนี่ข้าวฟ่าง”
“หวัดดี…เราพริ้ม”
“แกว่างมั้ยอ่ะ”
“ว…ว่าง”
“ดีเลย
ช่วยระบายสีป้ายเชียร์แทนพู่ได้มั้ย พอดีมันต้องออกไปซื้อของอ่ะ เดี๋ยวทำกันไม่ทัน”
พริ้มระบายยิ้มตอบกลับ
“ได้สิ
ให้เราทำตรงไหนก็บอกมาได้เลยนะ”
“งั้นพริ้มลงสีม่วงตรงคำว่าคาลันโชนะ
อย่าให้ออกนอกเส้นล่ะ”
“ได้เลย”
บรรยากาศระหว่างเราสามคนดีกว่าที่คิด
หม่อนเป็นคนสบาย ๆ อยู่ด้วยแล้วไม่อึดอัด ส่วนข้าวฟ่างก็น่ารัก
ชวนพริ้มคุยนู้นนี่อยู่ตลอดเลย
“พริ้มเรียนสังคมกับใครอ่ะ”
“ครูจิตดี”
“คนเดียวกันเลย
เรียนถึงไหนแล้วอ่ะ แกเรียนถึงบทที่ห้ายังอ่ะ”
“เราเพิ่งเรียนจบไปเมื่อวานเอง”
“จริงอ่ะ
เห็นเพื่อนห้องสามบอกว่าเรียนจบแล้วมีสอบย่อยด้วย”
“ใช่ ๆ
สอบตั้งแต่บทแรก”
“ยากปะ”
“ไม่ยากนะ
เปิดหนังสือได้”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงที่พริ้มเปลี่ยนท่านั่งสลับกับท่านอน
เขาไม่ได้สนใจนักกีฬาตัวจริงคนอื่น ๆ เลย ไม่รู้ว่าป่านนี้ประชุมกันเสร็จหรือยัง
ในตอนนี้พริ้มอยากเป็นคนที่โลภขึ้นมาอีกสักหน่อย เพราะเขารู้สึกดีมาก ๆ
ที่ตัวเองโดนชวนคุยสารพัด รู้สึกดีจนลืมว่าก่อนหน้านั้นชื่อของเขาอาจจะโดนละเลงจนเละไปหมดแล้ว
“เอ่อ…พริ้ม”
“หือ?”
“เสียงเหมือนลูกหมาเลยอ่ะ
ฮ่า ๆ”
ข้าวฟ่างขำชอบใจ
“พริ้ม
เรามีเรื่องอยากจะถามอ่ะ”
“?” พริ้มสบตาเข้ากับหม่อนที่เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“คือ…ที่เราถามไม่ใช่ไรนะ แค่อยากรู้ว่ามันจริงหรือเปล่าอ่ะ”
“อืม…จะถามอะไรหรอ”
“ที่แกโดนเพื่อนในห้องบูลลี่เพราะแกใส่ร้ายแคทว่าโกงข้อสอบใช่มั้ย?”
!!!
พริ้มชะงัก
ตาเล็กเบิกกว้าง ความทรงจำเลวร้ายตอนมอสี่หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองเป็นฉาก ๆ น้ำตา…ความเสียใจ…หักหลัง…ทรยศ…พรั่งพรูเข้ามาจนเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ พริ้มยกปลายพู่กันขึ้นจากผ้า
จุกอยู่ที่อกนานหลายอึดใจก่อนจะฝืนใจตอบ
“…เราไม่เคยทำแบบนั้น…”
“…”
“เราไม่เคยคิดจะทำอะไรแบบนั้นเลย…”
OBEN-G 1st
day
ในที่สุดวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง
งานโอเบงปีนี้จัดขึ้นสองวันคือวันพฤหัสบดีและวันศุกร์
ตั้งแต่หน้าโรงเรียนลามมาจนถึงสุดถนนคราคร่ำไปด้วยร้านค้าของเด็กนักเรียนต่าง ๆ
มากมาย มีทั้งโรงเรียนอซ.และต่างโรงเรียนอีกสี่แห่ง
เป็นเทศกาลเพียงหนึ่งเดียวที่เราจะเดินเอาหัวไหล่ชนกับเด็กโรงเรียนอื่นได้โดยไม่โดนต่อย
และก็เป็นวันที่สาว ๆ หนุ่ม ๆ คึกคักกันเป็นพิเศษเพราะจะได้เจอตัวท็อปของแต่ละโรงเรียนในเทศกาลแห่งนี้
ซึ่งแน่นอนว่างานนี้เป็นงานเปิด
ไม่เพียงแต่เด็กนักเรียนเท่านั้นที่เข้าได้ ผู้ปกครองและคนทั่วไป รวมถึงเด็กมหาลัยในละแวกนี้ก็มักจะกลับมาเยี่ยมเยียนโรงเรียนตัวเองบ่อย
ๆ
“พี่เก้าหวัดดีครับผม”
“อ้าว ไมพี่สองมาคนเดียวอ่ะครับ
แฟนไปไหนล่ะ?”
“พอใส่ชุดนักศึกษาแล้วดูเป็นคนขึ้นเยอะเลยอ่ะพี่
โอ๊ย! อย่าตบหัวผม”
แก๊งยี่หวาทักทายคนหน้าตาฐานันดรเดียวกันอย่างแก๊งตัวเลขที่จบไปเมื่อปีที่แล้ว
เราสนิทกันเพราะพี่เก้าเป็นพี่ไอ้หวา เพื่อนพี่ก็เหมือนพี่เพื่อนล่ะนะ
นอกจากนั้นก็ยังมีมนุษย์ตัวเล็กคนอื่น ๆ เดินตามมาด้วย พวกเขารู้จักแค่ชื่อ ไม่เคยคุยด้วย
ก็เลยได้แต่ยกมือไหว้เฉย ๆ น่าจะมาด้วยกันล่ะมั้ง
“ดูแลกล้องด้วย”
“อืม” ยี่หวารับกล้องที่ว่ามาจากพี่ชายบ้านข้าง
ๆ เก้าถ่อมาทันทีที่เรียนเสร็จ ดีที่ทั้งแก๊งไม่มีใครติดเรียนบ่าย
ยกเว้นสายไหมที่มีเรียน แต่มันโดดไม่ยอมเข้าเรียนเพราะคลาสนี้อาจารย์ไม่เคยเช็คชื่อ
ร่างสูงเหลือบมองคนตัวเล็กหน้าเดิมกับเมื่อวันก่อนนู้นที่เขาเคยเอาแฟ้มไปให้
มาในวันนี้คนคนนี้ก็ยังยืนเกาะชายเสื้อเอาไว้แน่น แต่พอเผลอปล่อยเมื่อไร
พี่เก้าก็จะคว้ามือข้างนั้นมาไว้ที่ชายเสื้อตัวเองดังเดิม
“พวกมึงแข่งกันพรุ่งนี้ใช่ปะ?”
“ใช่พี่
จะมาเชียร์เปล่า”
“กูมีควิซบ่ายว่ะ
ซอรี่”
สองยืนกดโทรศัพท์ยิก
ๆ ไม่พูดไม่จากับใคร ขนาดโดนสายไหมทุบหัว ทุบตัวหลายรอบแล้วก็ยังไม่ปริปากด่า
มัวแต่ก้มหน้าก้มตาแชททางไกลกับแฟนรุ่นพี่ ก็แหม…อุตส่าห์อดทนรอเขาตอบกลับตั้งหลายปี
แต่พอได้เป็นแฟนทั้งทีอีกคนดันไปเรียนอยู่จีนซะงั้น
“จะให้พวกผมพาเดินปะ?”
“เพื่อ?
นี่โรงเรียนกูมั้ย รู้ยันซอกปลวกในโรงยิมแล้วกัน”
“ไรพี่
ตอนนี้มันหายไปแล้วเหอะ”
“เชี่ย หายไปได้ไงวะ
ไอ้ขิง! มึงแอบมาแดกรังปลวกที่โรงยิมใช่มั้ย เพราะมึงกัดเก่งขึ้น”
“ตบปาก!
เดี๋ยวกูจะเอาอีเจ้ยไปแทะหัวมึง ระวังตัวไว้”
“ยุ่งเหี้ยไรกับลูกกูอีกล่ะมึงอ่ะ”
คุยกันได้ไม่ทันไร
ซานกับจอมทัพก็โดนเพื่อนในห้องลากไปที่ร้าน หวังจะเอาหน้าหล่อ ๆ เรียกเรตติ้งเพิ่มยอดขาย
ยี่หวาที่คุยนับคำได้กับพี่ตัวเองก็ขอตัวกลับมาที่ชมรมพร้อมกันกับเทค
ปล่อยให้พวกพี่ ๆ เขาเดินเล่นกันไป
ร่างสูงเดินหิ้วกล้องกลับชมรม
โรงยิมที่ตอนแรกว่างเปล่า แต่ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยริบบิ้นหลากหลายสีและป้ายสปอนเซอร์นานาชนิดติดเต็มขอบสนามไปหมด
มีเด็กโรงเรียนอื่นมานั่งเล่นที่อัศจรรย์ รอการแข่งขันแบดมินตันรอบชิง อาคารเรียนมีการแข่งขันวิชาการเหมือนปีก่อนที่พี่เก้าคว้ารางวัลชนะเลิศกลับมาได้
แต่ขึ้นรับรางวัลหน้าเสาธงแค่ไม่กี่นาที
เทคเดินแยกตัวไปงีบหลับในห้องพัก
คงได้เริ่มซ้อมตอนเย็นแน่ ๆ ถ้าคนจะเยอะขนาดนี้ ยี่หวาเอากล้องตัวโปรดของพี่เก้าออกมาจากกระเป๋า
เป็นกล้องตัวเดียวที่เขามักเห็นพี่ชายคนนั้นเดินแบกไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลามีงานโรงเรียน
แต่ยี่หวาไม่ได้ชอบถ่ายรูปขนาดนั้น เขาแค่เอามาถ่ายเพราะเพื่อนในทีมบอกให้เอามา
ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างสนาม
ปรับกล้องอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ไม่สนใจสายตาคนรอบข้างที่มองมา พอหนุ่มหล่อไม่ใส่ใจว่าใครจะมอง
งี้ก็หวานหมูเป็นอาหารตาไปยาว ๆ เลยแล้วกัน มุมก้มหน้าแล้วจดจ่อกับอะไรสักอย่างนี่โคตรหล่อ
คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก็แสนจะมีเสน่ห์
ผู้ชายคนนั้นรู้ตัวมั้ยว่าทำให้ใครอยากเป็นเมียไปแล้วกี่คน
ถึงป้ายจะติดอยู่รอบสนามเยอะแยะมากมาย
แต่มีป้ายหลักที่ยังไม่เสร็จสักทีวางอยู่ริมทางเดินตรงนี้
พร้อมกับคนสี่คนที่กำลังปั่นจนมือเป็นระวิง
พริ้มมาช่วยทีมหญิงระบายสีอีกเช่นเคย
จากที่เมื่อวานเร่งทำกันแล้วยังไงก็ไม่เสร็จ ด้วยจำนวนคนที่น้อย
แต่งานชิ้นใหญ่ยักษ์ ต่อให้มีเวลาทำทั้งวันก็ไม่น่าจะเสร็จกับคนแค่ไม่กี่คน
พริ้มไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อวานที่หม่อนถาม…
หม่อนเองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำว่าขอโทษ
“นี่ถ้าไม่ติดว่าสนามต้องใช้นะ
หวามันคงลากเพื่อนไปซ้อมละ” จู่ ๆ พู่กันก็พูดขึ้นมา
บุคลิกของพู่กันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พริ้มเกรง ถึงจะให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับแคท
แต่ก็รู้สึกกลัวไม่แพ้กัน พู่กันเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับพริ้มด้วย
เขาเลยยิ่งไม่กล้าคุยเข้าไปใหญ่
“เป็นคนเอาจริงเอาจังน่าดูเลยนะ”
“ก็…เป็นคนจริงจังกับทุกเรื่องที่ชอบล่ะมั้ง”
“พู่รู้จักกับยี่หวาตั้งแต่ตอนไหนหรอ
เห็นว่ารู้จักกันมานานแล้วใช่ปะ?”
พริ้มหูผึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
พอเป็นเรื่องของหวาทีไร เขาก็จะชอบลืมตัวอยู่เสมอเลย
“ตั้งแต่มอต้นปะ…น่าจะใช่อ่ะ ก็เรียนที่เดียวกัน แต่รู้จักกันจริง ๆ จัง ๆ
ก็ตอนเข้าชมรมนี่แหละ”
“ยี่หวาตอนเด็กเป็นไง
หล่อเท่าตอนนี้มะ?”
“ความหล่อเป็นของติดตัวว่ะ
แต่ความโหดเวลาซ้อมอ่ะ นับวันยิ่งทวีคูณ ไม่เคยหัวเราะเหมือนวัยรุ่นทั่วไปเลย
เอาแต่ทำหน้าจริงจังอยู่ได้”
“ก็หวาเป็นคนจริงจังนี่นา”
“ช่าย เป็นคนจริงจังที่น่าหมั่นไส้โคตร
ๆ”
พู่กันดูสบายใจจังเวลาพูดถึงยี่หวา
แชะ!
แชะ!
แชะ!
“อะไรเนี่ยหวา
รูปละห้าร้อยนะเว้ย”
“มีค่าแค่นี้เองหรอ”
“แถวบ้านก็ว่าแพงแล้วย่ะ!”
พริ้มก้มหน้างุด
สั่งตัวเองให้โฟกัสกับงานระบายสีตรงหน้าแต่กลับทำได้ยากเหลือเกิน
คนตัวเล็กแอบเหล่ร่างสูงที่กดถ่ายรูปตามคำขอของพู่กัน
เสียงชัตเตอร์ที่ดังในแต่ละครั้งทำลายสมาธิของพริ้มไปอย่างสิ้นเชิง
เสียงหัวเราะคิกคักของเพื่อนสาวอีกสองคนมีเลศนัยตามประสาเพื่อนที่ชอบเชียร์
ไม่อยากอยู่ตรงนี้เลย…
“ทำไมถ่ายหน้าเราอ้วนอ่ะหวา
ถ่ายใหม่เลย เอาให้สวย ๆ เหมือนตัวจริงสิ”
“ให้คนอื่นถ่ายเถอะ”
“ปากเสียว่ะ”
รอยยิ้มหวานที่พู่กันส่งให้ผ่านกล้องที่มีดวงตาของยี่หวาจ้องอยู่มันช่าง…
พริ้มสะบัดหน้าลงมาที่เดิม
มองช่องที่ว่างเปล่าเงียบ ๆ ก่อนจะปาดแปรงลงไป เขารีบระบายงานตรงหน้าให้เสร็จแทนคนอื่น
ๆ ที่พอได้เล่นก็ไม่มีใครทำงานต่อแล้ว
เร่งรีบทำงานจนมือแทบพัน
ไม่ต่างกันกับหัวใจตัวเอง…
ยี่หวาหลุบตามองเพื่อนในทีมที่ตัวเล็กที่สุดอยู่ครู่หนึ่ง
เมินเสียงของพู่กันที่ยิงคำถามอะไรสักอย่างมาแต่เขาไม่ได้ฟังก็เลยไม่ได้ตอบกลับไป
มือหนายกกล้องที่คล้องอยู่กับคอขึ้นมาในระดับสายตา กดเล็งจุดโฟกัสไปที่ตรงกลาง ก่อนจะกดถ่าย…
แชะ!
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เอาแต่รีบระบายสีอยู่นั่นแหละ จะว่าไปมันก็…คล้ายกับตอนนั้น…แล้วก็ตอนนั้น… ที่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำอย่างเต็มที่อยู่เสมอ
“พริ้ม”
“!?”
แชะ!
ใบหน้าทีเผลอของคนตัวเล็กติดเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนในเมมโมรี่
64GB
เจ้าของกล้องเฉพาะกิจกดดูรูปอยู่แปปหนึ่งก่อนจะหันไปถ่ายเล่นกับพู่กันดังเดิม
พริ้มมึนงงนิดหน่อย ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
กว่าจะได้สติและรู้ตัวว่าเสียงชัตเตอร์เมื่อกี้นี้เป็นของเขา…หัวสมองก็เอาแต่วนลูปใบหน้ายี่หวาที่อยู่หลังกล้องไปมาซ้ำ ๆ จนแก้มแทบระเบิด
พริ้มที่ไม่ชอบยี่หวา…
ไม่น่ามีอยู่บนโลกจริง
ๆ นั่นแหละ
#พริ้มเพียงหวา
6/11/18
ดีใจเสมอเวลาที่บอกว่าอัพแล้วมีคนเมนชั่นมาหาว่า รอนะ พร้อมเสมอ แล้วก็สารพัดคำอุทานเวลาตกใจ555 นี่ก็ดึใจเหมือนกันค่ะที่ได้อัพ อาทิตย์สุดท้ายของสิ้นเดือนนี้เข้าสู่เทศกาลสอบอีกแล้วค่ะ เหมือนเพิ่งสอบมิดเทอมไปเมื่อวานนี้เอง เฮ้อ
ขอบคุณที่อ่าน ขอบคุณที่คอมเม้นท์ ขอบคุณที่ติดแท็ก และขอบคุณที่เอ็นดูน้อง ๆ ในเรื่องทุกคนค่ะ สี่สิ่งนี้คือกำลังใจชั้นดีของเรา
ความคิดเห็น