คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๑
11
กระเป๋าของนายเพียงคุณหายไปไหนไม่รู้…
มันหายไปในตอนที่พริ้มเดินกลับขึ้นมาบนห้อง
ก่อนหน้าที่จะลงไปทานข้าว
เขาพกสมุดสเก็ตช์กับกระเป๋าปากกาลงไปด้วยกันเพื่อที่จะไปวาดหน้าของผ้า
รายนั้นเก๊กหล่อใหญ่แล้วก็ติเขาตลอดถ้าตรงไหนที่เจ้าตัวไม่ชอบ พอเดินขึ้นมาหลังจากใช้เวลาพักกลางวันไปอย่างเต็มอิ่ม
กระเป๋าที่เคยพาดอยู่บนเก้าอี้ก็ได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหลือเพียงสิ่งที่เขาพกติดตัวลงไปแค่สองสามอย่างเท่านั้น
เดาได้ไม่ยากหรอกว่าฝีมือใคร
เอาเวลาไปหากระเป๋าตัวเองก่อนกริ่งดังก็พอ
เบ๊ตัวน้อยเดินก้ม
ๆ เงย ๆ หากระเป๋าตัวเองรอบห้อง เปิดตู้นู้น ปิดตู้นั้น
วุ่นวายอยู่คนเดียวภายในห้องที่ไม่มีใครคิดจะถามพริ้มสักคนว่าหาอะไรอยู่
ทุกคนนั่งคุยเล่นกันปกติ มีเหลือบมองบ้าง
บางคนก็หัวเราะออกมาทันทีที่รู้ว่าเขาหาอะไร
กริ่งเข้าเรียนดังลั่น
พร้อมกับเหล่านักเรียนที่วิ่งทุลักทุเลกันเข้ามาในห้อง
เดินชนไหล่คนตัวเล็กที่กำลังเหงื่อตก
“ใครไม่ได้ส่งการบ้านออกมาหน้าห้อง”
…การบ้านอยู่ในกระเป๋า
เสียงในห้องเงียบลงเมื่อพริ้มลุกขึ้นยืน
มีแค่เขาคนเดียวที่เดินออกไปหน้าห้อง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแวบเข้ามาทันทีที่ครูผู้สอนเดินไปหยิบไม้เรียวประจำตัว
แกไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟาดท่อนไม้นั้นลงที่เนื้อบาง ๆ บนฝ่ามือสองทีจนมันขึ้นสี
“ทำไมไม่ส่ง?
ไม่ได้เอามาหรือไม่ได้ทำ?”
“ทำครับ”
“ทำแล้วทำไมไม่ส่ง?”
“มัน…หายครับ”
“หายไปไหน?”
ถ้าเขารู้ก็คงไม่ต้องโดนตีหรอก
จู่ ๆ
ก็มีเสียงวิ่งตรงทางเดิน
พร้อมกับใบหน้าของผ้าที่ดูรีบร้อนกระหือกระหอบวิ่งลงมาจากชั้นหก ทุกคนหันไปมองผ้ากันเป็นตาเดียวแม้กระทั่งคุณครู
การขยับตัวของผ้ากลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งห้องเพราะเพื่อนลิบอโร่เดินเข้ามาข้างในและยื่นกระเป๋าใบหนึ่งมาให้พริ้ม
“โทษทีครับครู
ผมเอาของมาให้เพื่อน”
พริ้มรับกระเป๋าใบนั้นด้วยมืออีกข้างที่ไม่โดนตี
ทำหน้าไม่เข้าใจส่งไปให้ผ้าที่พยักพเยิดให้รับกระเป๋า เขาสำรวจของข้างในที่จำเป็นต่อวิชานี้มากที่สุดก่อนจะหยิบมันออกมา
ยื่นสมุดปกแข็งให้กับครูที่ฟาดไม้เรียวลงบนมือเขาสองครั้งจนมือข้างนั้นปวดตุ้บ ๆ
และคิดว่าคงจะแดงเถือก
มือของพริ้มบางพอ
ๆ กับหัวใจ
“แล้วทำไมกระเป๋าเพื่อนถึงไปอยู่ที่เธอได้”
“สงสัยมีคนเล่นพิเรนท์เอากระเป๋าเพื่อนไปเทเล่นที่ห้องผมก็ได้มั้งครับ”
“ใคร?”
“ไม่รู้สิครับ
อาจจะเป็นคนที่หน้าเหมือนควายมั้งครับ”
เพื่อนหัวเราะกันลั่นห้องเมื่อผ้าพูดจบ
ครูรับสมุดการบ้านของพริ้มไปแบบอึกอัก รู้สึกผิดที่ตีเด็กคนนี้ก่อนจะถามเหตุผล
ลอบมองมือข้างนั้นที่กำไว้แน่นสลับกับถูเข้ากับกางเกงวอร์ม คงจะแสบมากไม่ใช่น้อย…
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ
หมดธุระละ”
“รีบไปเข้าเรียนได้แล้วไป”
“เดี๋ยวกูมารับนะพริ้ม”
ประโยคนี้ผ้ากระซิบเพื่อให้เราสองคนเท่านั้นได้ยิน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ห้องสี่กลับมาสงบลงอีกครั้งเมื่อครูเริ่มสอน
พริ้มเช็คของอีกครั้งเพราะอยากความแน่ใจว่าทุกอย่างจะอยู่ครบ เห็นผ้าพูดว่า เทเล่น
รับรู้ได้เลยว่าเท็ดดี้คงหมั่นไส้เขาไม่ใช่น้อย คิดว่าการแกล้งครั้งนี้คงจะพอใจพี่เบิ้มได้บ้าง
เพราะไม่งั้นพริ้มคงโดนอีกยาว
พูดยังไม่ทันขาดคำ…
เมื่อออดสุดท้ายของการเรียนดังขึ้น
เก้าอี้ที่พริ้มนั่งอยู่ก็โดนเตะอย่างแรงจนเกือบล้ม
เท็ดดี้ทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะของเขา ตามมาด้วยแก๊งขาใหญ่คนอื่น ๆ
ที่เดินเข้ามาล้อมรอบโต๊ะเขาเอาไว้ สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี คำพูดของผ้าดันไปแทงใจเท็ดดี้เข้าเสียได้
หงุดหงิดตั้งแต่มันเดินหน้าสลอนเข้ามาช่วยไอ้ตุ่นปากเป็ดนี่แล้ว
แถมยังยิ้มกวนตีนใส่ก่อนเดินออกจากห้องไปอีก
อย่างงี้มันก็ต้องลงกับเพื่อนสุดที่รักมั้ยวะ?
“ว่าไงไอ้ก้าง”
“ห…หวัดดีเท็ดดี้”
“หวัดดีเท็ดดี้?
เหอะ ใครเขานับมึงเป็นเพื่อนตอนไหนวะ”
พริ้มหดคอทันทีที่เท็ดดี้ตบหัว
“เดี๋ยวนี้ดูกล้าขึ้นนะมึงอ่ะ
มีไอ้เหี้ยผ้าแล้วคิดว่ากูจะทำไรมึงไม่ได้หรอวะ”
“เราขอโทษ”
“เออ
พูดขอโทษไปจนกว่ากูจะสั่งให้หยุด”
มือใหญ่ของเท็ดดี้ล็อคเข้าที่หลังคอ
ขย้ำลงมาอย่างแรงจนต้องหดคอต่อต้าน แต่ยิ่งหนีมันก็ยิ่งบีบแน่นกว่าเดิม
วูบหนึ่งที่คำพูดของยี่หวาลอยแทรกเข้ามาในหัว พร้อมกับใบหน้าในตอนนั้นที่พูดออกมาอย่างชัดเจนแม้มองไม่เห็นหน้ากัน
‘ถ้ามันไม่สู้
มันก็จะโดนรุมกัดตาย’
!!!
พริ้มลุกพรวด
กระชากตัวเองออกจากวงล้อมของฝูงหมาบ้า ทุกคนตกใจจนทำให้ทั้งห้องเงียบโดยฉับพลัน
เท็ดดี้อึ้งกิมกี่ที่มือตัวเองหลุดออกจากท้ายทอยของเบ๊ไร้ทางสู้…แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้
เบ๊คนนั้นดีดตัวออกมา ก่อนจะสับเท้าเพื่อออกไปจากห้อง
แต่ไม่ทันที่มือใครสักคนรั้งเอาไว้และดึงกลับมาที่เดิม
“กล้าขึ้นจริง ๆ
ด้วย…ไอ้เวร!”
“ชอบว่ะ
ไอ้พวกที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางชนะ”
“เล่นแบบเจ็บ ๆ
มันน่าเบื่อว่ะ กูว่า…”
พริ้มโดนต้อนจนหลังชนเข้ากับชั้นวางของติดกำแพง
ประตูหลังห้องอยู่เพียงแค่เอื้อม แต่ติดที่เขาฝ่าพวกของเท็ดดี้ออกไปไม่ได้
กระจกบานใหญ่ที่ฉายระเบียงตรงทางเดินไร้ผู้คน คาดว่าน่าจะมีแค่ห้องเขาที่ปล่อยก่อน
พริ้มกอดกระเป๋าตัวเองไว้แน่น หลุบตามองต่ำ เผื่อจะหาทางลอดออกไปใต้หว่างขาได้
ถ้าไม่โดนเตะเข้าเสียก่อนนะ
“อะไรวะไอ้แซค”
“ก็…เล่นอะไรที่มัน
น่าอายหน่อยเป็นไง”
แซคเอื้อมมือมาจับเข้าที่ไหล่เล็ก
ใบหน้านั่นยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนในหนังที่คนร้ายจะข่มขืนหญิงสาว
หัวใจเต้นถี่รัวเพราะความกลัวแล่นเข้าสมอง
แล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ในเวลาแบบนี้ยังคิดถึงยี่หวาอยู่อีก
เขาไม่ใจกล้ามากพอที่จะขอหรือเข้าไปใกล้คนคนนั้นอีกแล้ว
วันนั้นหลังจากที่กลับมาบ้าน…ก็เล่นเอาซึมทั้งวัน
“เฮ้ย! ทำเหี้ยไรกันวะ!!”
ก้อนดำ ๆ
ลอยเข้ามากระแทกเต็มหัวของแซคอย่างแรงจนเซไปพิงเพื่อนอีกคน
เป็นผ้านั่นเองที่โยนกระเป๋าเข้ามาในวงจนวงแตกกระจัดกระจายเพราะหนีกระเป๋าลูกนั้น
เพื่อนตาโตเดินเข้ามาลากแขนของพริ้มแล้วดันให้คนที่ตัวเล็กกว่าไปอยู่ข้างหลัง
จากนั้นก็ก้มลงหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาจากพื้น ปัด ๆ มันสองสามทีด้วยท่าทางสบาย
ๆ
“ไอ้เหี้ยผ้า!! ขอต่อยหน้าแม่งสักทีดิ๊!!!”
“มึงเข้ามาดิวะ! คิดว่าหน้าเหมือนควายแล้วจะรังแกคนอื่นก็ได้หรอ!”
“ปากดีนักนะมึง!!”
“เหมือนมึงแหละ! เที่ยวปากดีใส่คนอื่น คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าป่า แต่ขอโทษเหอะ! ศัตรูมึงคือลูกแมว ภูมิใจมากมั้ยอ่ะ”
ผ้ายังคงเป็นผ้าในวันนั้นที่ด่าเท็ดดี้คอโก่งเพื่อพริ้มบนรถบัส
…ในตอนนี้ต่างกันอยู่นิดหน่อยที่ผ้าพร้อมจะเล่นงานเท็ดดี้กับคนอื่น ๆ
ได้ทุกเมื่อถ้าต้องการ อารมณ์ของผ้ารุนแรงกว่าครั้งนั้น
มันดูจริงจังจนพริ้มเริ่มกังวลว่าผ้าอาจจะมีเรื่องได้
ดังนั้นเขาเลยได้แต่เขย่าแขนของผ้าเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเย็นลง แต่ไม่ได้ผลเลย
“กูจะบอกมึงไว้นะไอ้ผ้า…ยิ่งมึงปกป้องมันมากเท่าไร
พวกกูก็จะเอาคืนมัน…มากเท่านั้น”
“เป็นคำขู่ที่เหมือนหมาลอบกัดชิบหายเลยว่ะ
ฟังแล้วกลัวเป็นบ้า”
“แน่นอน
คนที่ต้องกลัวไม่ใช่มึง แต่เป็นเพื่อนมึงต่างหาก!”
พวกเท็ดดี้ยอมถอยทัพทยอยออกจากห้องไปจนหมด
คำขู่ของเท็ดดี้ไม่ได้น่ากลัวสำหรับพริ้มอีกต่อไป เพราะมันเกิดขึ้นจริงแน่ ๆ ที่น่ากลัวน่าจะเป็นตรงที่เขาไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร…
พริ้มยืนเงียบเพราะผ้ายังโกรธอยู่ อารมณ์ของเขาพุ่งสูงจนเกือบถึงขีดสุด
ถ้าถึงก็น่าจะกระโดดต่อยพวกแม่งไปแล้ว
เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่พริ้มกล้าเรียกเอากระเป๋าสะพายเข้าที่ไหล่
เลื่อนมือตัวเองขึ้นจับมือของพริ้มที่สั่นและเปียกเหงื่อมาตั้งแต่ตอนไหนแล้วก็ไม่รู้
ถอนหายใจไล่ความโมโหออกไปแต่ยังไงก็ไม่หมด หันหน้าไปมองเพื่อนคนอื่น ๆ
ที่เอาแต่มองมาทางนี้ด้วยความสนอกสนใจ บางคนก็ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่าย แต่ไม่มีใครก้าวออกมาช่วยพริ้มสักคน
ผ้าเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของพริ้มทีละนิด
ๆ
และมันมากพอที่อยากจะปกป้อง
“มองเหี้ยไร
ไม่ช่วยก็ไม่ต้องสาระแน”
“ผ้า…” พริ้มเรียกรั้งให้ผ้าเย็นลง
เพราะเจ้าตัวเริ่มหันไปอาละวาดใส่เพื่อนในห้องเขาแทนแล้ว
“ดีเนอะเพื่อนห้องมึงเนี่ย
เหมือนกันไปหมด…ยกเว้นมึง”
เด็กหนุ่มตัวเท่า
ๆ กันสองคนเดินจูงมือกันออกมาจากห้องเรียนนรก หลังจากเพิ่งฝ่าสงครามปากเปรตมาได้สำเร็จ
และก็ต้องหยุดชะงักเมื่อใบหน้าของคนที่พริ้มเผลอนึกขึ้นในใจตอนเกิดเรื่อง
ปรากฏขึ้นเต็มตาตรงหน้าตัวเป็น ๆ
“โดดซ้อมได้ปะวะ”
“ไม่ได้”
“รู้
ถามไปงั้นแหละ”
“โมโหอะไรมา”
“มีปากเสียงกับไอ้เช็ดขี้นิดหน่อย”
พริ้มซ่อนอยู่หลังของผ้า
เขาไม่กล้ามองหน้ายี่หวา คำพูดและใบหน้าหงุดหงิดของคนตัวสูงยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ตลอด
มันกลายเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าพริ้มไม่ควรคิดไปเองหรือถล้ำเข้าไปในพื้นที่ของยี่หวาอีก
นั่นเลยทำให้เขาไม่กล้าเผชิญหน้า…แม้แต่พูดคุยก็ไม่กล้า
หวาลอบมองคนตัวเล็กที่เอาคนตัวเล็กเหมือนกันเป็นที่กำบัง…ทำอย่างกับเขาจะไม่เห็นอย่างนั้นแหละ
อยู่ ๆ ก็อึกอักไปเองจนพาบรรยากาศรอบ ๆ กระอักกระอวนไปด้วย หลังจากวันเสาร์ที่ไอ้หวาสติแตก
วันต่อมาไอ้เทคก็สั่งให้ไอ้หวาไปขอโทษพริ้มซะ หวาเองก็รู้สึกผิด เขาเก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์อะไรก็ตาม
แต่พอเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแบบนี้ก็ทำเอาเขาไปไม่เป็นเหมือนกัน
ผ้าถอนหายใจ
แม่งอึดอัดชิบหายกับการเป็นคนกลางเนี่ย
“พริ้ม” ผ้ารั้งมือของพริ้มให้เดินออกมาข้างหน้า
แต่เพื่อนตัวเล็กก็ยื้อเอาไว้ ดื้อดึงไม่ยอมทำตามที่สั่ง ทั้ง ๆ
ที่เป็นคนหัวอ่อนยอมคนเขาตลอดแท้ ๆ
แต่พอเป็นเรื่องของไอ้หวาแล้วทำใจกล้าขึ้นมาเชียว
การคุยกันผ่านทางสายตาของผ้าและหวาได้เริ่มขึ้นราว
ๆ สองนาทีได้ เขาส่งไปว่าจะเอายังไงต่อดี ในเมื่อพริ้มไม่พร้อมที่จะคุย
ไอ้หวาก็รีบส่งกลับมาว่าช่างแม่ง ไอ้ห่านี่แม่งจะติดนิสัยไม่เอาใครไปถึงไหน
เรื่องนี้มึงผิดเต็ม ๆ ง้อยากนิด ๆ หน่อย ๆ มันก็ต้องยอมกันมั้ยวะ
พริ้มไม่ได้เล่นตัว แต่แค่ไม่กล้าเข้าใกล้ก็เท่านั้น
“ไปโรงยิมกัน”
พริ้มกระซิบเบา ๆ ที่ไหล่ของผ้า
“เออ ๆ งั้น…ไปเจอกันที่โรงยิม”
ตอบรับคนด้านหลังก่อนจะสลับหันไปคุยกับกัปตันทีม
“อย่าดึงเรา”
“ดึงนิดดึงหน่อยทำเป็นบ่น”
หน้าที่ทำความสะอาดเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครคิดจะใส่ชื่อลงไปตกเป็นของพริ้มที่กำลังยืนกลับเสื้ออยู่หน้าเครื่องซักผ้า
เขาหนีเข้ามาในห้องนี้หลังจากที่โค้ชปล่อยให้ซ้อมเอาเองได้สามสิบนาทีจนเขาหมดแรง
คู่ซ้อมของเขายังเป็นขมคนเดิมที่ใจดีแล้วก็ยิ้มเป็นกำลังใจให้พริ้มบ่อย ๆ
เวลาเสิร์ฟได้ก็กล่าวเชยชม เวลารับลูกไม่ได้ก็บอกว่าลองใหม่อีกครั้ง
พริ้มคิดว่าการมีคู่เล่นอะไรสักอย่างเป็นเรื่องที่ดี
พ่นลมหายใจเหนื่อยอ่อนออกมาเบา
ๆ เมื่อรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ยามที่ได้เห็นใบหน้ายี่หวา มันก็จะมีภาพในวันนั้นที่อีกคนตะคอกใส่…ผลักเขาออกจากห้อง…ลอยทับขึ้นมาอยู่ตลอด
การที่ยี่หวาเมินไม่ได้ทำให้พริ้มเจ็บปวดเท่ากับยี่หวาทำแบบนั้นใส่
และเขาไม่ชอบที่ตัวเองเจ็บปวดอยู่แบบนี้ เพราะมันหมายความว่าพริ้มไม่มีทางเลิกชอบคนคนนี้ได้เลย
เสื้อตัวสุดท้ายที่ถูกกลับด้านหล่นลงไปในเครื่อง
ทับกับตัวอื่น ๆ และมันเป็นชื่อของหวา เขาเขินที่ได้จับเสื้อตัวนั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนจับตัวหวาอยู่ยังไงชอบกล
ยิ่งคิด…หน้ายิ่งแดง ตบ ๆ กล่องความคิดบ้าบอออกไปก่อนจะปิดฝาเครื่อง
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงของเครื่องที่เริ่มทำงานเลยทำให้พริ้มไม่ได้ยิน
พอหันไปเจอว่าใครที่เดินเข้ามาก็แทบลมจับ ยี่หวาเข้ามาทำอะไรตอนนี้!
แถมยัง…ไม่ใส่เสื้ออีกด้วย
พริ้มเดินถอยให้อีกฝ่ายเอาเสื้อหย่อนลงในตะกร้าด้านข้างเพราะพริ้มปั่นผ้าไปเรียบร้อยแล้ว
กล้ามเนื้อของยี่หวาไล่เป็นเส้นชัดเจนแม้ในนี้จะมีแสงไม่เพียงพอก็ตาม…แตกต่างจากพริ้มโดยสิ้นเชิงเลย
เขาหนีออกจากประตูบานเดียวในห้องนี้ไม่ได้เพราะหวายืนบังอยู่
ร่างสูงหยิบเอาเสื้อที่แขวนไว้ในล็อคของใครของมันออกมาใส่ และหันหน้ามาทางพริ้ม
รู้สึกตัวเองตัวเล็กลงทุกทีเวลาโดนสายตาคู่นั้นจ้อง
“ขอโทษเรื่องในวันนั้นด้วย”
“…!”
“ฉันหงุดหงิด
ไม่ได้ตั้งใจ”
ห้องซักผ้าเงียบลงอีกครั้งเมื่อหวาพูดจบ
พริ้มมีอะไรหลายอย่างจะพูดออกไป อย่างเช่น บอกว่าไม่เป็นไร
หรือถามว่านิ้วที่เจ็บดีขึ้นมาบ้างหรือยัง แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำ…
“หลายครั้งฉันมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองอ่อนแอ”
“…”
“…”
“…หวาแค่เจ็บ
เดี๋ยวก็หาย”
ร่างสูงแอบขัดใจที่คนตัวเล็กตรงหน้าก้มหน้างุดจนมองไม่ออกว่าตอนนี้ทำสีหน้าอะไรอยู่
ริมฝีปากหนายกยิ้มบางเบาเมื่อรู้สึกถูกใจกับประโยคเมื่อกี้ เขาขยับเท้าเข้าไปใกล้…และแน่นอนว่าอีกฝ่ายถอยออก
เขาลองก้าวอีกครั้ง…และมันก็เป็นเหมือนเดิม
“เงยหน้า”
“…”
“ฉันไม่เดินเข้าไปใกล้แล้ว
…เงยหน้า”
ใบหน้าหวานเงยขึ้นช้า
ๆ ฉายแววตาที่ดูอึดอัดน้อยกว่าตอนที่เราเจอกันก่อนจะมาโรงยิม พริ้มหลบตาเป็นพัลวัน
มือที่กุมเอาไว้ตรงหน้าท้องก็เกี่ยวกันไปมาราวกับคนคิดหนัก
แต่ยี่หวารู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น…
สิ่งหนึ่งที่สืบทอดกันมาของตระกูลคือการอ่านคนออก แล้วยิ่งเป็นคนแบบนี้…แทบไม่ต้องเดาเลย
“วันพฤหัสกับวันศุกร์
มีนัดซ้อมพิธีเปิดกับมาสคอต”
“อ่า…โอเค”
ไม่ได้ใส่ชุดนั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ…
ลุงกุนก็ไม่รู้ด้วยว่าตลอดระยะเวลาที่รับงานชุดปูส้ม เขาแทบไม่ได้ใส่มันเลย
“แล้วก็…”
เสียงของยี่หวาเบาลง
ร่างสูงไม่พูดออกมาทันที ท่าทางดูเหมือนคนกำลังคิดว่าจะพูดมันออกไปดีหรือเปล่า
พริ้มยืนมองคนตรงหน้าตาแป๋ว รอฟังอะไรบางอย่างที่หวาอาจจะพูดออกมา โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองในตอนนี้คล้ายกับคุณกะรัต…ในตอนเด็ก
“…แซนวิช”
“…?”
“อร่อยดี”
เคยมั้ย?
แค่คำพูดสั้น ๆ
ของคนที่เราชอบก็เปลี่ยนโลกทั้งใบของเราได้
#พริ้มเพียงหวา
หายไปนานเว่อ ก็เพราะว่าปีสามนั่นเอง5555555555 ถ้าคนที่ผ่านปีสามหรือกำลังอยู่ปีสามจะรู้ดีที่สุด
ใช่ๆ เราจะพูดถึงเรื่องนี้หลายรอบแล้วแต่ก็ลืมทุกทีเลย เรื่องของคาแรกเตอร์ตัวละคร คือเราไม่ได้ฟิกว่าต้องเป็นคนนั้นคนนี้ มีบ้างที่บางตัวก็ฟิก แต่บางตัวก็คิดชื่อมมาเฉยๆ ไหนๆ ก็ดูจะเป็นการกวนใจของคนอ่าน งั้นเราจะบอกตรงนี้เลย จะได้ไม่งงนะคะ
ตัวหลักก็แน่นอนอยู่แล้ว ชานแบค-ยี่หวาและพริ้ม มุก-พี่หมิน เนย-พี่จุน ผ้า-ดีโอ ขม-จงแด เทค-เทา จอมทัพ-จงอิน ซาน-เซฮุน ที่เหลือไม่มีใบหน้าของใครค่ะ เอาที่ในหัวของทุกคนเห็นภาพละกันเนอะ
ขอบคุณที่อ่านนะคะ <3 อยู่ในจุดที่ขอให้ตัวเองพาเด็กๆไปจนถึงรางวัลโอเบงก็เพียงพอแล้ว
ความคิดเห็น