คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๐
10
สมุดสเก็ตช์ภาพเล่มโตกับดินสอแหลมกำลังดีหนึ่งแท่งถูกหยิบออกมาจากกระเป๋านักเรียน
เขาเดินตามเพื่อนคนอื่น ๆ ที่เดินกันเป็นคู่เพราะอาจารย์สั่งให้เราจับคู่วาดภาพ… พริ้มเริ่มไม่ชอบวิชาศิลปะตั้งแต่ที่อาจารย์ให้จับคู่กันวาดเกินสองครั้ง
ทั้งที่ในใบรายชื่อก็บอกอย่างชัดเจนว่าห้องสี่มีนักเรียนสามสิบสามคน
นั่นหมายความว่าคนที่ไม่มีคู่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นก็คือ พริ้ม
ครั้งก่อน ๆ
อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการวาดหน้าเพื่อนที่มีคู่อยู่แล้ว หรือไม่ก็ขอวาดใบหน้าดาราในโทรศัพท์
แต่สำหรับวันนี้…พริ้มตั้งใจว่าจะไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่เคยเป็นแบบให้พริ้มวาดเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
ประจวบเหมาะกับที่อาจารย์ให้เราลงมานั่งวาดกันอย่างผ่อนคลายที่สนามหญ้าข้างตึกเรียน
…เพื่อนของพริ้มก็อยู่แถว
ๆ นั้น
คนตัวเล็กปลีกตัวออกมาจากกลุ่มห้อง
ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วยิ้มบาง ๆ ทักทาย
เปิดสมุดสเก็ตช์ของตัวเองเบา ๆ พลางเอาดินสอสองบียกขึ้นมาในระดับสายตาและหลับตาข้างหนึ่งลง
เพื่อนที่ว่าของพริ้มก็คือต้นไม้ต้นนี้นี่แหละ
“เปลือกหลุดออกไปไหนหรอไม้”
…
“เดี๋ยวเราจะวาดไม้ให้สวย
ๆ เลย”
ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมานอกจากสายลม
แต่เกรงว่าวันนี้ลมไม่ได้พัดมาและผ่านไป…
“คุยกับใครอยู่น่ะ”
“!!!”
น้ำเสียงเข้มปนดุดังขึ้นหลังต้นไม้จนพริ้มเผลอปล่อยดินสอตกลงบนพื้นหญ้า
นิ่งงันด้วยความตกใจกับความคิดที่ว่า ต้นไม้โรงเรียนนี้พูดได้ด้วยหรอ…
ไม่ทันจะคิดอะไรเป็นตุเป็นตะ ไหล่บางทั้งสองข้างก็สะดุ้งโหยงราวกับคนเห็นผี เพราะคนที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้และยืนมองหน้าเขาด้วยความสงสัยจนคิ้วขมวดนั้น…เป็นใบหน้าที่พริ้มแอบชอบมาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนที่นี่
“ย…ย…ยี่…หวาเองหรอ”
“ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้นี่”
“นั่น…สินะ”
ร่างสูงใช้ขายาว
ๆ ก้าวข้ามม้าหินอ่อนใต้อาคารที่ลากเป็นทางยาว เอาไว้สำหรับนั่งทั่ว ๆ ไป
พริ้มไม่เห็นใครอยู่แถวนี้เลยตั้งแต่เดินมาตรงนี้
ไม่ได้ยินแม้กระทั่งฝีเท้าของยี่หวา ขนาดหวาทิ้งตัวลงนั่งเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง…
เขาหูไม่ดีหรือยี่หวาตัวเบากันแน่
“ม…มีอะไรหรอ”
“ฉันเห็นนายนั่งคุยกับต้นไม้”
“อ่า…คือ…”
น่าขายหน้าชะมัด
พริ้มพูดตะกุกตะกัก
ทำตัวไม่ถูกอย่างหนักเมื่อได้อยู่กันสองคนกับยี่หวา ถึงแม้เขาจะเคยติดฝนกับหวาเมื่ออาทิตย์ก่อน…ในห้องพักนักกีฬากันสองคน แต่ใช่ว่าจะทำตัวให้ชินกับสถานการณ์ที่ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน
ๆ แล้วหัวใจจะเต้นเป็นปกติได้นี่ อีกอย่าง…ยี่หวาในชุดพละน่ะ…ตัวอันตรายเลย
“วาดรูป…วิชาศิลปะ?”
“…ใช่”
“…เลิกเขินสักทีเถอะ เวลาที่นายเอาแต่หลบตา มันน่ารำคาญนะรู้มั้ย”
“ม…ไม่ได้เขิน! ไม่ได้เขินสักหน่อย…”
“ฉันไม่ได้โง่”
พริ้มเม้มปาก
คำพูดของยี่หวาหมายความว่ายังไง ที่พูดว่าไม่ได้โง่นั่นก็แปลว่ารู้ใช่มั้ยว่าพริ้ม…แอบชอบ ถ้าเป็นอย่างนั้น…เขาแทบไม่มีหวัง
เพราะยี่หวาเพิกเฉยทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาคิดแบบนั้น อีกฝ่ายทำตัวปกติเช่นเดียวกับระยะห่างของเราก็ยังถูกเว้นไว้เท่าเดิม
พริ้มควรตัดใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่น่าดึงดันที่จะตามคนคนนี้มาเลย…
บรรยากาศเทาลงเมื่อหัวใจผ่อนแรง
มันไม่เต้นรัวเหมือนตอนที่ยี่หวาเดินมา กลับกัน…มันเต้นช้าลงในตอนที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาของหวามาตั้งแต่แรก
พริ้มไม่ใช่เพื่อนของยี่หวา
ที่กัปตันทีมคาลันโชเข้ามาคุยด้วยก็เพราะติดสัญญาดูแลมาสคอต
มันมีแต่พริ้มมาตั้งแต่แรก…มีแต่เขาที่ใจเต้นไปเองคนเดียว
“ไอ้หวา! เดินไม่รอกูเลยนะมึง” ซานเดินโวยวายมาแต่ไกล
“มึงช้า”
“ก็ไอ้หมวยมันดึงตัวกูไว้
อ้าว…คุยกับเบ๊ไอ้เท็ดอยู่หรอวะ”
พริ้มยิ้มแห้งส่งให้ซานที่ชะโงกหน้าถาม
ก่อนเจ้าตัวจะเบะปากส่งมาให้ อันที่จริงเขาชินกับการกระทำของซานแล้ว
ไม่ว่าตอนไหนหรือเมื่อไร ซานก็ไม่เคยยิ้มตอบพริ้มเลยสักครั้งเดียว สงสัยชื่อเสียงของเขาจะไม่ค่อยผ่านหูซานในทางที่ดีเท่าไรล่ะมั้ง
“จะไปกันยังอ่ะไอ้หวา
กูปวดฉี่ไม่ไหวแล้วนะเว้ย”
“ไปดิ”
“เออใช่
เสร็จแล้วมึงไปหาไอ้พู่ด้วย มันถามหามึง”
“เออ”
พริ้มหันกลับมาสนใจงานที่ไม่เริ่มสักเส้นของตัวเองต่อ
เขาวาดลำต้นของมันและจินตนาการเอาเองว่าหน้าของไม้ก็คงจะอยู่แถว ๆ นี้ ในขณะที่มือลากเส้นตรงในแนวดิ่ง…ความคิดของพริ้มก็แล่นไปมาราวกับเป็นจรวด
คำพูดของยี่หวาพุ่งกระแทกเนื้อกะโหลกของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สลัดยังไงก็ไม่หลุด
หรือบางทีนั่นอาจจะเป็นคำตอบ
ก็น่าจะใช่อยู่หรอก
คนขี้รำคาญอย่างยี่หวา ไม่น่าจะชอบคนขี้อาย เงอะงะ แล้วก็อ่อนแออย่างพริ้มเป็นแน่
หลาย ๆ ครั้งที่เขาเองก็รู้สึกขัดใจกับนิสัยยอมคนของตัวเอง
ต้องทำตัวอ่อนลงจะได้ไม่โดนกิน คล้าย ๆ กับลูกหมาที่จะนอนแผละในยามที่ตัวเองสู้ใครเขาไม่ได้
ซึ่งท่านั้นก็จะทำให้จ่าฝูงทำร้ายได้สะดวกมากขึ้น
ซึ่งเหมือนพริ้มอย่างกับแกะ
ต่างกันที่ท่านอนแผละเป็นท่าหดคอเหมือนเต่า ถ้าพริ้มมีกระดอง
อีกหน่อยก็คงไม่อยากจะออกมา …พอได้ปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดคนขี้แพ้ก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
อย่างน้อยยี่หวาก็ไม่ได้ผลักไสหรือทำท่าทีรังเกียจเขาขนาดนั้น
ต้องขอบคุณนิสัยไม่เอาใครของยี่หวาเลย
“เพียงคุณ”
“ครับ”
หลังจากครบเวลาที่ปล่อยให้วาดเล่นกันตามอัธยาศัย
อาจารย์ที่สั่งงานทิ้งไว้แล้วหายไปตั้งแต่ต้นคาบก็ปรากฏตัวขึ้น เรียกชื่อแต่ละคนให้เอางานไปส่งพร้อมกับคู่ตัวเอง
ท็อปปิกที่มีชื่อพริ้มน่าสนใจเสมอ ยิ่งเดินออกมาจากแถวคนเดียวแล้วยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่
เสียงซุบซิบดังระงมเมื่อเพื่อนแถวหน้าเห็นงานของพริ้มแล้วกระจายบอกต่อกัน
“อะไรนะมึง
มันวาดต้นไม้หรอ”
“จริงอ่ะ
อีเหี้ย ไม่มีใครคบขนาดนั้นเลยหรอวะ”
“ถ้ากูไม่มีคู่แล้วเหลือมันอยู่คนเดียว
กูยอมวาดหน้าตัวเองแทนอ่ะ”
“กูก็ไม่เอาว่ะ
ฮ่า ๆ”
คำพูดว่าร้ายไม่เคยสร้างความชินชาให้กับใคร…
พริ้มได้ยินทุกคำ
แต่ก็เลือกที่จะเงียบ เขาสบตากับอาจารย์ประจำวิชา แววตาของแกหนักใจ…หนักใจกับใบหน้าของเพื่อนที่มีแต่ลายเปลือกไม้ แกพลิกใบรายชื่อดู…และก็เพิ่งรู้ว่าห้องนี้ไม่ใช่เลขคู่ สงสัยแกจะจำสลับกับอีกห้อง ปากกาแดงของอาจารย์จรดแน่นิ่งอยู่บนกระดาษร้อยปอนด์
เพราะคิดไม่ออกว่าจะต้องให้คะแนนเท่าไรดี
“ถ้าเธอไม่มีคู่
ก็ไปขอคู่คนอื่นวาด”
“…”
“ไปวาดมาใหม่”
“…ครับ”
พริ้มสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช้าตรู่เพราะนึกว่าวันนี้มีเรียน
แต่ไม่ใช่…วันนี้วันเสาร์ต่างหาก จะนอนลงไปอีกรอบก็ไม่ง่วงแล้ว
กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่สองสามนาทีเลยตัดสินใจลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานตอนกลางวันที่นั่งกินข้าวกับผ้า
ผ้าบอกกับเขาว่าวันนี้คาลันโชมีแข่งรอบรองกับทีมเวอร์เบน่า ตามกำหนดการก่อนอาทิตย์ที่สาม
และอาทิตย์หน้าก็จะเข้าสู่ฤดูกาลโอเบง
และสิ่งที่ทำให้พริ้มยิ้มหน้าบานต่อกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ
นั่นก็คือ… ผ้าชวนเขาไปที่ชมรมในวันนี้
หลังคาลันโชแข่งเสร็จประมาณบ่ายโมง แล้วเห็นว่าจะซ้อมกันต่ออีกและจะหนักขึ้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันแข่งรอบชิง
ซึ่งพริ้มมั่นใจล้านเปอร์เซ็นว่าคาลันโชจะต้องชนะแน่ ๆ
ผ้าไลน์มาว่าให้พริ้มซื้อพวกขนมนมเนยหรืออะไรก็ได้ที่น่ากิน
แต่พอได้อ่านชื่อแต่ละอย่างที่ผ้าส่งมา มีแต่จะเรียกตีนยี่หวาได้ง่ายยิ่งขึ้น
เขาก็เลยเสนอว่าจะทำแซนวิชกับชีสสติ๊กไปให้
และจะหิ้วน้ำอัดลมที่ทุกคนเรียกร้องกันมาอย่างล้นหลามไปให้ด้วย
พอผ้าได้อ่านก็รัวสติ๊กเกอร์ดีใจตอบกลับมาใหญ่
และพริ้มก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าถ้าเขาโดนยี่หวาดุ ผ้าต้องช่วยกันหวาให้เขาด้วยนะ
เป็นครั้งแรกที่พริ้มพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ในวันหยุด
พอคิดว่าจะต้องไปเจอยี่หวาแล้วก็ได้แต่โยนเสื้อยืดย้วย ๆ ออกไปให้พ้นเตียง
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเสื้อยืดตัวโคร่งสีชมพูอ่อนที่พี่สาวชอบซื้อมาให้ โดยใช้เหตุผลที่ว่าพริ้มนั้นน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง
ต่อให้ใส่กระโปรงก็ไม่มีใครจับได้ ตู้เขาเลยเต็มไปด้วยเสื้อสีพาสเทลหวาน ๆ
ที่ใหม่เอี่ยมอ่องเพราะไม่กล้าหยิบมาใส่
แต่ไม่รู้ทำไม…วันนี้เขาถึงรู้สึกอยากใส่เสื้อตัวนี้
พริ้มกลัดกระดุมกางเกงยีนส์เป็นอย่างสุดท้าย
ส่องกระจกมองตัวเองแล้วถอนหายใจสลัดความกังวลออกไป เขาจะเริ่มทำแซนวิชสำหรับสิบที่
เผื่อโค้ชและตัวสำรองของทีม นอกจากขมแล้วเขาก็ไม่รู้จักใครอีก… ไม่ลืมที่จะหยิบหมวกไปด้วยเพราะแดดแรงเหลือเกิน พริ้มตั้งใจจะไปซุปเปอร์ข้างนอก
มันอยู่อีกฟากของซอยบ้านเขา ด้วยความที่มันกะทันหัน เขาก็หวังว่ามันจะทันเวลา
“อ้าว!!”
“…อ้าว”
“ฮึ่ย มาได้ไง!”
“เราออกมาซื้อของน่ะ
จิ้มลิ้มล่ะ?”
“เราออกมาซื้อเป๊ปซี่ให้เฮียเพลิง”
จิ้มลิ้มในเสื้อยืด
กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะ ทำเอาพริ้มตาโต พริ้มไม่ค่อยเดินออกมาที่ซุปเปอร์ใหญ่
เพราะมันไกลอยู่พอตัว แต่ถ้ารู้ว่าเดินออกมาแล้วจะเจอจิ้มลิ้มล่ะก็
เขาจะเดินออกมาเที่ยวเล่นทุกวันเลย
“บ้านจิ้มลิ้มอยู่แถวนี้หรอ?”
“เยส นู้น ๆ
หมู่บ้านตรงนั้นอ่ะ”
“ส่วนเราอยู่ในซอยนี้”
ต่างคนต่างชี้เส้นทางให้แก่กัน
พริ้มรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างเกินไป แต่จะหุบยิ้มก็ทำไม่ได้
เขาดีใจที่จิ้มลิ้มอยู่แถวนี้ มันทำให้พริ้มอยากเป็นเพื่อน อยากทำความรู้จัก
และอยากสนิทกับอีกคนให้ได้เร็ว ๆ เผื่อวันไหนพวกเราอาจจะได้เดินกลับบ้านพร้อมกัน
“เราไปซื้อของให้เฮียก่อน
เดี๋ยวโดนเตะตูด”
“เรา…ไปด้วยได้มั้ย?”
“ละพริ้มจะไปไหนอ่ะ
เราจะเข้าเซเว่น”
“เราจะไปซุปเปอร์”
“อืมมมม…งั้นจิ้มลิ้มไปกับพริ้มดีกว่า เป๊ปซี่ที่นั่นถูกกว่า
จะได้เอาเงินเฮียไปกินหนม ฮิ ๆ”
นอกจากพริ้มจะค้นพบว่าจิ้มลิ้มอยู่แถว
ๆ นี้แล้ว พริ้มก็ยังพบว่าจิ้มลิ้มเลือกของได้เก่งสุด ๆ ไปเลย
ความรู้ในการเลือกของสดหรือของลดราคาเรียกได้ว่าช่ำชองมาก ๆ
พริ้มได้รู้เรื่องของเพื่อนตัวจ้อยคนนี้เยอะขึ้น เพราะอีกคนชอบเล่าเรื่องตลก ๆ
ให้ฟัง ทั้งเรื่องตัวเอง เรื่องของคนที่ชื่อเฮียเพลิง
และสารพัดสิ่งที่จะนึกขึ้นมาเล่าได้
“เอ้อลืมถาม
แล้วพริ้มซื้อของไปทำแซนวิชให้ใครเยอะแยะ”
“เราบอกจิ้มลิ้มไปแล้วนะว่าทำให้คนในชมรมวอลเล่ย์บอล”
“อ๋อ ๆ
งั้นหรอกหรอ ฮ่า ๆ ลืมอ่ะ”
“จิ้มลิ้มกลับก่อนก็ได้นะ
เดี๋ยวเฮียเพลิงจะโกรธเอา”
“โอ๊ยยยยย เฮียแกโกรธตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว”
พริ้มลอบขำเสียงโอ๊ยของจิ้มลิ้ม
“แต่พอพี่เบ้เกาคางเท่านั้นแหละ
หายเป็นปลิดทิ้ง!”
“จริงหรอ”
“ไม่เชิงเกาคางอ่ะ
แค่เปรียบเทียบ เพราะขนาดพี่เบ้เองก็ยังเกาคางเฮียไม่ได้เลยนะ บอกไว้ก่อน”
“เป็นคน…โหด…ขนาดนั้นเลยหรอ”
“อื้อ ๆ
ขนาดนั้นเลยแหละ แบบเตะพี่เง้กร้องไห้ได้”
จิ้มลิ้มโบกมือลา
เดินกอดขวดเป๊ปซี่กลับบ้านสบายใจ แม้ว่ากลับไปแล้วจะโดนด่าก็ตามที
พริ้มเสียดายช่วงเวลาที่ได้อยู่กับจิ้มลิ้มนิดหน่อย รู้สึกมันสั้นเกินไป
ทั้งที่ก็ได้ฟังเรื่องราวมากมายและขำออกมาไม่หยุด
เฮียเพลิงดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญของจิ้มลิ้มมาก ๆ เพราะเจ้าตัวพูดไม่หยุดเลย
มีเรื่องของคนชื่อภาคย์นิดหน่อย แต่ไม่เห็นจิ้มลิ้มบอกว่าเขาเป็นใคร อยู่ ๆ
ก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า ‘อาภาคย์ชอบแหย่’
พริ้มเริ่มลงมือกับวัตถุดิบนานาชนิดที่คัดสรรมาอย่างดีโดยมือของจิ้มลิ้มเสียส่วนใหญ่
ไส้ของแซนวิชมีเยอะมากจนแอบคิดว่าจะยัดมันได้หมดมั้ย ทั้งปูอัด ทั้งผัก ทั้งซอส
พอคิดว่ามันจะไปช่วยเติมพลังให้กับทุกคน มือของเขาก็หยิบใส่รถเข็นไม่หยุด
ตลอดทั้งกลางวันหมดไปกับการทำแซนวิชและชีสสติ๊ก
ดีนะที่ทำ ๆ ไปแล้วมันเกิน พริ้มก็เอาตรงส่วนนั้นมากินเป็นข้าวกลางวันเสียเลย
ตอนนี้เขากำลังเดินไปที่โรงยิมด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
รู้สึกตื่นเต้นและกังวลกับอาหารที่ทำว่ามันจะออกมาได้ดีหรือไม่
พริ้มวางตะกร้าไม้ที่ใส่ของทุกอย่างลงบนพื้น
ล้วงเอาโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูและกดรับอย่างไม่ต้องคิด
“หวัดดีผ้า”
(
มึงอยู่ไหนแล้วอ่ะพริ้ม )
“เรากำลังเดินไปที่โรงยิม”
( โอเค
เดี๋ยวกูเดินออกไปรับ )
“อื้อ”
เสียงของปลายสายดูเคร่งเครียดแปลก
ๆ ถึงเขาจะไม่ค่อยได้โทรคุยกับผ้า แต่ก็พอจับอารมณ์ของน้ำเสียงได้
พริ้มย่ำก้าวไปหาเพื่อนตาโตที่ยืนรออยู่หน้าประตูโรงยิม
คิ้วของผ้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ยิ่งทำให้พริ้มเริ่มกังวลตามไปด้วย
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ส่งมานี่
เดี๋ยวกูถือเอง”
ผ้าเดินนำเข้าไปในโรงยิม
ถ้าเขาไม่คิดไปเอง รู้สึกว่าบรรยากาศมันมาคุแปลก ๆ
มันไม่เหมือนเวลาปกติที่เขาเคยเห็น เทคไม่ใช่คนที่จะทำหน้าเคร่งเครียดด้วยการกดมุมปากและยืนเท้าเอว
ซานเองก็ด้วย ต่างกันที่อีกคนโวยวายเก่งกว่า
“เชี่ย
เอาไงดีวะ”
“ปล่อยมันไปก่อน
เข้าไปก็มีแต่จะทำให้หงุดหงิด”
“อ้าว
หวัดดีพริ้ม”
เทคเอ่ยทัก
“หวัดดี… เราทำแซนวิชมาฝากทุกคน”
“ขอบใจนะ”
“ไหน ๆ ดูหน่อย
หน้าตาจะเรียบร้อยเหมือนเสื้อที่เอาไปตากมั้ย”
จอมทัพยื่นหน้าเข้ามาในวงแล้วก้มลงคุ้ยในตะกร้า
เอ่ยแซวพริ้มที่ยืนยิ้มร่ามีความสุข
ซานยืนรั้งแถว
ทำหน้าไม่อยากกิน และปฏิเสธแซนวิชที่มุกยื่นให้ พริ้มได้แต่ทำเป็นไม่เห็น
มันคงเร็วไปถ้าจะใช้ซื้อใจอีกคน…
ของในตะกร้าเริ่มหมดไปทีละอย่าง ๆ แต่เขากลับไม่เห็นใบหน้ายี่หวาเลยตั้งแต่เมื่อกี้
สถานการณ์ในตอนแรกก็ดูไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ผ้า”
“อื้อ ๆ ว่าไง”
พูดออกมาทั้งที่ปากก็เคี้ยวอยู่
“ยี่หวาไปไหนหรอ?”
“มันอยู่ในห้องพัก
แต่อย่าเข้าไปเลย มันกำลังอารมณ์ไม่ดี”
“เกิดอะไรขึ้น…”
ผ้ายัดชีสสติ๊กแท่งสุดท้ายเข้าปาก
ตามด้วยน้ำเป๊ปซี่หลายอึก จากนั้นก็เอาทิชชู่เช็ดปากและเรอออกมาเสียงดัง
ช่างลีลาจนพริ้มอดหรี่ตาใส่ไม่ได้ แล้วเขาก็โดนผ้าบีบท้ายทอย
“ก็ตอนแข่งเซ็ตสอง
ทีมนั้นมันตีอัดนิ้วไอ้หวาตอนกระโดดขึ้นบล็อคอ่ะดิ”
“จริงหรอ!!”
“เสียงตกใจได้เท่านี้หรอ”
ผ้าขำเยาะเสียงตกใจของพริ้มที่ไม่ได้ดังไปกว่าตอนพูด
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“นิ้วเคล็ดสิครับ
โค้ชเปลี่ยนตัวมันออกทั้งเกมเลย ไม่ได้ลงยาว ๆ จนจบเกม”
เพราะอย่างงี้สินะ
ทุกคนเลยทำหน้าเคร่งเครียดกันไปหมด ผ้ายังบอกต่ออีกว่า
ปกติแล้วยี่หวาไม่ใช่คนที่จะเป็นอะไรง่าย ๆ เพราะเป็นคนเซฟตัวเองได้ดีเวลาเล่นกีฬา
พอโดนทำลายความมั่นใจที่ตัวเองจะไม่ได้รับบาดเจ็บจนแข่งไม่ได้ก็เลยอารมณ์ไม่ดี
ผ้าบอกว่ายี่หวาโมโหมาก ถึงขั้นไม่คุยกับใคร กลับมาที่ชมรมก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องพัก
ใครเข้าไปก็โดนไล่ออกมาหมด
“แล้วตอนนี้…ทำแผลหรือยังอ่ะ”
“ยัง
ไม่มีใครเข้าใกล้มันได้”
ผ้ายื่นแก้วน้ำให้พริ้มดูด
เร่งเร้าสองทีคนตัวเล็กถึงยอม
“แต่ต้องทำใช่มั้ย?”
“ต้องทำดิ
มีแข่งรอบชิงวันศุกร์ ถ้าหายไม่ทันนะ เป็นเรื่อง”
“เราอยากลองดู”
พริ้มเดินถือกล่องปฐมพยาบาลพร้อมกับความรู้ที่โค้ชเพิ่งสอนมาหมาด
ๆ แถมยังฝากมาว่าให้ดีดหน้าผากยี่หวาให้ด้วย
เผื่อจะทำให้ได้สติไม่ทะนงตนจนโมโหหนักขนาดนี้ คนตัวเล็กเดินแหวกคนอื่น ๆ
ที่ทำเป็นยืนอออยู่หน้าห้องพัก กินนู้นกินนี่ แต่ตาก็มองเข้าไปด้านในทั้ง ๆ
ที่ไม่เห็นอะไร
“จะเข้าไปทำแผลให้มันหรอ”
“อืม”
“งั้นฝากนี่ไปให้มันด้วย”
จอมทัพวางแซนวิชชิ้นสุดท้ายบนกล่องพยาบาล
ส่วนชีสสติ๊กทุกคนกินกันไปหมดแล้ว ของอร่อยต้องออกมาแย่งกัน พริ้มหัวเราะน้อย ๆ
สูดลมหายใจเรียกความกล้า ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านใน…และปิดมันลง
ร่างสูงนั่งอึมครึมอยู่ในห้องเงียบ
ๆ บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม ท้ายทอยของยี่หวาสะอาดและเป็นสีแทนเล็กน้อย
ปกเสื้อสีเทาแต้มบรรยากาศรอบ ๆ ให้เป็นสีเดียวกัน เขาไม่เคยเห็นหลังคอของยี่หวาเยอะเท่านี้มาก่อน
บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าคงเสียใจอย่างที่ผ้าเล่าให้ฟังจริง ๆ
แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ว่าพริ้มเข้ามาข้างในแล้ว
หรือว่ารู้แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น หวายกมือข้างขวาที่ตบเป็นแต้มได้หลายลูกในเซ็ตแรก
แต่ในตอนนี้จะขยับยังลำบาก นิ้วกลางที่โดนลูกตบหนัก ๆ
ของไอ้ทีมชาติคนนั้นซัดลงมาอย่างแรงจนเคล็ด โชคยังดีที่นิ้วนางแค่เฉียด ๆ
ไม่งั้นกัปตันทีมคงเป็นบ้าไปแล้ว
!!!
พริ้มพุ่งเข้าไปจับนิ้วนั้นไว้เพราะยี่หวาสะบัดมันอย่างแรงไม่หยุด
“มันจะทำให้เจ็บกว่าเดิมนะ!”
“มาทำไม”
“ม…มาทำแผล”
ยี่หวาปรายตามองดุกว่าทุกครั้ง
แต่พริ้มก็ยังทำใจดีสู้เสือ ร่างเล็กค่อย ๆ คลายมือที่จับนิ้วของยี่หวาออกช้า ๆ
เมื่อมั่นใจแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าจะไม่สะบัดมันแรง ๆ อีก …ไม่รู้เลยว่าสะบัดมันไปกี่ครั้งแล้ว
พริ้มหยั่งเชิงด้วยการวางกล่องพยาบาลลงบนโต๊ะเบา ๆ เขาไม่กล้าขยับเยอะเพราะยี่หวาเองก็กำลังหงุดหงิด
กลัวจะโดนโยนออกไปข้างนอก
“เราขอดูนิ้วหน่อยได้มั้ย”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวทำเอง”
หวากระชากกระคบเย็นพื้นบ้านที่เอาน้ำแข็งมาห่อด้วยผ้าเช็ดหน้า
กดมันลงไปบนแผลอย่างแรงแบบไม่แคร์ว่าตัวเองจะเจ็บ…เพราะคนที่เจ็บดันเป็นพริ้มเสียนี่
คนตัวเล็กที่นั่งลงบนพื้นห้องตรงหน้ายี่หวาได้แต่ทำหน้าตาเจ็บปวดในแต่ละครั้งที่ยี่หวากดน้ำแข็งลงไป
มันแรงและเน้นจนนิ้วเริ่มแดงขึ้น
ในที่สุดพริ้มก็ทนมองไม่ไหว
“เราขอทำให้ได้มั้ย…”
ยี่หวาชะงัก
พริ้มไม่รอฟังคำตอบ
มือเล็กค่อย ๆ แตะลงบนฝ่ามือหนา ส่วนอีกข้างก็สอดเข้าไปจับก้อนประคบเย็น
ลอบเม้มปากเตรียมโดนด่าที่ก้าวก่าย แต่ร่างสูงกลับเงียบและถอนมือออกให้เขาจัดการ
“อารมณ์ไม่ดีหรอ”
“…”
“เราจะนวดให้นะ”
มือของยี่หวาใหญ่…และอุ่น นิ้วแต่ละนิ้วนั้นยาวและเรียวสวย
แต่สิ่งที่ทำให้พริ้มเขินทุกครั้งที่นิ้วของเขานั้นสัมผัสโดนในตอนที่นวดให้
นั่นก็คือ ข้อนิ้ว… ข้อนิ้วของยี่หวาแข็งมาก บางครั้งก็รู้สึกว่ามันแหลมด้วย
กลิ่นเคาน์เตอร์เพนไม่ได้ช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้เลยสักนิด
หนำซ้ำมันยังเพิ่มความร้อนที่มือของเราสองคนอีกต่างหาก รู้สึกตัวเองเป็นชีสสติ๊กตอนอยู่ในน้ำมันเดือดเลย
“จะนวดอีกนานมั้ย”
“อ่า…เจ็บหรอ”
“เปล่า รำคาญ”
รีบเร่งปิดฝายาเหมือนคนบ้า
ความมั่นใจที่มีพังทลายได้อย่างง่ายดายเพียงเพราะคำว่า รำคาญ
หน้าอกแน่นขนัดจนเสียงเปล่งออกไปไม่ได้ รีบโยนทุกอย่างใส่ในกล่องที่แทบไม่ได้ใช้
พลันสายตาก็หันไปเห็นแซนวิชที่อยู่บนฝากล่องยา
“เอ่อ…เราทำแซนวิชมาให้”
“ไม่กิน รีบ ๆ
ออกไปสักที”
“อ…โอเค”
ยี่หวาดันหลังของพริ้มไปที่ประตู
เปิดประตูให้เสร็จสรรพก่อนจะผลักคนตัวเล็กที่เริ่มมีน้ำสีใสเกาะอยู่เต็มขอบตา
เสียงประตูบานเลื่อนปิดกระแทกแผ่นหลัง มันเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายของหวาจนพริ้มไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะทำได้อีกต่อไป
“เป็นไงบ้าง” ผ้าวิ่งเข้ามาหาเป็นคนแรก
“เราประคบเย็นกับนวดให้แล้ว”
เสียงของพริ้มสั่น
“เรากลับก่อนนะ”
“เดี๋ยวดิพริ้ม!”
การเข้าใกล้ยี่หวากลับไปยากเหมือนตอนแรก
ๆ เสียแล้ว…
#พริ้มเพียงหวา
สอบเสร็จแล้วจ้า ขอบคุณที่ยังรอเด็ก ๆ กันนะคะ
- ที่เบ้เกาคางเพลิงไม่ได้ เพราะเตี้ยค่ะ เกาไม่ถึง
พี่หวาใจร้ายจัง ไม่ยกลูกให้ดีมั้ยนะ
ความคิดเห็น