ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #10 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๙

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ย. 61






    9

     



    พริ้มเพิ่งรู้ว่าทีมคาลันโชเริ่มเก็บตัวกันแล้ว เพราะเมื่อเช้าพริ้มเห็นยี่หวาในชุดสบาย ๆ เสื้อยืดสีดำกับกางเกงบอลสีเดียวกัน เดินถือขวดน้ำเข้าหลังโรงยิมไป สภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอนแล้วพาทีมออกมาวิ่งรอบสนาม ผมของยี่หวาที่ไม่ได้จัดทรงในตอนนั้นดูมีเสน่ห์และดูเท่ในเวลาเดียวกัน

     

    ถ้าได้เห็นใกล้ ๆ กว่านี้ก็คงดี

     

    เท็ดดี้ไม่เข้ามายุ่งกับเขาบ่อยเหมือนเมื่อก่อนตั้งแต่ยี่หวาปาบอลใส่ ดูก็รู้ว่าตั้งใจ แต่เจ้าตัวไม่ยอมรับ หลังจากนั้นผ้าก็เข้ามานั่งกินข้าวกับเขาแทบจะทุกครั้ง จนไม่เปิดโอกาสให้เท็ดดี้เข้ามาใกล้ได้ ยกเว้นตอนอยู่ในห้องเรียน มียางลบลอยมาบ้าง เท็ดดี้ใช้ให้ทำงานให้บ้าง แต่พอออกนอกห้องเขาก็ต้องไปชมรม ที่นั่นเหมือนเป็นที่พักพิงแห่งใหม่ ที่ที่พริ้มจะสามารถหลบซ่อนเงาของตัวเองได้

     

    แต่กับแคทก็ยังเหมือนกัน เธอไม่เหมือนเท็ดดี้ แคทใจกล้ามากกว่านั้นเยอะ กลางวันของพริ้มก็ยังเป็นของแคท กินข้าวเสร็จก็ต้องวิ่งไปเก็บจานให้พวกหล่อน มีบ้างที่ผ้าเข้ามาช่วย ถึงจะบ่นเขาว่าทำไมถึงได้ยอมนักหนาพริ้มก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องสู้ เขายังอยากอยู่ในโรงเรียนนี้ต่อไป และไม่อยากให้แม่มายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ด้วย

     

    “ผ้าวันนี้มีแข่งมั้ย?”

    “มี ๆ เจอกับคอสมอส รอบคัดจบละ ต่อไปรอบรอง”

    “รอบรองเจอกับใครหรอ”

    “ก็เจอสามทีม บลูเลทไม่น่ารอด”

     

    พริ้มพยักหน้ารับ ผ้าลากเขาออกมานั่งที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ เป็นครั้งแรกที่พริ้มได้มานั่งคุยเล่นกับเพื่อน ผ้ามีเรื่องคุยเยอะเลย ส่วนมากจะเป็นเรื่องแข่ง อาทิตย์ก่อนเจอไปแล้วสองทีม เมื่อสองวันก่อนก็เจอไปอีกสองทีม ซึ่งวันนี้จะเป็นวันแข่งเก็บคะแนนกับทีมสุดท้าย นั่นก็คือคอสมอส

     

    พริ้มได้ไปดูแลทุกคนข้างสนามแค่วันนั้นวันเดียว หลังจากนั้นช่วงเวลามันไม่ตรงกัน แข่งสายบ้าง แข่งบ่ายบ้าง ซึ่งพริ้มต้องเรียนก็เลยไปไม่ได้ วันนี้ก็เช่นกัน

     

    “อยากไปปะล่ะ”

    “เรามีเรียนน่ะสิ”

    “เดี๋ยวขออนุญาตให้ กูอยากให้มึงไปด้วยอ่ะ”

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องยุ่งยากหรอก”

    “งั้นวันหยุดก็แวะมาบ้างดิ”

     

    พริ้มหูตั้ง

     

    “ตาโตเชียวนะ”

    “เปล่าสักหน่อย”

    “พวกกูเก็บตัวกันแล้ว ออกไปไหนก็ไม่ได้ ซ้อมแม่งก็ทั้งวัน ไอ้หวาให้เดินไปแดกได้แค่ลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียน ไอ้ห่า”

     

    ผ้าบ่นหัวเสีย โคตรเซ็งเวลาเก็บตัว นั่นหมายความว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงของมึงจะเป็นของไอ้หวาไปแล้วยี่สิบชั่วโมง ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรต้องบอกมันก่อนเสมอ ตื่นเช้าตีห้า ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องแปรงฟัน อันดับแรกคือตื่นลงมารวมตัวกันเพื่อวิ่งรอบสนามสิบรอบ แล้วถึงจะไปชำระล้างร่างกายตัวเองได้ตามประสงค์ หลังจากกินข้าวก็ต้องมาประชุม เสร็จแล้วถึงจะซ้อมตลอดทั้งวัน ห้ามออกนอกโรงเรียน ห้ามกลับบ้าน ห้ามเข้าเซเว่น เรื่องอาหารการกินจะต้องอยู่ในสายตาของกัปตันทีมตลอดเวลาจนกว่าจะจบงานโอเบง

     

    “ลูกชิ้นทอดกินได้หรอ”

    “จริง ๆ ก็ไม่ แต่มันให้กินได้คนละไม่เกินห้าไม้ ช่างมันเหอะพริ้ม ที่จะพูดคือ ถ้ามึงจะแวะมาก็หิ้วขนมติดมือมาด้วย พวกกูอยากกินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่อาหารที่มีประโยชน์อ่ะ”

    “ไม่ได้นะผ้า ทำแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนยี่หวาดุหรอก”

    “ใช้คำได้น่ารักมาก อย่างไอ้หวาไม่ทำแค่ดุหรอก ถีบพวกกูเลยต่างหาก”

    “ฮะ ๆ งั้นก็อย่าทำสิ”

    “หัวเราะอะไร ตลกนักหรอ”

     

    ผ้าแกล้งบีบหลังคอพริ้ม ขย้ำ ๆ มันสองสามทีให้เพื่อนตัวเล็กรู้สึกจั๊กจี้ เป็นอีกครั้งที่ผ้าเกือบหลุดปากบอกพริ้มไปว่า เสียงหัวเราะมึงน่ารักจังวะ แต่ก็เลือกที่จะหัวเราะคลอไปกับอีกคนแทนการพูดคำนั้น

     

    เขารู้เรื่องที่พริ้มโดนแกล้งแล้วจากเนย ตอนแรกแค่ฟังมาผ่าน ๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร เลยไม่รู้ว่าคนคนนั้นที่เขาลือกันว่าเป็นเบ๊ห้องสี่คือพริ้ม แต่เขาได้มารู้จักพริ้มก่อนที่จะรู้ว่าพริ้มเป็นคนนั้นที่เขาลือกัน ความรู้สึกสนิทหลังจากที่รู้มันไม่ได้ลดลงแต่มันกลับเพิ่มขึ้น เขาหาเวลามาอยู่กับพริ้มบ่อยครั้ง เพื่อหวังว่ามันจะช่วยทำให้เพื่อนคนนี้โดนแกล้งน้อยลงแต่ไม่เลย เขายังเห็นแววตาเศร้า ๆ ของพริ้มเวลายืนอยู่คนเดียวเสมอ เห็นรอยช้ำจุดใหม่ที่แขนอยู่เรื่อย ๆ

     

    เขาเคยถามว่าฝีมือใคร แต่พริ้มก็เลือกที่จะยิ้มให้เป็นคำตอบ

     

    “นั่งทำไรกันวะ”

     

    จองทัพเดินเข้ามาแทรกตัวนั่งตรงข้ามกับพริ้ม ผ้าถามถึงคนอื่น ๆ ว่าไปไหน จอมทัพก็บอกว่าน่าจะเดินตามหลังมา พอได้ยินแบบนั้นเขาถึงกับนั่งเกร็งโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นงั้นจริงยี่หวาก็น่าจะ ยังไม่ทันจะตีตัวไปก่อนใคร่ ใบหน้าหล่อเหลาที่บรรดาสาว ๆ ต่างแอบกรี๊ดแอบชอบก็ปรากฏแก่ดวงตาโตของพริ้มทันที นิสัยก้มหน้างุดที่ถูกตั้งโปรแกรมด้วยใบหน้าของยี่หวาเริ่มทำงาน เขาไม่กล้ามองหน้าใครเลย ได้แต่ตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าแต่ละคนที่เดินมาหยุดลงที่โต๊ะนี้

     

    “น้ำแข็งใสใคร?” ยี่หวาถามเสียงดุทันทีที่เดินมาถึง

    ” พริ้มเงียบ นั่งเหมือนคนทำผิดทั้งที่ไม่ใช่

    “ไอ้ผ้า

    “ก็กูหิวอ่ะ ขอกินนิด ๆ หน่อย ๆ เอง”

    “มึงให้ป้าเขาใส่นมข้นกี่รอบ”

     

    คราวนี้เป็นฝ่ายผ้าบ้างที่เงียบ จะไปตอบได้ยังไงว่าให้วน(มากกว่า)ห้ารอบ วนจนแม่งมองไม่เห็นสีแดง แต่ก็ยังขู่ป้าให้วนอยู่แบบนั้น น้ำแข็งใสมันก็ต้องกินแบบใส่นมข้นเยอะ ๆ ปะวะ ไอ้หวานี่แม่งไม่เคยเข้าใจ ไอ้พวกรักสุขภาพกว่ายีราฟ ไอ้คนไม่รักสบาย ชอบออกกำลังกายให้ตัวเองเหนื่อย เหงื่อแตก ทำไมต้องเอาร่างกายตัวเองไปทรมานด้วยวะถามจริง

     

    “พริ้ม”

     

    พริ้มสะดุ้งโหยง คนตัวเล็กค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ในมือยี่หวาถือขวดน้ำเย็นเชียบจนหยดสีใสเกาะอยู่เต็มรอบ

     

    “วว่าไง”

    “ไอ้ผ้ามันใส่นมข้นวนกี่รอบ”

     

    พริ้มเหลือบมองผ้า ใจหนึ่งก็กลัวยี่หวา อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงผ้าถ้ายี่หวารู้ความจริง เพื่อนคนอื่น ๆ ก็ไม่คิดจะช่วย ทุกคนนั่งมองหน้าเราสองคนราวกับเหล่าไฮยีน่าก็ไม่ปาน ขนาดเทคที่ดูใจดีที่สุดในกลุ่มยังเอาแต่ยืนนิ่งส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้พวกเขาเลย

     

    “เราไม่รู้”

    “แน่ใจ?”

     

    พริ้มพยักหน้าเป็นคำตอบช้า ๆ

     

    ยี่หวาขี้หน้าคาดโทษผ้าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างจอมทัพแบบหันหลังให้โต๊ะ ด้านซ้ายพริ้มเป็นผ้า ส่วนด้านขวาเป็นเทค ร่างโปร่งเดินอ้อมเข้ามานั่งแทนซานที่เขยิบตัวออกห่างไปอีกฝั่ง อยู่ ๆ ทุกคนก็พร้อมหน้ายกเว้นมุกกับเนยที่พริ้มไม่เห็นมาหลายวัน แต่ปกติเขาก็ไม่ค่อยจะเห็นสองคนนี้อยู่แล้ว ไม่เคยจะออกมาเดินเตร่เหมือนคนหล่อที่โต๊ะนี้หรอก

     

    “โค้ชบอกกูว่าถ้าเอาชนะรวดได้ในรอบนี้ จะพาไปเลี้ยงที่ร้านอาหารริมน้ำ”

    “มึงเชื่อโค้ชหรอวะไอ้ซาน เห็นบอกจะพาไปเลี้ยงตั้งแต่ชิงถ้วยโอเบงปีที่แล้ว”

    “เห็นว่างบเหลือ เช่ามาสคอตไปครึ่งเดียวเอง”

     

    ซานเหลือบมองมาที่พริ้ม ทำสายตาไม่ชอบใจนิดหน่อย แล้วหันกลับไปคุยกับคนอื่นตามเดิม

     

    ถ้ารอบนี้แข่งกับคอสมอสแล้วชนะ ทีมคาลันโชก็จะขึ้นเป็นที่หนึ่งของสาย ที่ผ่านมาก็ไม่เคยแพ้เลยสักแมทช์เดียว หวังว่าแมทช์นี้ก็จะชนะเช่นเดียวกัน พอหมดรอบคัดเลือกก็จะเหลืออยู่ทั้งหมดสี่ทีม กรรมการก็จะทำการจับฉลากว่าทีมไหนได้แข่งกันในรอบรอง แข่งจนเหลือสองทีม แล้วสองทีมนั้นก็จะไปแข่งรอบชิงกันต่อในงานโอเบงวันที่สอง ซึ่งจะจัดขึ้นที่โรงเรียนอซ ณ โรงยิม ในวันนั้นมาสคอตอย่างเขาก็ต้องออกโรงโชว์เสิร์ฟลูกให้ข้ามเน็ต

     

    แต่พริ้มยังเสิร์ฟไม่ข้ามสักที

     

    “ไหน ๆ วันนี้ก็คัดเลือกวันสุดท้ายแล้ว ขอฟรีเดย์กันมะ”

    “เอาดิ แม่กูซื้อเค้กไอติมรอกูกลับไปแดกจนน้องกูจะหลอนหมดละ”

    “เฮ้ยไอ้ซาน เค้กไอติมเป็นพันแคลเลยนะมึง ไอ้หวาเล่นมึงหอบแดกแน่”

    “มึงก็อย่าฟ้องมันดิวะ”

    “ตลกจริงมึงเนี่ย” จอมทัพว่าพลางหัวเราะเพราะยี่หวานั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่จำเป็นต้องฟ้อง มันก็พร้อมจะเอาขวดฟาดหัวมึง         

     

    ถึงแม้บทสนทนาจะแบ่งแยกเขากับทีมคาลันโชอย่างชัดเจน แต่พริ้มกลับไม่รู้สึกแปลกแยกเลยสักนิด เพราะเมื่อมีจังหวะถาม ไม่ผ้าก็เทคจะหันมาถามความเห็นเขาด้วยเสมอ จนเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่ห่างไกลแม้เป็นโต๊ะเดียวกัน

     

    ทุก ๆ อย่างเริ่มดีขึ้นเมื่อพริ้มเริ่มยิ้มได้

     














     

    ตุ้บ!

     

    ตุ้บ!

     

    ลูกวอลเล่ย์ลอยไร้ทิศทาง ลูกแล้วลูกเล่า ไม่มีลูกไหนลอยข้ามเน็ตสีขาวกลางสนามได้เลยสักลูก พริ้มปาดเหงื่อ ลอบมองออกไปด้านนอก เขาไม่เห็นผู้คนเดินไปมาอยู่หน้าโรงยิมแล้ว ชมรมวอลเล่ย์ที่ไม่มีทีมคาลันโชนั้นช่างเงียบเหงา หลาย ๆ คนเลือกที่จะหยุดซ้อม เพราะยังไงก็ไม่มีโค้ชหรือกัปตันทีมคอยคุม จะมาหรือไม่มาก็มีค่าไม่ต่างกัน

     

    แต่สำหรับพริ้มนั้นต่าง เมื่อทุกคนรู้ว่าพริ้มเป็นคนที่เข้าชมรมมากลางคันด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่มีใครรู้ได้ คนอื่น ๆ ก็เลยตีตัวออกห่าง ไม่มีใครเข้ามาคุยกับเขายกเว้นคนในทีมและขมที่เป็นตัวสำรอง วันที่ทีมมีแข่ง พริ้มก็ต้องเล่นอยู่คนเดียวเหมือนกับตอนเรียนวิชาพละไม่มีผิด

     

    เขาหวังให้มันดีขึ้นพร้อม ๆ กันไม่ได้จริง ๆ

     

    ที่โรงยิมมีแต่เสียงลูกวอลเล่ย์กระทบพื้นกับเสียงหอบหายใจเหนื่อยจากการวิ่งเก็บบอล พริ้มอยู่ซ้อมต่อในตอนที่คนอื่น ๆ กลับบ้านไปกันหมดแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะฟ้าที่อึมครึมมาตั้งแต่บ่าย พอตกเย็นก็ทำท่าเหมือนฝนจะตก แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นว่ามีละอองเม็ดเล็ก ๆ เริ่มโปรยลงมาแล้ว

     

    เขาอยากทำให้ได้ก่อนวันงาน เอาให้ชัวร์ว่าตัวเองจะไม่ทำให้โรงเรียนขายหน้า ที่รับงานนี้ก็เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับทีมนี้ ดังนั้นเขาจะยอมแพ้ไม่ได้

     

    แขนบอบบางของพริ้มไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกในหลาย ๆ ทีได้ เมื่อบอลกระทบแขนด้วยแรงทั้งหมดที่มี ปื้นสีแดงก็จะขึ้นเป็นวงรอบแขนและจะชาไปในที่สุด ขมได้สอนเขาหลายอย่าง ตามที่ยี่หวาสั่งมาอีกที เขาพยายามทำตามคำแนะนำทุกอย่างที่ได้รับมาแต่มันก็ยากเกินไปสำหรับมือใหม่ไร้พื้นฐาน เพราะแบบนั้นยี่หวาถึงไม่เดินเฉียดเข้ามาตอนเขาซ้อมอยู่เลย

     

    และแล้วฝนก็ตกพร้อมกับรองเท้าปริศนาคู่หนึ่งที่ประตูโรงยิม

     

    รองเท้าผ้าใบคุ้นตาคู่นั้นย่ำก้าวเข้ามาใกล้ แสงจากด้านนอกลอดเข้ามาฉายใบหน้าที่พริ้มเดาไว้ในใจ และใช่เป็นยี่หวาจริง ๆ ด้วย ร่างสูงเดินไปเปิดไฟแค่บางจุด จากนั้นก็กวาดสายตามองรอบสนามที่มีลูกวอลเล่ย์สี่ลูกเกลือกกลิ้งอยู่ พริ้มกอดลูกที่ห้าเอาไว้แน่น เดาไม่ออกว่ายี่หวารู้สึกอะไร

     

    ไม่สิพริ้มไม่เคยเดายี่หวาออกเลยสักครั้ง

     

    “ทำอะไร?”

    “เราซ้อมเสิร์ฟลูกกับอันเดอร์บอล”

    “แล้วเสร็จหรือยัง”

    “ยังเลยยังไม่ข้ามสักลูก”

     

    จู่ ๆ ยี่หวาก็เดินไปหยุดลงที่หลังเน็ต ท่ามกลางเสียงฝนที่เริ่มหนักขึ้นตามพยากรณ์อากาศเมื่อเช้านี้ ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาทางช่องระบายอากาศและซอกประตู พัดพาเอาไอน้ำเข้ามาเกาะตามเส้นผมสีน้ำตาลหวานของพริ้มเป็นละอองเบาบาง

     

    “ลองเสิร์ฟให้ดูหน่อย”

     

    พยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ ถึงแม้จะเกร็งและเขินอยู่มาก ๆ เลยก็เถอะ มือข้างที่ไม่ถนัดโยนบอลในมือขึ้นสูงในระดับสายตา จากนั้นใช้แขนข้างขวาง้างไปข้างหลังแล้วเหวี่ยงอัดกับบอลลูกนั้นที่ย้อยตกลงมาเต็มแรง ความรู้สึกแรกคือ พริ้มรู้สึกว่าบอลลูกนั้นโดนแขนได้พอดิบพอดีกับตำแหน่งที่ขมบอกว่าถ้าโดนจะทำให้บอลไปได้ไกล ความรู้สึกที่สองคือพริ้มอาจจะหวังกับแรงของตัวเองเกินไป

     

    บอลลูกนั้นลอยไปได้ก็จริง แต่มันไม่ไกลเลย

     

    “อย่างอแขน จังหวะนั้นดีแล้ว”

    “เราไม่มีแรง มันไม่ไป”

    “แค่นายไม่งอแขน ลองดู”

     

    กัปตันทีมยืนมองความตั้งใจของลูกทีมในชมรมที่กำลังเอาแขนเหวี่ยงกำหนดตำแหน่งอยู่สามสี่รอบ คราวนี้พริ้มยึดข้อแขนตัวเองไว้เต็มเปรี่ยม เขาจะไม่งอแขนแม้จะไม่รู้ตัวว่าตัวเองงอมันทุกครั้งเลยก็ตาม และครั้งนี้มันได้ผลบอลลูกนั้นปลิวข้ามเน็ตสีขาวไปหายี่หวาได้สำเร็จ แม้มันจะไม่ได้ไกลมากเท่าไร แต่ก็ถือว่าเป็นบอลลูกแรกที่เขาเสิร์ฟข้ามเน็ต

     

    “เห็นมั้ยล่ะ”

    “เราไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองงอแขน”

    “ไม่งั้นเขาจะมีคู่ซ้อมเอาไว้ทำไมล่ะ”

    “อ่า” นั่นแหละที่พริ้มไม่มี

     

    ด้วยความตื่นเต้นเลยเผลอคุยกับยี่หวาเสียจนลืมความเป็นตัวเอง ปกติแค่อ้าปากต่อหน้าหวายังยากเลย นับประสาอะไรกับการคุยกันยาวหลายประโยคขนาดนี้ ยี่หวาไล่ให้เขาไปเก็บลูกบอลที่เหลืออยู่ในสนามซะเพราะฝนเริ่มตกหนัก ละอองปลิวเข้ามาจนพื้นชื้น ถ้ายังซ้อมต่ออาจจะเสี่ยงลื่นล้มได้

     

    พริ้มเอาลูกบอลเข้ามาเก็บในห้องพักนักกีฬา เขาไม่มีกุญแจเปิดห้องเก็บอุปกรณ์ และหวาอนุญาตให้เขามาหลบฝนได้ พริ้มไม่กล้าถามร่างสูงตรงหน้าที่กำลังรื้อกระเป๋าว่ามาทำอะไรที่นี่คนเดียว ยี่หวาน่าจะอยู่กับเพื่อนในทีมที่ร้านอาหารหลังจากแข่งเสร็จ เพราะเขาได้ยินคนในชมรมคุยกันว่าทีมคาลันโชชนะและขึ้นเป็นที่หนึ่งของสายเรียบร้อยแล้ว

     

    “กูอยู่ที่ห้องพักเอออันไหน”

    “หาไม่เจอ พรุ่งนี้มาเอาเอง”

     

    ยี่หวากดตัดสายก่อนจะปลดม่านที่หน้าต่างลง เสียงฝนจากด้านนอกเบาลงเมื่ออยู่ในห้องแต่กลับเป็นเสียงหัวใจของพริ้มเองที่เริ่มดังแข่ง สองต่อสองในห้องที่มียี่หวาอยู่ด้วยนั้น บอกเลยว่ายิ่งกว่าห้องซาวน่า พริ้มรู้สึกร้อนจนตัวจะแตก จะใช้คำว่าอากาศร้อนเป็นข้ออ้างก็ไม่ได้ในเมื่อข้างนอกฝนตกอยู่

     

    พริ้มยืนนิ่ง ในขณะที่ยี่หวาทำตัวผ่อนคลายเหมือนอย่างทุกที ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่พริ้มเคยเห็น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมฆ่าเวลารอให้ฝนหยุดตก เขาออกไปข้างนอกไม่ได้ ไอ้พวกนั้นก็ออกมารับเขาไม่ได้เช่นกัน

     

    “นั่งก่อนก็ได้”

    “เอ่อ” พริ้มค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งที่พื้น ด้วยระดับของสายตาที่ต่ำลงทำให้เขาเห็นบางสิ่งที่ถึงกับยืดตัวขึ้นตรงและเกร็งกว่าเดิม

     

    ภายในใจว้าวุ่นด้วยความกลัวกับสิ่งนั้น ดวงตาลอกแลกพร้อมมือที่เกาะเข้ากับผนัง ระแวดระวังอยู่เบื้องหลังของยี่หวาที่นั่งเล่นเกมอะไรสักอย่างอยู่เงียบ ๆ พริ้มสูดหายใจเข้าและถอนออกมาอย่างแรงเมื่อมันขยับตัว เหงื่อของเขาหยดลงดังติ๋งแทรกขึ้นมากลางเสียงของฝนในตอนที่มันเดินเข้ามาใกล้ยี่หวา

     

    เหมียว~

     

    “ไง”

     

    ยี่หวาจับแมวตัวนั้นขึ้นมานั่งบนตัก

     

    “เป็นอะไรอีก”

    “คือ

    “?”

    “เราขอนั่งบนโซฟานะ”

     

    คนตัวเล็กก้าวยาว ๆ เลี่ยงไปนั่งเยื้องที่มุมของโซฟาด้านตรงข้าม เผลอบีบเข่าตัวเองด้วยความลืมตัว เขาขนลุกทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงร้องหง่าว ๆ ดังออกมาจากแมวทุกชนิด และเหมือนหวาจะรู้ตัว ถึงได้จับหลังคอของแมวตัวนั้นไว้เพราะมันทำท่าจะเดินมาใกล้เขา

     

    “มานี่”

    !!!

    “ฉันเรียกแมว”

     

    ถึงจะกลัวแต่ถ้ามันอยู่กับหวา มันก็ไม่น่าจะทำอะไรเขาได้ พริ้มแอบมองมือหนาข้างนั้นลูบคางแมวสีสวาดอย่างอ่อนโยนแล้วนึกอิจฉา ถ้าโดนปลายนิ้วของยี่หวาสัมผัสเข้าเบา ๆ ที่ใต้คางเขาจะหน้าแดงขนาดไหนกันนะ แต่อดยอมรับไม่ได้ว่าแมวของชมรมนั้นสวยจริง ๆ สุขภาพก็ดี ยกเว้นอารมณ์ที่อาจจะไม่ดีเท่าไร เพราะเขาไม่เห็นใครที่เล่นกับมันได้เลย ยกเว้นยี่หวา

     

    “มันไม่ทำอะไรนายหรอก”

    ” พริ้มเริ่มสงบลง “มันชื่ออะไรหรอ”

    “คุณกระรัต”

    “ชื่อเพราะจัง”

     

    ยี่หวาล็อคจอโทรศัพท์แล้วหันมาสนใจแมวบนตัก ทั้งลูบ ทั้งเกาคาง จนมันเคลิ้มตาหยี คุณกระรัตนอนเอาหัวเบียดหน้าท้องแล้วส่ายไปมาอย่างออดอ้อน โดยมีมือใหญ่ข้างนั้นลูบที่พุงอ้วน ๆ ของมันเบา ๆ

     

    “มันเป็นแมวเศรษฐีแต่หนีออกมาเพราะโดนแมวตัวอื่นรุมกัด ทั้งที่คิดว่าจะพ้นแล้วกลับเจอหมาเจ้าถิ่นไล่กวดต่อ จนกระทั่งมาเจอพวกฉัน เราเอามันมาเลี้ยงที่ชมรมและตั้งชื่อใหม่ให้”

    “เป็นแมวที่เก่งจัง”

    “เพราะมันไม่อยากกลับไปตายรังที่เก่าไง”

     

    หวาเว้นช่วงแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ราวกับจะสื่อคำพูดไปอีกความหมายหนึ่งที่พริ้มเท่านั้นรู้ดีที่สุด มือเล็กทั้งสองข้างถูกันไปมาด้วยความประหม่า ยี่หวาทำเป็นไม่เห็นอะไรแต่กลับพูดเหมือนคนรู้ทุกอย่าง ซีกหนึ่งของหัวใจพริ้มเต้นไม่เป็นส่ำแต่ก็บอกให้ตัวเองอย่าคิดไปไกลเพียงเพราะหวาเปิดใจให้ในฐานะเพื่อน

     

    “ถ้ามันไม่สู้ มันก็จะโดนรุมกัดตาย แต่เพราะมันสู้

    “มันถึงมีวันนี้”

     

    ยี่หวาลุกขึ้นเมื่อเสียงของฝนเบาลง ร่างสูงรับโทรศัพท์จากจอมทัพที่ให้โค้ชขับรถมารับถึงที่ หวาเดินกลับเข้ามาเอากระเป๋าที่ตัวเองลืมไว้เพราะไม่คิดว่าจะขอฟรีเดย์จากโค้ชได้ เขาเดินเข้ามาหาร่างเล็กที่มองตามการเคลื่อนไหวของเขาเงียบ ๆ และอึกอักเมื่อเขาเปลี่ยนทิศทางมาหาเจ้าตัว

     

    มือหนาข้างเดียวกับที่ลูบคุณกระรัตวางลงเบา ๆ ที่ไหล่เล็ก

     

    “ล็อคประตูให้เรียบร้อยถ้าฝนหยุดตกแล้ว”

    “ครับ”

    “ฉันไปก่อน”

     

    สัมผัสอุ่น ๆ จากฝ่ามือยี่หวาทำให้พริ้มรู้สึกดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

     

    เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากยี่หวาเดินออกไปแล้ว ภายในหัวของเขาสับสน เพราะเขารู้ตัวเองดี เขาถึงเลือกที่จะเป็นแบบนี้ต่อไป เจ็บนิดเจ็บหน่อยแต่จะไม่เจ็บไปมากกว่าเดิม แต่พอเป็นยี่หวาพูดกับเขาแบบนั้นทำให้เขาเริ่มอยากที่จะไม่เจ็บอีกต่อไป แต่มันก็เป็นแค่ความคิด

     

    พริ้มดูเวลาที่นาฬิกาบนผนังห้องพัก เข็มยาวใกล้จะชี้ที่เลขเจ็ดนั่นเลยทำให้เขาตัดสินใจลุกออกจากห้องไป ไม่ลืมล็อคแม่กุญแจตามที่ยี่หวาสั่งไว้ อากาศข้างนอกหนาวเย็นเพราะฝนยังตกไม่หยุด บรรยากาศรอบโรงเรียนเงียบเหงา ร้างผู้คน และมีแต่เสียงฝน

     

    พริ้มควานหาร่มในกระเป๋าก่อนจะเอามันออกมากาง

     


    #พริ้มเพียงหวา










    มาพร้อมกับข่าวร้าย

    ปีสามเรางานเยอะมาก สุด ๆ แบบอิเวงเอ้ย ไม่เคยเจอเยอะเท่านี้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเราจะไม่มีเวลาอัพไปสักพัก ราว ๆ สองอาทิตย์ นับตั้งแต่อาทิตย์นี้ เพราะอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคมเราสอบมิดเทอมตลอดทั้ง 6 วัน ก็เลยมาแจ้งว่าจะขอหยุดอัพสักพัก

    อาทิตย์นี้งานก็เพียบเหมือนกัน แต่เพราะทนแรงคิดถึงเด็ก ๆ และผู้ชายในทีมคาลันโชไม่ไหว โดยเฉพาะนายอคิราห์

    ดังนั้นก่อนจะพักอัพฟิค เราขอเม้นท์ในตอนนี้คนละ 1 เม้น หรือจะแท็กก็ได้ หรือจะทั้งเม้นทั้งแท็ก เป็นกำลังใจส่งเราเข้าห้องสอบที อาจจะมีแวบมาบ้าง แบบแต่งสะสมไว้วันละนิดละหน่อย หาข้ออ้างไม่อ่านหนังสือนั่นเอง5555555 

    คุณช่วยให้เรื่องนี้เป็นที่รักได้ แค่ติดแท็กและเม้นให้น้องพริ้มและยี่หวา

    ขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยค่ะ ขอลาไปทำงานและอ่านสือแร้ว บุ่ยยย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×