ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #22 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๒๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 22.78K
      2.53K
      6 มี.ค. 62





    21



     

    ฟ้าอึมครึมไม่ต่างจากใจคนมอง

     

    พริ้มเดินไปคนละทางกับทุกวัน เขาไม่ได้เดินไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนไม่ได้เดินเข้าไปหาเพื่อน ๆ ที่นั่งคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานไม่ได้เดินไปเพื่อจะลอบมองใบหน้ายี่หวาเติมพลังให้กับตัวเอง เขาเพิ่งได้รู้ว่าการจะมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความเห็นแก่ตัวนั้นมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างเดิมอีกแล้ว เขาคิดมาก กังวล และเหนื่อยใจ

     

    เขาไม่อยากให้ยี่หวาเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดในความทรงจำ

     

    พริ้มคิดวนไปวนมากับคำพูดของพู่กัน เคว้งคว้างมากขึ้นเมื่อจ้องเข้าไปในดวงตาของเธอ และพบว่าเธอไม่ได้ล้อเล่น บางทีเธออาจจะเตือนพริ้มจริง ๆ เพราะเธอรู้ว่าความเจ็บปวดจากการพังทลายทั้ง ๆ ที่สร้างเองกับมือมันเป็นยังไง แต่เราก็ไม่ได้สนิทกัน ถึงขั้นแสดงความจริงใจให้กับศัตรู

     

    ความคิดโง่ ๆ คือการบอกให้ตัวเองถอยออกมาเฝ้ามองภาพที่ครั้งหนึ่งได้หลุดเข้าไปสัมผัสมัน บอกกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไม่มีทางที่จะสมหวัง ไม่มีทางที่ยี่หวาจะชอบพริ้มได้ เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่างเดียว

     

    ยี่หวาเคยเป็นความฝันของพริ้มยังไง

    ในตอนนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น

     

    “พริ้ม ไม่ไปกินข้าวหรอ?”

     

    เสียงของเอื้อนเรียกเขาให้หลุดออกจากวังวนความคิด ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งตอนนี้ พริ้มก็ยังไม่หยุดคิดอะไรแบบนี้เสียที คนตัวเล็กเผยรอยยิ้มบาง ๆ มันเต็มไปด้วยความเหม่อลอยและเหนื่อยอ่อน ใบหน้าหวานในตอนนี้ไม่ต่างกับตอนที่มีแคทกับเท็ดดี้อยู่ แต่เอื้อนก็พอจับความรู้สึกได้ว่ามันไม่เหมือนกัน

     

    “ไม่สบายใจเรื่องอะไรอยู่หรอ?”

    ไม่มีอะไรหรอก”

    “เราขอไปกินข้าวด้วยได้มั้ย?”

     

    ความจริงของเรื่องทั้งหมดที่เขารู้ คือเขาไม่สามารถจัดการกับเรื่องพวกนั้นได้ถ้ามันเกี่ยวกับยี่หวา พริ้มขี้ขลาดเกินกว่าจะเผชิญหน้า เขากลัวความรู้สึกที่มีจะพรั่งพรูจนอีกฝ่ายถอยออกไป และกลายเป็นเรื่องน่าอึดอัดระหว่างเรา อย่างน้อยให้มันจบโดยที่ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม ดีกว่าเปลี่ยนแปลงไปแต่ไม่ดีขึ้น

     

    “อ่าโทษทีนะพริ้ม เรากินเสร็จแล้ว”

     

    พริ้มเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เขานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนี้นานสามสิบนาทีตั้งแต่พักกลางวันเลยหรอเนี่ย พริ้มหัวเราะแห้ง ๆ ไม่อยากให้เอื้อนลำบากใจกับคำถามของเขา เขาไม่ทันสังเกตด้วยเหมือนกันว่าเพื่อนกลุ่มเธอเดินตามกันเข้าห้องมา

     

    “งั้นเราไปกินข้าวก่อนดีกว่า”

    อยากให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย”

    “ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ”

     

    ถึงใจจะอยากให้เอื้อนไปด้วยกันแค่ไหน แต่ก็รู้สึกเกรงใจเพราะเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น พริ้มเดินมายังโรงอาหาร เวลาป่านนี้ไม่ค่อยมีคนใช้กันแล้ว กับข้าวก็มีให้เลือกไม่มากเช่นเดียวกัน เขาเลือกกินอะไรง่าย ๆ อย่างเช่น ข้าวผัดอเมริกัน น่ากินที่สุดในบรรดาอาหารที่เหลือให้กินสำหรับเวลานี้

     

    “พริ้ม!!

     

    เสียงเรียกคุ้นหูเสียจนไม่อยากหันไปหา คนตัวเล็กเดินบิดข้าง หันหลังให้กับเสียงนั่น ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปให้ไกลจากที่ยืนอยู่

     

    “พริ้มโว๊ยยยย!!!

     

    ถึงคนจะมีไม่มาก แต่ถ้าตะโกนดังขนาดนั้นล่ะก็ ถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ แล้วหมุนตัวเดินตรงไปยังโต๊ะประจำที่คาลันโชมักจะนั่งกินกัน ไม่สิ จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นที่ประจำของเขา แต่หลังจากที่ผ้าชวนคนอื่น ๆ มานั่ง ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าที่ตรงนี้เป็นส่วนตัว และก็นั่งกินกันเรื่อยมา

     

    “อายุแค่นี้หูหนวกแล้วหรอวะ”

    “เรากะว่าจะไปซื้อน้ำก่อน แล้วค่อยเดินมาน่ะ”

    “ถ้าจะไปก็หันมาบอกกันก่อนดิ”

     

    ไม่มีใครเชื่อคำแก้ตัวของพริ้ม เพราะพริ้มไม่เคยแก้ตัว สายตาของทุกคนจดจ้อง ไม่เข้าใจว่าเพื่อนตัวเล็กคนนี้เป็นอะไรไป นอกจากจะลงมากินข้าวช้า แล้วยังเรียกไม่ยอมหันมาอีก ทำเหมือนคนตั้งใจจะหลบหน้าอย่างไรอย่างนั้น

     

    “มึงจะเอาน้ำไร เดี๋ยวกูไปซื้อมาให้”

    “ไม่ต้องก็ได้ เราจะไปซื้อเอง”

    “มึงนั่งกินไปเถอะ คนอื่นเขากินกันหมดแล้ว กูจะไปซื้อขนมทางนู้นด้วย”

    “เอ่อ

    “น้ำเปล่าละกัน กูเลือกให้”

     

    ว่าจบก็เดินลากซานไปด้วยกัน เหลือพริ้ม จอมทัพ เทค และคนที่เขาพยายามหลบหน้าอยู่ รอบโต๊ะไม่ได้อึดอัด เพราะเขารับมันมาเต็ม ๆ กับข้าวที่คิดว่าน่าจะอร่อยกลับไม่อร่อยอย่างที่คิด ไม่อร่อยเพราะแม่ค้า หรือเพราะคนตรงข้ามก็ไม่รู้

     

    หยุดจ้องสักทีได้มั้ย

     

    “พวกกูจะไปติวกันที่บ้านไอ้หวา มึงจะมาด้วยกันมั้ยพริ้ม”

    “พริ้ม ก๊อก ๆ”

    “ห๊ะ!ว่าไง”

     

    จอมทัพเลิกคิ้ว ก่อนจะหันไปสบตากับเพื่อนอีกสองคน เทคหลุดยิ้มแล้วทวนสิ่งที่จอมทัพพูดให้อีกครั้ง ยกเว้นยี่หวาที่ยังคงหน้านิ่งเป็นน้ำแข็งไม่มีวันละลายอยู่ดังเดิม

     

    “อ๋อไม่เป็นไร เราลงติวไว้แล้วน่ะ”

    “แต่พี่ไอ้หวาได้ที่หนึ่งของมอเอสเอ็มเลยนะเว้ย มึงแวะมาก็ได้ ตอนที่ไม่มีติวอ่ะ”

    “เราไปไม่ถูกหรอก ไม่มีรถด้วย แล้วเราก็ไม่อยากกลับบ้านดึก”

     

    บทสนทนาของเรื่องนี้กำลังจะจบลง เว้นแต่ว่ามีใครบางคนไม่อยากให้จบ

     

    “เดี๋ยวไปรับ”

    !!!

     

    พริ้มหันขวับไปทางยี่หวา จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาตกใจหมด เผลอเคี้ยวข้าวกัดกระพุ้งแก้มอีกต่างหาก จอมทัพกำลังจะได้จังหวะแซวกับประโยคเมื่อกี้ แต่พวกรกขวางโลกดันกลับมาก่อนเสียนี่

     

    “อ่ะ น้ำเปล่า”

    “ขอบคุณนะ”

    “เฮ้ย ค่อย ๆ กินก็ได้ เดี๋ยวก็สำลักหรอก” ดีเลย สำลักแล้วจะได้หาข้ออ้างลุกออกจากตรงนี้

     

    จอมทัพชักสีหน้าไม่สบอารมณ์นิดหน่อยที่โดนขัดจังหวะ กำลังจะไปได้ดีแล้วเชียว เมื่อกี้ไอ้เทคก็ส่งซิกเป็นรอยยิ้มมาให้กูเปิด แต่พวกแม่งก็ดันเข้ามาขัด จังหวะพอดีจนอยากจะลุกขึ้นยันหน้า เหมือนแม่งยืนรอสเลทสั่งคัทให้เข้าฉาก ไอ้ชิบหาย

     

    “มึงได้บอกพริ้มเรื่องติวบ้านไอ้หวายัง”

    “บอกแล้ว”

    “แล้วว่าไงพริ้ม ไปติวกับพวกกูมั้ย พี่เก้าเก่งอย่าบอกใครเลย”

     

    ผ้าเกาะแขนเพื่อนตัวเล็ก ก่อนจะพรรณนาความเก่งกาจของพี่ชายเพื่อน ถ้าแค่อ่านสอบไฟนอลหรือมิดเทอม เราก็ติวให้กันได้ ไอ้หวาก็เก่งไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความจำที่เป็นเลิศ อีกคนก็เทค เป็นท็อปของห้องทั้งที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่ก็ยังเอาชนะพวกที่วัน ๆ อ่านหนังสืออยู่แต่ในห้องได้ มันก็เจ๋งไม่แพ้กัน แต่ที่เราจะติวก็คือการสอบโควต้าของมหาลัยเอสเอ็ม และแน่นอนว่ามันยาก กว่าจะขอให้พี่เก้ามาติวให้ได้ ไอ้หวาแม่งพูดเผื่อไปห้าปีข้างหน้าแล้ว

     

    “พริ้มไปไม่ได้ ไม่มีคนไปส่ง ขากลับอีก” จอมทัพว่าแทนพริ้มที่กำลังจะอ้าปากพูด

    “ไอ้หวาไง มันมีรถ”

    “ทำอย่างกะมึงไม่มีอ่ะ ไอ้ควาย” ซานขัดเพื่อนลิบอโร่ ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลยว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ด่ามาได้ว่าควาย ขยับเขาบนหัวมึงก่อนดีมั้ย จะตกจากหัวอยู่แล้ว

     

    พริ้มจัดการไข่แดงที่เหลือทิ้งไว้เป็นอย่างสุดท้ายลงท้อง ไม่ได้ใส่ใจการเถียงกันของซานกับผ้า และพยายามไม่สนใจสายตาของคนฝั่งตรงข้าม ตั้งแต่เดินมานั่งก็รู้สึกว่ายี่หวาจ้องเขาไม่ยอมละสายตาเลย ขยับช้อนก็มอง ตักข้าวก็มอง ฉีกไก่แรงจนข้าวกระเด็นออกนอกจานก็มอง แต่เขาเองก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นว่าเป็นจริงอย่างที่รู้สึกหรือเปล่า

     

    “แล้วว่าไงอ่ะ ที่ไอ้หวาบอกว่าจะไปรับ?”

    “หือ? หวามึงพูดเองหรอ” ผ้าแปลกใจ ไม่เชื่อที่จอมทัพพูด

    “เออ มันพูดเองเลย ยังไงมันก็เป็นคนเดียวที่รู้จักบ้านมึง ไปรับไปส่งก็ยังได้”

    “ดีเลยดิ ไปด้วยกันนะพริ้ม บ้านไอ้หวาใหญ่มาก พวกกูกะว่าจะไปค้าง แต่ถ้ามึงจะกลับก็ไม่มีปัญหา ยังไงเจ้าของบ้านก็ต้องดูแลแขก”

     

    พริ้มถูกกดดันทางสายตา ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของบ้าน ลึก ๆ ก็อยากไป เขาอยากเห็นว่าบ้านของยี่หวาเป็นยังไง อยู่บ้านกับใคร แล้วอยู่ที่นั่นทำอะไรบ้าง แต่ก็นั่นแหละ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำอะไรที่ให้กำลังตัวเองอีกเด็ดขาด เขาอยากตัดใจให้ได้ อยากรักษาช่วงเวลาที่มีให้ดีแบบนี้ตลอดไป

     

    “ไม่ล่ะ ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ชวนนะ”

     




































     

    อาทิตย์ของการมอบรุ่นชมรมพัดหวนมาแล้ว เป็นประเพณีของชาวอซ.ที่รุ่นพี่จะมอบชมรมให้รุ่นน้องดูแลต่อในตอนที่ตัวเองจบออกไป เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ หลังเลิกเรียนภายในห้องชมรม ซึ่งชมรมวอลเล่ย์บอลจัดรวมทีมชายกับหญิงกันในโรงยิม ก่อนหน้านั้นมีให้เสนอไอเดียในการฉลองนิดหน่อย ความคิดของทุกคนเป็นที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ซานเสนอให้เปิดเพลงเต้นรำ มุกเสนอกิจกรรมเหยียบลูกโป่งแจกของรางวัล จอมทัพอยากให้เราเล่นลิงชิงบอล และนานาชนิดเท่าที่จะคิดได้

     

    ท้ายที่สุดแล้วกิจกรรมในประเพณีมอบรุ่นชมรมไม่ใช่ตัวการในการตอกย้ำว่าเราได้เปลี่ยนแปลง แต่เป็นการที่ยี่หวาให้ขมตัดสินใจว่ากิจกรรมไหนจะผ่านบ้าง นั่นแหละที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลง ขมพิจารณากิจกรรมอย่างถี่ถ้วน ความมั่นใจที่มีใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ในตอนนี้ อย่างน้อยเขาก็อยากได้ความคิดเห็นจากพี่ยี่หวา แต่อดีตประธานอยากให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง

     

    นับว่าโชคดีที่การตัดสินใจเขาไม่ผิดพลาด ทุกคนสนุก และการมอบรุ่นชมรมก็ผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกัน

     

    อดีตตัวจริงของทีมยืนเกาะกลุ่มคุยกันครบคน ดูไปดูมาก็ไม่เห็นว่าขาดใครไป ถ้าไม่ติดว่าคนตัวสูงกว่าใครในทีมจะหันมองไปที่ประตูแรกของโรงยิมเป็นครั้งคราว

     

    ยี่หวาไม่ได้เจอเพื่อนตัวเล็กของผ้าเกือบอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่นั่งกินข้าวด้วยกันวันนั้นก็ไม่เจอกันอีกเลย ในชมรมก็อยู่แต่กับขม ช่วงพักก็ชอบแวบไปห้องซักผ้า แต่พอคิดว่าอยู่ที่นั่นกลับไปไม่เจอใครในนั้นเลยสักคน พักกลางวันก็ไม่มานั่งกินข้าวด้วยกันอีก

     

    ขยับแก้วในมือให้หมุนวนไปมาจะได้ใจเย็น แต่พอเห็นใบหน้าตัวการ อารมณ์หงุดหงิดใจก็กลับมาอีก คนตัวเล็กเดินผ่านหลังเขาไปหาเพื่อนสนิทตัวเองที่ช่วงนี้ไม่เห็นจะมาหามันเลย แค่นหัวเราะในลำคอให้กับความคิด ยกน้ำขึ้นกระดกดับความรู้สึกแปลกประหลาด เขากำลังเป็นใครอีกคนที่ไม่รู้จัก และกำลังหงุดหงิดกับอะไรที่ตัวเองไม่เข้าใจ

     

    “ไปไหนมาวะพริ้ม ทำไมมาช้า”

    “เลิกช้าน่ะ”

    มึงเห็นมันแกวมั้ย มันมาตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม”

     

    ผ้าซักไซ้คำตอบที่แท้จริงจากพริ้ม ใบหน้าเพื่อนตัวเล็กเริ่มซีด ทำหน้าเหมือนถูกสอบสวน ซึ่งมันก็คล้ายกันนิดหน่อย ผ้ารู้สึกเหมือนกันว่าพริ้มหลบหน้า ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาไม่พอใจที่พริ้มมีอะไรไม่ยอมบอก เวลาอยู่ด้วยกันก็เก้ ๆ กัง ๆ ผ้าว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ แต่กว่าจะรอให้บอกก็ความดันขึ้นกันพอดี

     

    “เราทำเวร”

    “เวรมึงวันอังคาร แต่วันนี้วันศุกร์ว่ะ”

    “จริง ๆ นะ เพื่อนขอให้ช่วย”

    “แน่ใจนะว่าให้ช่วย”

    “อื้อ”

     

    พริ้มหลบตาทันที แสดงว่าไม่จริงไม่จริงในเรื่องขอให้ช่วยหรือไม่จริงในเรื่องทำเวรก็ไม่รู้ ผ้าลอบถอนหายใจเมื่อเค้นเอาความจากพริ้มไม่ได้ ก่อนสายตาจะหันไปสบเข้ากับอดีตกัปตันทีม มันทำหน้าตายด้าน แต่คิ้วดันขมวดเข้าหากันแน่นเสียนี่

     

    มีคนไม่สบอารมณ์

     

    “กิจกรรมจะเริ่มแล้ว พวกมึงเอาด้วยมั้ย”

    “จะเหลือหรอวะ ไอเดียกู”

    “แต่อย่าลืมนะเว้ย ของรางวัลมีบทลงโทษก็มี”

    “มึงกลัว?”

    “ไม่อยู่แล้วว่ะเพื่อนรัก”

     

    ซานคว้าคอจอมทัพเข้ามาใกล้ อีกข้างตวัดแขนคล้องคอยี่หวา แต่ร่างสูงเบี่ยงตัวหลบได้ทัน เป็นสัญญาณกลาย ๆ ว่าไม่เอาด้วยแน่นอนและถ้าเซ้าซี้มีคนตายแน่ ๆ ซานเลยได้แต่โชว์เหงือก ก่อนจะหันไปคว้าเพื่อนปากร้ายอย่างผ้ามาแทน ส่วนผ้าที่โดนลากไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัว พยายามเอื้อมมือคว้าแขนพริ้มให้ตามมาด้วยกัน แต่เจ้าเพื่อนตัวดีกลับถอยหลังหนี

     

    เหลือแค่พริ้มกับยี่หวาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยกน้ำขึ้นกระดกแก้เขิน เมื่อไม่สามารถพูดคุยกับยี่หวาได้อย่างสนิทใจ ร่างสูงสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายมาสักพักใหญ่ ตั้งแต่ที่เริ่มรู้สึกว่าเปลี่ยนไปพริ้มก็ไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกเลย ราวกับคนที่กำลังปฏิเสธเนื้อก้อนโตทั้ง ๆ ที่หิวเจียนตาย

     

    ปฏิเสธเขาทั้ง ๆ ที่ต้องการ

     

    “ยี่หวา!

     

    วันนี้พู่กันปล่อยผมยาวสลวยของเธอให้ระที่เข็มขัด มันส่ายเหย้าหยอกกับเอวเธอไปมายามที่เดินเข้าหายี่หวา เธอยกแก้วขึ้นชนเบา ๆ ยิ้มให้ และกระดกมันพร้อมกัน ในตอนที่น้ำในแก้วไหลเข้าสู่โพรงปาก ดวงตาเธอก็ปรายมา ราวกับจะย้ำเตือนระเบิดเวลาในห้องเก็บอุปกรณ์วันนั้นอีกครั้ง

     

    “ได้ยินว่าหวาจะไปติวกันที่บ้าน เราไปด้วยได้มั้ยอ่ะ อยากเจอพี่เก้าจัง”

    “ที่บ้านมีแต่ผู้ชาย เธอไม่ต้องมาหรอก”

    “อะไรกันเล่า ทำอย่างกะพวกนายเห็นเราเป็นผู้หญิงงั้นแหละ”

    “เธอเป็นผู้หญิง”

     

    พู่กันยิ้มขำ แต่ในใจร่ำร้องว่าถ้าเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิง ทำไมถึงไม่ชอบฉันล่ะ

     

    “แล้วพริ้มไปมั้ย?”

    เจ้าตัวไม่ไป”

    “ทำไมล่ะ ติวฟรี แถมติวดีมากด้วย เธอพลาดแล้วล่ะพริ้ม แต่เธอไม่ไปก็ดีนะ อะไร ๆ จะได้ง่ายขึ้น”

     

    ยืนห่างกันขนาดนี้ยังประชดประชันถึงนี่ได้ พริ้มไม่เชื่อแล้วว่าวันนั้นพู่กันจริงใจที่จะเตือนจริง ๆ เธอก็แค่อยากให้เขาเจ็บเหมือนที่เธอเคยเจ็บ เจ็บจากสายตาเย็นชาที่ยืนใกล้กันขนาดนั้นเขายังสัมผัสได้

     

    “อะไร ๆ ที่ว่ามันคืออะไร?” ยี่หวาถามเมื่อมีบางจุดของประโยคแปลกไป

    “ก็

    “พู่กัน!

     

    พริ้มโพล่งเสียงดัง เมื่อเธอทำท่าเหมือนจะบอกความลับของเขาออกไป คนรอบข้างเงียบลงและหันมองมาทางเขา จนกระทั่งพู่กันขำเบา ๆ แก้บรรยากาศ ทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ปฏิกิริยาร้อนใจของพริ้มทำให้ยี่หวาเอะใจ รวมไปถึงรอยยิ้มกรุ่มกริ่มของพู่กันก็ด้วย

     

    “เราขอตัว”

    “จะไปไหนล่ะจ๊ะพริ้ม”

    “ห้องน้ำ”

     

    ร่างสูงทำเชิงไม่สนใจ แต่ในจังหวะที่คิดว่าอีกคนคงกำลังจะเดินเข้าห้องอะไรสักอย่าง เขาก็หันไปมอง และพบว่าพริ้มไม่ได้เดินเข้าห้องน้ำอย่างที่ปากว่าเอาไว้ แต่กลับเป็นประตูบานกระจกที่กำลังเลื่อนปิดเบา ๆ และไม่มีใครสังเกต

     

    “ไปเต้นกันมั้ย?”

    “ฉันไม่ชอบเต้น”

    “ทำไมล่ะ สนุกดีออก เราไม่เคยเห็นนาย—”

    “กับเธอ”

     

    เขาทิ้งท้ายคำพูดที่น่าจะ ชัดเจนก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา ทำเป็นเดินไปทั่ว ๆ งาน และเมื่อสบโอกาสขายาว ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางตรงไปยังห้องบานกระจกแทน ยี่หวาวางแก้วของตัวเองทิ้งไว้ที่ไหนสักที่ เขาถอดรองเท้าไว้หน้าห้อง ขยับเลื่อนเพื่อเช็คว่ามันถูกล็อคหรือไม่ แต่มันกลับเลื่อนเปิดได้อย่างง่ายดาย เขาเปิดมันออกช้า ๆ และปิดมันด้วยเสียงที่เบาที่สุด

     

    ดวงตาคมจดจ้องไปที่ร่างเล็ก เด็กคนนั้นนั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ บนเก้าอี้ประจำของเขา ครั้งที่สองแล้วที่ยี่หวากำลังสวมบทบาทเป็นใครสักคน ทำเหมือนว่าเข้ามาเอาของ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจเข้ามาหาคนในห้อง เมื่อเสียงเดินเรียกสายตาของพริ้มให้หันมา ร่างเล็กก็ผุดลุกขึ้นทันที

     

    “นายหลบหน้าฉัน”

     

    คำพูดแทงใจดำรั้งขาของอีกฝ่ายให้หยุดเดิน เขาเบื่อที่จะหงุดหงิดกับอะไรที่เขาไม่เข้าใจเต็มที จดจ้องไปยังคอเล็กที่หดเข้าหาตัวเองเล็กน้อย พร้อมกับเสียงที่เอ่ยตอบออกมาอย่างติดขัด

     

    “เราเปล่า”

    “เปล่าก็หันมาสิ”

     

    ทำใจดีสู้เสือได้แปปเดียวก็ต้องพ่ายแพ้ต่อน้ำเสียงดุดันของยี่หวาอยู่ดี พริ้มค่อย ๆ หมุนตัวหันมา เขารวบรวมความกล้าสบตากับร่างสูง และมันสิ้นสุดลงเมื่อหนึ่งวินาทีผ่านไป เขาอ่อนแอเมื่อยืนต่อหน้ายี่หวา ไม่เคยมีเรี่ยวแรงยามที่อีกฝ่ายจ้องมอง

     

    “ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ย กับฉันนายพูดได้ทุกเรื่อง”

    “มันไม่มีอะไร”

    “จริง ๆ นะ”

     

    พริ้มแทบบ้า เมื่อคำพูดของยี่หวาทำให้เขานึกย้อนไปถึงวันเก่า ๆ นึกถึงวันนั้นที่ยี่หวาพูดคำนี้กับเขา นึกถึงวันที่หัวใจเขาพองโตแค่ได้เห็นหน้ายี่หวาเท่านั้น นึกถึงอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้เขาตัดใจไม่ได้ มันได้แต่เต้นรัว และแรงขึ้นแรงขึ้นจนกระทั่งความจริงบอกให้เขาหยุด หยุดเลิกฝัน หยุดเห็นแก่ตัว หยุดทำลายความสัมพันธ์ กรอกหูพริ้มซ้ำ ๆ ว่านายโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รู้จักยี่หวา คนที่แค่คุยก็ยังยาก แต่ก็ยังเลือกจะชอบต่อไป จนวันนี้นายกำลังจะทำมันพัง

     

    เพราะมันล้นล้นจนฝาหม้อปิดไว้ไม่อยู่

     

    “ไม่ต้องสนใจเราได้มั้ย”

    “เหมือนที่หวาเคยทำ”

     

    ภาพตรงหน้าเคลื่อนไหวเร็วมาก หลังจากที่พริ้มหมุนตัวจะเดินออกไปอีกครั้ง ยี่หวาอาศัยขายาว ๆ ก้าวเข้ามาฉุดแขนเขาให้เข้าไปหา ดันไหล่เล็กให้ร่างทั้งร่างแนบลงไปบนโซฟา ล็อคแขนทั้งสองข้างด้วยสองมือแกร่งที่ทุ่มเทให้กับวอลเล่ย์บอลมาตลอด กดข้อมือของพริ้มเอาไว้แน่น ด้วยแรงและสายตาที่ขุ่นเคือง

     

    “รู้มั้ยว่าพูดอะไรออกมา”

    “เราขอโทษ”

    “เรื่อง?”

     

    พริ้มเงียบนานอยู่หลายนาที เขาไม่เข้าใจการกระทำของหวา พอ ๆ กับยี่หวาที่ไม่รู้ว่าตัวเองโมโหขนาดนี้ได้ยังไง ใบหน้าที่เคยนิ่งเรียบไม่ต่างจากทะเลสาบกลางป่า แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นท้องทะเลกว้างใหญ่ ซัดคลื่นเข้าสู่ชายฝั่งไม่เหนื่อยอ่อนและไม่ยอมแพ้

     

    มันรุนแรงและน่ากลัว

     

    “การที่นายไม่พูดมันทำให้ฉันหงุดหงิด!

     

    เสียงของยี่หวาแข็งกร้าวกว่าครั้งไหน ๆ ไม่ได้แข็งกร้าวเพื่อสั่งใคร แต่แข็งกร้าวเพื่อขอคำตอบจากเขา ขนาดนี้แล้วพริ้มก็ยังไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง มันเจ็บปวดและเสี่ยงเกินไปหากคำตอบที่ได้ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เสียงของยี่หวาทำให้น้ำตาพริ้มเริ่มผล่อย มันเอ่อล้น ก่อนจะไหลลงทางหางตา

     

    “ร้องไห้ทำไม”

    ฮึก”

    “ใครให้ร้อง”

    “เราฮึกไม่ได้ร้อง”

     

    ยี่หวาเลียปาก เขาทำอะไรไม่ถูก ได้สติขึ้นมาทันตาเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้น้ำตาคลอ ดวงตาเล็กแดงก่ำ แต่ปากก็เอาแต่พร่ำว่าไม่ได้ร้อง ตอนแรกเขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่พอได้ปลดปล่อยอารมณ์ออกไป คำตอบของคำถามที่สงสัยก็ไหลเข้ามาในหัวสมอง

     

    แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะแก้เชือกก้อนนี้

    คนที่ทำให้มันพันต้องเป็นคนแก้มันเอง

     

    “นายดูออกง่ายฉันบอกนายหลายครั้ง”

     

    มือหนาปล่อยข้อมือข้างขวาออกเป็นอิสระ พริ้มกำลังจะเอามาปาดน้ำตาตัวเอง แต่ไม่ทันคนด้านบนที่ไล้นิ้วโป้งปาดน้ำใต้ขอบตาออกให้เบา ๆ และอีกข้างด้วยนิ้วก้อย พริ้มหลบตาไม่กล้ามอง เขารู้ว่ามันจะเขินแค่ไหนถ้าเราสบตากันตอนนี้ ยี่หวากำลังอ่อนโยนมาก ๆ ซึ่งมันไม่ดีต่อหัวใจของพริ้มเลยสักนิดเดียวมันทำให้เขาเข้าข้างตัวเอง จากตอนแรกสิบตอนนี้เพิ่มเป็นสามสิบแล้ว

     

    “พริ้ม

     

    เสียงของยี่หวาอ่อนลง ร่างสูงเว้นช่วงไว้ราวกับจะเรียกให้เขาหันมาสบตากัน พริ้มจ้องเข้าไปข้างในในสีน้ำตาลเข้มสวยที่กำลังมองลงมาเช่นกัน เขาเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกบานนั้นเป็นประติมากรรมที่สร้างความหวั่นไหวในหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่สามารถถอนตัวเองขึ้นจากวังวนความรู้สึกชอบใครสักคนมาหลายปีนี้ได้ ทั้งที่อาทิตย์ก่อนพยายามตัดใจแทบตาย

     

    สุดท้ายก็พังทลายเพราะคนคนนี้อยู่ดี

     

    “ฉันแสดงออกไม่เก่ง”

    “แล้วฉันก็ไม่ได้ว่างมากพอที่จะใส่ใจใครหลาย ๆ คน”

     




































     

    เราจัดการชีวิตยากขึ้น เมื่อเข้าใกล้การสอบครั้งสำคัญ ทุกคนยุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือ ติวเตรียมสอบไฟนอล บางส่วนก็วุ่นวายอยู่กับงานรับดอกไม้ที่จะจัดขึ้นหลังสอบเสร็จ เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ต้องเคลียร์ตัวเองให้ได้ไวและไม่เหลืออะไรค้างคาใจเท่าที่จะทำได้

     

    แต่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน พริ้มทำพัง เลือกทางที่คิดว่าดีที่สุด สุดท้ายทางนั้นดันแย่กว่าที่คิดเสียอีก ยี่หวาไม่คุยกับเขา เรากลับไปเหมือนตอนแรก ๆ ที่รู้จักกัน เป็นแค่เพื่อนข้างห้องเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำทักทาย ถึงเขาจะไม่ได้บอกชอบ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กับคำเตือนของพู่กันก็ไม่ได้ต่างกันนัก แย่กว่าตรงที่เขาไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อน เหมือนกลับไปเป็นพริ้มเมื่อปีที่แล้ว

     

    “หลายวันมานี้พริ้มดูไม่ค่อยสดใสเลยนะ”

     


    สดใสดี

    ความทรงจำ ณ ช่วงหนึ่งของเวลาปรากฏออกมาแทนที่ใบหน้าของเอื้อน เขาจำมันได้ดี เพราะมันเป็นคำที่ทำให้ใจเขาเต้นแรงที่สุดในวันนั้นเลย

     


    “อ่านหนังสือดึกไปหน่อยน่ะ”

    “อย่าฝืนสิ พริ้มเก่งอยู่แล้ว เราเห็นคะแนนพริ้มดีทุกวิชาเลย”

    “เอื้อนก็เหมือนกัน”

     

    เธอยิ้ม

     

    “ลองไปตากลมที่ดาดฟ้าดูมั้ย เหมือนกุญแจมันพัง แต่ป้าแม่บ้านยังไม่รู้ มีคนขึ้นไปนั่งเล่นกันเยอะอยู่นะ”

    “อ๋อ เราพอได้ยินมาบ้าง เอื้อนเคยขึ้นไปมั้ย”

    “ไม่อ่ะ เรากลัวความสูง เอาคางเกยหน้าต่างก็รับลมได้”

     

    เขาได้ยินมาจากผ้า ว่าชั้นดาดฟ้าถูกแอบใช้ ตอนแรกมีแค่ห้องแปดที่รู้ แต่ใครเขาจะมีเพื่อนแค่ในห้องบ้างล่ะ ปากต่อปากไปไวราวกับสายลม ยังดีที่บอกกันแค่พวกมอหก ไม่งั้นดาดฟ้าคงกลายเป็นงานกาชาดไปแล้ว

     

    เขาตัดสินใจว่าจะขึ้นไปหลังเลิกเรียน ได้ปลดปล่อยรับลมอย่างที่เอื้อนว่าสักหน่อยก็คงดีไม่น้อย พริ้มหงอยมาเป็นอาทิตย์ หนักขึ้นก็ตอนที่ยี่หวาเมินใส่หลังจากวันนั้นนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่อยากให้มันจบลงด้วยดี โดยที่ยังมีคนยิ้มได้ กลายเป็นว่าไม่มีใครยิ้มได้เลยสักคนเดียว เขานี่มันแย่จริง ๆ

     

    หอบสัมภาระเดินขึ้นบันไดไปเงียบ ๆ ในเวลาแบบนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่บนตึกกันแล้ว บันไดขึ้นดาดฟ้าต้องเดินผ่านห้องของผ้า ใจจริงก็อยากชวนขึ้นมาด้วยกัน แต่ไม่รู้จะคุยอะไรดี พริ้มเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองไม่ถูก ถึงแม้จะนั่งกินข้าวกลางวันด้วยกันก็แทบไม่ได้ชวนกันคุยเลย

     

    เขาว่าคนอื่น ๆ คงรู้กันแล้วว่ามีบางอย่างแปลกไป พริ้มไม่สดใสและยี่หวามึนตึง มีบ้างที่เราสบตากัน แต่มันก็แค่นั้น ในตอนที่พริ้มซักผ้าแล้วน้ำยาปรับผ้านุ่มหมด เขากลั้นใจบอกยี่หวา แล้วก็ได้รับน้ำยาถุงนั้นมา โดยไม่มีการพูด การมอง หรือคำล้อเลียนว่าเขาเตี้ยอย่างที่ผ่าน ๆ มาอีกเลย

     

    เขาไม่ต้องการแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ต้องการมากกว่านี้

     

    “สับสนจัง”

     

    คนตัวเล็กเอื้อนเอ่ยพร้อมถอนหายใจ ข้างบนดาดฟ้าไม่มีใครเงียบและเหมาะที่จะทบทวนตัวเอง ลมเย็นอย่างที่เอื้อนบอกจริง ๆ นั่นแหละ เงยหน้าขึ้นซึมซับสีม่วงปนชมพูของท้องฟ้าผืนนี้ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เท่าที่จะทำได้ ก่อนจะถอนออกมาเพื่อหวังว่ามันจะช่วยบรรเทา

     

    “มาทำอะไรที่นี่คนเดียว”

     

    ร้อยวันพันปีผ้าไม่เคยเห็นพริ้มเดินผ่านหน้าห้องก็เลยเดินขึ้นมาดูบนดาดฟ้า แล้วก็พบว่าเพื่อนตัวเล็กของเขาอยู่บนนี้จริง ๆ ด้วย ปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ วางกระเป๋าให้ทิ้งไว้ข้างกัน วันนี้แหละที่ผ้าต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมพวกมันสองคนถึงมึนตึงใส่กันไม่เลิกรา ทำเหมือนคนเลิกเป็นเพื่อนกันไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น กับหวาน่ะเขาไม่ค่อยห่วงเท่าไร รายนั้นแม่งก็เป็นแบบนี้ปกติ แต่กับพริ้มเนี่ยสิ

     

    “รู้ได้ยังไงว่าเราอยู่บนนี้”

    “กูเพื่อนมึงนะ แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าจะไปไหน”

    “เก่งจัง”

    “ประชดหรอ”

    “เปล่าสักหน่อย ชมจริง ๆ นะ”

     

    ผ้าลอบมองใบหน้าด้านข้างที่ซึมกระทือกว่าทุกครั้ง ขนาดโดนแคทกับไอ้เช็ดขี้แกล้งยังไม่หงอยเท่านี้ ชักจะเป็นห่วงจริง ๆ แล้วว่าเรื่องมันอาจจะไปไกลกว่าที่คิด ไม่ใช่ว่าพริ้มแอบไปเปิดสวิตช์อะไรของไอ้หวาเข้าให้หรอกนะ

     

    “ทะเลาะกับยี่หวาหรอ”

    เปล่า”

     

    พริ้มส่ายหน้า ก่อนจะคลี่ยิ้มจาง ๆ

     

    “เราทะเลาะกับตัวเอง”

    “เล่าได้ปะ บอกตามตรงว่ากูไม่ชอบเห็นมึงเหี่ยวแห้ง”

     

    เพื่อนตัวเล็กขำเบา ๆ จริงอย่างที่ผ้าพูด เขาเติบโตได้ด้วยยี่หวา สดใสได้ด้วยยี่หวา เขาเปรียบผู้ชายคนนั้นเหมือนดวงตะวันยามเช้าที่แค่เห็นก็ทำให้ใช้ชีวิตไปได้ทั้งวัน แต่ตอนนี้ตะวันดวงนั้นหันหน้าหนีเขา เพราะเขาปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาต้องการมันจริง ๆ พริ้มต้องการอะไรกันแน่ เขาสับสนกับตัวเองเหลือเกิน

     

    “ผ้ารู้ใช่มั้ยว่าเราหลบหน้ายี่หวา”

    “รู้ มึงหลบหน้ามันจนพวกกูแทบไม่เห็นหน้ามึงแล้ว รู้ตัวไว้ด้วย”

    “เราขอโทษนะ”

    “ขอโทษทำไม มึงมีเหตุผลของมึง”

     

    กำลังใจที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่คำพูดที่สวยหรู แค่สัมผัสกันนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำให้ข้างในชุ่มฉ่ำได้ ผ้าขยี้หัวทุยจากเบา ๆ เปลี่ยนเป็นแรงขึ้นเพราะมันเขี้ยว ตั้งนานไม่ยอมมาปรึกษา มาตอนนี้มันไม่สายไปหน่อยหรือไง

     

    “เราชอบยี่หวา”

    “รู้”

    “รู้หรอ!?”

    “ใคร ๆ เขาก็รู้ กูว่ามีแค่มึงนั่นแหละที่คิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้”

     

    เพื่อนตาโตกรอกตามองบนอย่างเหนื่อยอ่อน ทำหน้าตกใจขนาดนั้นแสดงว่ามันไม่รู้จริง ๆ เฮ้อเอาซะด่าไม่ลงเลย อยู่กับพริ้มนี่แทบไม่ได้ใช้คำหยาบ นอกจากคำว่ากูมึงเลยนะเนี่ย ไม่รู้ทำไม แค่เห็นหน้าก็พูดไม่ลง

     

    “เราดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอ?”

    “มีคนเคยบอกมึงมั้ยล่ะ?”

     

     


    ดูออกง่ายจังเลยนะ

    นายดูออกง่ายฉันบอกนายหลายครั้ง

    ฉันไม่ได้โง่

     


     

    “ผ้าไง”

    “กูหมายถึงคนอื่น”

    “ก็มี”

     

    ผ้าคาดคั้นทางสายตา อยากจะรู้ว่าคนที่พูดแบบนั้นอีกนั่นหมายถึงใคร แต่ก็พอเดาได้อ่ะนะ ก็เจ้าตัวเล่นไม่ตอบแบบนี้ เขาถอนหายใจ เอามือเท้าไปด้านหลัง และลอบมองคนด้านข้างที่นั่งกอดเข่าตัวเอง

     

    “ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้เลย เราควรทำยังไงดี”

    “แล้วมึงทำอะไรไปล่ะ”

    “อย่าพูดถึงได้มั้ย

     

    พริ้มหันมาเบะปาก ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนผ้าหลุดขำดังลั่น

     

    “การตัดสินใจของเรามันแย่มาก ๆ ผ้าว่ายี่หวาโกรธเรามั้ย?”

    “โหกล้าถามเนอะ มันเมินมึงขนาดนี้ อีกนิดแม่งก็เดินทะลุได้ละ ไม่โกรธเลยมั้ง”

     

    พริ้มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไงดีเลย เล่าให้ฟังก็ไม่ได้นึกถึงทีไรก็จะร้องออกมาทุกที แต่ยังไงผ้าก็เป็นเพื่อนคนเดียวที่เขาไว้ใจมากที่สุด ผ้าคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ และไม่กลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อน เขาไม่เคยเจอเพื่อนคนไหนดีเท่าผ้าอีกแล้ว

     

    “ที่เราหลบหน้ายี่หวา เพราะเราอยากตัดใจ”

    “เราไม่อยากพยายามหรือคิดเข้าข้างตัวเอง ทั้งที่มันไม่มีทางเป็นจริงได้ ในตอนนั้นเราสับสนมาก เราบอกให้หวาอย่าสนใจเหมือนที่หวาเคยทำ”

    “สมใจมึงมั้ยล่ะ?”

    “อย่าซ้ำเติมสิ”

     

    เบะปากอีกแล้ว

     

    “กูไม่รู้นะว่าทำไมมึงตัดสินใจทำแบบนั้น แต่มึงก็น่าจะรู้แล้วว่ามันไม่เวิร์ค”

    “ที่กูอยากแนะนำก็คือมึงคิดยังไงก็พูดออกไป รู้สึกยังไงก็บอกมันไปเลย ที่มันไม่ยอมพูดกับมึงคงเพราะมันรอให้มึงพูดก่อนล่ะมั้ง”

     

    เมื่อไรที่ภายในใจว้าวุ่นกับคำต้องห้ามที่ได้ติดป้ายเตือนเอาไว้ คำต่าง ๆ ที่เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจะรั่วไหลออกไปทำร้ายใครต่อใครจนวุ่นวายไปหมด เช่นเดียวกับพริ้ม เขาเลือกที่จะไม่บอกชอบ เพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขากลัวก็มาจากการที่หลุดปากพูดออกไปเพื่อป้องปกตัวเอง วิธีนี้ไม่ฉลาดพริ้มบอกกับตัวเองทุกวันหลังจากที่เขาเห็นยี่หวาโมโหต่อหน้า แต่เขาก็กลัวที่จะพูดออกไปเหมือนกัน

     

    “ให้กำลังใจแบบโลกไม่สวยเลยนะ ถ้ามึงบอกชอบแล้วมันไม่ได้ชอบมึง สิ่งที่มึงจะเจอก็ไม่ต่างจากตอนนี้ สุดท้ายเรียนจบแยกย้ายเข้ามหาลัย ใช่ว่าจะเจอกัน มึงมีเวลาทำใจอีกนาน”

    “แต่กูเชื่อว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น”

     

    อย่างน้อยผ้าก็รู้ว่าพริ้มไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ถึงเพื่อนคนนี้จะดูมันไม่ออก แต่เพื่อนอย่างเขาดูออก ไอ้จอม ไอ้ซาน ไอ้เทค ก็ดูออกมาตั้งนานแล้ว ยกเว้นไอ้สองตัวนี้นี่แหละ คนหนึ่งดูออกง่ายแทบไม่ต้องเดา อีกคนเดาไม่ได้ ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ก็ไม่เห็น นี่สินะที่เรียกว่าสุดขั้ว ถ้าได้คบกันคงเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย

     

    “ผ้าว่าวิธีนี้ดีหรอ

    “ดีดิ”

    “เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมั้ย”

    “ไม่มีทาง”

     

    ใจแป้วแบบไม่ต้องเจาะลม นั่นสินะถ้าได้บอกชอบใครสักคนไปแล้ว เราไม่มีทางขอให้เขาเหมือนเดิมกับเราได้ พริ้มแค่ต้องเข้มแข็งแค่ต้องยอมรับมันให้ได้ พริ้มตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอยากบอกชอบยี่หวาก่อนเรียนจบ แต่มันดันพังเพราะคำพูดของคนที่ไม่หวังดี อย่างน้อยถ้าเขาพูดความจริง โดยการบอกชอบไปอย่างจริงใจ มิตรภาพของเราคงจบได้ดีกว่านี้ พริ้มไม่อยากเก็บมันไว้อีกแล้ว

     

    เป็นไงเป็นกัน

     

    “เรามีคำถาม”

    “บอกกูก่อนว่ามึงจะไปสารภาพกับมัน”

    “เราจะบอก ถ้าผ้าตอบคำถามเราแล้ว”

    “โถ เดี๋ยวนี้หัดต่อรอง”

     

    ริมฝีปากเล็กยกยิ้มร่า พอได้คุยกับผ้าก็เหมือนสมองจะโล่งขึ้น เขารู้แล้วว่าตัวเองจะต้องทำยังไงต่อไป เขาเตรียมพร้อมกับความเสียใจ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสมหวังอยู่แล้ว แต่ก่อนอื่นคือมีบางอย่างที่เขาอยากรู้ บางอย่างที่ไม่เข้าใจมาตั้งแต่ตอนนี้

     

    บางอย่างที่อาจเป็นตัวพลิกเกมของพริ้มเลยก็ว่าได้

     

    “ถ้ามีคนบอกผ้าว่าเขาไม่ว่างมากพอที่จะใส่ใจคนอื่น มันหมายความว่ายังไงหรอ”

    “ก็หมายความว่าอืมมม”

    “เขากำลังยุ่งอยู่กับการใส่ใจคนคนหนึ่งอยู่ไง”



    #พริ้มเพียงหวา

    5/3/19
















    โย่วเย่ว

    จะลงรายละเอียดเล่มในตอนถัดไป ซึ่งน่าจะเป็นพรุ่งนี้ค่ะ อย่าลืมมาดูนะคะ

    ตอนหน้าตอนจบแล้ว อยู่กันมาอย่างยาวนานจริง ๆ ไม่เคยแต่งฟิคนานเท่านี้มาก่อนเลยค่ะ5555

    สำหรับตอนนี้ค่อนข้างยาก เพราะน้องกำลังสับสนอย่างหนัก ความคิดน้องรวน แต่สุดท้ายก็ได้เพื่อนคนสำคัญอย่างผ้ามาช่วยไว้ได้ทัน ดีใจจริง ๆ ที่ลูกมีเพื่อนดีเหมือนตัวลูกเอง

    ปล. ยี่หวาโคตรใจร้ายเลยว่ะ

    พูดคุยกับเราได้ที่นี่ @Jarlynnie | Jarlynniestyle@ask.fm หรือจะส่งนกพิราบมาก็ได้ค่ะ รับหมด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×