ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #17 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๖

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25.01K
      2.41K
      17 ธ.ค. 61






    16



     

    จบเกมไปด้วยคะแนน 3 : 2 เซ็ต

     

    ทั้งสองทีมเหงื่อซก เกมการแข่งขันกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง โรงเรียนเจ้าภาพส่งเสียงเฮสนั่นรอบสนามเมื่อชัยชนะที่พยายามไขว่คว้าได้มาอยู่ในมือแล้ว ยี่หวาปาดเหงื่อที่หน้าผากออกก่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจจะผุดออกมาจาง ๆ สบตาเข้ากับกัปตันทีมของไอโซระที่ส่ายหน้าใส่แต่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

     

    เส้นทางของพวกเขาบรรลุแล้ว…

    ถ้วยรางวัลการแข่งขันกีฬาวอลเล่ย์บอลประจำงานโอเบงปีที่ 32 เป็นของทีมคาลันโช !!

     

    พริ้มตบมือรัวแข่งกับคนทั้งสนาม รอยยิ้มและความปลื้มปิติที่เขาเฝ้ามองความพยายามของคนในทีมทำเอาน้ำตาจะไหล แต่ถึงไม่ไหลมันก็คลออยู่ที่เบ้าแล้วในตอนนี้ คนในทีมกอดคอล้อมกันเป็นวงกลม ไม่ลืมที่จะเรียกคนข้างสนามที่มีทั้งตัวสำรองและโค้ชเข้าไปร่วมวงด้วย

     

    แต่พริ้มเลือกที่จะอยู่ตรงนี้…

     

    ใบหน้าของยี่หวายามดีใจนั้นสุดแสนจะล้ำค่า เขาอยากเก็บใบหน้านั้นใส่กรอบไว้มองเวลาตัวเองท้อแท้จังเลย…เขาจะรู้มั้ยว่ารอยยิ้มของตัวเองนั้นมีค่าสำหรับคนคนหนึ่งมากขนาดนี้ รอยยิ้มที่นาน ๆ จะได้เห็นทีสดใสดั่งดวงตะวันยามเช้าที่เขาคอยเฝ้ามองอยู่ทุกวัน ดีใจจังที่ลงมานั่งตรงนี้

     

    ได้เห็นรอยยิ้มของยี่หวาชัดเจนเลย

     

    “พริ้ม!!”

    “หือ?”

    “มานี่สิ!! นั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้นเล่า!”

     

    ผ้าชะโงกหัวออกมานอกวงพลางส่งเสียงเรียกเพื่อนสนิทตัวน้อย คนโดนเรียกทำหน้าเหรอหรา จู่ ๆ ก็โดนเรียกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีม ทั้ง ๆ ที่พริ้มไม่ได้มีบทบาทอะไร เขาเข้าชมรมมาเพราะต้องเป็นมาสคอตที่เล่นวอลเล่ย์บอลได้ เพราะฉะนั้นยี่หวาก็เลยเอาเข้าทีมด้วย

     

    …เขาไม่ได้สำคัญถึงขนาดที่จะเข้าไปร่วมดีใจได้

     

    “มาเร็ววว ทุกคนรออยู่” ผ้าเดินออกมาดึงแขนพริ้มให้ลุกตามไป

    “เอ่อเรา…”

     

    ยื้อหยุดกันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องยอมเพื่อนตัวเล็กที่หน้าเริ่มเบะ ไม่ยอมลุกออกจากเก้าอี้พลาสติกอยู่ท่าเดียว ผ้าเลยตัดสินใจกอดพริ้มมันตรงนั้นซะเลย เขย่า ๆ ให้หายมันเขี้ยว ในเวลาแบบนี้ยังจะดื้อใส่อีกนะ

     

    “อื้อ…แน่นไปแล้วนะ”

    “มึงอ่ะลีลา ก็เฮกันอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ”

    “ผ้าอย่ารัดหัวเรา”

    “เฮ้ย! ลืมไปว่าตัวมีแต่เหงื่อ”

     

    เพื่อนคนแรกของพริ้มผละตัวออกด้วยความตกใจ ถึงจะเป็นลิบบอโร่แต่ก็วิ่งเก็บบอลไม่ได้หยุดพักเลย ฝั่งนู้นแม่งก็ตีเอา ๆ ฝั่งเรายังไม่ทันตั้งตัวเลย ถึงจะรับได้ แต่แขนเขอก็ยังไม่ถูกองศา บิดเบี้ยวปลิวออกนอกสนามหลายลูก จนหัวลิบบอโร่คนนี้จะหมุนอยู่แล้ว

     

    จะไปบอกให้โค้ชฝึกพวกแม่งให้หนัก ๆ เรื่องการรับบอลตบให้แม่น ๆ เลย คอยดูสิ เอาแบบรับปุ๊บถึงตัวเซ็ตปั๊บ แม้ลูกจะแรงยิ่งกว่าพายุทอนาโดพัดมาก็ไม่สั่นสะเทือนใดใด

     

    “อ่า…จริงด้วย” พริ้มยกมือขึ้นแตะแก้มที่ชื้นน้ำ

    “อ๋อ…ที่มึงโวยวายเพราะรังเกียจกูใช่มั้ยพริ้ม”

    “เปล่านะ!”

    “ก็ว่าอยู่ว่าไม่ได้กอดแน่น แต่เพราะกลัวจะเลอะเหงื่อก็เลยอ้างใช่ปะ ทำไมวะพริ้ม รังเกียจขนาดนี้ก็บอกกันดี ๆ อย่าทำแบบนี้ดิ”

    “เราไม่ได้คิดแบบนั้นนะ!!”

     

    ผ้าแอบลอบยิ้มในใจทันทีที่เห็นพริ้มร้อนรน คนตัวเล็กกระวนกระวายดึงตัวเพื่อนตัวเองเข้าไปกอดให้ดูว่าไม่ได้รังเกียจอย่างที่ปากบอกจริง ๆ แล้วก็เอาแต่พึมพำว่าผ้ากอดแน่นจริง ๆ เกือบหายใจไม่ออก ตัวแผนการยิ้มกริ่ม แกล้งพริ้มได้สำเร็จและอยู่หมัด เวลาพริ้มอ้อนก็น่ารักดีเหมือนกัน ไว้จะทำบ่อย ๆ เลย วะฮะฮ่า!

     

    “เหงื่อก็คือน้ำ เรากินน้ำก็เหมือนเรากินเหงื่อนั่นแหละ”

    “มันอันเดียวกันที่ไหนล่ะ จะง้อก็ให้มันดี ๆ หน่อยได้ปะ”

    “อ้าว ผ้างอนเราหรอ ตอนไหนอ่ะ?”

    “จะตอนนี้เนี่ยแหละ!”

     

    ดีดหน้าผากขาวไปทีหนึ่งก่อนจะเอาแขนรัดหัวพริ้มเล่น สักพักโค้ชก็เรียกเขาให้ไปต่อแถวจับมือกับทีมตรงข้ามเพื่อปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ

     

    ยี่หวาเดินนำทีมไปที่ขอบเน็ต จับมือกับกัปตันทีมไอโซระที่วันนี้เล่นเต็มที่ไม่อ่อนข้อให้เลยสักนิดเดียว ก็ดีเหมือนกัน เวลาที่เราทำอะไรสักอย่างด้วยแรงทั้งหมดที่มีแล้วได้รับชัยชนะมา มันโคตรภูมิใจเลย

     

    ร่างสูงเน้นย้ำที่ฝ่ามือก่อนจะส่งยิ้มเป็นมิตรให้ แต่น้ำใจนักกีฬาที่ฝ่าฝันอุปสรรคมาด้วยกันไม่หมดเพียงแค่นี้ พวกเขาดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แม้ไอโซระจะแข่งกับคาลันโชมาสามปี ไม่เคยชนะได้เลยสักปีเดียว แต่เขาที่เป็นกัปตันทีมก็ยินดีจะเป็นกำลังใจให้เพื่อนคนนี้ มือด้านชาที่สาดลูกตบข้ามเน็ตให้กันตบที่แผ่นหลังยี่หวาสองสามทีก่อนจะผละออก

     

    มิตรภาพมักยืนยาวกว่าช่วงเวลาที่เราห้ำหั่นกัน

     

    “ปีนี้ก็ได้แชมป์ตามที่หวังไว้แล้วนะยี่หวา” พู่กันเดินยิ้มมาหาร่างสูงพลางยื่นขวดน้ำเย็นเจี๊ยบให้ อีกฝ่ายรับไปแต่ไม่ได้เปิดกินทันที

    “อืม ขอบใจที่มาช่วยวันนี้ด้วย”

    “เราไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อย”

     

    ยี่หวามองใบหน้ากัปตันทีมหญิงที่ส่งยิ้มมาให้ตั้งแต่เมื่อกี้ พู่กันกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จอมทัพดันเดินเข้ามากอดคอเขาขัดจังหวะเสียก่อน มันบอกว่าโค้ชจะพาพวกเราทีมชายไปเลี้ยงเย็นนี้ พร้อมกับลากตัวยี่หวาไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ไม่ลืมที่จะผงกหัวให้พู่กันที่ยืนคุยกับเขาก่อนหน้านั้นด้วย

     

    “อาจจะกลับเย็นหน่อยนะ ยังไงพวกมึงก็บอกพ่อแม่ไว้ด้วยล่ะ”

    “ผมไม่มีคนมารับอ่ะ ไปส่งหน่อยได้ปะ”

    “ตลอดแหละมึงอ่ะ ไม่เคยมีคนมารับตลอด”

    “เอาลูกเขาไปก็ต้องส่งลูกเขากลับด้วยปะล่ะ”

    “เออ กูเนี่ยส่งมึงกลับบ้านบ่อยจนจะเป็นพ่อมึงแล้ว”

     

    ซานหัวเราะร่า บ้านของโค้ชอยู่ทางเดียวกันกับบ้านของเขา โดยปกติเวลาไปไหนไกล ๆ อย่างเช่นไปแข่งต่างจังหวัดเสร็จ ซานก็จะขอติดรถโค้ชกลับบ้านด้วย ซึ่งคนในทีมส่วนหนึ่งก็มักจะติดรถโค้ชกลับบ้านบ่อย ๆ

     

    “ส่วนบ้านใครอยู่คนละทางก็คลานกลับไปเองแล้วกัน”

    “โค้ชแม่งใจร้ายว่ะ โทรหาพี่แปป”

    “แล้วเราจะไปกินร้านไหนกันอ่ะ?”

    “ครัวเกยน้ำ ข้าง ๆ ร้านฟาร์มเห็ด”

    “เชี่ยยยย ชวนกินของแพงซะด้วย”

     

    ครัวเกยน้ำเป็นร้านอาหารติดแม่น้ำไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงเรียนอซ. เป็นร้านที่อาหารอร่อย บรรยากาศดี ราคากลาง ๆ ถึงแพงมาก คนละแวกนี้ส่วนมากก็จะเคยกินกันหมดแล้ว แต่ด้วยความที่มันอร่อยและหลากหลายนี่แหละ ไปกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เคยเบื่อ

     

    “พริ้ม บ้านอยู่แถวไหน?” เทคถามเพื่อนตัวเล็กที่นั่งมองทุกคนคุยกันเงียบ ๆ

    “…แถว ๆ ร้านมาสคอตน่ะ”

    “อยู่ทางเดียวกับไอ้หวาเลย เฮ้ยหวา มึงกลับไง?”

     

    เทคถามยี่หวาที่กำลังเอาปลายเสื้อเช็ดเหงื่อที่หน้าตัวเอง เผยให้เห็นลอนหน้าท้องเนียนจนพริ้มต้องหันหน้าหนี มันสวยซะจนอยากมองอีก…แต่ใจก็ไม่กล้าพอให้หันกลับไป

     

    “เดี๋ยวพี่กูมารับ”

    “ฝากไปส่งพริ้มด้วยดิ”

     

    ร่างสูงลดปลายเสื้อลง เลื่อนสายตาไปทางใบหน้าขาวที่เมินมองไปอีกด้านแบบเก้ ๆ กัง ๆ

     

    “ได้”

    “โอเค งั้นพริ้มกลับกับยี่หวานะ”

    “ไป…ไหนหรอ”

    “ก็ไปกินเลี้ยงฉลองชัยชนะไง”

    “เอ่อ…เรา…ไปได้หรอ”

     

    เทคนิ่งงันเมื่อได้ยินคำพูดใจร้าย…แต่คนพูดกลับไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้น พริ้มเคยชินกับการโดนกีดกัน จนบางครั้งก็มักจะชอบพูดอะไรที่มันน่าเศร้า… เขาไม่รู้เลยว่าเพื่อนตัวเล็กตรงหน้ามองตัวตนของตัวเองเป็นยังไง แต่ยอมรับเลยว่าการที่ได้ยินพริ้มพูดถึงตัวเองแบบนี้ ทำให้เทคไม่ค่อยพอใจ

     

    “แน่นอน ต่อให้ไม่เอ่ยปากชวน…ก็อยากให้รู้ไว้ว่ามีนายรวมอยู่ในนั้น” ทิ้งฝ่ามือใหญ่ลงบนเรือนผมสีน้ำตาลสวยเบา ๆ แต่ไม่ออกแรงขยี้

    “ขอบคุณนะ”

    “…ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย”

     

     













    ครัวเกยน้ำ

    เราบึ่งรถมาที่ร้านอาหารทันทีหลังจากเคลียร์สนามเสร็จ ดีที่รถของโค้ชเป็นรถแบบครอบครัว ก็เลยอัดกันมาได้หมด ถึงจะคับแคบไปบ้าง แต่ก็สนุกดี พริ้มนั่งที่เบาะข้างคนขับกับผ้า เหตุผลเพราะเราตัวเล็ก ส่วนคนที่เหลือก็โวยวายว่า เข่าติดเบาะบ้าง หัวไหล่ซ้อนกันบ้าง ร้อนบ้าง จนโค้ชต้องเบรกแรง ๆ ให้หยุดบ่น

     

    “พริ้มมึงมานั่งกับกู” ผ้ากวักมือเรียก

     

    คนตัวเล็กเดินเอามือผสานกันไว้ข้างหน้า เป็นเด็กเจี๋ยมเจี้ยมที่เหมือนโดนบังคับมา พริ้มมองทุกอย่างด้วยแววตาตื่นเต้น ถึงจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยมาเลยสักครั้ง

     

    ร้านอาหารของที่นี่จะเป็นสไตล์เรือนไทยติดแม่น้ำ และห้องที่เราอยู่ก็เป็นห้องเดี่ยวขนาดใหญ่ รองรับพวกเราทุกคนได้พอดี เห็นว่าถ้าเป็นอาจารย์ของโรงเรียนอซ.ก็จะได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่าง นั่นก็เพราะเจ้าของร้านเป็นภรรยาของผู้อำนวยการโรงเรียน

     

    “อยากกินอะไรก็สั่งเลย ไม่อั้น”

    “โห เอาซะอยากรู้เลยว่าได้เงินรางวัลเท่าไร”

    “หักค่าเสื้อ ค่ามาสคอต ค่าของซัพพอร์ต ค่าเดินทางไปแข่งนอกโรงเรียน ค่า…”

    “ผมขอโทษครับโค้ช”

     

    ทุกคนหัวเราะเมื่อจอมทัพโดนโค้ชเฉาะหัว เงินรางวัลที่ได้มาเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายแล้วก็ไม่ได้มีส่วนต่างเยอะเท่าไร โค้ชเอาเงินที่เหลือจากการหักทั้งหมดมาเลี้ยงเด็กในทีม ซึ่งก็ไม่มั่นใจว่าจะพอหรือเปล่า เพราะแต่ละคนก็ยัดอย่างกับพายุ ดังคำกล่าวที่ว่า กระเพาะนักกีฬาต้องจ่ายค่าอาหารสองเท่าจากคนปกติเขากินกัน

     

    โค้ชจัดการสั่งอาหารตามเสียงโวยวายว่าให้สั่งอันนั้นอันนี้ ลอยเข้าหูมาไม่หยุด พนักงานเสิร์ฟจดชื่อเมนูมือเป็นระวิง กว่าจะทวนชื่ออาหารจบก็ปาไปเกือบสองวัน

     

    พวกตัวจริงนั่งแถว ๆ ท้ายโต๊ะ พวกเขาไล่รุ่นน้องที่เป็นตัวสำรองให้ไปนั่งกับโค้ชแทน พริ้มรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ต้องนั่งกินข้าวตรงข้ามกับยี่หวา ซ้ายขวาของหวาเป็นซานกับจอมทัพ…เป็นเรื่องปกติที่มักจะพบเห็นสามคนนี้อยู่ด้วยกัน ส่วนด้านซ้ายของพริ้มเป็นผ้า ด้านขวาเป็นเทคที่นั่งอยู่ริมสุดตรงข้ามกับซาน

     

    “ตอนเห็นลุงกุนมารับชุดมาสคอตกลับไปนี่โคตรใจหายเลยว่ะ”

    “ถึงชุดจะตลก แต่ก็เป็นตัวทำให้นึกถึงงานโอเบงปีนี้เลยนะ”

    “กูนี่อย่างฮาตอนมันเสิร์ฟลูกข้ามเน็ต กระโดดดึ๋ง ๆ ดีใจอะไรขนาดนั้น”

     

    มุกกับผ้าคุยกันอยู่ข้าง ๆ จริงสิ…ผ้าไม่รู้นี่นาว่าเขาเป็นมาสคอต แต่พริ้มก็ไม่คิดจะบอกเหมือนกัน ปล่อยให้ปูส้มตัวนั้นเป็นความทรงจำที่ไม่ใช่พริ้มนั่นแหละดีแล้ว… พูดถึงลุงกุน แกมารับชุดมาสคอตกลับไปเมื่อประมาณห้าโมงครึ่ง ตอนที่พวกเรากำลังเคลียร์สนามกันอยู่ พริ้มหลบอยู่ที่ห้องซักผ้า ไม่ได้ออกไปเจอลุงกุนเพราะแกเคยสั่งปากเปล่าเอาไว้ เป็นกฎที่ไส้ในทุกคนต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด

     

    รอไม่นาน อาหารเกือบยี่สิบจานก็ทยอยวางลงบนโต๊ะจนเกือบเต็ม และเมื่อข้าวสวยถูกตักออกจากโถจนหมด เราทุกคนก็ลงมือเขมือบอาหารตรงหน้าทันที ระหว่างทางพริ้มจะคอยตักข้าวเพิ่มให้เพราะทุกคนกินกันเร็วมาก คอยรินน้ำเติมให้แทบจะทันทีที่มันหมดแก้ว เขากินไม่ทันจะหมดจาน กับข้าวชุดใหม่ก็มาเสิร์ฟอีกแล้ว พริ้มอึ้งไปเลยที่ทุกคนกินกันอย่างตั้งใจไม่ต่างจากตอนลงแข่ง

     

    “ข้าวติดแก้มแล้วผ้า”

    “เอาออกให้หน่อย ตอนนี้ไม่ว่าง ต้องแย่งปลาจากไอ้ซานให้ทัน”

     

    ว่าแล้วก็จ้วงเนื้อปลาในหม้อตัดหน้าช้อนของซาน

     

    “ไอ้เพื่อนเหี้ย กูเล็งก่อนนะโว๊ย!

    “มึงช้า คนที่ช้าก็ต้องแพ้บาย”

    “อย่าให้ถึงตากูนะไอ้ผ้า”

     

    พริ้มลอบขำ ก่อนจะใช้นิ้วปัดเม็ดข้าวที่ข้างแก้มให้

     

    ในจังหวะที่หันกลับมาสนใจจานข้าวตัวเองต่อ ช้อนที่กำลังจะตักตำลึงในต้มจืดก็ชนเข้ากับช้อนของใครอีกคนเข้า คนตัวเล็กสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามที่ก็มองมาเช่นเดียวกัน ร่างสูงไม่ได้พูดอะไร แต่ยกช้อนของตัวเองออกจากถ้วยต้มจืดแล้วไปตักจานข้าง ๆ แทน

     

    พริ้มเงอะงะ ตักตำลึงมาที่จานแต่น้ำต้มจืดดันไหลลงโต๊ะเปียกเลอะไปหมด รีบมองหากระดาษทิชชู่เพื่อเอามาซับและก็เป็นคนตรงข้ามอีกเช่นเคยที่ยื่นมาให้… ร่างเล็กรับมาเงียบ ๆ หัวใจเต้นโครมครามจนไม่มีเสียงพูดขอบคุณออกมา

     

    ทุกการเคลื่อนไหวของคนที่นั่งตรงข้าม…

    …ก็จะอยู่ในสายตาของคนที่นั่งตรงข้าม

     

    “อิ่มชิบหาย”

     

    ผ้าบ่นออกมาในท่าแคะขี้ฟัน ทิ้งหลังพิงเพื่อนผิวขาวที่นั่งแกะเปลือกกุ้งให้เทคอยู่ พริ้มบ่นงุ้งงิ้งว่าหนักและแกะไม่ถนัด แต่ตัวเองก็ไม่กล้าผลักหรือถอยห่างออกไป คนขี้เกรงใจแบบนี้รังแต่จะดึงดูดให้คนเข้ามาแกล้ง

     

    “พริ้ม กินไอติมกับกูมะ”

    “เราได้ยินผ้าบ่นเมื่อกี้ว่าอิ่มแล้ว” พริ้มตักกุ้งในจานที่แกะเปลือกเรียบร้อยแล้วให้เทค

    “อิ่มข้าวแล้ว แต่ของหวานยังไม่อิ่ม” จอมทัพพอเห็นก็ขอให้พริ้มแกะให้อีกคน

    “แต่ตอนนี้เราอิ่มมาก ๆ แล้วนะ กินไม่ไหวหรอก” คนโดนพิงก้มหน้าก้มตาแกะเปลือกกุ้งอีกครั้ง

    “ก็แบ่งกันกิน… ไอ้พวกเหี้ย! อยากแดกก็แกะกันเองดิวะ!!

     

    ผ้าตะคอกใส่ไอ้พวกเสาไฟฟ้าที่มีปัญญาอยากแดกแต่ไม่อยากแกะ ใช้ให้เพื่อนตัวน้อย ๆ ของเขาต้องแกะให้ โดยใช้นิสัยที่ปฏิเสธใครไม่เก่งของพริ้มเป็นข้ออ้าง เดี๋ยวเถอะ พอพริ้มแกะตัวนี้เสร็จนะ กูจะหยิบมันโยนออกไปให้ปลาแดกแทนมึง!

     

    “อะไรของมึง โวยวายอะไร”

    “อย่าใช้พริ้ม อยากกินก็แกะกินเอง”

    “ไม่ได้ใช้ แค่วาน พวกกูก็ไม่ได้เหี้ยขนาดนั้นมั้ยล่ะไอ้สัสผ้า”

     

    จอมทัพรับกุ้งตัวนั้นมาจากพริ้มและจิ้มมันเข้าปากเย้ยเพื่อนขี้โวยวาย เด็กแกะกุ้งเฉพาะกิจขำออกมาน้อย ๆ ใบหน้าของผ้าตอนโวยวายน่ะเหมือนเพนกวิ้นขู่เลย

     

    “จริงหรอพริ้ม พวกมันไม่ได้บังคับฝืนใจมึงจริง ๆ ใช่มั้ย”

    “เวอร์ไปไอ้สัส แค่แกะกุ้ง”

     

    หยอกกันนิดหน่อย ผ้าก็สั่งไอติมชุดใหญ่มานั่งกินด้วยกัน มีสงครามเล็ก ๆ เกิดขึ้นโดยมีอาวุธเป็นช้อนกระทบกันเสียงดัง จากนั้นพวกเขาก็โดนโค้ชด่าที่เอาแต่เล่นกันบนโต๊ะอาหาร

     

    เวลาล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งทุ่ม เด็กนักเรียนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ควรจะได้เวลากลับบ้านกันได้แล้ว เราอพยกกันออกมานั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าร้านอาหาร รอผู้ปกครองของแต่ละคนมารับกลับไปจนกระทั่งเหลือแค่คนที่จะกลับกับโค้ช ซึ่งก็คือซาน จอมทัพ เทค ขม และมุก

     

    ส่วนพริ้มนั้น…กำลังนั่งหลังแข็งทื่อบนรถของพี่ชายยี่หวา

     

    ภายในรถมีกันทั้งหมดสี่คน มีพี่ชายที่ชื่อว่า เก้า คนนี้พริ้มรู้จัก ไม่มีใครในโรงเรียนอซ.ไม่รู้จักพี่คนนี้ แต่ที่เป็นพี่ชายของยี่หวาน่ะเขาไม่เคยรู้จริง ๆ พอได้ลอบสังเกตถึงได้เห็นว่ามีส่วนที่คล้ายกันหลายอย่าง

     

    ฝั่งข้างคนขับเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่มีใบหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา พริ้มไม่แน่ใจว่าเป็นเพื่อนหรือน้อง เพราะใบหน้าดูเด็กมาก แต่กลับพูดเป็นกันเองกับพี่เก้า ส่วนคนข้าง ๆ เขาก็คือน้องชายเจ้าของรถที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้

     

    เกร็งเป็นบ้าเลย

     

    “บ้านเพื่อนอยู่ไหน?” พี่เก้าสบสายตากับพริ้มผ่านกระจกมองหลัง

    “เอ่อ…อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนครับ ซอยข้าง ๆ ร้านเกม”

     

    พี่เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะกดเปิดเพลงทำลายบรรยากาศอันแสนอึดอัด แต่มีคนมือบอนกดเปลี่ยนเพลงเล่นไปมาจนพี่เก้าต้องจับมือข้างนั้นเอาไว้

     

    “ก็เราไม่อยากฟัง”

    “แล้วจะฟังอะไร”

    “เราอยากฟังพี่ลูกตาลร้องเพลง”

    “มันจะไปมีได้ยังไงกันล่ะ นั่งอยู่เฉย ๆ ไปเลย”

     

    บรรยากาศผ่อนคลายทันทีที่คนข้างหน้าพริ้มพูดออกมา ยี่หวาตัดปัญหาด้วยการเชื่อมเพลงในโทรศัพท์กับตัวเครื่อง แล้วเปิดเป็นเพลงสบาย ๆ ฟังแทนเสียงข่าว เขาเคยเจอพี่ตัวเล็กคนนี้บ่อยครั้งจนรู้วิธีรับมือ ถ้าวันไหนให้พี่เก้ามารับก็มักจะเจอพี่เจ้ยนั่งอยู่ด้วยเสมอ

     

    “แล้วนี่จะไปไหนกัน”

     

    ยี่หวาถาม

     

    “จะไปส่งเจ้ยที่ฟาร์ม”

    “ฟาร์มเราอยู่ห่างจากบ้านเก้ามาก ก็เลยต้องไปส่งเราก่อน”

    “ตลกละ ต้องไปส่งคนอื่นก่อนสิ จะวนกลับมาทำไม”

    “ยังไงเก้าก็ต้องไปส่งเราอยู่ดี”

    “…แล้วมันยังไงล่ะ”

     

    พริ้มแอบขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่พี่เจ้ย (น่าจะชื่อนี้) พูดเลยสักนิด เขาเหลือบสายตามองยี่หวาที่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจเหมือนกันกับเขา บางที…คงจะมีแค่คนพูดล่ะมั้งที่เข้าใจ

     

    “นี่ ๆ เพื่อนยี่หวาชื่ออะไรหรอ?”

    “ชื่อพริ้มครับ”

    “หวัดดีพริ้ม เราชื่อเจ้ยนะ”

     

    พี่เจ้ยเอี้ยวตัวมาหาเขาพลางเกาะเบาะรถเอาไว้ ริมฝีปากบางสวยยกยิ้มกว้างจนแก้มที่มีพองกว่าเดิม พอได้มองใกล้ ๆ แล้วรู้สึกพี่เขาน่ารักมาก ๆ เลย แต่ติดดื้อไปนิด เพราะไม่ยอมสนใจคำเตือนกับมือของพี่เก้าที่รั้งไหล่พี่เขาให้กลับลงไปนั่งดี ๆ

     

    “พริ้มเป็นน้องเราหรอ? งั้นก็เป็นเพื่อนกับพุดซาน่ะสิ”

    “พ…พรุทราหรอครับ?”

    “ใช่ ๆ ดีเนอะ เราก็อยากเป็นเพื่อนกับน้องพุดซา แต่ว่าเราเกิดก่อน เลยเป็นได้แค่พี่”

     

    …ไม่รู้จะตอบยังไงเลยแฮะ

     

    ในตอนที่พริ้มขมวดคิ้วยุ่ง คิดหาคำตอบให้กับประโยคที่เขาไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไร เสียงบางอย่างที่คล้ายกับเสียงหัวเราะก็ลอยเข้าใบหูข้างขวามาอย่างแผ่วเบา ดวงตาเล็กเหลือบมองคนด้านข้างที่อาจจะเป็นเจ้าของเสียงนั้น แต่เขาก็ไม่พบอะไรนอกจากใบหน้าที่นิ่งเฉย

     

    “พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

     

    พี่เก้าละมือออกจากพวงมาลัยไปขยี้หัวคนช่างจ้อ

     

    “เราพูดรู้เรื่องนะ”

    “พูดแบบนี้นี่ได้เช็คหน้าคนฟังหรือยัง”

     

    ระหว่างทางจนถึงบ้านพริ้ม พี่เจ้ยก็เอาแต่พูดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุด โดยมีพี่เก้าคอยตอบรับอยู่ตลอดทาง ถึงแม้พี่เขาจะติดเหนื่อยใจอยู่นิดหน่อยที่คุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง แต่กลับไม่ละเลยเสียงของคนข้าง ๆ เลยสักคำเดียว จากตอนแรกที่บรรยากาศครึ้มเพราะสองพี่น้องไม่ใช่พวกแสดงออกถึงรังสีเป็นมิตร แต่พอพี่เจ้ยเริ่มพูด ก็เหมือนมีลมพัดก้อนเมฆครึ้มฝนออกไป

     

    รถยนต์จอดอยู่หน้าบ้านพริ้มในเวลาทุ่มสิบห้า แสงจากไฟสาธารณะส่องสว่างไม่ให้ถนนเส้นนี้ต้องเปล่าเปลี่ยว พริ้มเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับยี่หวา แปลกใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายตามลงมา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

     

    ร่างสูงหยุดยืนที่หน้ารั้วพลางมองเข้าไปยังบ้านที่มืดสนิท

     

    “เรื่องชมรม”

    “อ่า…หมดสัญญามาสคอตแล้วนี่นะ”

    “ถ้านายอยากอยู่ต่อก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าอยากจะออกก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”

    “…”

    “แต่ฉันแนะนำว่าให้อยู่ต่อ”

     

    พริ้มไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อฟังอะไรแบบนี้…เพราะแบบนั้นเลยตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ เขารู้สึกใจหายตั้งแต่ตอนที่รถกระบะของลุงกุนขับออกไปพร้อมชุดปูส้มที่นอนแอ้งแม้งบนนั้น ภายในหัวมีเสียงพูดย้ำให้เขารู้ตัวว่าเวลาความสุขมันได้จบลงแล้ว เขาไม่ใช่คนของชมรมวอลเล่ย์บอลมาตั้งแต่แรก หลังจากนี้คงต้องกลับไปใช้ชีวิตดังเดิม…

     

    แต่ยี่หวาก็ได้ยื่นโอกาสมีความสุขให้พริ้มอีกครั้ง

    …เป็นคนคนนี้อีกแล้ว

     

    “เรา…อยู่ต่อได้หรอ”

    “อืม”

    “ได้จริง ๆ น่ะหรอ”

    “ถ้านายออก…ตำแหน่งซักผ้าก็ว่างน่ะสิ”

     

    พริ้มหลุดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

     

    “ขอบคุณนะ”

    “อืม”

    “แล้วนี่…”

     

    คนตัวเล็กหลุบตามองมือของยี่หวาที่ยื่นบางสิ่งบางอย่างมาให้ มันมีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสามสี่อัน หน้าตาเหมือนแผ่นอะไรสักอย่างในกล่องปฐมพยาบาล…

     

    “พลาสเตอร์?”

    “…เอาไว้เปลี่ยน”

     

    ร่างสูงขยับมือเล็กน้อยเพื่อให้คนตรงหน้ารับไป พริ้มเก้ ๆ กัง ๆ รับมันมาด้วยมือที่สั่นเทา เขาลืมไปเลยว่าตัวเองเจ็บที่แก้ม…ลืมเรื่องราวแย่ ๆ ในตอนนั้นไปเสียสนิท เขาเริ่มจำความเจ็บปวดไม่ได้เมื่อได้ยืนต่อหน้ายี่หวา

     

    ทำไมถึงได้…มีอิทธิพลมากมายขนาดนี้

     

    “เรา…”

    “?”

    “ไม่มีอะไร ขอบคุณมาก ๆ เลยนะ”

    “งั้นฉันกลับก่อน”

     

    วูบหนึ่งที่ความเห็นแก่ตัวครอบงำ…พริ้มก็เกือบทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองไปเสียแล้ว เขายืนอยู่ตรงนี้มาหลายนาที ตั้งแต่รถยังอยู่จนตอนนี้หายลับไปแล้ว ยืนกัดปากอดกลั้นความรู้สึกที่แทบจะล้นทะลักออกมาเป็นคำพูด…

     

    เพราะความรู้สึกของพริ้ม…พองโตขึ้นทุกวัน



    #พริ้มเพียงหวา












    (วันเดียวผ่านไป 3 ตอน เป็นวันที่ยาวนานจริง ๆ)

    เสียงเรียกร้องให้พริ้มกับเจ้ยมาเจอกันเยอะมากจนต้องเซอร์วิสให้สักหน่อยค่ะ ประจวบเหมาะกับหวาต้องให้พี่เก้ามารับพอดี และเก้าเจ้ยนั้นเป็นปาท่องโกตัวหนึ่งที่โดนกาวตาช้างแปะติดกันเอาไว้ 

    หนูเจ้ยลูก นอกจากหนูจะตามคนอื่นไม่ทัน หนูก็ยังทำให้คนอื่นตามไม่ทันด้วยนะคะ5555 สงสารน้องพริ้ม ไม่รู้จะตอบพี่เจ้ยยังไงเพราะไม่เข้าใจว่าพี่เขาพูดอะไร


    ขอมา Q&A เล็กน้อยคั้บ

    Q : พริ้มเพียงหวาจะมีประมาณกี่ตอน?

    A : 20 - 25 คั้บ ประมาณนี้ แต่ไม่มากไปกว่านี้ ถ้ามากกว่านี้ก็คือจะเป็นตอนที่ 26 27 28 29 ...


    Q : จะรวมเล่มตอนไหน?

    A : ไม่แน่ใจเดือน แต่เป็นปีหน้าค่ะ


    Q : จะรีปริ้นเจ้ยหรือเพลิงตอนไหน? (ขอเพิ่มเข้ามาเผื่อมีคนอ่านเจ้ยเพลิงในนี้)

    A : ยังไม่มีแพลนเลยค่ะ คาดว่าก็จะยังไม่มีแพลนต่อไป


    Q : มีอะไรจะสารภาพมั้ย?

    A : ภาคมหาลัย ถ้าไม่ได้แต่งลงเด็กดี ก็อาจจะแต่งลงในเล่มเป็นสเปค่ะ


    ถ้าหากมีคำถามสงสัยสามารถ Ask.fm มาถามได้ที่ Jarlynniestyle ค่ะ ถ้าเม้นถามและเราไม่ลืม จะมาตอบให้ในตอนหน้านะคะ ขอบคุณมาก ๆๆๆ อยากให้รู้สึกถึงมันจริง ๆ ว่าเรารู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ

    ขอบคุณที่รักพริ้ม รักหวา รักคาลันโช

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×