ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #11 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑๐

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 23.19K
      2.5K
      9 ต.ค. 61





    10


     

    สมุดสเก็ตช์ภาพเล่มโตกับดินสอแหลมกำลังดีหนึ่งแท่งถูกหยิบออกมาจากกระเป๋านักเรียน เขาเดินตามเพื่อนคนอื่น ๆ ที่เดินกันเป็นคู่เพราะอาจารย์สั่งให้เราจับคู่วาดภาพ พริ้มเริ่มไม่ชอบวิชาศิลปะตั้งแต่ที่อาจารย์ให้จับคู่กันวาดเกินสองครั้ง ทั้งที่ในใบรายชื่อก็บอกอย่างชัดเจนว่าห้องสี่มีนักเรียนสามสิบสามคน นั่นหมายความว่าคนที่ไม่มีคู่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นก็คือ พริ้ม

     

    ครั้งก่อน ๆ อาจแก้ปัญหาได้ด้วยการวาดหน้าเพื่อนที่มีคู่อยู่แล้ว หรือไม่ก็ขอวาดใบหน้าดาราในโทรศัพท์ แต่สำหรับวันนี้พริ้มตั้งใจว่าจะไปหาเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่เคยเป็นแบบให้พริ้มวาดเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ประจวบเหมาะกับที่อาจารย์ให้เราลงมานั่งวาดกันอย่างผ่อนคลายที่สนามหญ้าข้างตึกเรียน

     

    เพื่อนของพริ้มก็อยู่แถว ๆ นั้น

     

    คนตัวเล็กปลีกตัวออกมาจากกลุ่มห้อง ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วยิ้มบาง ๆ ทักทาย เปิดสมุดสเก็ตช์ของตัวเองเบา ๆ พลางเอาดินสอสองบียกขึ้นมาในระดับสายตาและหลับตาข้างหนึ่งลง

     

    เพื่อนที่ว่าของพริ้มก็คือต้นไม้ต้นนี้นี่แหละ

     

    “เปลือกหลุดออกไปไหนหรอไม้”

    “เดี๋ยวเราจะวาดไม้ให้สวย ๆ เลย”

     

    ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมานอกจากสายลม

    แต่เกรงว่าวันนี้ลมไม่ได้พัดมาและผ่านไป

     

    “คุยกับใครอยู่น่ะ”

    !!!

     

    น้ำเสียงเข้มปนดุดังขึ้นหลังต้นไม้จนพริ้มเผลอปล่อยดินสอตกลงบนพื้นหญ้า นิ่งงันด้วยความตกใจกับความคิดที่ว่า ต้นไม้โรงเรียนนี้พูดได้ด้วยหรอ ไม่ทันจะคิดอะไรเป็นตุเป็นตะ ไหล่บางทั้งสองข้างก็สะดุ้งโหยงราวกับคนเห็นผี เพราะคนที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้และยืนมองหน้าเขาด้วยความสงสัยจนคิ้วขมวดนั้นเป็นใบหน้าที่พริ้มแอบชอบมาตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียนที่นี่

     

    “ยยี่หวาเองหรอ”

    “ก็ไม่มีใครอยู่แถวนี้นี่”

    “นั่นสินะ”

     

    ร่างสูงใช้ขายาว ๆ ก้าวข้ามม้าหินอ่อนใต้อาคารที่ลากเป็นทางยาว เอาไว้สำหรับนั่งทั่ว ๆ ไป พริ้มไม่เห็นใครอยู่แถวนี้เลยตั้งแต่เดินมาตรงนี้ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งฝีเท้าของยี่หวา ขนาดหวาทิ้งตัวลงนั่งเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง

     

    เขาหูไม่ดีหรือยี่หวาตัวเบากันแน่

     

    “มมีอะไรหรอ”

    “ฉันเห็นนายนั่งคุยกับต้นไม้”

    “อ่าคือ

     

    น่าขายหน้าชะมัด

     

    พริ้มพูดตะกุกตะกัก ทำตัวไม่ถูกอย่างหนักเมื่อได้อยู่กันสองคนกับยี่หวา ถึงแม้เขาจะเคยติดฝนกับหวาเมื่ออาทิตย์ก่อนในห้องพักนักกีฬากันสองคน แต่ใช่ว่าจะทำตัวให้ชินกับสถานการณ์ที่ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ แล้วหัวใจจะเต้นเป็นปกติได้นี่ อีกอย่างยี่หวาในชุดพละน่ะตัวอันตรายเลย

     

    “วาดรูปวิชาศิลปะ?”

    ใช่”

    เลิกเขินสักทีเถอะ เวลาที่นายเอาแต่หลบตา มันน่ารำคาญนะรู้มั้ย”

    “มไม่ได้เขิน! ไม่ได้เขินสักหน่อย

    “ฉันไม่ได้โง่”

     

    พริ้มเม้มปาก คำพูดของยี่หวาหมายความว่ายังไง ที่พูดว่าไม่ได้โง่นั่นก็แปลว่ารู้ใช่มั้ยว่าพริ้มแอบชอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาแทบไม่มีหวัง เพราะยี่หวาเพิกเฉยทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาคิดแบบนั้น อีกฝ่ายทำตัวปกติเช่นเดียวกับระยะห่างของเราก็ยังถูกเว้นไว้เท่าเดิม พริ้มควรตัดใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่น่าดึงดันที่จะตามคนคนนี้มาเลย

     

    บรรยากาศเทาลงเมื่อหัวใจผ่อนแรง มันไม่เต้นรัวเหมือนตอนที่ยี่หวาเดินมา กลับกันมันเต้นช้าลงในตอนที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสายตาของหวามาตั้งแต่แรก พริ้มไม่ใช่เพื่อนของยี่หวา ที่กัปตันทีมคาลันโชเข้ามาคุยด้วยก็เพราะติดสัญญาดูแลมาสคอต

     

    มันมีแต่พริ้มมาตั้งแต่แรกมีแต่เขาที่ใจเต้นไปเองคนเดียว

     

    “ไอ้หวา! เดินไม่รอกูเลยนะมึง” ซานเดินโวยวายมาแต่ไกล

    “มึงช้า”

    “ก็ไอ้หมวยมันดึงตัวกูไว้ อ้าวคุยกับเบ๊ไอ้เท็ดอยู่หรอวะ”

     

    พริ้มยิ้มแห้งส่งให้ซานที่ชะโงกหน้าถาม ก่อนเจ้าตัวจะเบะปากส่งมาให้ อันที่จริงเขาชินกับการกระทำของซานแล้ว ไม่ว่าตอนไหนหรือเมื่อไร ซานก็ไม่เคยยิ้มตอบพริ้มเลยสักครั้งเดียว สงสัยชื่อเสียงของเขาจะไม่ค่อยผ่านหูซานในทางที่ดีเท่าไรล่ะมั้ง

     

    “จะไปกันยังอ่ะไอ้หวา กูปวดฉี่ไม่ไหวแล้วนะเว้ย”

    “ไปดิ”

    “เออใช่ เสร็จแล้วมึงไปหาไอ้พู่ด้วย มันถามหามึง”

    “เออ”

     

    พริ้มหันกลับมาสนใจงานที่ไม่เริ่มสักเส้นของตัวเองต่อ เขาวาดลำต้นของมันและจินตนาการเอาเองว่าหน้าของไม้ก็คงจะอยู่แถว ๆ นี้ ในขณะที่มือลากเส้นตรงในแนวดิ่งความคิดของพริ้มก็แล่นไปมาราวกับเป็นจรวด คำพูดของยี่หวาพุ่งกระแทกเนื้อกะโหลกของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สลัดยังไงก็ไม่หลุด

     

    หรือบางทีนั่นอาจจะเป็นคำตอบ

     

    ก็น่าจะใช่อยู่หรอก คนขี้รำคาญอย่างยี่หวา ไม่น่าจะชอบคนขี้อาย เงอะงะ แล้วก็อ่อนแออย่างพริ้มเป็นแน่ หลาย ๆ ครั้งที่เขาเองก็รู้สึกขัดใจกับนิสัยยอมคนของตัวเอง ต้องทำตัวอ่อนลงจะได้ไม่โดนกิน คล้าย ๆ กับลูกหมาที่จะนอนแผละในยามที่ตัวเองสู้ใครเขาไม่ได้ ซึ่งท่านั้นก็จะทำให้จ่าฝูงทำร้ายได้สะดวกมากขึ้น

     

    ซึ่งเหมือนพริ้มอย่างกับแกะ ต่างกันที่ท่านอนแผละเป็นท่าหดคอเหมือนเต่า ถ้าพริ้มมีกระดอง อีกหน่อยก็คงไม่อยากจะออกมา พอได้ปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดคนขี้แพ้ก็เหมือนจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยยี่หวาก็ไม่ได้ผลักไสหรือทำท่าทีรังเกียจเขาขนาดนั้น ต้องขอบคุณนิสัยไม่เอาใครของยี่หวาเลย

     

    “เพียงคุณ”

    “ครับ”

     

    หลังจากครบเวลาที่ปล่อยให้วาดเล่นกันตามอัธยาศัย อาจารย์ที่สั่งงานทิ้งไว้แล้วหายไปตั้งแต่ต้นคาบก็ปรากฏตัวขึ้น เรียกชื่อแต่ละคนให้เอางานไปส่งพร้อมกับคู่ตัวเอง ท็อปปิกที่มีชื่อพริ้มน่าสนใจเสมอ ยิ่งเดินออกมาจากแถวคนเดียวแล้วยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ เสียงซุบซิบดังระงมเมื่อเพื่อนแถวหน้าเห็นงานของพริ้มแล้วกระจายบอกต่อกัน

     

    “อะไรนะมึง มันวาดต้นไม้หรอ”

    “จริงอ่ะ อีเหี้ย ไม่มีใครคบขนาดนั้นเลยหรอวะ”

    “ถ้ากูไม่มีคู่แล้วเหลือมันอยู่คนเดียว กูยอมวาดหน้าตัวเองแทนอ่ะ”

    “กูก็ไม่เอาว่ะ ฮ่า ๆ”

     

    คำพูดว่าร้ายไม่เคยสร้างความชินชาให้กับใคร

     

    พริ้มได้ยินทุกคำ แต่ก็เลือกที่จะเงียบ เขาสบตากับอาจารย์ประจำวิชา แววตาของแกหนักใจหนักใจกับใบหน้าของเพื่อนที่มีแต่ลายเปลือกไม้ แกพลิกใบรายชื่อดูและก็เพิ่งรู้ว่าห้องนี้ไม่ใช่เลขคู่ สงสัยแกจะจำสลับกับอีกห้อง ปากกาแดงของอาจารย์จรดแน่นิ่งอยู่บนกระดาษร้อยปอนด์ เพราะคิดไม่ออกว่าจะต้องให้คะแนนเท่าไรดี

     

    “ถ้าเธอไม่มีคู่ ก็ไปขอคู่คนอื่นวาด”

    “ไปวาดมาใหม่”

    ครับ”

     

     











    พริ้มสะดุ้งตื่นขึ้นมาเช้าตรู่เพราะนึกว่าวันนี้มีเรียน แต่ไม่ใช่วันนี้วันเสาร์ต่างหาก จะนอนลงไปอีกรอบก็ไม่ง่วงแล้ว กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่สองสามนาทีเลยตัดสินใจลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานตอนกลางวันที่นั่งกินข้าวกับผ้า ผ้าบอกกับเขาว่าวันนี้คาลันโชมีแข่งรอบรองกับทีมเวอร์เบน่า ตามกำหนดการก่อนอาทิตย์ที่สาม และอาทิตย์หน้าก็จะเข้าสู่ฤดูกาลโอเบง

     

    และสิ่งที่ทำให้พริ้มยิ้มหน้าบานต่อกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ นั่นก็คือ ผ้าชวนเขาไปที่ชมรมในวันนี้ หลังคาลันโชแข่งเสร็จประมาณบ่ายโมง แล้วเห็นว่าจะซ้อมกันต่ออีกและจะหนักขึ้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันแข่งรอบชิง ซึ่งพริ้มมั่นใจล้านเปอร์เซ็นว่าคาลันโชจะต้องชนะแน่ ๆ

     

    ผ้าไลน์มาว่าให้พริ้มซื้อพวกขนมนมเนยหรืออะไรก็ได้ที่น่ากิน แต่พอได้อ่านชื่อแต่ละอย่างที่ผ้าส่งมา มีแต่จะเรียกตีนยี่หวาได้ง่ายยิ่งขึ้น เขาก็เลยเสนอว่าจะทำแซนวิชกับชีสสติ๊กไปให้ และจะหิ้วน้ำอัดลมที่ทุกคนเรียกร้องกันมาอย่างล้นหลามไปให้ด้วย พอผ้าได้อ่านก็รัวสติ๊กเกอร์ดีใจตอบกลับมาใหญ่ และพริ้มก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าถ้าเขาโดนยี่หวาดุ ผ้าต้องช่วยกันหวาให้เขาด้วยนะ

     

    เป็นครั้งแรกที่พริ้มพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ในวันหยุด พอคิดว่าจะต้องไปเจอยี่หวาแล้วก็ได้แต่โยนเสื้อยืดย้วย ๆ ออกไปให้พ้นเตียง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเสื้อยืดตัวโคร่งสีชมพูอ่อนที่พี่สาวชอบซื้อมาให้ โดยใช้เหตุผลที่ว่าพริ้มนั้นน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง ต่อให้ใส่กระโปรงก็ไม่มีใครจับได้ ตู้เขาเลยเต็มไปด้วยเสื้อสีพาสเทลหวาน ๆ ที่ใหม่เอี่ยมอ่องเพราะไม่กล้าหยิบมาใส่

     

    แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงรู้สึกอยากใส่เสื้อตัวนี้

     

    พริ้มกลัดกระดุมกางเกงยีนส์เป็นอย่างสุดท้าย ส่องกระจกมองตัวเองแล้วถอนหายใจสลัดความกังวลออกไป เขาจะเริ่มทำแซนวิชสำหรับสิบที่ เผื่อโค้ชและตัวสำรองของทีม นอกจากขมแล้วเขาก็ไม่รู้จักใครอีก ไม่ลืมที่จะหยิบหมวกไปด้วยเพราะแดดแรงเหลือเกิน พริ้มตั้งใจจะไปซุปเปอร์ข้างนอก มันอยู่อีกฟากของซอยบ้านเขา ด้วยความที่มันกะทันหัน เขาก็หวังว่ามันจะทันเวลา

     

    “อ้าว!!

    อ้าว”

    “ฮึ่ย มาได้ไง!

    “เราออกมาซื้อของน่ะ จิ้มลิ้มล่ะ?”

    “เราออกมาซื้อเป๊ปซี่ให้เฮียเพลิง”

     

    จิ้มลิ้มในเสื้อยืด กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะ ทำเอาพริ้มตาโต พริ้มไม่ค่อยเดินออกมาที่ซุปเปอร์ใหญ่ เพราะมันไกลอยู่พอตัว แต่ถ้ารู้ว่าเดินออกมาแล้วจะเจอจิ้มลิ้มล่ะก็ เขาจะเดินออกมาเที่ยวเล่นทุกวันเลย

     

    “บ้านจิ้มลิ้มอยู่แถวนี้หรอ?”

    “เยส นู้น ๆ หมู่บ้านตรงนั้นอ่ะ”

    “ส่วนเราอยู่ในซอยนี้”

     

    ต่างคนต่างชี้เส้นทางให้แก่กัน พริ้มรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างเกินไป แต่จะหุบยิ้มก็ทำไม่ได้ เขาดีใจที่จิ้มลิ้มอยู่แถวนี้ มันทำให้พริ้มอยากเป็นเพื่อน อยากทำความรู้จัก และอยากสนิทกับอีกคนให้ได้เร็ว ๆ เผื่อวันไหนพวกเราอาจจะได้เดินกลับบ้านพร้อมกัน

     

    “เราไปซื้อของให้เฮียก่อน เดี๋ยวโดนเตะตูด”

    “เราไปด้วยได้มั้ย?”

    “ละพริ้มจะไปไหนอ่ะ เราจะเข้าเซเว่น”

    “เราจะไปซุปเปอร์”

    “อืมมมมงั้นจิ้มลิ้มไปกับพริ้มดีกว่า เป๊ปซี่ที่นั่นถูกกว่า จะได้เอาเงินเฮียไปกินหนม ฮิ ๆ”

     

    นอกจากพริ้มจะค้นพบว่าจิ้มลิ้มอยู่แถว ๆ นี้แล้ว พริ้มก็ยังพบว่าจิ้มลิ้มเลือกของได้เก่งสุด ๆ ไปเลย ความรู้ในการเลือกของสดหรือของลดราคาเรียกได้ว่าช่ำชองมาก ๆ พริ้มได้รู้เรื่องของเพื่อนตัวจ้อยคนนี้เยอะขึ้น เพราะอีกคนชอบเล่าเรื่องตลก ๆ ให้ฟัง ทั้งเรื่องตัวเอง เรื่องของคนที่ชื่อเฮียเพลิง และสารพัดสิ่งที่จะนึกขึ้นมาเล่าได้

     

    “เอ้อลืมถาม แล้วพริ้มซื้อของไปทำแซนวิชให้ใครเยอะแยะ”

    “เราบอกจิ้มลิ้มไปแล้วนะว่าทำให้คนในชมรมวอลเล่ย์บอล”

    “อ๋อ ๆ งั้นหรอกหรอ ฮ่า ๆ ลืมอ่ะ”

    “จิ้มลิ้มกลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวเฮียเพลิงจะโกรธเอา”

    “โอ๊ยยยยย เฮียแกโกรธตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว”

     

    พริ้มลอบขำเสียงโอ๊ยของจิ้มลิ้ม

     

    “แต่พอพี่เบ้เกาคางเท่านั้นแหละ หายเป็นปลิดทิ้ง!

    “จริงหรอ”

    “ไม่เชิงเกาคางอ่ะ แค่เปรียบเทียบ เพราะขนาดพี่เบ้เองก็ยังเกาคางเฮียไม่ได้เลยนะ บอกไว้ก่อน”

    “เป็นคนโหดขนาดนั้นเลยหรอ”

    “อื้อ ๆ ขนาดนั้นเลยแหละ แบบเตะพี่เง้กร้องไห้ได้”

     

    จิ้มลิ้มโบกมือลา เดินกอดขวดเป๊ปซี่กลับบ้านสบายใจ แม้ว่ากลับไปแล้วจะโดนด่าก็ตามที พริ้มเสียดายช่วงเวลาที่ได้อยู่กับจิ้มลิ้มนิดหน่อย รู้สึกมันสั้นเกินไป ทั้งที่ก็ได้ฟังเรื่องราวมากมายและขำออกมาไม่หยุด เฮียเพลิงดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญของจิ้มลิ้มมาก ๆ เพราะเจ้าตัวพูดไม่หยุดเลย มีเรื่องของคนชื่อภาคย์นิดหน่อย แต่ไม่เห็นจิ้มลิ้มบอกว่าเขาเป็นใคร อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า อาภาคย์ชอบแหย่

     

    พริ้มเริ่มลงมือกับวัตถุดิบนานาชนิดที่คัดสรรมาอย่างดีโดยมือของจิ้มลิ้มเสียส่วนใหญ่ ไส้ของแซนวิชมีเยอะมากจนแอบคิดว่าจะยัดมันได้หมดมั้ย ทั้งปูอัด ทั้งผัก ทั้งซอส พอคิดว่ามันจะไปช่วยเติมพลังให้กับทุกคน มือของเขาก็หยิบใส่รถเข็นไม่หยุด

     

    ตลอดทั้งกลางวันหมดไปกับการทำแซนวิชและชีสสติ๊ก ดีนะที่ทำ ๆ ไปแล้วมันเกิน พริ้มก็เอาตรงส่วนนั้นมากินเป็นข้าวกลางวันเสียเลย ตอนนี้เขากำลังเดินไปที่โรงยิมด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกตื่นเต้นและกังวลกับอาหารที่ทำว่ามันจะออกมาได้ดีหรือไม่

     

    พริ้มวางตะกร้าไม้ที่ใส่ของทุกอย่างลงบนพื้น ล้วงเอาโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูและกดรับอย่างไม่ต้องคิด

     

    “หวัดดีผ้า”

    ( มึงอยู่ไหนแล้วอ่ะพริ้ม )

    “เรากำลังเดินไปที่โรงยิม”

    ( โอเค เดี๋ยวกูเดินออกไปรับ )

    “อื้อ”

     

    เสียงของปลายสายดูเคร่งเครียดแปลก ๆ ถึงเขาจะไม่ค่อยได้โทรคุยกับผ้า แต่ก็พอจับอารมณ์ของน้ำเสียงได้ พริ้มย่ำก้าวไปหาเพื่อนตาโตที่ยืนรออยู่หน้าประตูโรงยิม คิ้วของผ้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ยิ่งทำให้พริ้มเริ่มกังวลตามไปด้วย

     

    “มีอะไรหรือเปล่า”

    “ส่งมานี่ เดี๋ยวกูถือเอง”

     

    ผ้าเดินนำเข้าไปในโรงยิม ถ้าเขาไม่คิดไปเอง รู้สึกว่าบรรยากาศมันมาคุแปลก ๆ มันไม่เหมือนเวลาปกติที่เขาเคยเห็น เทคไม่ใช่คนที่จะทำหน้าเคร่งเครียดด้วยการกดมุมปากและยืนเท้าเอว ซานเองก็ด้วย ต่างกันที่อีกคนโวยวายเก่งกว่า

     

    “เชี่ย เอาไงดีวะ”

    “ปล่อยมันไปก่อน เข้าไปก็มีแต่จะทำให้หงุดหงิด”

    “อ้าว หวัดดีพริ้ม”

     

    เทคเอ่ยทัก

     

    “หวัดดี เราทำแซนวิชมาฝากทุกคน”

    “ขอบใจนะ”

    “ไหน ๆ ดูหน่อย หน้าตาจะเรียบร้อยเหมือนเสื้อที่เอาไปตากมั้ย” จอมทัพยื่นหน้าเข้ามาในวงแล้วก้มลงคุ้ยในตะกร้า เอ่ยแซวพริ้มที่ยืนยิ้มร่ามีความสุข

     

    ซานยืนรั้งแถว ทำหน้าไม่อยากกิน และปฏิเสธแซนวิชที่มุกยื่นให้ พริ้มได้แต่ทำเป็นไม่เห็น มันคงเร็วไปถ้าจะใช้ซื้อใจอีกคน ของในตะกร้าเริ่มหมดไปทีละอย่าง ๆ แต่เขากลับไม่เห็นใบหน้ายี่หวาเลยตั้งแต่เมื่อกี้ สถานการณ์ในตอนแรกก็ดูไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

     

    “ผ้า”

    “อื้อ ๆ ว่าไง” พูดออกมาทั้งที่ปากก็เคี้ยวอยู่

    “ยี่หวาไปไหนหรอ?”

    “มันอยู่ในห้องพัก แต่อย่าเข้าไปเลย มันกำลังอารมณ์ไม่ดี”

    “เกิดอะไรขึ้น

     

    ผ้ายัดชีสสติ๊กแท่งสุดท้ายเข้าปาก ตามด้วยน้ำเป๊ปซี่หลายอึก จากนั้นก็เอาทิชชู่เช็ดปากและเรอออกมาเสียงดัง ช่างลีลาจนพริ้มอดหรี่ตาใส่ไม่ได้ แล้วเขาก็โดนผ้าบีบท้ายทอย

     

    “ก็ตอนแข่งเซ็ตสอง ทีมนั้นมันตีอัดนิ้วไอ้หวาตอนกระโดดขึ้นบล็อคอ่ะดิ”

    “จริงหรอ!!

    “เสียงตกใจได้เท่านี้หรอ” ผ้าขำเยาะเสียงตกใจของพริ้มที่ไม่ได้ดังไปกว่าตอนพูด

    “แล้วเป็นยังไงบ้าง”

    “นิ้วเคล็ดสิครับ โค้ชเปลี่ยนตัวมันออกทั้งเกมเลย ไม่ได้ลงยาว ๆ จนจบเกม”

     

    เพราะอย่างงี้สินะ ทุกคนเลยทำหน้าเคร่งเครียดกันไปหมด ผ้ายังบอกต่ออีกว่า ปกติแล้วยี่หวาไม่ใช่คนที่จะเป็นอะไรง่าย ๆ เพราะเป็นคนเซฟตัวเองได้ดีเวลาเล่นกีฬา พอโดนทำลายความมั่นใจที่ตัวเองจะไม่ได้รับบาดเจ็บจนแข่งไม่ได้ก็เลยอารมณ์ไม่ดี ผ้าบอกว่ายี่หวาโมโหมาก ถึงขั้นไม่คุยกับใคร กลับมาที่ชมรมก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องพัก ใครเข้าไปก็โดนไล่ออกมาหมด

     

    “แล้วตอนนี้ทำแผลหรือยังอ่ะ”

    “ยัง ไม่มีใครเข้าใกล้มันได้”

     

    ผ้ายื่นแก้วน้ำให้พริ้มดูด เร่งเร้าสองทีคนตัวเล็กถึงยอม

     

    “แต่ต้องทำใช่มั้ย?”

    “ต้องทำดิ มีแข่งรอบชิงวันศุกร์ ถ้าหายไม่ทันนะ เป็นเรื่อง”

    “เราอยากลองดู”

     

     
















    พริ้มเดินถือกล่องปฐมพยาบาลพร้อมกับความรู้ที่โค้ชเพิ่งสอนมาหมาด ๆ แถมยังฝากมาว่าให้ดีดหน้าผากยี่หวาให้ด้วย เผื่อจะทำให้ได้สติไม่ทะนงตนจนโมโหหนักขนาดนี้ คนตัวเล็กเดินแหวกคนอื่น ๆ ที่ทำเป็นยืนอออยู่หน้าห้องพัก กินนู้นกินนี่ แต่ตาก็มองเข้าไปด้านในทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นอะไร

     

    “จะเข้าไปทำแผลให้มันหรอ”

    “อืม”

    “งั้นฝากนี่ไปให้มันด้วย”

     

    จอมทัพวางแซนวิชชิ้นสุดท้ายบนกล่องพยาบาล ส่วนชีสสติ๊กทุกคนกินกันไปหมดแล้ว ของอร่อยต้องออกมาแย่งกัน พริ้มหัวเราะน้อย ๆ สูดลมหายใจเรียกความกล้า ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปด้านในและปิดมันลง

     

    ร่างสูงนั่งอึมครึมอยู่ในห้องเงียบ ๆ บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม ท้ายทอยของยี่หวาสะอาดและเป็นสีแทนเล็กน้อย ปกเสื้อสีเทาแต้มบรรยากาศรอบ ๆ ให้เป็นสีเดียวกัน เขาไม่เคยเห็นหลังคอของยี่หวาเยอะเท่านี้มาก่อน บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าคงเสียใจอย่างที่ผ้าเล่าให้ฟังจริง ๆ

     

    แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ว่าพริ้มเข้ามาข้างในแล้ว หรือว่ารู้แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น หวายกมือข้างขวาที่ตบเป็นแต้มได้หลายลูกในเซ็ตแรก แต่ในตอนนี้จะขยับยังลำบาก นิ้วกลางที่โดนลูกตบหนัก ๆ ของไอ้ทีมชาติคนนั้นซัดลงมาอย่างแรงจนเคล็ด โชคยังดีที่นิ้วนางแค่เฉียด ๆ ไม่งั้นกัปตันทีมคงเป็นบ้าไปแล้ว

     

    !!!

    พริ้มพุ่งเข้าไปจับนิ้วนั้นไว้เพราะยี่หวาสะบัดมันอย่างแรงไม่หยุด

     

    “มันจะทำให้เจ็บกว่าเดิมนะ!

    “มาทำไม”

    “มมาทำแผล”

     

    ยี่หวาปรายตามองดุกว่าทุกครั้ง แต่พริ้มก็ยังทำใจดีสู้เสือ ร่างเล็กค่อย ๆ คลายมือที่จับนิ้วของยี่หวาออกช้า ๆ เมื่อมั่นใจแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าจะไม่สะบัดมันแรง ๆ อีก ไม่รู้เลยว่าสะบัดมันไปกี่ครั้งแล้ว พริ้มหยั่งเชิงด้วยการวางกล่องพยาบาลลงบนโต๊ะเบา ๆ เขาไม่กล้าขยับเยอะเพราะยี่หวาเองก็กำลังหงุดหงิด กลัวจะโดนโยนออกไปข้างนอก

     

    “เราขอดูนิ้วหน่อยได้มั้ย”

    “ไม่ต้อง เดี๋ยวทำเอง”

     

    หวากระชากกระคบเย็นพื้นบ้านที่เอาน้ำแข็งมาห่อด้วยผ้าเช็ดหน้า กดมันลงไปบนแผลอย่างแรงแบบไม่แคร์ว่าตัวเองจะเจ็บเพราะคนที่เจ็บดันเป็นพริ้มเสียนี่ คนตัวเล็กที่นั่งลงบนพื้นห้องตรงหน้ายี่หวาได้แต่ทำหน้าตาเจ็บปวดในแต่ละครั้งที่ยี่หวากดน้ำแข็งลงไป มันแรงและเน้นจนนิ้วเริ่มแดงขึ้น

     

    ในที่สุดพริ้มก็ทนมองไม่ไหว

     

    “เราขอทำให้ได้มั้ย

     

    ยี่หวาชะงัก

     

    พริ้มไม่รอฟังคำตอบ มือเล็กค่อย ๆ แตะลงบนฝ่ามือหนา ส่วนอีกข้างก็สอดเข้าไปจับก้อนประคบเย็น ลอบเม้มปากเตรียมโดนด่าที่ก้าวก่าย แต่ร่างสูงกลับเงียบและถอนมือออกให้เขาจัดการ

     

    “อารมณ์ไม่ดีหรอ”

    “เราจะนวดให้นะ”

     

    มือของยี่หวาใหญ่และอุ่น นิ้วแต่ละนิ้วนั้นยาวและเรียวสวย แต่สิ่งที่ทำให้พริ้มเขินทุกครั้งที่นิ้วของเขานั้นสัมผัสโดนในตอนที่นวดให้ นั่นก็คือ ข้อนิ้ว ข้อนิ้วของยี่หวาแข็งมาก บางครั้งก็รู้สึกว่ามันแหลมด้วย กลิ่นเคาน์เตอร์เพนไม่ได้ช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้เลยสักนิด หนำซ้ำมันยังเพิ่มความร้อนที่มือของเราสองคนอีกต่างหาก รู้สึกตัวเองเป็นชีสสติ๊กตอนอยู่ในน้ำมันเดือดเลย

     

    “จะนวดอีกนานมั้ย”

    “อ่าเจ็บหรอ”

    “เปล่า รำคาญ”

     

    รีบเร่งปิดฝายาเหมือนคนบ้า ความมั่นใจที่มีพังทลายได้อย่างง่ายดายเพียงเพราะคำว่า รำคาญ หน้าอกแน่นขนัดจนเสียงเปล่งออกไปไม่ได้ รีบโยนทุกอย่างใส่ในกล่องที่แทบไม่ได้ใช้ พลันสายตาก็หันไปเห็นแซนวิชที่อยู่บนฝากล่องยา

     

    “เอ่อเราทำแซนวิชมาให้”

    “ไม่กิน รีบ ๆ ออกไปสักที”

    “อโอเค”

     

    ยี่หวาดันหลังของพริ้มไปที่ประตู เปิดประตูให้เสร็จสรรพก่อนจะผลักคนตัวเล็กที่เริ่มมีน้ำสีใสเกาะอยู่เต็มขอบตา เสียงประตูบานเลื่อนปิดกระแทกแผ่นหลัง มันเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายของหวาจนพริ้มไม่กล้าคิดว่าตัวเองจะทำได้อีกต่อไป

     

    “เป็นไงบ้าง” ผ้าวิ่งเข้ามาหาเป็นคนแรก

    “เราประคบเย็นกับนวดให้แล้ว”

     

    เสียงของพริ้มสั่น

     

    “เรากลับก่อนนะ”

    “เดี๋ยวดิพริ้ม!

     

    การเข้าใกล้ยี่หวากลับไปยากเหมือนตอนแรก ๆ เสียแล้ว



    #พริ้มเพียงหวา












    สอบเสร็จแล้วจ้า ขอบคุณที่ยังรอเด็ก ๆ กันนะคะ

    - ที่เบ้เกาคางเพลิงไม่ได้ เพราะเตี้ยค่ะ เกาไม่ถึง

    พี่หวาใจร้ายจัง ไม่ยกลูกให้ดีมั้ยนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×