คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๗
7
ในวันปกติท้องฟ้าเป็นสีอะไร…พริ้มก็เป็นแบบนั้น
เขายังต้องวิ่งไล่รถบัสให้ทัน
เดินเข้าโรงเรียนตัวคนเดียวทุกวัน
คุยเล่นกับตัวเองในหัวเพราะไม่มีเพื่อนในห้องคนไหนยอมเล่นด้วย
ต้องทนรับคำเยาะเย้ยด่าทอที่สาดใส่เข้ามาอย่างกับไล่ทำลายรังมดที่ทั้งอาณาจักรมีมดอยู่ตัวเดียวคือ
‘พริ้ม’ …เป็นกองทรายหนึ่งเดียวท่ามกลางหญ้าสีเขียว
ไม่ว่ามองจากมุมไหน…ก็เห็นได้ชัดว่าแตกต่าง
คาบสุดท้ายเป็นวิชาพละ
พริ้มในเสื้อสีเหลืองเดินกอดกระเป๋ารั้งท้ายเพื่อนในห้อง เขาไม่กล้าพอที่จะเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่น
ๆ เดินลัดมาตามฟุตบาทจนถึงหน้าโรงยิม วิชาพละในเทอมนี้เป็นการเรียนแบดมินตัน
ซึ่งพริ้มไม่ค่อยชอบเท่าไรเพราะมันต้องจับคู่กันเล่น
จำนวนสมาชิกในห้องก็เป็นเลขคี่ แน่นอนว่าคนที่ไม่มีคู่ก็คือพริ้ม เขาต้องเล่นคนเดียวตลอด
บางครั้งก็ต้องเล่นกับอาจารย์ผู้สอน
เด็กน้อยจับจองมุมสนามเป็นที่ซ้อมเดาะลูก
เหมือนอย่างทุก ๆ วันที่พริ้มจะสามารถเล่นแบดมินตันได้แค่นี้
พริ้มตีลูกให้กำแพงได้ แต่กำแพงโต้ลูกนั้นกลับมาให้พริ้มไม่ได้… สองขาเล็กค่อย ๆ
เดินตามลูกขนไก่ที่ลอยเหนือหัวจนต้องแหงนมอง
เดินวนไปวนมาจนครบหนึ่งร้อยครั้งแล้วถึงหยุด…
เขาอยากลองตีโต้ดูบ้าง
จู่ ๆ
หัวหน้าห้องก็เดินออกมาแจ้งกับทุกคนว่าอาจารย์มีประชุม จำเป็นต้องเลิกก่อนเวลา
หลังจากนั้นเสียงเฮก็ดังลั่น
เขาเห็นเพื่อนบางกลุ่มเก็บไม้ใส่ในกระเป๋าแล้ววิ่งไปหยิบเอาลูกวอลเล่ย์มาล้อมวงกันเล่น
เรียกว่าเจาะไข่แดงหรือเปล่าพริ้มไม่แน่ใจ แต่เป็นเกมที่ดูน่าสนุกมาก
แต่ถ้าพริ้มลงไปเล่นด้วยก็อาจจะน่วมเอาได้ งั้นเขานั่งมองอยู่แถว ๆ นี้ดีกว่า
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นที่ด้านนอก
ชัดเลยว่าอาจารย์คงมีประชุมกันทั้งโรงเรียนแน่ ๆ นักเรียนคนอื่น ๆ
เริ่มวิ่งออกมาจองที่ บางคนเล่นแบดเหมือนกับพวกเขา บางกลุ่มก็เล่นบอลกลางถนน
พริ้มนั่งมองรอยยิ้มของทุกคนอย่างเพลิดเพลิน สลับกับเคาะเท้าเล่นไปด้วย
ปฏิกิริยาแบบนั้นแหละที่ทำให้พี่เบิ้มนึกอยากแกล้ง
เท็ดดี้ยิ้มร้าย
สะกิดพรรคพวกให้ตามมาด้วยกัน ลูกแกะน้อยตัวขาวหน้าตาไร้พิษสงกำลังถูกหมาป่าหลายตัวจดจ้องอยู่แต่ไม่เคยรู้สึกตัวก่อนเลยสักครั้ง
รองเท้านับสิบข้างเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะล้อมเพื่อนตัวเล็กไว้จนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจ
ยิ่งเห็นดวงตาเล็กกะพริบถี่ ๆ แล้วล่อกแล่กไปมายิ่งชอบใจ
เหมือนกำลังบีบมาชเมโล่อันกระจิ๋วด้วยสองนิ้วไม่ต่างจากแมลงตัวน้อย
“ดูซิ ใครไม่มีเพื่อน”
“ฮ่า ๆ
พริ้มเองครับโผ้มมม”
“เห้ย
มันมีนะมึง ไอ้เหี้ยผ้าไง ไอ้สัส ปากดีชิบหาย ไม่เห็นเหมือนมึงเลยอ่ะไอ้พริ้ม”
ยืนล้อมกันครบทุกคนจนพริ้มดูตัวเล็กมากกว่าเดิม
เขาห่อไหล่ เกร็งตัวเมื่อเจอแรงผลัก แรงดันจากหน้าผากที หัวที คนโน้นบ้าง
คนนี้บ้าง อย่างกับในการ์ตูนซินเดอเรลล่าที่โดนพี่เลี้ยงรังแก
แต่แค่นี้มันไม่ได้เจ็บเลย เพราะเมื่อเช้าพริ้มได้ยาเพิ่มพลังที่ดีที่สุดและไม่มีวันหมดด้วย
นั่นก็คือ…ใบหน้าของยี่หวา
…เป็นยาที่ทำให้พริ้มเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง
เก้าอี้ไม้ยาวที่ตอนแรกมีเขานั่งคนเดียว
แต่ว่าตอนนี้เต็มไปด้วยพวกของเท็ดดี้ ขาใหญ่ยืนกดดันเขาอยู่ด้านหลัง
เอาเท้าค่อมไว้บนไม้ข้างหนึ่งแล้ววางแขนลงมาที่หัว
ทิ้งน้ำหนักตัวอย่างเต็มที่จนพริ้มคอหด คนอื่น ๆ
ก็เอาไม้แบดยันแก้มเขาเล่นไปมาราวกับตุ๊กตาประหลาดในสวนสัตว์…จากนั้นก็หัวเราะชอบใจ
คนตัวเล็กนั่งเงียบ
แม้เส้นเอ็นของไม้แบดจะทิ่มที่แก้มแรงแค่ไหนเขาก็ร้องออกมาไม่ได้
ยิ่งร้องเท็ดดี้ยิ่งได้ใจ พริ้มเลยทำได้แต่เม้มปากทนเจ็บไปเงียบ ๆ
เพื่อนในห้องไม่มีใครสนใจแกะตัวน้อยที่ถูกหมาป่าถีบกลิ้งไปมากลางวงล้อม
แกะพวกนั้นสนแต่พวกตัวเอง เข้ามายุ่งก็มีแต่รั้งให้ตัวเองเดือดร้อนกว่าที่เป็นอยู่
สักพักเสียงในโรงยิมก็ค่อย
ๆ แผ่วลง ลูกวอลเล่ย์ที่ต้องกระทบพื้นก็หายไปรวมทั้งเสียงหัวเราะสนุกสนานเช่นกัน
แรงตบข้างแก้มนุ่มสองทีทำเอาพริ้มหรี่ตาลงด้วยความเจ็บ
เป็นเท็ดดี้ที่ตบเรียกให้เงยหน้าขึ้นมองสาเหตุที่ทำให้เสียงในสนามแผ่วลง
…เป็นสาเหตุเดียวกันกับสิ่งที่ทำให้พริ้มเริ่มต้นวันใหม่ได้ในแต่ละวัน
“ไอ้เหี้ยหวามาว่ะ”
“มึงชอบมันไม่ใช่หรอไอ้พริ้ม
ไปบอกมันดิวะ” เท็ดดี้ตบเข้าที่หัว
“เออ
วิ่งไปบอกเลย ไปดิ!” ใครคนหนึ่งดีดเข้าที่หู
“ไอ้เตี้ยนี่ชอบผู้ชายหรอวะ
แล้วเป็นไอ้หวาด้วย ไม่ธรรมดานะมึงเนี่ยยยย”
จากตอนแรกที่โดนตอดนิดตอนหน่อยมันไม่ได้เจ็บ
แต่พอโดนซ้ำ ๆ ที่เดิมก็เล่นเอาพริ้มน้ำตาเล็ด
เท็ดดี้ตบหัวพริ้มเป็นจังหวะกลองอะไรสักอย่าง
ในตอนท้ายมันลงมาเต็มแรงจนรู้สึกได้ว่าผมเขาฟูไม่เป็นทรง ไม้แบดเริ่มดันแรงขึ้น เช่นเดียวกับหูเล็กของพริ้มที่เริ่มเจ็บมากขึ้น
พริ้มไม่ได้สนใจแล้วว่าหวาจะเห็นภาพอะไรจากเขา
จะได้ยินเสียงของเท็ดดี้ตะโกนล้อเลียนเขาหรือเปล่า
ในตอนนี้เขาแค่คิดว่าอยากลองเจ็บน้อยลงกว่านี้
ถึงได้ปัดมือชื้นเหงื่อที่ยื่นเข้ามาทั้งบีบทั้งดีดอยู่โดยรอบ ปกป้องใบหูที่แสนบอบบางไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง
โดนนิดโดนหน่อยก็แดงเถือก เจ็บจนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ทั้งสองข้าง
พวกของเท็ดดี้เริ่มไม่พอใจที่พริ้มขัดขืน
เอามืออ่อนแอที่แค่ปิดหูหลบมือพวกเขาก็ยังทำไม่ได้ปัดไปมา พอแกะขาวปฏิเสธ…การแกล้งก็เริ่มหนักขึ้น
จากที่โดนแค่ดีดหูก็กลายเป็นบิดกระดูกอ่อนจนต้องลุกตัวตามแรงดึง
การกระทำที่บ่งบอกว่าพริ้มคิดผิดที่จะตอบโต้
เพราะยิ่งหลบ…ยิ่งโดนเจ็บกว่าเดิม
ตุ้บ!!
“โอ๊ย!!!!”
“เชี่ยไรวะไอ้หวา!!”
“ไอ้เหี้ย!!
หูกู!!”
บอลสีเหลืองตัดน้ำเงินลอยมาจากไหนไม่รู้
มันลอยมากระแทกเข้าที่บ้องหูของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
จากนั้นก็กระเด็นกระดอนโดนกันไปมาจนวงแตก พริ้มลอบมองใบหน้าคนทำจากช่องเล็ก ๆ
ที่แขนของคนอื่น ก่อนจะหลุบตามองลูกวอลเล่ย์ที่ไหลเข้ามากระทบเบา ๆ
ที่รองเท้าผ้าใบสีขาว จ้องมองมันเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้น
“เล่นเหี้ยไรวะไอ้ควาย!!
โดนหูกูเต็ม ๆ เลยเนี่ยแม่ง!”
“หรือมึงตั้งใจ
ห๊ะไอ้หวา?”
ร่างสูงที่เลิกก่อนเวลาเหมือนเพื่อนคนอื่น
ๆ ได้เดินเข้ามาในโรงยิมกับเพื่อนสนิทอีกสองคน
พวกเขากะจะเข้ามาทำเวรประจำชมรมก่อนเวลาจะได้ไม่กินเวลาซ้อมจริง
ตอนแรกก็ทำกันไปเงียบ ๆ ยกเอาตะกร้าบอลออกมาช่วยไอ้ซานเช็ด
ส่วนไอ้จอมก็เดินเก็บขยะรอบ ๆ ไปพลาง ๆ
ในตอนแรกซานสะกิดให้เขาหันไปดูอะไรสักอย่างที่มุมหนึ่งของโรงยิม
เขาเพ่งมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพบว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันโดยมีเหยื่อตัวเดิม…ทำท่าหวาดกลัวเหมือนเดิม…และตัวเล็กกว่าใครเขานั่งอยู่ตรงกลาง
แต่มันไม่ใช่เรื่องของเขา… นั่นเลยทำให้ยี่หวาตัดสินใจหันหน้ากลับมาเช็ดลูกบอลต่อ เขาเช็ดไปได้ไม่กี่ลูก
และลูกล่าสุดที่เช็ดไว้อย่างสะอาดเอี่ยมอ่องก็ปลิวออกจากมือไปด้วยแรงตบสมคำล่ำลือ
เห็นแล้วมันเกะกะลูกตา
“โทษที”
กัปตันทีมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ทำเอาพวกเท็ดดี้ไปต่อไม่ถูก
ไม่ใช่คำพูดขอโทษหรือการหาเรื่องพวกเขาต่อ
ถ้าลองจับจากน้ำเสียงแล้วจะพบว่ามันปนความหงุดหงิดและเหมือนพูดออกมาแบบขอไปที
เท็ดดี้หัวเสีย เดินฮึดฮัดออกมาคนแรกแล้วตามด้วยคนอื่น ๆ
จนสุดท้ายเหลือเพียงแค่พริ้มที่นั่งปาดน้ำตาตัวเองเงียบ ๆ
คนตัวเล็กกำลังจะเอื้อมลงไปหยิบเอาบอลลูกนั้นกลับคืนให้
แต่อีกฝ่ายเร็วกว่า
ยี่หวาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
ชิงหยิบบอลลูกนั้นตัดหน้าพริ้ม มือเล็กสองข้างชะงักกึก
ไม่กล้าเงยหน้ามองคนที่ตัวเองเห็นเป็นดั่งดวงตะวันในทุก ๆ เช้า ได้แต่ก้มหน้างุด
ค่อย ๆ เลื่อนมือสองข้างเข้ามาที่เดิม กำมันไว้แน่นที่หน้าขา
ใช้สายตามองรองเท้าของยี่หวาที่ลุกเดินออกไป
วันนี้ก็เป็นภาพแย่
ๆ อีกเช่นเคย
เพื่อนคนอื่น ๆ
ทยอยเดินออกจากโรงยิมเมื่อนักกีฬาในชมรมวอลเล่ย์เริ่มเข้ามาใช้สนาม
พริ้มเห็นพวกตัวจริงมาก่อนเป็นคนแรก ทั้งเจ็ดคนช่วยกันทำความสะอาดนู้นนี่
มีบ้างที่วิ่งเล่นไปมา เขามองเห็นผ้ายืนอันเดอร์บอลเล่นอยู่กับเนย แต่ผ้าคงไม่เห็นเขาเพราะเจ้าตัวหันหลังให้
คำชวนของยี่หวาเมื่อวานทำให้พริ้มนอนไม่หลับ
จากเวรห้องที่ต้องทำทุกเย็น พริ้มก็เปลี่ยนเป็นทำตอนกลางวันแทน แล้วตอนเย็นค่อยจัดโต๊ะ
เพราะเขาต้องรีบลงมาซ้อมให้ทัน ยี่หวาไม่ได้บอกเวลาที่แน่นอน
และเขาเองก็คงไม่กล้าต่อรองเหมือนตอนที่ยี่หวาไม่รู้ว่าเขาเป็นไส้ใน …กฎเพียงอย่างเดียวของลุงกุนที่ทำให้พริ้มสบายใจเวลารับงาน
คนตัวเล็กเดินย่ำไปหากัปตันทีมที่กำลังยืนเล่นโทรศัพท์อยู่
จากนั้นก็หยุดลงเมื่อแขนของยี่หวาอยู่ในระดับสายตาพอดิบพอดี เขาอ้ำอึ้งเพราะยี่หวายังยืนไถหน้าจอเหมือนไม่เห็นว่าพริ้มอยู่ตรงนี้
ในหัวเอาแต่เถียงกันว่าควรจะเรียกดีมั้ย ถ้าเรียกแล้วหวาจะหงุดหงิดหรือเปล่า
หรือบางทียืนเงียบ ๆ แล้วให้หวาเห็นเองน่าจะดีกว่า
“จะยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าฉันจะพูดว่าเห็นเลยหรือไง?”
“!!!”
ร่างสูงเลื่อนสายตาออกจากหน้าจอมาที่ใบหน้าขาว
พริ้มสะดุ้งโหยงราวกับคนเห็นผีก็ไม่ปาน คิ้วของหวาขมวดเข้าหากัน จะเป็นทุกครั้งที่คุยกับคนอื่นเสมอเลยหรือไง…
ถูมือตัวเองไปมาด้วยความร้อนรน เรียบเรียงคำพูดตอบกลับอีกฝ่ายอยู่นานโข
จนเป็นช่วงเวลาสิ้นเปลืองที่ทำให้คนตัวโตกว่าลอบสังเกตอยู่เงียบ ๆ
“คือ…เราต้อง…”
ใบหูแดงก่ำที่เขามั่นใจว่ามันไม่ได้มาจากความเขิน
อีกทั้งยังมีรอยเลือดซิปอยู่ที่ขอบนอก ไฝเม็ดเล็ก ๆ ที่ซอกหูดูคุ้นเคยแม้จะอยู่ในสถานการณ์ต่างกัน
ตาตี่ ๆ มักชอบหลบสายตาเขาอยู่เสมอนั้นแดงระเรื่อเหมือนกันกับจมูก
ร้องไห้จนแดงไปหมดขนาดนี้แต่กลับไม่สะอื้นซักแอะ ความอ่อนแอที่เขามองเห็น…ก็เป็นได้แค่ภาพที่เขามองเห็นจริง
ๆ
“ตามมา”
พริ้มเดินตามร่างสูงต้อย
ๆ โดยมีเพื่อนคนอื่นคอยมองมาด้วยความงุนงงว่าไอ้หวามันไปรู้จักกับเบ๊ตัวเตี้ยคนนั้นตอนไหน
ถามผ่านทางสายตาก็ได้แต่ส่ายหน้าใส่กันไปมาเพราะไม่มีใครรู้เรื่อง
เดินหายเข้าไปในประตูบานเลื่อนกันสองคนแบบเงียบ ๆ
ยิ่งทำให้ต่อมอยากเสือกของคนในทีมพุ่งปรี๊ด
แต่ก็ทำได้แค่สังเกตการณ์จนกว่าสองคนนั้นจะออกมา
ในนี้จะมีด้วยกันทั้งหมด
5
ห้องหลัก หนึ่งคือห้องของอาจารย์พละ ซึ่งโค้ชจะอยู่ในห้องนี้ สองคือห้องพักนักกีฬาเฉพาะนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน
สามคือห้องเก็บของ ใช้ห้องนี้ได้ทั่ว ๆ ไปถ้าเป็นคนในชมรม
จะมีล็อคเกอร์เอาไว้ให้เก็บของ และเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าถ้าไม่อยากเดินเข้าห้องน้ำ
สี่คือห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ ด้านนอกอาบรวม แล้วก็จะมีเป็นห้อง ๆ เรียงไว้แถวเดียว
และสุดท้ายห้องที่ห้า คือห้องพักมาสคอต เคยเป็นห้องเก็บอุปกรณ์เก่า
ตอนนี้ย้ายไปเก็บไว้ที่ติ่งของห้องพักนักกีฬา เป็นห้องที่พริ้มคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ข้างในเต็มไปด้วยกระเป๋านักเรียน
กระเป๋ารองเท้า เสื้อกีฬา แขวนกันสะเปะสะปะ ดีที่ตอนนี้ยังไม่มีคนมา
ไม่งั้นพริ้มก็คงคิดไม่ออกว่าจะทำหน้ายังไงดี
หวาเดินนำเข้าไปและหยุดอยู่หน้าล็อคเกอร์ตู้หนึ่ง คาดว่าน่าจะยังว่างอยู่
ดูจากรูล็อค มันมีลูกกุญแจเสียบคาเอาไว้
“จะใช้อันนี้ก็ได้
มันยังว่างอยู่”
“โอเค”
“มาถึงก็เข้ามาเตรียมตัว
เก็บของ เปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย จะเปลี่ยนในนี้หรือจะเดินไปที่ห้องน้ำก็ได้
แต่ระวังหน่อย ที่นี่ไม่ได้แยกชายหญิง”
พริ้มพยักหน้าเข้าใจ
รับลูกกุญแจจากยี่หวาแล้วเอากระเป๋ายัดใส่เข้าไปข้างใน เขาไม่ได้เอาอะไรมามากมาย
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่คิดจะเล่นกีฬาจริงจัง
เขาพกแค่เสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงบอลขาสั้นมาเท่านั้น
ไม่ได้พกรองเท้ากีฬามาเหมือนคนอื่น ๆ
“เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนแล้วกัน”
มือหนาปิดประตูล็อคเกอร์แบบไม่บอกไม่กล่าว
ใบหน้าเริ่มแสดงอารมณ์เบื่อหน่ายที่ตัวเองต้องมาทำอะไรแบบนี้
ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะมาดูแลกับเด็กใหม่ในชมรม
จะเป็นหน้าที่ของไอ้ตัวอเลิทอย่างไอ้ซาน ไม่ก็ผ้าหรือมุกซะมากกว่า
พวกนั้นดูแลคนได้ดีกว่าเขาเป็นไหน ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องมาสคอต
อย่าหวังว่าเขาจะมายืนร้อนอยู่ตรงนี้
“ที่นี่จะมีเวรประจำวัน”
กระดานไวท์บอร์ดตีเส้นหนาสีดำและแบ่งหน้าที่ไว้ทั้งหมดห้าวัน
เกือบครึ่งคือมีคนเขียนเอาไว้แล้วว่าจะทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่จะเขียนกันเป็นกลุ่มก้อนซะมากกว่า
ใครเข้าชมรมนี้ด้วยกันก็จะเขียนชื่อตัวเองลงในช่องเดียวกัน แต่ยกเว้นพวกตัวจริงที่จะเขียนชื่อตัวเองเดี่ยว
ๆ ไปตามวันต่าง ๆ และหน้าที่ที่แตกต่างกัน พริ้มไล่สายตาไปเรื่อย ๆ
บางสิ่งในหัวของเขากำลังรู้สึกตื่นเต้น
ตื่นเต้นกับการได้แบ่งหน้าที่กันทำ
กลิ่นเหม็นของน้ำหมึกฟุ้งกระจายเมื่อปลอกปากกาถูกดึงออก
เขาเลือกได้แล้วว่าตัวเองจะทำอะไรดีหลังจากที่ยืนไล่อ่านชื่อแต่ละคนอยู่นาน
ตัวพอพานถูกเขียนไปเรื่อย ๆ จนเสร็จสิ้นที่ตัวมอม้า …ชื่อของพริ้มก็เด่นหราอยู่ตรงตำแหน่งว่างเพียงหนึ่งเดียวจากทั้งหมด
ซักผ้า
ช่องอื่น ๆ
ที่จะถูกตีเส้นด้วยสก๊อตเทปหนามีชื่อของคนในชมรมอยู่เต็มไปหมด
แทบไม่เหลือพื้นที่ว่างให้พริ้มได้เข้าไปแทรกอีกสักคน
หากแต่มีเพียงช่องสี่เหลี่ยมช่องเดียวที่ถูกตีกรอบแตกต่างกว่าชาวบ้าน เป็นช่องว่าง
ๆ ที่ไม่เคยมีรอยปากกาอยู่ในนั้น แต่พริ้มเลือกที่จะเขียนชื่อตัวเองลงไป
“เลือกได้ดี”
“…”
คนตัวเล็กแอบอมยิ้มเพราะเสียงของยี่หวาดูพอใจ
“จะพาไปดูห้องซักผ้า”
หวาพาเขาเดินออกจากห้องเก็บของไปยังอีกห้องที่อยู่ตรงข้ามกัน
เสียงของซานตะโกนเรียกดังมาถึงพวกเขาชัดเจนแต่ยี่หวาทำเพียงแค่ชี้หน้าให้อีกฝ่ายหุบปาก
ประตูบานเลื่อนเหมือนกันกับห้องที่เพิ่งเดินออกมาแต่กลับดูสะอาดตาและน่าอยู่กว่าเยอะ
ข้างในมีโซฟา ล็อคเกอร์ กระดานไวท์บอร์ดแบบเลื่อนได้
แล้วก็มีกระเป๋าหลายสิบใบวางอยู่เกลื่อนห้อง
“นี่คือห้องพักนักกีฬา
ห้องซักผ้าจะอยู่ในนี้”
“อ๋อ…”
“ซักแค่ของพวกนักกีฬา
ทุก ๆ วันจะมีเสื้อเปียกเหงื่อถูกทิ้งไว้ในถังตลอด…แต่ไม่มีใครซัก”
“…”
ยี่หวาเปิดถังที่ว่าให้ดูและมันไม่ใช่เรื่องโกหก
“ถึงมีคนซักก็ไม่มีใครคิดจะเอาไปตาก”
ร่างสูงพิงสะโพกเข้ากับเครื่องซักผ้า
ยืนกอดอกค้ำคนตัวเล็กกว่าแล้วกดหน้าลงมาคุยกัน ห้องแคบ ๆ ไม่ได้มีพื้นที่กว้างมากพอให้เราสองคนยืนประจันหน้าให้ห่างกันหลายเมตร
ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้กลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ …ยิ่งสูดดมแก้มยิ่งขึ้นสี
พริ้มก้มหน้ามองพื้นกระเบื้องกับรองเท้าผ้าใบของยี่หวา
…ไม่มีวินาทีไหนเลยที่จะกล้าเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายได้อย่างใจคิด
“ผงซักฟอกหมด
น้ำยาปรับผ้านุ่มหมด ให้บอกฉัน ต้องการอะไรเพิ่มเติมก็มาบอกฉัน
เครื่องมีปัญหาก็ต้องวิ่งมาบอกฉัน อย่าดันทุรังทำตามใจตัวเอง เข้าใจมั้ย?”
“…ครับ”
“นายจะซักทุกสัปดาห์หรือทุกวันก็ได้
เสร็จแล้วเอาไปตากที่ราวข้างนอก”
พริ้มพยักหน้ารับ
“เงยหน้า”
“ครับ?”
“บอกให้เงยหน้า”
ยี่หวาเริ่มดุ เพราะอีกคนเอาแต่ก้มหน้างุดเหมือนโดนเขาทำโทษ
นิสัยชอบก้มหน้าเวลาคุยทำเอาคนตัวสูงหงุดหงิด แต่หารู้ไม่ว่า…ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะอีกฝ่ายเป็นยี่หวาเนี่ยแหละ
“เอ่อ…เราไม่ชิน”
“ทำตัวให้ชิน
ฉันไม่ชอบคนก้มหน้าเวลาคุย”
“ขอโทษครับ”
“มีอะไรสงสัยอยากจะถามมั้ย?”
พริ้มส่ายหน้า
เขาเข้าใจทุกอย่างหรือถึงมีตรงไหนอยากถามก็จะไม่ถามเด็ดขาด
การอยู่กันสองคนกับยี่หวาเป็นอะไรที่เขาไม่เคยชินเหมือนที่ต้องสบตาเวลาคุยนั่นแหละ
ยากชะมัดกับการเป็นพริ้มผู้แพ้ดวงตาของยี่หวา
ไม่มีอะไรยากไปกว่าการสบตากับร่างสูงคนนี้อีกแล้ว
“งั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
จะได้ซ้อมเป็นเรื่องเป็นราว”
“ครับ …ขอบคุณ”
ร่างเล็ก ๆ
ในสายตาของยี่หวาเดินหายออกไปนอกห้อง พริ้มตัวเตี้ยกว่ามากเลยทำให้เวลาคุยกันเขาไม่เคยที่จะยืนตัวตรงได้เลย
ไม่งั้นเขาจะเห็นแต่หัวกลม ๆ และขวัญหนึ่งจุดอยู่บนนั้นเต็มตา
สบโอกาสเสือกในตอนที่เห็นเบ๊เท็ดดี้เดินออกมาจากห้อง
ซานก็วิ่งสี่คูณร้อย ซอยเท้าเข้ามายังห้องพักที่ตัวเองชอบแอบมากลบดานอยู่บ่อย ๆ
เวลาไม่อยากเรียน ตามมาด้วยจอมทัพที่พอเห็นเพื่อนวิ่ง ตัวเองก็วิ่งตามมาทันที
เรื่องเสือกไม่เคยทิ้งกัน
“ว้อท?
คือไรวะไอ้หวา ทำไมเบ๊ไอ้เท็ดถึง…”
“เขาชื่อพริ้ม”
“รู้จักชื่อด้วย!?
ยังไงวะเนี่ย!”
ซานเกาหัวแกละ ๆ
มองแผ่นหลังของกัปตันทีมไหวไปมาในขณะที่กำลังป้อนคำสั่งให้เครื่องซักผ้าทำงาน
จอมทัพทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาประจำ เหยียดขายาวก่ายกับที่พิงแขน คว้าเอาหมอนอิงมากอดแนบพลางส่งสายตาให้ซานเพื่อนรักซักต่อ
“เมื่อกี้มึงลากมันเข้ามาทำอะไรในนี้
อย่าบอกนะ…”
“…”
“ไม่จริง!
หวามึงต้องไม่นอกใจกู!”
ความคิดทุเรศ ๆ
ถูกหยุดด้วยถุงเท้าเหม็นเน่าของใครสักคนในชมรม
“ยี๋!! ไอ้เหี้ย!!
ปามาได้ มันเหม็นนะเว้ย!”
“กูก็ว่าปากมึงกลิ่นเหมือนอะไร”
“จะทำให้เสียเซลฟ์หรอ
ฝันไปเหอะว่ะ มึงอธิบายมาเลย คิดยังไงถึงเอามันเข้าชมรมที่ทุกคนอยากเข้าชิบหาย
แต่กัปตันทีมเสือกฉีกใบสมัครทิ้งจนหมด แต่นี่แม่ง…คือยังไงวะ”
ซานหันไปยกนิ้วโป้งให้จอมทัพที่หน้าตาสวนทางกับความมั่นใจของมันมาก เห็นทีต้องลุกไปซักเองซะล่ะมั้ง
ยี่หวาเดินเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทผิวขาวเมื่อเครื่องซักผ้าทำงาน
วางท่าข่มด้วยการกอดอดเหมือนอย่างทุกทีจนซานถอยหลังหนี จอมทัพเดินมาขนานข้าง
ดันหลังเพื่อนขี้เสือกและขี้กลัวไว้ไม่ให้มันเผ่นหนีไปก่อนคนแรกถ้าไอ้หวาจะลงไม้ลงมือ
“การที่กูจะเอาใครเข้าชมรมแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับมึง?”
“เกี่ยวดิวะ ก็…กูเพื่อนมึง!”
จอมทัพฟาดเข้าที่หัวของซานแล้วผลักหน้ามันออกไปให้พ้น
ๆ
“จำนวนสมาชิกที่เคยเข้ามากลางคันในตอนที่มึงเป็นกัปตันทีม…เท่ากับศูนย์
แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ ที่มึงลากมันเข้าชมรม”
“ไม่ใช่เรื่องของมึง”
“แน่ใจหรอวะว่าจะไม่ตอบพวกกู?”
“หรือว่ามึงชอบมันวะหวา?”
ยี่หวาผลักหัวซานกลับไปทางเดิม
หนีความวุ่นวายจากพวกมันสองตัวที่ชอบสาระแนเรื่องของเขานักหนา เขายังยึดติดกับสัญญาที่ตัวเองเซ็นไปก่อนหน้านั้นอยู่
ยังไงก็ยังให้คนอื่นรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นตัวจริง
เด็กพวกนั้นปากไวกว่าพวกเขาร้อยเท่า ถ้าแค่ไอ้ซานกับไอ้จอมรู้ก็ยังไม่เป็นไร
แต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้อยู่ดี
เพราะเขายังไม่ได้คุยเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับสถานการณ์แบบนั้นที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
“พริ้ม! มึงมาทำอะไรที่นี่? โดนไอ้หวาลากไปรังแกหรอ?”
“เปล่า…”
“จริงอ่ะ
แล้วเข้าไปข้างในนั้นได้ไง”
“เรา…อยู่ชมรมนี้”
“ห๊า?!”
พริ้มโดนผ้าลากทันทีที่ออกมาจากห้องเก็บของหลังจากเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
จากนั้นก็ถามอะไรต่อมิอะไรที่พริ้มตอบไม่ทันสักอย่าง ผ้าดูดีใจปนตื่นเต้นที่เห็นพริ้มอยู่ที่นี่
วันนี้ทั้งวันเขาไม่ได้เจออีกคนเลยนับตั้งแต่ที่ผ้าด่ากราดเท็ดดี้เสียจนขาใหญ่ทำซ่าไม่ออก
ตอนเห็นผ้าเดินเข้ามายอมรับว่าพริ้มเองก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อย่างน้อย ๆ
ก็มีคนที่เรียกเขาว่าเป็นเพื่อนอยู่ในที่เดียวกัน
“อืม”
“เอาจริงดิ
อะไรของมันวะ”
“มัน…แย่มากเลยหรอ”
“เฮ้ย…ไม่เลย ๆ กูแค่ตกใจอ่ะ ดีเลย เดี๋ยวซ้อมให้เอง”
ผ้าเปลี่ยนสีหน้าเมื่อพริ้มคิ้วตก
เขาแค่ตกใจยี่หวานิดหน่อย ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันเข้มงวดขนาดไหน
ไม่เคยให้เส้นให้สายกับใคร ยิ่งเป็นเพื่อนยิ่งต้องพยายามหนักเป็นสองเท่า
ไม่มีหรอกจะชมหรือละเว้นมากกว่าคนอื่น ใครที่อยากเป็นเพื่อนกับมันเพราะอยากได้อภิสิทธิ์ล่ะก็…คิดใหม่ตอนนี้ยังทันนะ
เด็กหนุ่มตัวเล็กสองคนยืนคุยเล่นกันที่ข้างสนาม
สักพักเพื่อนสนิทของผ้าก็วิ่งมาทางพวกเขา เนยเป็นคนผิวขาว สูงกว่าเราสองคนอยู่หลายเซน
หน้าตาสะอาดสะอ้าน หน่วยก้านดีพอ ๆ กับคนอื่น ๆ ในทีมแม้จะตัวผอมกว่า
ความสามารถของเนยไม่ได้มีอะไรโดดขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจน เพราะว่าเนยเก่งทุกอย่าง
ทำได้ทุกอย่างที่คนในทีมต้องทำ ด้วยความที่ทุกอย่างเด่นเลยไม่มีอะไรโดดออกมา
“ไอ้ผ้า
ไอ้หวาจะเรียกแล้ว …นี่ใครเนี่ย?”
“อ๋อ
เพื่อนกูที่เคยเล่าให้ฟังบนรถบัสอ่ะ พริ้มนี่เนย เนยนี่พริ้ม”
“อ่า…หวัดดี เด็กใหม่หรอ?”
พริ้มพยักหน้า
“กลางคันเนี่ยนะ?
อะไรของไอ้หวามันวะ…”
ไม่ว่าใครที่รู้เรื่องต่างก็พูดอะไรทำนองนี้จนพริ้มเริ่มไม่มั่นใจ
เขาไม่ค่อยได้ย่างกรายเข้ามาที่สนามวอลเล่ย์บอลเพราะยี่หวาอยู่ที่นี่เสมอ
ถึงจะอยากเห็นหน้ามากแค่ไหน แต่ให้เข้ามาถึงถิ่นก็ดูจะเกินความสามารถของหัวใจพริ้มไปเสียหน่อย
เขาทำได้แค่ลอบมองที่หน้าโรงเรียนยามที่อีกคนเดินเข้าโรงเรียนมา หน้าตาเย็นชาเหมือน
ๆ กันในทุก ๆ เช้า แต่กลับทำให้ใจเต้นแรงได้ทุกทีที่มอง
“เออไอ้ผ้า
เมื่อวานมึงแดกลูกอมไอ้จิ้มจนหมดแล้ววันนี้ก็ไม่ได้ไปซื้อคืนให้มัน
มันงอนมึงจนลามมางอนกูแล้วเนี่ย” เนยบ่นใส่ขณะที่เซ็ตลูกวอลเล่ย์ในมือเล่น
“ไอ้อ้วนนั่นก็ห่วงแต่ของกิน
เย็นนี้มึงเตือนกูด้วยล่ะ”
ชื่อจิ้มที่เนยพูดถึงทำให้นึกถึงคนชื่อ
จิ้มลิ้ม ที่พริ้มเคยคุยด้วยเด้งขึ้นมาในหัว เขาจำได้ว่าจิ้มลิ้มอยู่ทับแปด
ซึ่งเป็นห้องเดียวกับผ้าและเนย มุกด้วยอีกคน แต่เขาไม่เคยคุยกับมุก
พริ้มกำลังจะอ้าปากถามว่าใช่คนเดียวกันมั้ย
แต่เสียงนกหวีดก็ดันขึ้นแทรกจังหวะของพริ้มเสียก่อน
ปรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!
กัปตันทีมเป่านกหวีดเรียกรวมพล
นักกีฬาทุกคนรวมไปถึงคนในชมรมต่างก็โยนบอลลงตะกร้าแล้ววิ่งไปรวมแถวตอนหนึ่งตรงหน้ายี่หวา
ยกเว้นพริ้มที่ก้าวขาไม่ออกเพราะใบหน้าสะสวยแสนคุ้นตากำลังเดินเข้ามาในโรงยิม
“อ้าวพริ้ม… มาทำอะไรที่นี่หรอจ๊ะ?”
แกะตัวน้อยเพิ่งหลบหนีจากเหล่าหมาป่า
แต่ดันวิ่งผิดทางมาเจอเหล่าสุนัขจิ้งจอกแสนสวย แคทเหยียดยิ้มราวกับคนรู้ทัน
เธอเดินเข้ามาใกล้เขาช้า ๆ สร้างความกดดันให้กับลูกแกะไร้ทางสู้
เขาไม่อยากให้แคทรู้ว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ในชมรมนี้ แถมกลางคันอีกต่างหาก และพริ้มก็ไม่รู้ด้วยว่าแคทมาทำอะไรที่โรงยิม…พร้อมกับเพื่อน ๆ ในชมรมเชียร์ของเธอ
“หรือว่ามาตามส่องยี่หวา?
ตายแล้วพริ้ม…หนักกว่าที่คิดอีกนะ”
“ขนลุกเป็นบ้า
สงสารสุขภาพจิตยี่หวาจังเลย”
“เป็นสตอคเกอร์จริง
ๆ สินะแกน่ะ”
เพื่อนในห้องที่อยู่กลุ่มเดียวกับแคทก็อยู่ในชมรมเชียร์ด้วยเหมือนกัน
พวกเธอหน้าตาสวยกันทุกคน ไม่แปลกใจที่จะอยู่ในชมรมที่คัดคนสวยเข้าเป็นหลัก
พริ้มโดนวาจาเชือดเฉือนไล่ต้อนจนต้องถอยหลังหนี แต่มีอยู่เสียง ๆ
หนึ่งที่ไล่ต้อนทุกคนได้ไม่เพียงแค่พริ้ม…
“เฮ้ย!! ไม่ได้ยินเสียงนกหวีดหรอ!!”
ยี่หวาตะโกนดังลั่น
“ร…เราขอตัวก่อนนะแคท”
“อะไรนะ?
จะไปไหนย่ะ”
เธอมองตามแผ่นหลังเล็กที่วิ่งไปเข้าแถวกับคนในชมรมวอลเล่ย์บอล
คิ้วของเธอเริ่มขมวดเมื่อเห็นพริ้มรับคำสั่งของยี่หวาเหมือนคนอื่น ๆ ในชมรมราวกับเป็นหนึ่งในนั้น
และเธอก็เริ่มปะติดปะต่อตั้งแต่ตอนเจอกับไอ้ก้างเล็ก ชุดของมัน
แล้วก็เสียงตะโกนของยี่หวา
“มันเดินไปเข้าแถวทำไมวะ?”
“ทำเหมือนกับอยู่ในชมรมงั้นแหละ”
“อย่าบอกนะว่า…”
“ชมรมวอลเล่ย์หรอ?!”
“ยี่หวาเอามันเข้าชมรมงั้นหรอ?!”
เพื่อนสาวต่อเรื่องได้ดี… ริมฝีปากสวยแต่งแต้มไปด้วยลิปสติกราคาแพงยี่ห้อดัง
มันเหยียดยิ้มร้ายยามที่เห็นอีกฝ่ายตั้งอกตั้งใจทำท่ากายบริหารอย่างเต็มที่
ในหัวของเธอมีแต่ความคิดที่จะเหยียบมดน้อยตัวนั้นให้จมดิน
กล้ามากที่คิดอยากจะแข่งกับเธอ
“แบบนี้ก็สวยสิพริ้ม…”
กายบริหารเพื่อวอร์มร่างกายในท่าสุดท้ายสิ้นสุดลงโดยเทคเป็นผู้นำในวันนี้
หลังจากทำเสร็จสีที่หน้าของพริ้มก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะตามคนอื่นไม่ทันจนหัวหมุนติ้ว
ทุกคนเข้ามาก่อนหน้านั้น แน่นอนว่าไปไกลกว่าเขาร้อยก้าว
และไม่มีใครสนใจจะเข้ามาช่วยพริ้มเลยสักคน
อยู่ท้ายแถวหลังพี่โย่งใครเขาจะเห็นพริ้มกันล่ะ
“วันนี้เราจะไปวิ่งรอบสนามบอลกัน”
ทุกคนร้องโห่เสียงดัง
สนามบอลมันใหญ่จะตาย ลำพังวิ่งแค่รอบสนามวอลเล่ย์ยังหอบแดกเลย
“โห่อะไรไม่ทราบ”
“ทำไมต้องวิ่งที่สนามบอลด้วยอ่ะครับ”
ซานยกมือขึ้นถาม เป็นตัวแทนของทุกคนที่ไม่อยากทำ
“พอดีเวรกวาดสนามวันนี้ยังไม่เริ่มทำ”
จอมทัพเบ้ปาก ไอ้หวามันแซะเขาเต็ม ๆ จะให้ทำได้ยังไงล่ะ พวกคุณ ๆ เธอ ๆ
วิ่งเล่นกันไปทั่ว กวาดตรงนั้นยังไม่ทันเสร็จ ตรงนู้นแม่งเลอะอีกละ แต่ก็ดี
เขาจะได้ไม่ต้องวิ่ง
“ไอ้หวา
แล้วปูส้มหายไปไหนอ่ะ”
จอมทัพเปลี่ยนเรื่อง
“ลุงกุนโทรมาว่ามาสคอตติดธุระหลายวัน
จะไม่มาซ้อมสักพัก”
“จริงอ่ะ โห่ย… แล้วไปไหนวะ?” ไอ้จอมทำหน้าผิดหวัง
“ไปธุระ” ร่างสูงกดเสียงต่ำพลางเหลือบมองพริ้ม
และเป็นเหมือนเดิมคือเด็กคนนั้นก้มหน้าหลบสายตาเขา
พอเห็นยี่หวาเสียงเข้มเลยไม่มีใครอยากกวนตีนต่ออีก
มุกเป็นคนนำแถววิ่งในครั้งนี้ สนามบอลใหญ่โตกว่าสนามในโรงยิมหลายเท่า วิ่งกันบนฟุตบาทผ่านเด็กในโรงเรียนที่นั่งเล่นกันอยู่บนพื้นอิฐ
แล้วก็ต้องกรี๊ดกร๊าดเมื่อตัวจริงของชมรมวอลเล่ย์ออกมาวิ่งข้างนอกในรอบสิบปี
กรี๊ดเทคที กรี๊ดซานที เอาให้ครบทุกคนที่เป็นสมบัติเด่นในโรงเรียนอซแห่งนี้
ที่ขาดไม่ได้ก็คือยี่หวา
สุดยอดดีเอ็นเอที่ไม่ต่างไปจากพี่เก้าเลยสักนิดเดียว
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ยี่หวาแตกต่างคือสีผิวที่จะเข้มกว่าคนพี่อยู่เล็กน้อย
เก้านั้นจะไม่ค่อยออกไปไหน เวลาออกไปทีก็จะขับรถยนต์อยู่เสมอ
แต่กับหวาจะตรงข้ามกันค่อนข้างมาก คนน้องจะเป็นพวกบ้ากีฬา
เล่นได้ทุกอย่างไม่แพ้คนพี่ เผลอ ๆ
จะเล่นเก่งกว่าด้วยเหมือนเกิดมามีพรสวรรค์กับพวกมัน
เวลาไปไหนหวาจะชอบขึ้นรถเมล์ไม่ก็รถบัสเสียมากกว่า มีบ้างที่เอารถมอไซค์ออกมาใช้
ขี่มันกลางถนนกับอากาศร้อน ๆ ที่ทำให้ผิวเข้มขึ้น ไหนจะชอบออกแดด ออกกิจกรรมเพราะไอ้ซานชอบลากไปไหนมาไหนด้วยอยู่ตลอด
ขบวนนักกีฬาทั้งชายและหญิงราว
ๆ เกือบหกสิบคน วิ่งกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนในจังหวะเดียวกัน
ยี่หวาสั่งให้วิ่งทั้งหมดสิบรอบ น้อยกว่าในสนามเดิมอยู่สิบ
อย่างน้อยมันก็ใจดีลดรอบให้ มาถึงช่วงหลัง ๆ แรงเริ่มตก จากเป็นก้อนเริ่มเป็นจุด
ต่างคนต่างลากสังขารของตัวเองให้ผ่านแต่ละรอบไปอย่างยากลำบาก
ยกเว้นพริ้มที่ยังฟอร์มดีอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะตกลง
สงสัยคงเป็นผลจากการฝึกฝนทุกเช้าล่ะมั้ง
ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีแดงและกางเกงบอลขาสั้นสีดำอยู่ในสายตาของเทคตั้งแต่รอบที่เจ็ด
ร่างโปร่งวิ่งมาเรื่อย ๆ
จนมาเจอกับเด็กผู้ชายคนนั้นที่จำได้ว่าเคยช่วยไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน ๆ แต่เทคไม่เคยเห็นเด็กคนนี้ในชมรมมาก่อน
เขาดูแลและจำหน้าทุกคน แต่กับเด็กคนนี้ไม่ยักกะจำได้
เพราะแบบนั้นเลยทำให้เขาวิ่งตามมาเงียบ ๆ
เข้ารอบที่เก้าแล้ว
คนตัวเล็กตรงหน้าก็ยังวิ่งด้วยจังหวะเดิมไม่มีลดลง ราวกับคนที่วิ่งจ๊อกกิ้งอยู่เป็นประจำทุกวัน
พวกนั้นจะรู้ว่าจังหวะของตัวเองวิ่งได้เท่าไร ซึ่งมันเหมือนกับเขา เหมือนกับนักกีฬาจริง
ๆ ที่วิ่งจ๊อกกิ้งได้ทั้งวันแบบไม่มีเหนื่อย ซึ่งการสังเกตนั้นทำให้เทคแปลกใจ
คนที่ท่าทางอ่อนแอสู้ใครเขาก็ไม่ได้
แต่กลับวิ่งสิบรอบสนามบอลขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องหยุดพัก
เขาไม่รู้ว่าไอ้หวากำลังคิดอะไรอยู่
แต่มันก็น่าสนุกดี
พวกเชียร์ลีดเดอร์ก็ตามออกมาซ้อมข้างนอกด้วยเช่นกัน
ไม่รู้ว่าตามติดชมรมวอลเล่ย์หรือแท้จริงแล้วตามยี่หวากันแน่ หัวหน้าทีมเชียร์กำหนดเป้าหมาย
ยิ่งเห็นหน้ายิ่งรู้สึกหมั่นไส้ เธอรอเวลาที่พริ้มจะวิ่งผ่าน ลอบสกัดขาก็เป็นความคิดที่ไม่เลว
แค่หัวเข่าถลอกปลอกเปลือกนิดหน่อย สองสามวันก็หายแล้ว
ปึ้ก!!
ราวกับกล้องตัดภาพมาที่รองเท้าผ้าใบสองข้างชนกันเข้าอย่างจัง
ร่างของคนโดนสกัดลอยไปข้างหน้าและล้มลงกระแทกกับพื้นอิฐรูปตัวหนอน
หัวเข่าสองข้างขูดไปกับพื้นจนเกิดรอยแตก เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผลและลามลงมาที่หน้าขา
ทุกคนตกใจและหยุดนิ่ง
“พริ้ม!! เป็นยังไงบ้าง เจ็บมั้ย?”
“ล้มลงไปแรงมากเลย
เราช่วยประคองนะ”
“มัฟฟินไปช่วยพยุงข้างนู้นทีนะ”
ผู้ที่เข้ามาช่วยเป็นคนแรกก็คือคนที่ยื่นขามากลั่นแกล้งคนโดนกระทำ
แคทจับแขนพริ้มพาดเข้าที่ไหล่…ท่ามกลางความอึดอัดใจของเขา เขาเกลียดการกระทำตีสองหน้าของแคทมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
ถ้าหากเกลียดกัน อยากแกล้งกัน ก็เอาให้เต็มที่ แต่อย่ามาแสดงแบบนี้ให้เขาดูเป็นคนโง่ที่บังคับหน้าตัวเองไม่ถูกอยู่แบบนี้
ภายในใจรู้สึกโกรธ อยากลุกด้วยตัวเองแต่แผลตึงเกินกว่าจะทำได้
“ค่อย ๆ
เดินนะพริ้ม ทิ้งตัวมาได้เต็มที่เลยนะ”
“วิ่งยังไงให้สะดุดล้มตัวลอยขนาดนั้นเนี่ย…ไม่ไหวเลยนะ”
“นั่นสิ
จำเป็นต้องใช้ขานี่นา”
สองสาวกับมดตัวหนึ่งพากันเดินอย่างทุลักทะเลกันไปที่ห้องพยาบาล
มันอยู่ไม่ไกลมากนัก นั่นเลยทำให้เทคตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปช่วย ผู้คนรอบข้างกลับมาสนใจตัวเองกันต่อเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยี่หวาวิ่งเข้ามาหา เช่นเดียวกับซานที่วิ่งย้อนกลับมา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นั่นดิ
กูได้ยินเสียงดังอั่ก ล้มหรอวะ?”
เทคยืนนิ่ง
ก่อนจะยกยิ้มจาง ๆ
“ผู้หญิงเนี่ย…น่ากลัวชะมัด”
ทนความอึดอัดใจมาได้จนถึงห้องพยาบาล
ข้างในเปิดแอร์เย็นช่ำ คลายความร้อนจากข้างนอกได้เยอะเลยทีเดียว แคทสะบัดแขนพริ้มออกจากไหล่
คนตัวเล็กเซไปนั่งที่เตียงเพราะแรงผลัก เธอปัดเสื้อพละด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์
ไม่งั้นเชื้อโรคที่ชื่อว่า ‘พริ้ม’ คงได้ชอนไชผิวหนังของเธอแน่ ๆ
“ว้า… อาจารย์ไม่อยู่ด้วยแฮะ”
“เธอทำแผลเก่งนี่แคท
จัดการเลยสิ”
“นั่นสิเนอะ”
พริ้มสะดุ้งเฮือก
“ม…ไม่เป็นไร เราทำเอง…ก็ได้”
“ปฏิเสธน้ำใจเราหรอพริ้ม?”
“…”
เขาพูดอะไรไม่ได้…ต่อต้านก็ยิ่งทำไม่ได้ ความกลัวเมื่อตอนที่คิดสู้ไหลเข้ามาในหัว
เท็ดดี้ที่ไม่เคยรับมือกับพริ้มที่ปัดแขนของตัวเองออก หน้าแดงด้วยความโมโห เหมือนความรู้สึกที่โดนมดตัวเล็กกว่าเล็บมือฝังเขี้ยวลงมาเล่นเอาสติแทบหลุด
ขยี้ร่างมดตัวนั้นให้แหลกละเอียดอย่าให้มันมีแรงพอจะเดินหนีความผิดไป …ทั้ง ๆ ที่เอาเท้าไปทำลายรังมันก่อนแท้ ๆ
พริ้มเข็ดแล้ว… เขาไม่กล้าขัดขืนอีกแล้ว ถึงแม้มันจะเจ็บ
แต่เขาก็จะมั่นใจว่ามันจะไม่เจ็บมากไปกว่าเดิม
“เอ… แอลกอฮอล์อยู่ไหนนะ”
“อยู่ในตู้นั่นหรือเปล่า
สีฟ้า ๆ น่ะ”
“อยู่ในนี้จริงด้วย”
น้ำสีฟ้าสวยแต่ฤทธิ์ในการเรียกน้ำตาระดับเลเวลเก้าสิบเก้า
อยากวิ่งออกไปจากห้องนี้จัง…
“ไม่เจ็บหรอก
ฉันมือเบา”
“ราวกับปุยนุ่นเลยล่ะ”
สำลีชุบแอลกอฮอล์ในมือแคทส่งผลต่อลำคอพริ้ม…มันเริ่มแห้งเหือดเพราะความกลัวทีละนิด ๆ แคทกดมันลงไปเบา ๆ
ตามที่เธอพูดเอาไว้ แม้จะอยู่ที่ขอบนอกแต่พริ้มก็รู้สึกแสบ จู่ ๆ
ในหัวก็ร้องกรี๊ดเมื่อเธอเลื่อนก้อนสำลีชุ่มน้ำไปที่รอยแตกของเนื้อ กดมันลงไปช้า ๆ
พร้อมกับน้ำตาของพริ้มที่ไหลปาดแก้ม
“อดทนอีกนิดนะ
เจ็บนิดเดียว…”
“ฮึก… แคท…เราเจ็บ”
“เป็นผู้ชายต้องอดทนสิจ๊ะ”
“เราเจ็บจริง ๆ”
แอลกอฮอล์กัดบาดแผลเขาอย่างไม่มีความปรานี…เช่นเดียวกับแคทที่ไม่ผ่อนแรงกด พริ้มนั่งเกร็งตัวน้ำตาไหลพราก
ไม่กล้าปัดมือข้างนั้นออกเพราะกลัวผลลัพธ์ที่จะตามมาทีหลัง แค่นี้เขาทนได้…และมันจะไม่เจ็บไปมากกว่านี้
เพราะมันเจ็บที่สุดแล้วน่ะสิ
“โทษทีสาว ๆ
เรามาดูเพื่อน”
!!!
เป็นผ้านั่นเองที่เปิดประตูเข้ามา
แคทลอบจิ๊ปาก ก่อนจะวางก้อนสำลีที่เลอะเลือดสดไว้บนโต๊ะเล็ก เธอยืดตัวเต็มความสูง
หันไปยิ้มหวานให้กับผ้าที่หน้าตาดูเป็นห่วงเป็นใยเบ๊อ่อนแอคนนี้เหลือเกิน
“เชิญเลย เราทำแผลไม่เก่ง
เลยว่าจะไปตามอาจารย์”
“อ๋อ ไม่เป็นไร
เราจัดการเอง”
“ดีจัง
งั้นเราฝากพริ้มด้วยนะ ขอบคุณมากนะผ้า”
“ครับผม”
ห้องเงียบลงทันทีเมื่อเสียงประตูหายไป
ผ้าเดินมาคุกเข่าตรงหน้าพริ้มก่อนจะหยิบเอาสำลีก้อนใหม่ขึ้นมาแทนอันเก่า…มันเลอะเลือดเต็มไปหมด แทบไม่เหลือร่องรอยของน้ำสีฟ้า
เงยหน้ามองพริ้มที่เอาแต่ร้องไห้อยู่กับตัวเองเงียบ ๆ แล้วก็ได้แต่นึกเป็นห่วงในใจ
มองมือคู่นั้นที่กำไว้แน่นข้างตัวจนต้องเอื้อมมือไปแตะให้คลายออก
“พริ้ม…”
“ฮึก…”
“เจ็บแผลมากเลยหรอ”
“…เจ็บ”
พริ้มจับมือของผ้าไว้แน่น
“เจ็บจริง ๆ”
#พริ้มเพียงหวา
ขอย้ำอีกครั้งว่าฟิคเรื่องนี้เป็นกีฬาวอลเล่ย์บอล เดี๋ยวจะได้เห็นความเท่ของยี่หวาแน่ ๆ รอก่อนเบย
ขอโทษจริง ๆ ที่มาช้ามาก ๆ อาทิตย์นี้เราไม่่ว่างเลย พึ่งว่างวันเสาร์เนี่ยแหละ แต่แต่งไว้ตั้งแต่วันพฤหัสแล้ว เรียนเต็มทุกวัน กลับมาตาก็ล้า แต่งไม่ไหวจริง ๆ 55555555 วันนี้เลยมายาวมาก มากจริง ยี่สิบหน้าเลย
ถ้าเธออยู่ล่างสุดของห่วงโซ่ เธอก็จะรู้ว่าการตอบโต้ไม่ได้ช่วยอะไร...
ถ้าชอบอย่าลืมคอมเม้นท์ แท็ก แชร์ นะคะ ขอบคุณมากค้าบ
ความคิดเห็น