คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๖
6
รถบัสคันเดิมวิ่งผ่านป้ายเหมือนอย่างทุกครั้งตามคำสั่งของขาใหญ่บนนั้น
เขาเคยนึกอยากลองยืนนิ่ง ๆ ให้รถบัสมันผ่านไปดูบ้าง…แต่ก็กลัวผลลัพธ์ที่อาจจะออกมาตรงกันข้ามอยู่ดี
ด้านหลังลุงคนขับที่ทำหน้าหนักใจส่งมาเป็นเท็ดดี้ที่ยิ้มระรื่น
หัวเราะเยาะมนุษย์ขี้แพ้ในสายตาพวกเขา…
พริ้มอึดอัดยามที่ต้องเดินผ่านพวกเพื่อน
ๆ ที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาเดินกอดกระเป๋า
เอาคางแนบชิดอกหลบสายตาของทุกคนที่มองเขาเป็นเหมือนตัวปัญหา
ใบหน้าขาวติดจะหม่นหมองในเช้าวันนี้เบิกตาโตเล็กน้อยเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขา
พริ้มรู้จักคนนี้…
“หวัดดี”
“เอ่อ…ห…หวัดดี”
ค่อย ๆ
หย่อนตัวนั่งด้านข้างลิบบอโร่ฝีมือดีของทีมคาลันโช เมื่อปีก่อนในงานโอเบง
ผ้าได้รางวัลลิบบอโร่ดีเด่นเนื่องจากเก็บลูกที่ออกนอกสนามได้เกินสิบครั้ง เก่งสุด
ๆ ไปเลยล่ะ… ริมฝีปากเล็กลอบยิ้ม
ภายในใจตื่นเต้นราวกับมีผู้คนมาเดินขบวนพาเหรดบนถนนเส้นเลือดแดง
เขาออกอาการมากไปมั้ยนะ ไม่บ่อยเลยที่จะเจอผ้าบนรถบัสเวลานี้
“เหม็นชะมัด
ใครไม่ซักถุงเท้าวะ!”
“…!”
“ปกติขึ้นคันนี้หรอ?”
“อื้อ…ใช่”
“นั่งตรงไหนอ่ะ”
นิ้วเล็กชี้ไปยังคนถาม
“ถามจริง?
โคตรเหม็นอับ ไม่ได้ล้างรถกี่ปีแล้ววะ แกไม่เหม็นหรือไง”
“ก็…เหม็น แต่เราชินแล้ว”
“คนบ้าที่ไหนจะไปชินวะ
ตลกละ” ผ้าแค่นหัวเราะ
พริ้มไม่รู้ว่าผ้าหัวเราะอะไรแต่ก็ทำตาม
ผ้าเป็นคนตัวเล็กเท่า
ๆ พริ้มเลย ส่วนสูงเราเรียกได้ว่าใกล้เคียง ห่างกันไม่กี่เซ็นเท่านั้น
แต่เมื่อมองผ้าแล้วพริ้มกลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าหลายเท่า
ไม่มีอะไรที่พริ้มสู้ได้เลยสักอย่าง เพราะอย่างนั้น…ตลอดการเดินทางบนรถบัสคันใหญ่นี้
พริ้มได้แต่ลอบมองคนด้านข้าง…มองท่านั่งที่ดูสบายใจอย่างที่พริ้มไม่เคยทำมาก่อนในตอนที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น
อยากทำ…แต่ก็ไม่เคยทำได้
“นี่…”
“!!”
แรงสะกิดเบา ๆ
เกิดขึ้นที่ไหล่เล็ก พริ้มสะดุ้งโหยงทำเอาผ้าเองก็ตกใจเหมือนกัน ผ้าหลุดขำ ใบหน้าพริ้มตอนที่ตกใจอย่างกับลูกแมวหลงทาง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรสะดุ้งแรงขนาดนี้ ทำเหมือนกับว่ารอบ ๆ
ตัวมีแต่คนที่ไม่น่าไว้ใจ…
“ตกใจอะไรขนาดนั้น”
“ข…ขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องไรอ่ะ”
“ขอโทษที่ตกใจ”
“…อะไรวะ”
งงชิบเป๋ง นี่เขากำลังคุยกับคนใช่มั้ยวะ?
“เราผ้า ผ้าเฉย
ๆ ผ้าแบบไม่ระบุประเภท อยู่ห้องแปด แกอ่ะ?”
“เอ่อ…” คนที่ไม่เคยโดนถามอะไรแบบนี้มานานมากแล้วชะงักกึก
หัวสมองกำลังสั่งการอะไรบางอย่างที่พริ้มไม่รู้เรื่อง
เขากำลังงงว่าผ้าต้องการจะถามอะไรกันแน่ ชื่อหรือห้อง
“ให้เดา
รุ่นน้องปะ?”
“เอ่อ…เราอยู่มอหก…ห้องสี่”
“จริงอ่ะ?! หน้าโคตรเด็ก…”
“ก็เราเป็นเด็ก”
“งั้นก็แสดงว่าเพื่อนกัน
พูดกันเองได้อ่ะสิ”
“ด…ได้สิ”
พริ้มลอบยิ้ม
“มึงชื่อไร”
“…พริ้ม”
“พริ้ม?
พริ้มไร? หลับตาพริ้ม พริ้มใจ หรือพริ้มจัง”
“พริ้มเฉย ๆ …ไม่ระบุประเภท”
“เชี่ย โดนใจว่ะ
นึกว่าจะเป็นคนเงียบ ๆ กวนตีนเหมือนกันนะเรา”
ผ้าเอาไหล่มากระแซะพริ้มเบา
ๆ เป็นเชิงหยอกล้อ เขาไม่เคยนึกว่าจะได้คุยกับผ้าเลย ภายนอกผ้าเป็นคนหน้าเหวี่ยง
อ้าปากทีไรคิ้วก็จะขมวดทุกที ผ้าอยู่ห้องเดียวกับเนย ผู้ชายตัวขาว ๆ ตาจะตี่ ๆ
เวลายิ้ม ไปไหนมาไหนก็จะเห็นเนยเดินกับผ้าเสมอ เขาก็เลยไม่เคยคิดว่าจะได้คุยกัน
“ไอ้ผ้า! อย่าไปยุ่งกับเสนียด เดี๋ยวเสื้อมึงจะหมองเอานะเว้ย!”
“ดูดิ
นั่งใกล้มึงแปปเดียว ใต้ตามึงดำเลยว่ะไอ้สัส ฮ่า ๆๆ”
“มานั่งข้างกูมั้ยเพื่อน
นั่งข้างเบ๊ เดี๋ยวมึงโดนราศีเบ๊เกาะเอานะเว้ย ก๊ากกกกก!”
และสิ่งที่พริ้มไม่อยากเจอก็เกิดขึ้น…
เท็ดดี้กับเพื่อนอีกสองสามคนตะโกนข้ามหัวคนอื่น
ๆ ด้วยถ้อยคำที่พริ้มได้ยินเป็นประจำ แต่กับผ้า…เขาไม่อยากให้อีกคนเจอเหมือนเขา
การอยู่ภายใต้ใครอีกคนมันไม่เคยหายใจได้สะดวก
ไม่มีใครอยากอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่ทุเรศ ๆ นี้… เพื่อนที่นั่งด้านหน้าเริ่มหันมามอง
บางคนก็ปิดปากซุบซิบในทางลบ บางคนก็ยิ้มเย้ยเห็นด้วยกับเท็ดดี้
เขาคุยกับคนอื่นบ้างไม่ได้เลยหรอ…
“หุบปากสกปรกของมึงไปไอ้เช็ดขี้
เหม็นเปรี้ยว!”
“อ้าวไอ้เหี้ยผ้า!! ปากดีนักนะมึง!!”
“พวกกูอุตส่าห์เตือนดี
ๆ นะโว้ย มึงไม่รู้จักเฮียเพลิงอ่อ”
“รู้จัก
แต่พี่เพลิงเขารู้จักมึงมั้ยถามงี้ดีกว่า”
“ไอ้เหี้ยนี่ปากดีเกินไปละ!!”
เท็ดดี้ทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้ามา
เช่นเดียวกับผ้าที่ลุกขึ้นด่าเท็ดดี้ปาว ๆ ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด ขนาดเอาพี่เพลิงมาขู่(เท็ดดี้ชอบพูดว่าตัวเองมีพี่เพลิงเป็นแบ็ค)ผ้าก็ยังตะคอกด่าคอเป็นเอ็น
พริ้มจับแขนเล็กแต่มีกล้ามเนื้อแน่นไปหมดของผ้าเบา ๆ อยากห้ามเหลือเกินแต่ก็ไม่กล้าทำด้วยความมั่นใจ
ไม่เคยเห็นใครพูดกับเท็ดดี้แบบนี้มาก่อน เขางงไปหมดแล้ว
“กูปากดีมานานแล้ว
ขอบใจที่ชม”
“คิดว่าอยู่กับไอ้หวาแล้วจะทำเบ่งก็ได้หรอมึงอ่ะ
ไอ้ควายเอ้ย!”
“เหมือนมึงแหละไอ้หมีควาย”
“ขอกูชกปากแม่งหน่อยเหอะ!!”
“มึงมาดิ!!!”
บนรถเริ่มวุ่นวายมากกว่าเดิมเมื่อผ้าข้ามตัวพริ้มออกไปยังเลนกลาง
แทนที่เท็ดดี้จะพุ่งเข้ามาเหมือนอย่างเมื่อกี้ แต่ก็ทำเพียงแค่ชี้หน้า ขยับปากด่าคำหยาบคายเท่านั้น
ผ้าชูนิ้วกลางใส่ เกลียดคนกร่างไปทั่วแต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าสู้ขึ้นมา
ไม่ต้องถึงมือไอ้หวา เขาก็มั่นใจว่าล้มไอ้ลูกโป่งยักษ์นี้ได้
ไม่รู้ว่าคนทั้งโรงเรียนจะไปกลัวอะไรมันนักหนา เจาะด้วยตีนก็แตกแล้ว
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้พริ้ม!”
“เกี่ยวเหี้ยไรกับเพื่อนกู”
ไม่เคยคิดว่าคำคำหนึ่งของคนที่มองเห็นเรา…
จะมีผลต่อจิตใจอันอ่อนแอและบอบบช้ำมากกว่าที่เราคิด
พริ้มนิ่งงันราวกับถูกแช่แข็ง
แม้ผ้าจะข้ามมานั่งที่เดิมแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
ดวงตาเล็กสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระเป๋าที่หน้าขาถูกรัดแน่นขึ้น…ก่อนใบหน้าของพริ้มจะแนบลงไป ปฏิกิริยาแปลก ๆ เรียกความสนใจของผ้าที่สบถด่าหมีควายตัวโตให้หันมาหา
‘เพื่อนใหม่ของผ้า’
กำลังร้องไห้ในขณะที่ริมปีปากเหยียดยิ้ม
“เฮ้ย…เป็นไรวะ กูสะบัดศอกโดนมึงหรอ…”
“ฮึก…เปล่า เปล่าเลย…เราแค่…ฮือ”
“ใจเย็น”
ผ้าลูบหลังพริ้มเบา
ๆ มันสั่นสะท้านไปตามเสียงอื้ออึงในลำคอ ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงร้องแต่เขากลับรับรู้ว่าอีกคนร้องหนักมาก
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่ผู้ชายอย่างเราจะร้องไห้ เพื่อน ๆ ในทีมคาลันโชก็เคยร้องกันมาแล้วทั้งนั้น
แต่เขาไม่เคยจับไหล่ใครแล้วสั่นแรงมากเท่านี้มาก่อน
แรงจนเกือบจะทำให้ร้องไห้ตาม…
“ฮึก…ฮึก”
คนตัวเล็กสูดน้ำมูกแรง
ๆ สองสามที หยิบเอากระดาษทิชชู่ออกมาจากกระเป๋า ดึงมาสองแผ่น
จับมันพับเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเช็ดเบาๆ ใต้จมูกตัวเอง จากนั้นก็หลุดขำ… ท่าทางเหมือนคนบ้า ร้องไห้ไปขำไป โดยที่ผ้าได้แต่มองเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“โอเคแล้วใช่มั้ย”
“อื้อ”
“ร้องไห้เพราะไอ้เช็ดขี้หรอ
ให้กูด่ามันอีกรอบมั้ย”
“ไม่ ๆ
เราแค่ดีใจ…”
“…?”
“ที่ผ้าพูดว่าเราเป็นเพื่อน”
แววตาขอบคุณส่งมาพร้อมกับคำพูดใสซื่อ…ถ้าหากตั้งใจฟังดี ๆ จะรู้ว่ามันแฝงด้วยความเจ็บปวดเต็มไปหมด ผ้าเคอะเขิน
อย่ามองเขาเหมือนฮีโร่อะไรเทือก ๆ นั้นจะได้มั้ย… กระแอมเบา
ๆ กับตัวเอง ก่อนจะเอานิ้วปาดจมูกพลางเสมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ใคร ๆ
ก็เป็นเพื่อนกูได้ทั้งนั้นแหละ”
“…”
“ยกเว้นไอ้หมีควายนั่น”
ดีจังที่เช้าวันนี้มีอะไรดี
ๆ ให้พริ้มได้ขอบคุณ
“…อื้ม”
แม้จะเป็นการขอบคุณด้วยน้ำตา…
“ขอบคุณนะ…”
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย
วันนี้ชมรมเชียร์ก็มาที่สนามอีกเช่นเคย…
แต่ดูจริงจังกว่าทุกครั้งเพราะมีชมรมวอลเล่ย์นั่งล้อมวงกับพวกเธอด้วย
แน่นอนว่าในนั้นจะต้องมีแคท เพราะเธอเป็นหัวหน้าหลีด
พู่กันเองก็ต้องเข้าร่วมด้วยเพราะเป็นกัปตันทีมหญิง
ถึงแม้จะเหม็นขี้หน้าสาวกระโปรงสั้นจุ๊ดจู๋มากแค่ไหน แต่เธอก็ต้องอดทนฟังเสียงแบ๊ว
ๆ นี้ให้ได้
ยี่หวากับคนอื่น
ๆ ที่เป็นตัวจริงก็อยู่ด้วย ยกเว้นจอมทัพที่ยืนเล่นกับมาสคอตปูส้มข้าง ๆ นะ…หมอนั่นน่ะไม่ได้ตั้งใจฟังเลยสักนิดเดียว กระดาษกิจกรรมที่ต้องยื่นให้กับสภาถูกวางไว้บนพื้น
พร้อมกับปากกาแท่งหนึ่งลายกุ๊กกิ๊กตามประสาผู้หญิงสวย แต่หน้าที่เขียนดันเป็นยี่หวาไม่ใช่แคท
เพราะแบบนั้นมันเลยขัดกับลุคไอ้หวาโคตร ๆ หน้านิ่งแต่ปากกาหัวแมว สีชมพูด้วยนะ สุด
ๆ ไปเลยว่ะเพื่อน
“แคทว่าให้มีโชว์คั่นกลางตอนพักด้วยก็ดีนะ”
“โชว์ของหลีดหรอ
เป็นแบบเต้นเพลงของไอดอลเกาหลีดีมั้ยอ่ะ?” ซานเสนอ
“ไม่รู้สิ…แคทไม่รู้ว่าจะเต้นได้มั้ย แต่จะลองดูนะ”
“เยี่ยม! ไอ้หวามึงเขียนไป”
แอบหงุดหงิดนิดหน่อยที่ต้องเป็นคนเขียน
ยี่หวานั่งเขียนเงียบ ๆ มาสิบนาทีกว่าแล้ว เขาอยากไปซ้อมจะแย่
แต่โค้ชสั่งให้มาคิดโชว์เปิดร่วมกับทีมเชียร์ก่อน ความคิดดี ๆ
ถูกเสนอมาเยอะแยะแต่ยี่หวาไม่ได้เขียนมันลงในแผ่นไปทั้งหมด
เขาต้องเอามาพิจารณาว่ามันจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ควบคู่ไปด้วย
เพราะบางอย่างก็ดูเพ้อฝัน
“ตอนช่วงซ้อมก็ให้เอามาสคอตออกมาเดินเล่นมั้ย?”
เทคพูดขึ้น
“อ่า…เราต้องใช้มาสคอตด้วยสิเนอะ งั้นเอาปูส้มมาโชว์ร่วมกับหลีดด้วยดีมั้ย?”
หนึ่งในทีมเชียร์เสนอ
“ก็ดีนะ
แล้วเอาโชว์เสิร์ฟลูกมาต่อกันเลย”
“น่าสนใจ
แบบเต้น ๆ แล้วก็ลงสนามมาเสิร์ฟโชว์ ว่าวแน่ ฮ่า ๆ”
ทั้งกลุ่มหัวเราะก่อนจะหันมองปูส้มที่กำลังสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของจอมทัพ
“นี่ ๆ พวกนาย…”
“หื้อ?”
เสียงกระซิบเบา
ๆ จากสาวสวยเรียกให้ทุกคนโน้มใบหน้าลงมาในวง ยกเว้นยี่หวาที่ไม่ทำตาม
มัวแต่จดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทะเลาะกับปากกาหรือยังไงก็ไม่รู้
พู่กันทำหน้าเบื่อหน่าย ลุกเดินไปนั่งข้าง ๆ ยี่หวาก่อนจะแย่งกระดาษมาเขียนแทน จะเริ่มปาร์ตี้แสบปากกันล่ะสิ
ผู้หญิงพวกนี้ก็มักจะนินทาหรือพูดคุยเรื่องคนอื่นกันอยู่เสมอนั่นแหละ
“พวกนายรู้มั้ยว่าคนข้างในมาสคอตเป็นใคร”
“ไม่อ่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ
ปกติก็ต้องรู้ไม่ใช่หรอ”
“ร้านนี่น่าจะผิดปกติล่ะมั้ง
เพราะเขามีกฎเข้มงวดมากว่าห้ามเปิดเผยไส้ใน…หมายถึงคนใส่อ่ะ
ไม่งั้นจะโดนปรับสิบเท่า”
“บ้าน่า…”
พวกเธออุทานออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อพลางกุมปาก
“เรื่องจริง
มีแค่ไอ้หวาเท่านั้นที่รู้ว่าข้างในเป็นใคร”
“จริงหรอ
ทำไมล่ะ?”
“เพราะมันเป็นคนไปเอามาสคอตมา”
พวกเธอเหลือบมองยี่หวาที่นั่งลูบหัวแมวสีสวาทเล่น
แล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นพู่กันนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีสนิทสนม
ยี่หวาโน้มหน้าลงมาดูเนื้อความในกระดาษ
อ่านมันอยู่สักพักแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบว่าถูกต้อง
แคทไม่พอใจที่แวบหนึ่งพู่กันช้อนตาขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
ระยะห่างของใบหน้ายี่หวากับไหล่พู่กันใกล้กันมากจนอยากจะลุกไปตบนางนั่นให้รู้แล้วรู้รอด
“เฮ้ย ๆ ไอ้หวา
ให้มันน้อย ๆ หน่อย”
“ทีเผลอตลอดเลยนะมึงเนี่ย”
“มึงก็ช่วยเตือนมันหน่อยดิพู่
อายสายตาคนในชมรมบ้าง”
“ไอ้พวกบ้า!”
เสียงโห่แซวยิ่งทำให้แคทหน้าหงิกเข้าไปใหญ่
เธอจ้องสองคนนั้นด้วยท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ
ก่อนหางตาจะเหลือบไปเห็นมาสคอตปูที่ก็มองมาทางนี้อยู่เหมือนกัน
พู่กันโวยวายใส่พวกทีมชาย แตกต่างกับยี่หวาที่ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง
แม้แต่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรใดใด
ไม่รู้เลยว่าที่เพื่อนแซวกันเป็นเรื่องจริงแค่ไหน
“หวา… เขียนเสร็จแล้วหรอ?”
“อืม”
ร่างสูงยื่นปากกาสีหวานคืนให้เจ้าของ
แต่เธอดันมือนั้นกลับไป
“ไม่ต้องคืนหรอก
เราให้”
“…?”
“ก็…ดูเหมาะกับหวามากเลย”
“ตรงไหน”
นิสัยเย็นชาของยี่หวาหนักแน่นขึ้นเมื่อพูดกับคนที่ไม่ได้รู้จัก
มือหนายัดปากกาแท่งนั้นใส่มือของสาวเจ้า ก่อนจะเดินเอาใบไปให้โค้ชที่ห้องพัก
ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ตามเดิม ยกเว้นแคทที่ยืนกำปากกาแท่งนั้นเอาไว้แน่น
นึกแค้นใจรอยยิ้มร้ายของกัปตันหญิงไร้ความสามารถ
ตั้งตนเป็นศัตรูทั้งที่หน้าตาก็ด้อยกว่าหลายเท่า ไม่เจียมตัวเลยจริง ๆ
การซ้อมของทีมวอลเล่ย์ก็เหมือนเฉกเช่นวันก่อน
ๆ ที่ผ่านมา นักกีฬาตัวจริงลงสนามซ้อมลูกตบบ้าง ซ้อมรับลูกบ้าง ซ้อมลูกเสิร์ฟบ้าง
วนไปวนมาจนเรียกได้ว่าน่าเบื่อสุด ๆ ชมรมเชียร์ก็ซ้อมท่า คิดท่า
เตรียมโชว์ในงานโอเบงแล้วค่อยเอาไปเสนอยี่หวา แต่เหมือนรายนั้นจะโยนงานนี้ให้เพื่อนผิวขาวของตัวเองรับผิดชอบ
หกโมงกว่า ๆ
เป็นเวลาเลิกซ้อมของพวกเด็กในชมรมทั่ว ๆ ไป
แต่สำหรับตัวจริงและตัวสำรองยังต้องซ้อมกันต่ออีกจนถึงหนึ่งทุ่ม
เลิกก่อนหรือเลิกหลังขึ้นอยู่กับยี่หวาล้วน ๆ รวมไปถึงปูส้มที่เดินแกว่งกล้ามปูไปมา
ไม่ก็วิ่งไปรอบ ๆ หลบหนีการแกล้งของจอมทัพกับซาน มีบ้างที่เทคผสมโรงด้วย ผ้า เนย
มุก เดินเข้าห้องอาบน้ำไปก่อนหน้านั้นแล้ว บ้านพวกมันอยู่ไกลก็เลยมักจะกลับก่อน
“เล่นลิงชิงบอลกันมะ”
“เอาดิ”
“เอาปูส้มมาเล่นด้วย
เป็นปูชิงบอล”
ปูตัวบานส่ายไปมาหลาย
ๆ ครั้ง ปฏิเสธเกมที่จะทำให้ตัวเองเหนื่อยตายอยู่ข้างใน
“ไม่อยากเล่นหรอ?”
(ยังส่ายอยู่)
“เอาไงไอ้ซาน”
“กูอยากเล่น”
“ปูส้มว่าไง?”
(ส่ายอีกรอบ)
“เขาไม่อยากเล่น
งั้นกูไม่เล่น”
“เหี้ยไรวะไอ้จอม”
ซานโวยวายเมื่อเพื่อนสนิทไม่ตอบรับคำชวน
ไม่เคยเลยที่ไอ้จอมจะไม่เอาด้วย เห็นช่วงนี้เล่นอยู่กับปูส้มตลอด ไม่คิดว่าจะสนิทถึงขั้นตามใจขนาดนี้
เห็นแล้วหมั่นไส้ไอ้ปูบ้านี่ชะมัด แย่งเพื่อนเขางั้นหรอ!
“มึงไปถามไอ้หวา
ถ้ามันให้เล่น กูจะเล่น”
“ได้… ไอ้หวา!”
เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก
ยี่หวากำลังโยนบอลให้ตัวสำรองขึ้นตบเป็นอันต้องหยุด เลิกคิ้วถามเพื่อนพลางดุทางสายตาว่าไม่เห็นหรือไงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ซานหัวเราะแห้ง ๆ เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเรียกผิดจังหวะไปนิดหน่อย
“คือพวกกูอยากเล่นลิงชิงบอล
เลยจะมาถามว่าเล่นได้มั้ย”
“ทำไมมึงไม่บอกไปด้วยว่าจะเอาปูส้มเป็นลิง!” จอมทัพตะโกนเสริม
และคำเสริมของมันทำเอายี่หวาขมวดคิ้ว
แววตาที่เดาไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่
มองผ่านไหล่ของซานไปยังปูส้มที่ยืนหันหลังให้
พลันภาพที่เขาเพิ่งเห็นในห้องพักมาสคอตก็แวบขึ้นมาในหัว
ภาพของแผ่นหลังที่มีรอยฟกช้ำสีเขียวไม่ก็สีม่วงเป็นจุด ๆ กระจายอยู่เต็มไปหมด
มีทั้งรอยใหม่ที่เพิ่งช้ำและรอยเก่าที่จางจนแทบมองไม่เห็น…
“ไม่ได้”
มาสคอตตัวนั้นอยู่ในการดูแลของเขา
เมื่อไรที่เขาได้รับการมอบหมายให้ทำอะไรสักอย่าง
เขาก็จะทำมันให้เต็มที่แม้สิ่งนั้นจะเลือกปฏิเสธเขาก็ตาม
ยี่หวาเมินซานที่โห่ร้องเสียใจมาทำหน้าที่ตัวเองต่อ
จัดการความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากเห็นรอยช้ำนั่นไปเงียบ ๆ …มันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะไปใส่ใจ
ยี่หวาบอกกับตัวเองแบบนั้น…
พอฟ้าเริ่มมืด
ก็ถือเป็นเวลาที่ต้องไล่ทุกคนกลับบ้าน
โรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนอยู่ในนี้เกินหนึ่งทุ่มครึ่ง ถ้าไม่มีกิจกรรมอะไร
ห้องอาบน้ำของชมรมมีทั้งแบบแยกและรวม อำนวยความสะดวกให้กับนักกีฬาอย่างเต็มที่
เสียอย่างเดียวคือห้องอาบน้ำของชมรมวอลเล่ย์ไม่แยกเพศ ยี่หวาเลยต้องกำหนดช่วงเวลาในการอาบน้ำที่ไม่ซ้อนทับกัน
ผู้หญิงจะได้อาบก่อน ผู้ชายจะได้อาบทีหลัง และห้ามอาบทับกัน ถ้าจับได้ว่าทำผิดกฎจะโดนไล่ออกจากชมรมทันที
ฝักบัวของห้องข้าง
ๆ ดังขึ้นในตอนที่ยี่หวาเปิดประตูเข้าไป น่าจะเป็นจอมทัพหรือไม่ก็ซาน เพราะพวกเขาชอบอาบน้ำเวลานี้
ครั้งหนึ่งจอมทัพเคยโยนขวดสบู่ข้ามกำแพงให้ไอ้ซานยืมใช้ แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ขวดดันตกใส่หัวมันเต็ม
ๆ จนโนไปหลายวัน
หลังจากนั้นมันก็ของบซื้อสบู่ทิ้งไว้ในห้องน้ำจะได้ไม่ต้องขอยืมไอ้จอมอีก
ยี่หวาจัดการกับตัวเองอยู่หลายนาที
ข้างห้องคงเป็นไอ้ซานแน่เพราะมันอาบน้ำเร็ว เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบาย ๆ
กับรองเท้าแตะไนกี้คู่โปรดที่เอาไว้เปลี่ยนกลับบ้าน
เขาสะบัดผ้าขนหนูแล้วเอามันตากไว้ที่ราวฝั่งผู้ชาย
หอบเอากระเป๋าสะพายใบใหญ่คาดอกพลางเดินขยี้หัวเปียกหมาด ๆ ออกมาด้านนอก
ในจังหวะที่กำลังปิดประตู…ความคิดที่เคยเข้าใจว่าคนข้างห้องน้ำเขาเป็นไอ้ซานถูกแทนที่ด้วยใบหน้าตกใจของผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังจะปิดประตูห้องพักมาสคอต
เด็กคนนั้นสบตากับเขาด้วยใบหน้าตื่นกลัวเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนเดินใกล้เข้ามา
“เสื้อซ้อมกูหมดแล้วว่ะ
ยังไม่ได้ซักเลย มีให้ยืมสักตัวปะ”
“ไม่ให้เว้ย”
“อะไรวะ
ขี้หวงชิบหาย แบ่ง ๆ กันดิ”
“มึงไปหาเอาในห้องโค้ชดิ
เยอะแยะ”
แก๊ก!
เสียงล็อคของประตูห้องพักมาสคอตแทรกขึ้นมากลางบทสนทนาของคนในชมรมที่แวะกลับมาเอาของ
พวกเขามองไปที่ประตูไม้สีฟ้าก่อนจะหันมามองตากันเหมือนรู้ว่าน่าจะมีอะไรสนุก ๆ
อยู่หลังบานประตู เดินย่องไปใกล้ ๆ ห้องนั้นพลางแนบหูฟัง แต่ข้างในเงียบสนิท…
ยี่หวาดันผู้ชายตัวเล็กคนนั้นเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าตัวสำรองสองคนเดินเข้ามาใกล้
ลงล็อคทันทีที่ปิดประตูแต่เสียงกลอนดันดังจนโดนจับได้เสียนี่ ร่างสูงหมุนตัวไปหาผู้ชายอีกคนที่พอเห็นเขาหันมาก็รีบหันหลังใส่ทันที
หางคิ้วของยี่หวากระตุก
“ไส้ในปะวะ?”
“อาจจะ”
“กูอยากรู้ว่ะว่าเป็นใคร”
“แอบดูมั้ยมึง”
“…มันล็อค”
ลูกบิดประตูดังก๊อกแก๊กแรง
ๆ หลายทีก่อนจะเงียบไป
“มึงมีอะไรที่พอจะเสดาะกลอนได้ปะวะ”
“กูหาแปป…”
ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้ม
เขาไม่มีปัญหาถ้าหากมันเสดาะกลอนเข้ามาได้
แล้วเห็นใบหน้าของไส้ในเข้าเต็มตา จากนั้นก็เอาไปบอกคนอื่น ๆ
ว่าไส้ในหน้าตาเป็นยังไง แต่เขากล้ารับประกันเลยว่าจุดจบของเรื่องนี้ต้องไม่ใช่การที่โค้ชเสียค่าปรับสิบเท่าแน่
ๆ ไหล่เล็กเริ่มสั่นจนสังเกตเห็นได้ คงจะกังวลว่าถ้าหากพวกนั้นทำสำเร็จสินะ…
“อยากให้ผม…ออกไปมั้ย?”
“!!”
“ถ้าไม่ก็หันมา”
คนตรงหน้าไม่มีทางเลือกหลังจากได้ยินเสียงกุกกักที่ลูกบิด
ยอมจำนนหันหน้ามาหาผู้ดูแลอย่างถูกต้องตามสัญญา แต่ตัวเองกลับปิดกั้นความจริงที่ระบุไว้ในนั้น
วินาทีที่ดวงตาคมของยี่หวาสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวที่ไม่กล้าเงยขึ้นมาสบตา… ประตูไม้สีฟ้าก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง
“เฮ้ย!!!”
“กัป…กัป…กัปตัน!!!”
“เออ กูเอง”
น้ำเสียงขุ่นเคืองเล่นเอาตัวสำรองสองคนถึงกับพูดไม่เป็นภาษา
“ผมไม่รู้…ว่าพี่อยู่… ไม่รู้จริง ๆ ครับ!”
“ผมขอโทษครับพี่หวา!!”
กัปตันทีมไม่พูดอะไรสักแอะ
นอกจากใช้สายตาไล่พวกเด็กแสบที่บังอาจมาเสดาะกลอนประตู ดีที่เขาเปิดมันก่อน
ไม่งั้นลูกบิดนี่ก็คงพังไปแล้ว มือหนาปิดประตูบานนั้นอีกรอบ ตามมาด้วยเสียงกดล็อคดังหนักแน่นกว่าตอนแรกที่คนตัวเล็กในห้องได้ยินเสียอีก
“อธิบายมา”
ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้
ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะเหมือนกับครั้งก่อนที่ยี่หวามองอีกฝ่ายนั่งตรงนี้
แสดงท่าทีเป็นใหญ่ด้วยการกอดอก คาดคั้นเอาคำตอบจากคนที่เอาแต่ก้มหน้าคางชิดคอ
ไม่ยอมพูดยอมจาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว
“คือ…”
“เร็ว”
“ลุงกุนเป็น…เพื่อนแม่ เราก็เลย…ช่วยลุงกุนทำงาน”
“…”
“หลายปีแล้วล่ะ
ตั้งแต่เรา…เอ่อ…อยู่มอต้น”
ยี่หวาหลุบตามองมือสองข้างที่เล็กกว่ามือเขาหลายเท่า
มันเกี่ยวกันไปมาราวกับคนกำลังสารภาพผิด น้ำเสียงก็แผ่วเบาจนแทบจะต้องเงี่ยหูฟัง
ไหล่คู่นั้นจะสะดุ้งเบา ๆ ถ้าหากเขาขยับตัว
ยี่หวาสัมผัสได้แต่ความกลัวที่ออกมาจากคนคนนี้…
“เงยหน้า”
“…คือ”
“เงยหน้า”
เสียงทุ้มย้ำอีกครั้งจนปากสีชมพูอ่อน
ๆ งอเป็นรูปสระอิ
ในที่สุด…ยี่หวาก็ได้เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของผู้ชายคนนี้เสียที รูปพรรณบนใบหน้าดูอ่อนหวานไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง
คิ้วบางได้รูปสอดรับกับเปลือกตาสองชั้นที่อยู่บนดวงตาเล็ก
รูปทรงกลมข้างในเป็นสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายใบหน้าเขาชัดเจนราวกับจอทีวี
ใต้ตามีรอยคล้ำจาง ๆ เนื่องจากผิวที่ขาวซีดเกินไป
มองไม่เห็นจุดไหนที่ควรจะโดนกลั่นแกล้งเลยสักนิด
หรืออาจจะเพราะทั้งหมดบนกรอบรูปไข่ใบนี้แหละที่ควรโดนกลั่นแกล้งมากที่สุด
“นาย…”
“…?!”
“ชื่ออะไร”
ลอบถอนลมหายใจออกมาเบา
ๆ เมื่อคิดว่ายี่หวาจำตัวเองไม่ได้
“…พริ้ม”
“…”
“ชื่อพริ้ม”
“ได้ยินแล้ว”
สะดุ้งอีกครั้งที่ยี่หวาทำเสียงเข้มใส่
พริ้มกุมมือตัวเองเอาไว้แน่น ไม่รู้เลยว่ายี่หวาคิดอะไรอยู่ จะเอายังไงต่อ
แล้วจะจ้องเขาไปอีกนานแค่ไหน คนตัวเล็กได้แต่เสตามองไปรอบ ๆ
ห้องแทนการสบตากับอีกฝ่าย รู้สึกมือไม้เก้ก้างทั้งที่กุมมันเอาไว้อยู่
ขาเริ่มสั่นจนต้องหาจังหวะย่ำไปมาให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
“มีอะไรให้ต้องปิดบังขนาดนั้น”
“เอ่อ…” พริ้มเงยหน้าขึ้นสบตา แต่ก็ได้แค่แปปเดียว
“ฉันบอกนายแล้วไงว่าฉันเป็นผู้ดูแลมาสคอต”
“ร…เราแค่…กลัว”
เสียงของพริ้มเบาหวิวเสมอ…มันไม่เคยดังเลยเมื่อถูกสายตาดุดันจดจ้อง
“มีชมรมหรือยัง?”
“เอ่อ…ยังเลย”
“มาเข้าชมรมฉัน”
ตกใจรอบที่ล้าน
ชมรมยี่หวาคนอยากเข้าเยอะจะตาย แต่ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถเข้าได้ จริง ๆ แล้วคำว่า
ชมรมวอลเล่ย์บอลกับทีมคาลันโช นั้นแยกออกจากกัน
ตัวจริงกับตัวสำรองที่อยู่ในทีมไม่จำเป็นต้องมีชมรมเพราะต้องเล่นให้กับโรงเรียน
ส่วนเด็กในชมรมทั่วไปจะถูกคัดโดยยี่หวา ที่เป็นทั้งกัปตันทีมชายและหัวหน้าชมรม
ใบสมัครเกือบร้อยกว่าใบมีแค่ไม่ถึงสามสิบที่ยี่หวาจะเก็บไว้
ที่เหลือถ้าไม่ผ่านการทดสอบก็ต้องไปหาชมรมใหม่อยู่
แน่นอนว่าพริ้มน่าจะถูกตัดออกตั้งแต่คิดจะต่อแถวแล้ว
รูปร่างเล็ก ๆ ที่เหมือนคนแคระแกนเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
ยกเว้นผ้าที่เป็นลิบบอโร่ตัวเด่นของทีม อีกอย่าง…ช่วงรับเด็กเข้าชมรมก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว
ถ้าอยู่ ๆ เขาโผล่ไป คงโดนหนักกว่าที่เป็นอยู่แน่ ๆ
“ไม่ได้หรอก”
“เพราะต้องทำเวร?”
รู้ได้ไง… จริงด้วยสิ ยี่หวาเคยเห็นเราอยู่บนนั้นสองครั้งแล้วนี่นา
“…” คนตัวเล็กพยักหน้าเบา ๆ
“ทุกวัน?”
“อื้ม”
“ถ้าไม่ฝึกมันจากร่างกายจริง
ๆ ของนาย ก็คงต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเล่นได้”
“…”
“และฉันจะไม่เสียเวลาให้นายเป็นปี
ๆ แน่นอน เข้าใจที่พูดใช่มั้ย?”
กดเสียงต่ำอีกแล้ว…
“ก…ก็ได้”
“ดี
เรื่องชมรมฉันจะจัดการให้เอง นายแค่เอาใบมาให้ฉันก็พอ”
“…เข้าใจแล้วครับ”
การเข้าใกล้ยี่หวาเป็นเหมือนดั่งแม่เหล็กในจิตใจของพริ้ม
เขาไม่เคยอยากเข้าใกล้ยี่หวา
แต่ในขณะเดียวกันก็อยากเดินเคียงข้างคุยเล่นเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ทั่วไป หลาย ๆ
ครั้งที่เขาได้แต่เพ้อฝันว่าตัวเองได้เป็นเพื่อนกับร่างสูงตรงหน้า…แล้วก็ขำออกมาเมื่อนึกดี ๆ แล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย
พริ้มกับยี่หวาอยู่กันคนละโลก…ที่เราต่างก็ไม่เคยโคจรใกล้กันเลย
“ฉันชื่อยี่หวา”
“…”
“พรุ่งนี้มาซ้อมด้วย”
#พริ้มเพียงหวา
ได้คุยกันแล้วววววววววววววววววววววว
ความคิดเห็น