ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #7 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๖

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 61






    6




    รถบัสคันเดิมวิ่งผ่านป้ายเหมือนอย่างทุกครั้งตามคำสั่งของขาใหญ่บนนั้น เขาเคยนึกอยากลองยืนนิ่ง ๆ ให้รถบัสมันผ่านไปดูบ้างแต่ก็กลัวผลลัพธ์ที่อาจจะออกมาตรงกันข้ามอยู่ดี ด้านหลังลุงคนขับที่ทำหน้าหนักใจส่งมาเป็นเท็ดดี้ที่ยิ้มระรื่น

     

    หัวเราะเยาะมนุษย์ขี้แพ้ในสายตาพวกเขา

     

    พริ้มอึดอัดยามที่ต้องเดินผ่านพวกเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาเดินกอดกระเป๋า เอาคางแนบชิดอกหลบสายตาของทุกคนที่มองเขาเป็นเหมือนตัวปัญหา ใบหน้าขาวติดจะหม่นหมองในเช้าวันนี้เบิกตาโตเล็กน้อยเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขา

     

    พริ้มรู้จักคนนี้

     

    “หวัดดี”

    “เอ่อหวัดดี”

     

    ค่อย ๆ หย่อนตัวนั่งด้านข้างลิบบอโร่ฝีมือดีของทีมคาลันโช เมื่อปีก่อนในงานโอเบง ผ้าได้รางวัลลิบบอโร่ดีเด่นเนื่องจากเก็บลูกที่ออกนอกสนามได้เกินสิบครั้ง เก่งสุด ๆ ไปเลยล่ะ ริมฝีปากเล็กลอบยิ้ม ภายในใจตื่นเต้นราวกับมีผู้คนมาเดินขบวนพาเหรดบนถนนเส้นเลือดแดง เขาออกอาการมากไปมั้ยนะ ไม่บ่อยเลยที่จะเจอผ้าบนรถบัสเวลานี้

     

    “เหม็นชะมัด ใครไม่ซักถุงเท้าวะ!

    …!

    “ปกติขึ้นคันนี้หรอ?”

    “อื้อใช่”

    “นั่งตรงไหนอ่ะ”

     

    นิ้วเล็กชี้ไปยังคนถาม

     

    “ถามจริง? โคตรเหม็นอับ ไม่ได้ล้างรถกี่ปีแล้ววะ แกไม่เหม็นหรือไง”

    “ก็เหม็น แต่เราชินแล้ว”

    “คนบ้าที่ไหนจะไปชินวะ ตลกละ” ผ้าแค่นหัวเราะ

     

    พริ้มไม่รู้ว่าผ้าหัวเราะอะไรแต่ก็ทำตาม

     

    ผ้าเป็นคนตัวเล็กเท่า ๆ พริ้มเลย ส่วนสูงเราเรียกได้ว่าใกล้เคียง ห่างกันไม่กี่เซ็นเท่านั้น แต่เมื่อมองผ้าแล้วพริ้มกลับรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าหลายเท่า ไม่มีอะไรที่พริ้มสู้ได้เลยสักอย่าง เพราะอย่างนั้นตลอดการเดินทางบนรถบัสคันใหญ่นี้ พริ้มได้แต่ลอบมองคนด้านข้างมองท่านั่งที่ดูสบายใจอย่างที่พริ้มไม่เคยทำมาก่อนในตอนที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น

     

    อยากทำแต่ก็ไม่เคยทำได้

     

    “นี่

    !!

     

    แรงสะกิดเบา ๆ เกิดขึ้นที่ไหล่เล็ก พริ้มสะดุ้งโหยงทำเอาผ้าเองก็ตกใจเหมือนกัน ผ้าหลุดขำ ใบหน้าพริ้มตอนที่ตกใจอย่างกับลูกแมวหลงทาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรสะดุ้งแรงขนาดนี้ ทำเหมือนกับว่ารอบ ๆ ตัวมีแต่คนที่ไม่น่าไว้ใจ

     

    “ตกใจอะไรขนาดนั้น”

    “ขขอโทษ”

    “ขอโทษเรื่องไรอ่ะ”

    “ขอโทษที่ตกใจ”

    อะไรวะ”

     

    งงชิบเป๋ง นี่เขากำลังคุยกับคนใช่มั้ยวะ?

     

    “เราผ้า ผ้าเฉย ๆ ผ้าแบบไม่ระบุประเภท อยู่ห้องแปด แกอ่ะ?”

    “เอ่อ” คนที่ไม่เคยโดนถามอะไรแบบนี้มานานมากแล้วชะงักกึก หัวสมองกำลังสั่งการอะไรบางอย่างที่พริ้มไม่รู้เรื่อง เขากำลังงงว่าผ้าต้องการจะถามอะไรกันแน่ ชื่อหรือห้อง

    “ให้เดา รุ่นน้องปะ?”

    “เอ่อเราอยู่มอหกห้องสี่”

    “จริงอ่ะ?! หน้าโคตรเด็ก

    “ก็เราเป็นเด็ก”

    “งั้นก็แสดงว่าเพื่อนกัน พูดกันเองได้อ่ะสิ”

    “ดได้สิ”

     

    พริ้มลอบยิ้ม

     

    “มึงชื่อไร”

    พริ้ม”

    “พริ้ม? พริ้มไร? หลับตาพริ้ม พริ้มใจ หรือพริ้มจัง”

    “พริ้มเฉย ๆ ไม่ระบุประเภท”

    “เชี่ย โดนใจว่ะ นึกว่าจะเป็นคนเงียบ ๆ กวนตีนเหมือนกันนะเรา”

     

    ผ้าเอาไหล่มากระแซะพริ้มเบา ๆ เป็นเชิงหยอกล้อ เขาไม่เคยนึกว่าจะได้คุยกับผ้าเลย ภายนอกผ้าเป็นคนหน้าเหวี่ยง อ้าปากทีไรคิ้วก็จะขมวดทุกที ผ้าอยู่ห้องเดียวกับเนย ผู้ชายตัวขาว ๆ ตาจะตี่ ๆ เวลายิ้ม ไปไหนมาไหนก็จะเห็นเนยเดินกับผ้าเสมอ เขาก็เลยไม่เคยคิดว่าจะได้คุยกัน

     

    “ไอ้ผ้า! อย่าไปยุ่งกับเสนียด เดี๋ยวเสื้อมึงจะหมองเอานะเว้ย!

    “ดูดิ นั่งใกล้มึงแปปเดียว ใต้ตามึงดำเลยว่ะไอ้สัส ฮ่า ๆๆ”

    “มานั่งข้างกูมั้ยเพื่อน นั่งข้างเบ๊ เดี๋ยวมึงโดนราศีเบ๊เกาะเอานะเว้ย ก๊ากกกกก!

     

    และสิ่งที่พริ้มไม่อยากเจอก็เกิดขึ้น

     

    เท็ดดี้กับเพื่อนอีกสองสามคนตะโกนข้ามหัวคนอื่น ๆ ด้วยถ้อยคำที่พริ้มได้ยินเป็นประจำ แต่กับผ้าเขาไม่อยากให้อีกคนเจอเหมือนเขา การอยู่ภายใต้ใครอีกคนมันไม่เคยหายใจได้สะดวก ไม่มีใครอยากอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่ทุเรศ ๆ นี้ เพื่อนที่นั่งด้านหน้าเริ่มหันมามอง บางคนก็ปิดปากซุบซิบในทางลบ บางคนก็ยิ้มเย้ยเห็นด้วยกับเท็ดดี้

     

    เขาคุยกับคนอื่นบ้างไม่ได้เลยหรอ

     

    “หุบปากสกปรกของมึงไปไอ้เช็ดขี้ เหม็นเปรี้ยว!

    “อ้าวไอ้เหี้ยผ้า!! ปากดีนักนะมึง!!

    “พวกกูอุตส่าห์เตือนดี ๆ นะโว้ย มึงไม่รู้จักเฮียเพลิงอ่อ”

    “รู้จัก แต่พี่เพลิงเขารู้จักมึงมั้ยถามงี้ดีกว่า”

    “ไอ้เหี้ยนี่ปากดีเกินไปละ!!

     

    เท็ดดี้ทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้ามา เช่นเดียวกับผ้าที่ลุกขึ้นด่าเท็ดดี้ปาว ๆ ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด ขนาดเอาพี่เพลิงมาขู่(เท็ดดี้ชอบพูดว่าตัวเองมีพี่เพลิงเป็นแบ็ค)ผ้าก็ยังตะคอกด่าคอเป็นเอ็น พริ้มจับแขนเล็กแต่มีกล้ามเนื้อแน่นไปหมดของผ้าเบา ๆ อยากห้ามเหลือเกินแต่ก็ไม่กล้าทำด้วยความมั่นใจ ไม่เคยเห็นใครพูดกับเท็ดดี้แบบนี้มาก่อน เขางงไปหมดแล้ว

     

    “กูปากดีมานานแล้ว ขอบใจที่ชม”

    “คิดว่าอยู่กับไอ้หวาแล้วจะทำเบ่งก็ได้หรอมึงอ่ะ ไอ้ควายเอ้ย!

    “เหมือนมึงแหละไอ้หมีควาย”

    “ขอกูชกปากแม่งหน่อยเหอะ!!

    “มึงมาดิ!!!

     

    บนรถเริ่มวุ่นวายมากกว่าเดิมเมื่อผ้าข้ามตัวพริ้มออกไปยังเลนกลาง แทนที่เท็ดดี้จะพุ่งเข้ามาเหมือนอย่างเมื่อกี้ แต่ก็ทำเพียงแค่ชี้หน้า ขยับปากด่าคำหยาบคายเท่านั้น ผ้าชูนิ้วกลางใส่ เกลียดคนกร่างไปทั่วแต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าสู้ขึ้นมา ไม่ต้องถึงมือไอ้หวา เขาก็มั่นใจว่าล้มไอ้ลูกโป่งยักษ์นี้ได้ ไม่รู้ว่าคนทั้งโรงเรียนจะไปกลัวอะไรมันนักหนา เจาะด้วยตีนก็แตกแล้ว

     

    “ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้พริ้ม!

    “เกี่ยวเหี้ยไรกับเพื่อนกู”

     

    ไม่เคยคิดว่าคำคำหนึ่งของคนที่มองเห็นเรา

    จะมีผลต่อจิตใจอันอ่อนแอและบอบบช้ำมากกว่าที่เราคิด

     

    พริ้มนิ่งงันราวกับถูกแช่แข็ง แม้ผ้าจะข้ามมานั่งที่เดิมแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว ดวงตาเล็กสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระเป๋าที่หน้าขาถูกรัดแน่นขึ้นก่อนใบหน้าของพริ้มจะแนบลงไป ปฏิกิริยาแปลก ๆ เรียกความสนใจของผ้าที่สบถด่าหมีควายตัวโตให้หันมาหา

     

    เพื่อนใหม่ของผ้ากำลังร้องไห้ในขณะที่ริมปีปากเหยียดยิ้ม

     

    “เฮ้ยเป็นไรวะ กูสะบัดศอกโดนมึงหรอ

    “ฮึกเปล่า เปล่าเลยเราแค่ฮือ”

    “ใจเย็น”

     

    ผ้าลูบหลังพริ้มเบา ๆ มันสั่นสะท้านไปตามเสียงอื้ออึงในลำคอ ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงร้องแต่เขากลับรับรู้ว่าอีกคนร้องหนักมาก ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่ผู้ชายอย่างเราจะร้องไห้ เพื่อน ๆ ในทีมคาลันโชก็เคยร้องกันมาแล้วทั้งนั้น แต่เขาไม่เคยจับไหล่ใครแล้วสั่นแรงมากเท่านี้มาก่อน

     

    แรงจนเกือบจะทำให้ร้องไห้ตาม

     

    “ฮึกฮึก”

     

    คนตัวเล็กสูดน้ำมูกแรง ๆ สองสามที หยิบเอากระดาษทิชชู่ออกมาจากกระเป๋า ดึงมาสองแผ่น จับมันพับเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเช็ดเบาๆ ใต้จมูกตัวเอง จากนั้นก็หลุดขำ ท่าทางเหมือนคนบ้า ร้องไห้ไปขำไป โดยที่ผ้าได้แต่มองเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    “โอเคแล้วใช่มั้ย”

    “อื้อ”

    “ร้องไห้เพราะไอ้เช็ดขี้หรอ ให้กูด่ามันอีกรอบมั้ย”

    “ไม่ ๆ เราแค่ดีใจ

    ?”

    “ที่ผ้าพูดว่าเราเป็นเพื่อน”

     

    แววตาขอบคุณส่งมาพร้อมกับคำพูดใสซื่อถ้าหากตั้งใจฟังดี ๆ จะรู้ว่ามันแฝงด้วยความเจ็บปวดเต็มไปหมด ผ้าเคอะเขิน อย่ามองเขาเหมือนฮีโร่อะไรเทือก ๆ นั้นจะได้มั้ย กระแอมเบา ๆ กับตัวเอง ก่อนจะเอานิ้วปาดจมูกพลางเสมองออกไปนอกหน้าต่าง

     

    “ใคร ๆ ก็เป็นเพื่อนกูได้ทั้งนั้นแหละ”

    “ยกเว้นไอ้หมีควายนั่น”

    ดีจังที่เช้าวันนี้มีอะไรดี ๆ ให้พริ้มได้ขอบคุณ

    อื้ม”

    แม้จะเป็นการขอบคุณด้วยน้ำตา

    “ขอบคุณนะ

    แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย

     

     














    วันนี้ชมรมเชียร์ก็มาที่สนามอีกเช่นเคย

     

    แต่ดูจริงจังกว่าทุกครั้งเพราะมีชมรมวอลเล่ย์นั่งล้อมวงกับพวกเธอด้วย แน่นอนว่าในนั้นจะต้องมีแคท เพราะเธอเป็นหัวหน้าหลีด พู่กันเองก็ต้องเข้าร่วมด้วยเพราะเป็นกัปตันทีมหญิง ถึงแม้จะเหม็นขี้หน้าสาวกระโปรงสั้นจุ๊ดจู๋มากแค่ไหน แต่เธอก็ต้องอดทนฟังเสียงแบ๊ว ๆ นี้ให้ได้

     

    ยี่หวากับคนอื่น ๆ ที่เป็นตัวจริงก็อยู่ด้วย ยกเว้นจอมทัพที่ยืนเล่นกับมาสคอตปูส้มข้าง ๆ นะหมอนั่นน่ะไม่ได้ตั้งใจฟังเลยสักนิดเดียว กระดาษกิจกรรมที่ต้องยื่นให้กับสภาถูกวางไว้บนพื้น พร้อมกับปากกาแท่งหนึ่งลายกุ๊กกิ๊กตามประสาผู้หญิงสวย แต่หน้าที่เขียนดันเป็นยี่หวาไม่ใช่แคท เพราะแบบนั้นมันเลยขัดกับลุคไอ้หวาโคตร ๆ หน้านิ่งแต่ปากกาหัวแมว สีชมพูด้วยนะ สุด ๆ ไปเลยว่ะเพื่อน

     

    “แคทว่าให้มีโชว์คั่นกลางตอนพักด้วยก็ดีนะ”

    “โชว์ของหลีดหรอ เป็นแบบเต้นเพลงของไอดอลเกาหลีดีมั้ยอ่ะ?” ซานเสนอ

    “ไม่รู้สิแคทไม่รู้ว่าจะเต้นได้มั้ย แต่จะลองดูนะ”

    “เยี่ยม! ไอ้หวามึงเขียนไป”

     

    แอบหงุดหงิดนิดหน่อยที่ต้องเป็นคนเขียน ยี่หวานั่งเขียนเงียบ ๆ มาสิบนาทีกว่าแล้ว เขาอยากไปซ้อมจะแย่ แต่โค้ชสั่งให้มาคิดโชว์เปิดร่วมกับทีมเชียร์ก่อน ความคิดดี ๆ ถูกเสนอมาเยอะแยะแต่ยี่หวาไม่ได้เขียนมันลงในแผ่นไปทั้งหมด เขาต้องเอามาพิจารณาว่ามันจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ควบคู่ไปด้วย เพราะบางอย่างก็ดูเพ้อฝัน

     

    “ตอนช่วงซ้อมก็ให้เอามาสคอตออกมาเดินเล่นมั้ย?” เทคพูดขึ้น

    “อ่าเราต้องใช้มาสคอตด้วยสิเนอะ งั้นเอาปูส้มมาโชว์ร่วมกับหลีดด้วยดีมั้ย?” หนึ่งในทีมเชียร์เสนอ

    “ก็ดีนะ แล้วเอาโชว์เสิร์ฟลูกมาต่อกันเลย”

    “น่าสนใจ แบบเต้น ๆ แล้วก็ลงสนามมาเสิร์ฟโชว์ ว่าวแน่ ฮ่า ๆ”

     

    ทั้งกลุ่มหัวเราะก่อนจะหันมองปูส้มที่กำลังสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของจอมทัพ

     

    “นี่ ๆ พวกนาย

    “หื้อ?”

     

    เสียงกระซิบเบา ๆ จากสาวสวยเรียกให้ทุกคนโน้มใบหน้าลงมาในวง ยกเว้นยี่หวาที่ไม่ทำตาม มัวแต่จดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทะเลาะกับปากกาหรือยังไงก็ไม่รู้ พู่กันทำหน้าเบื่อหน่าย ลุกเดินไปนั่งข้าง ๆ ยี่หวาก่อนจะแย่งกระดาษมาเขียนแทน จะเริ่มปาร์ตี้แสบปากกันล่ะสิ ผู้หญิงพวกนี้ก็มักจะนินทาหรือพูดคุยเรื่องคนอื่นกันอยู่เสมอนั่นแหละ

     

    “พวกนายรู้มั้ยว่าคนข้างในมาสคอตเป็นใคร”

    “ไม่อ่ะ”

    “อ้าว ทำไมล่ะ ปกติก็ต้องรู้ไม่ใช่หรอ”

    “ร้านนี่น่าจะผิดปกติล่ะมั้ง เพราะเขามีกฎเข้มงวดมากว่าห้ามเปิดเผยไส้ในหมายถึงคนใส่อ่ะ ไม่งั้นจะโดนปรับสิบเท่า”

    “บ้าน่า

     

    พวกเธออุทานออกมาอย่างน่าเหลือเชื่อพลางกุมปาก

     

    “เรื่องจริง มีแค่ไอ้หวาเท่านั้นที่รู้ว่าข้างในเป็นใคร”

    “จริงหรอ ทำไมล่ะ?”

    “เพราะมันเป็นคนไปเอามาสคอตมา”

     

    พวกเธอเหลือบมองยี่หวาที่นั่งลูบหัวแมวสีสวาทเล่น แล้วก็ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นพู่กันนั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีสนิทสนม ยี่หวาโน้มหน้าลงมาดูเนื้อความในกระดาษ อ่านมันอยู่สักพักแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบว่าถูกต้อง แคทไม่พอใจที่แวบหนึ่งพู่กันช้อนตาขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ระยะห่างของใบหน้ายี่หวากับไหล่พู่กันใกล้กันมากจนอยากจะลุกไปตบนางนั่นให้รู้แล้วรู้รอด

     

    “เฮ้ย ๆ ไอ้หวา ให้มันน้อย ๆ หน่อย”

    “ทีเผลอตลอดเลยนะมึงเนี่ย”

    “มึงก็ช่วยเตือนมันหน่อยดิพู่ อายสายตาคนในชมรมบ้าง”

    “ไอ้พวกบ้า!

     

    เสียงโห่แซวยิ่งทำให้แคทหน้าหงิกเข้าไปใหญ่ เธอจ้องสองคนนั้นด้วยท่าทางที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ ก่อนหางตาจะเหลือบไปเห็นมาสคอตปูที่ก็มองมาทางนี้อยู่เหมือนกัน พู่กันโวยวายใส่พวกทีมชาย แตกต่างกับยี่หวาที่ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แม้แต่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรใดใด

     

    ไม่รู้เลยว่าที่เพื่อนแซวกันเป็นเรื่องจริงแค่ไหน

     

    “หวา เขียนเสร็จแล้วหรอ?”

    “อืม”

     

    ร่างสูงยื่นปากกาสีหวานคืนให้เจ้าของ แต่เธอดันมือนั้นกลับไป

     

    “ไม่ต้องคืนหรอก เราให้”

    ?”

    “ก็ดูเหมาะกับหวามากเลย”

    “ตรงไหน”

     

    นิสัยเย็นชาของยี่หวาหนักแน่นขึ้นเมื่อพูดกับคนที่ไม่ได้รู้จัก มือหนายัดปากกาแท่งนั้นใส่มือของสาวเจ้า ก่อนจะเดินเอาใบไปให้โค้ชที่ห้องพัก ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ตามเดิม ยกเว้นแคทที่ยืนกำปากกาแท่งนั้นเอาไว้แน่น นึกแค้นใจรอยยิ้มร้ายของกัปตันหญิงไร้ความสามารถ ตั้งตนเป็นศัตรูทั้งที่หน้าตาก็ด้อยกว่าหลายเท่า ไม่เจียมตัวเลยจริง ๆ

     

    การซ้อมของทีมวอลเล่ย์ก็เหมือนเฉกเช่นวันก่อน ๆ ที่ผ่านมา นักกีฬาตัวจริงลงสนามซ้อมลูกตบบ้าง ซ้อมรับลูกบ้าง ซ้อมลูกเสิร์ฟบ้าง วนไปวนมาจนเรียกได้ว่าน่าเบื่อสุด ๆ ชมรมเชียร์ก็ซ้อมท่า คิดท่า เตรียมโชว์ในงานโอเบงแล้วค่อยเอาไปเสนอยี่หวา แต่เหมือนรายนั้นจะโยนงานนี้ให้เพื่อนผิวขาวของตัวเองรับผิดชอบ

     

    หกโมงกว่า ๆ เป็นเวลาเลิกซ้อมของพวกเด็กในชมรมทั่ว ๆ ไป แต่สำหรับตัวจริงและตัวสำรองยังต้องซ้อมกันต่ออีกจนถึงหนึ่งทุ่ม เลิกก่อนหรือเลิกหลังขึ้นอยู่กับยี่หวาล้วน ๆ รวมไปถึงปูส้มที่เดินแกว่งกล้ามปูไปมา ไม่ก็วิ่งไปรอบ ๆ หลบหนีการแกล้งของจอมทัพกับซาน มีบ้างที่เทคผสมโรงด้วย ผ้า เนย มุก เดินเข้าห้องอาบน้ำไปก่อนหน้านั้นแล้ว บ้านพวกมันอยู่ไกลก็เลยมักจะกลับก่อน

     

    “เล่นลิงชิงบอลกันมะ”

    “เอาดิ”

    “เอาปูส้มมาเล่นด้วย เป็นปูชิงบอล”

     

    ปูตัวบานส่ายไปมาหลาย ๆ ครั้ง ปฏิเสธเกมที่จะทำให้ตัวเองเหนื่อยตายอยู่ข้างใน

     

    “ไม่อยากเล่นหรอ?”

     (ยังส่ายอยู่)

    “เอาไงไอ้ซาน”

    “กูอยากเล่น”

    “ปูส้มว่าไง?”

     (ส่ายอีกรอบ)

    “เขาไม่อยากเล่น งั้นกูไม่เล่น”

    “เหี้ยไรวะไอ้จอม”

     

    ซานโวยวายเมื่อเพื่อนสนิทไม่ตอบรับคำชวน ไม่เคยเลยที่ไอ้จอมจะไม่เอาด้วย เห็นช่วงนี้เล่นอยู่กับปูส้มตลอด ไม่คิดว่าจะสนิทถึงขั้นตามใจขนาดนี้ เห็นแล้วหมั่นไส้ไอ้ปูบ้านี่ชะมัด แย่งเพื่อนเขางั้นหรอ!

     

    “มึงไปถามไอ้หวา ถ้ามันให้เล่น กูจะเล่น”

    “ได้ ไอ้หวา!

     

    เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก ยี่หวากำลังโยนบอลให้ตัวสำรองขึ้นตบเป็นอันต้องหยุด เลิกคิ้วถามเพื่อนพลางดุทางสายตาว่าไม่เห็นหรือไงว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ซานหัวเราะแห้ง ๆ เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเรียกผิดจังหวะไปนิดหน่อย

     

    “คือพวกกูอยากเล่นลิงชิงบอล เลยจะมาถามว่าเล่นได้มั้ย”

    “ทำไมมึงไม่บอกไปด้วยว่าจะเอาปูส้มเป็นลิง!” จอมทัพตะโกนเสริม

     

    และคำเสริมของมันทำเอายี่หวาขมวดคิ้ว

     

    แววตาที่เดาไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่ มองผ่านไหล่ของซานไปยังปูส้มที่ยืนหันหลังให้ พลันภาพที่เขาเพิ่งเห็นในห้องพักมาสคอตก็แวบขึ้นมาในหัว ภาพของแผ่นหลังที่มีรอยฟกช้ำสีเขียวไม่ก็สีม่วงเป็นจุด ๆ กระจายอยู่เต็มไปหมด มีทั้งรอยใหม่ที่เพิ่งช้ำและรอยเก่าที่จางจนแทบมองไม่เห็น

     

    “ไม่ได้”

     

    มาสคอตตัวนั้นอยู่ในการดูแลของเขา เมื่อไรที่เขาได้รับการมอบหมายให้ทำอะไรสักอย่าง เขาก็จะทำมันให้เต็มที่แม้สิ่งนั้นจะเลือกปฏิเสธเขาก็ตาม ยี่หวาเมินซานที่โห่ร้องเสียใจมาทำหน้าที่ตัวเองต่อ จัดการความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากเห็นรอยช้ำนั่นไปเงียบ ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะไปใส่ใจ

     

    ยี่หวาบอกกับตัวเองแบบนั้น

     

    พอฟ้าเริ่มมืด ก็ถือเป็นเวลาที่ต้องไล่ทุกคนกลับบ้าน โรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนอยู่ในนี้เกินหนึ่งทุ่มครึ่ง ถ้าไม่มีกิจกรรมอะไร ห้องอาบน้ำของชมรมมีทั้งแบบแยกและรวม อำนวยความสะดวกให้กับนักกีฬาอย่างเต็มที่ เสียอย่างเดียวคือห้องอาบน้ำของชมรมวอลเล่ย์ไม่แยกเพศ ยี่หวาเลยต้องกำหนดช่วงเวลาในการอาบน้ำที่ไม่ซ้อนทับกัน ผู้หญิงจะได้อาบก่อน ผู้ชายจะได้อาบทีหลัง และห้ามอาบทับกัน ถ้าจับได้ว่าทำผิดกฎจะโดนไล่ออกจากชมรมทันที

     

    ฝักบัวของห้องข้าง ๆ ดังขึ้นในตอนที่ยี่หวาเปิดประตูเข้าไป น่าจะเป็นจอมทัพหรือไม่ก็ซาน เพราะพวกเขาชอบอาบน้ำเวลานี้ ครั้งหนึ่งจอมทัพเคยโยนขวดสบู่ข้ามกำแพงให้ไอ้ซานยืมใช้ แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ขวดดันตกใส่หัวมันเต็ม ๆ จนโนไปหลายวัน หลังจากนั้นมันก็ของบซื้อสบู่ทิ้งไว้ในห้องน้ำจะได้ไม่ต้องขอยืมไอ้จอมอีก

     

    ยี่หวาจัดการกับตัวเองอยู่หลายนาที ข้างห้องคงเป็นไอ้ซานแน่เพราะมันอาบน้ำเร็ว เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบาย ๆ กับรองเท้าแตะไนกี้คู่โปรดที่เอาไว้เปลี่ยนกลับบ้าน เขาสะบัดผ้าขนหนูแล้วเอามันตากไว้ที่ราวฝั่งผู้ชาย หอบเอากระเป๋าสะพายใบใหญ่คาดอกพลางเดินขยี้หัวเปียกหมาด ๆ ออกมาด้านนอก

     

    ในจังหวะที่กำลังปิดประตูความคิดที่เคยเข้าใจว่าคนข้างห้องน้ำเขาเป็นไอ้ซานถูกแทนที่ด้วยใบหน้าตกใจของผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่กำลังจะปิดประตูห้องพักมาสคอต เด็กคนนั้นสบตากับเขาด้วยใบหน้าตื่นกลัวเมื่อได้ยินเสียงใครสักคนเดินใกล้เข้ามา

     

    “เสื้อซ้อมกูหมดแล้วว่ะ ยังไม่ได้ซักเลย มีให้ยืมสักตัวปะ”

    “ไม่ให้เว้ย”

    “อะไรวะ ขี้หวงชิบหาย แบ่ง ๆ กันดิ”

    “มึงไปหาเอาในห้องโค้ชดิ เยอะแยะ”

     

    แก๊ก!

     

    เสียงล็อคของประตูห้องพักมาสคอตแทรกขึ้นมากลางบทสนทนาของคนในชมรมที่แวะกลับมาเอาของ พวกเขามองไปที่ประตูไม้สีฟ้าก่อนจะหันมามองตากันเหมือนรู้ว่าน่าจะมีอะไรสนุก ๆ อยู่หลังบานประตู เดินย่องไปใกล้ ๆ ห้องนั้นพลางแนบหูฟัง แต่ข้างในเงียบสนิท

     

    ยี่หวาดันผู้ชายตัวเล็กคนนั้นเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าตัวสำรองสองคนเดินเข้ามาใกล้ ลงล็อคทันทีที่ปิดประตูแต่เสียงกลอนดันดังจนโดนจับได้เสียนี่ ร่างสูงหมุนตัวไปหาผู้ชายอีกคนที่พอเห็นเขาหันมาก็รีบหันหลังใส่ทันที

     

    หางคิ้วของยี่หวากระตุก

     

    “ไส้ในปะวะ?”

    “อาจจะ”

    “กูอยากรู้ว่ะว่าเป็นใคร”

    “แอบดูมั้ยมึง”

    มันล็อค”

     

    ลูกบิดประตูดังก๊อกแก๊กแรง ๆ หลายทีก่อนจะเงียบไป

     

    “มึงมีอะไรที่พอจะเสดาะกลอนได้ปะวะ”

    “กูหาแปป

     

    ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้ม

     

    เขาไม่มีปัญหาถ้าหากมันเสดาะกลอนเข้ามาได้ แล้วเห็นใบหน้าของไส้ในเข้าเต็มตา จากนั้นก็เอาไปบอกคนอื่น ๆ ว่าไส้ในหน้าตาเป็นยังไง แต่เขากล้ารับประกันเลยว่าจุดจบของเรื่องนี้ต้องไม่ใช่การที่โค้ชเสียค่าปรับสิบเท่าแน่ ๆ ไหล่เล็กเริ่มสั่นจนสังเกตเห็นได้ คงจะกังวลว่าถ้าหากพวกนั้นทำสำเร็จสินะ

     

    “อยากให้ผมออกไปมั้ย?”

    !!

    “ถ้าไม่ก็หันมา”

     

    คนตรงหน้าไม่มีทางเลือกหลังจากได้ยินเสียงกุกกักที่ลูกบิด ยอมจำนนหันหน้ามาหาผู้ดูแลอย่างถูกต้องตามสัญญา แต่ตัวเองกลับปิดกั้นความจริงที่ระบุไว้ในนั้น วินาทีที่ดวงตาคมของยี่หวาสะท้อนใบหน้าหวาดกลัวที่ไม่กล้าเงยขึ้นมาสบตา ประตูไม้สีฟ้าก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง

     

    “เฮ้ย!!!

    “กัปกัปกัปตัน!!!

    “เออ กูเอง”

     

    น้ำเสียงขุ่นเคืองเล่นเอาตัวสำรองสองคนถึงกับพูดไม่เป็นภาษา

     

    “ผมไม่รู้ว่าพี่อยู่ไม่รู้จริง ๆ ครับ!

    “ผมขอโทษครับพี่หวา!!

     

    กัปตันทีมไม่พูดอะไรสักแอะ นอกจากใช้สายตาไล่พวกเด็กแสบที่บังอาจมาเสดาะกลอนประตู ดีที่เขาเปิดมันก่อน ไม่งั้นลูกบิดนี่ก็คงพังไปแล้ว มือหนาปิดประตูบานนั้นอีกรอบ ตามมาด้วยเสียงกดล็อคดังหนักแน่นกว่าตอนแรกที่คนตัวเล็กในห้องได้ยินเสียอีก

     

    “อธิบายมา”

     

    ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะเหมือนกับครั้งก่อนที่ยี่หวามองอีกฝ่ายนั่งตรงนี้ แสดงท่าทีเป็นใหญ่ด้วยการกอดอก คาดคั้นเอาคำตอบจากคนที่เอาแต่ก้มหน้าคางชิดคอ ไม่ยอมพูดยอมจาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว

     

    “คือ

    “เร็ว”

    “ลุงกุนเป็นเพื่อนแม่ เราก็เลยช่วยลุงกุนทำงาน”

    “หลายปีแล้วล่ะ ตั้งแต่เราเอ่ออยู่มอต้น”

     

    ยี่หวาหลุบตามองมือสองข้างที่เล็กกว่ามือเขาหลายเท่า มันเกี่ยวกันไปมาราวกับคนกำลังสารภาพผิด น้ำเสียงก็แผ่วเบาจนแทบจะต้องเงี่ยหูฟัง ไหล่คู่นั้นจะสะดุ้งเบา ๆ ถ้าหากเขาขยับตัว ยี่หวาสัมผัสได้แต่ความกลัวที่ออกมาจากคนคนนี้

     

    “เงยหน้า”

    คือ”

    “เงยหน้า”

     

    เสียงทุ้มย้ำอีกครั้งจนปากสีชมพูอ่อน ๆ งอเป็นรูปสระอิ

     

    ในที่สุดยี่หวาก็ได้เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของผู้ชายคนนี้เสียที รูปพรรณบนใบหน้าดูอ่อนหวานไม่ต่างจากเด็กผู้หญิง คิ้วบางได้รูปสอดรับกับเปลือกตาสองชั้นที่อยู่บนดวงตาเล็ก รูปทรงกลมข้างในเป็นสีน้ำตาลอ่อนที่ฉายใบหน้าเขาชัดเจนราวกับจอทีวี ใต้ตามีรอยคล้ำจาง ๆ เนื่องจากผิวที่ขาวซีดเกินไป

     

    มองไม่เห็นจุดไหนที่ควรจะโดนกลั่นแกล้งเลยสักนิด หรืออาจจะเพราะทั้งหมดบนกรอบรูปไข่ใบนี้แหละที่ควรโดนกลั่นแกล้งมากที่สุด

     

    “นาย

    ?!

    “ชื่ออะไร”

     

    ลอบถอนลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อคิดว่ายี่หวาจำตัวเองไม่ได้

     

    พริ้ม”

    “ชื่อพริ้ม”

    “ได้ยินแล้ว”

     

    สะดุ้งอีกครั้งที่ยี่หวาทำเสียงเข้มใส่ พริ้มกุมมือตัวเองเอาไว้แน่น ไม่รู้เลยว่ายี่หวาคิดอะไรอยู่ จะเอายังไงต่อ แล้วจะจ้องเขาไปอีกนานแค่ไหน คนตัวเล็กได้แต่เสตามองไปรอบ ๆ ห้องแทนการสบตากับอีกฝ่าย รู้สึกมือไม้เก้ก้างทั้งที่กุมมันเอาไว้อยู่ ขาเริ่มสั่นจนต้องหาจังหวะย่ำไปมาให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา

     

    “มีอะไรให้ต้องปิดบังขนาดนั้น”

    “เอ่อ” พริ้มเงยหน้าขึ้นสบตา แต่ก็ได้แค่แปปเดียว

    “ฉันบอกนายแล้วไงว่าฉันเป็นผู้ดูแลมาสคอต”

    “รเราแค่กลัว”

     

    เสียงของพริ้มเบาหวิวเสมอมันไม่เคยดังเลยเมื่อถูกสายตาดุดันจดจ้อง

     

    “มีชมรมหรือยัง?”

    “เอ่อยังเลย”

    “มาเข้าชมรมฉัน”

     

    ตกใจรอบที่ล้าน ชมรมยี่หวาคนอยากเข้าเยอะจะตาย แต่ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถเข้าได้ จริง ๆ แล้วคำว่า ชมรมวอลเล่ย์บอลกับทีมคาลันโช นั้นแยกออกจากกัน ตัวจริงกับตัวสำรองที่อยู่ในทีมไม่จำเป็นต้องมีชมรมเพราะต้องเล่นให้กับโรงเรียน ส่วนเด็กในชมรมทั่วไปจะถูกคัดโดยยี่หวา ที่เป็นทั้งกัปตันทีมชายและหัวหน้าชมรม ใบสมัครเกือบร้อยกว่าใบมีแค่ไม่ถึงสามสิบที่ยี่หวาจะเก็บไว้ ที่เหลือถ้าไม่ผ่านการทดสอบก็ต้องไปหาชมรมใหม่อยู่

     

    แน่นอนว่าพริ้มน่าจะถูกตัดออกตั้งแต่คิดจะต่อแถวแล้ว รูปร่างเล็ก ๆ ที่เหมือนคนแคระแกนเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ยกเว้นผ้าที่เป็นลิบบอโร่ตัวเด่นของทีม อีกอย่างช่วงรับเด็กเข้าชมรมก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว ถ้าอยู่ ๆ เขาโผล่ไป คงโดนหนักกว่าที่เป็นอยู่แน่ ๆ

     

    “ไม่ได้หรอก”

    “เพราะต้องทำเวร?”

     

    รู้ได้ไง จริงด้วยสิ ยี่หวาเคยเห็นเราอยู่บนนั้นสองครั้งแล้วนี่นา

     

    ” คนตัวเล็กพยักหน้าเบา ๆ

    “ทุกวัน?”

    “อื้ม”

    “ถ้าไม่ฝึกมันจากร่างกายจริง ๆ ของนาย ก็คงต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเล่นได้”

    “และฉันจะไม่เสียเวลาให้นายเป็นปี ๆ แน่นอน เข้าใจที่พูดใช่มั้ย?”

     

    กดเสียงต่ำอีกแล้ว

     

    “กก็ได้”

    “ดี เรื่องชมรมฉันจะจัดการให้เอง นายแค่เอาใบมาให้ฉันก็พอ”

    เข้าใจแล้วครับ”

     

    การเข้าใกล้ยี่หวาเป็นเหมือนดั่งแม่เหล็กในจิตใจของพริ้ม เขาไม่เคยอยากเข้าใกล้ยี่หวา แต่ในขณะเดียวกันก็อยากเดินเคียงข้างคุยเล่นเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ทั่วไป หลาย ๆ ครั้งที่เขาได้แต่เพ้อฝันว่าตัวเองได้เป็นเพื่อนกับร่างสูงตรงหน้าแล้วก็ขำออกมาเมื่อนึกดี ๆ แล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย

     

    พริ้มกับยี่หวาอยู่กันคนละโลกที่เราต่างก็ไม่เคยโคจรใกล้กันเลย

     

    “ฉันชื่อยี่หวา”

    “พรุ่งนี้มาซ้อมด้วย”



    #พริ้มเพียงหวา










    ได้คุยกันแล้วววววววววววววววววววววว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×