คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๕
5
หน้าโรงเรียนในตอนใกล้
ๆ จะห้าโมงแน่นไปด้วยนักเรียนเครื่องแบบสีเดียวกัน
เป็นความไม่เข้าใจอย่างหนึ่งในวันนี้ที่ว่าทำไมห้าโมงแล้วถึงยังมีนักเรียนยืนออกันเหมือนกับตอนเลิกปกติ
หรือเป็นเพราะข่าวด่วนที่นักเรียนหญิงส่วนใหญ่ได้รับผ่านทางกลุ่มแชท ว่ามีจุดสีม่วงจุดหนึ่ง…
ที่ใหญ่และเด่นกว่าใครยืนอยู่กับพวกเธอ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นจุดสีม่วงที่ว่านั้นออกมายืนทำตัวว่าง
ๆ แจกใบหน้าหล่อเหลาที่ตายด้านอยู่หน้าโรงเรียนตัวเอง ในเวลาแบบนี้ใคร ๆ ก็รู้กันดีว่าเจ้าตัวคงอยู่ที่โรงยิม
แตกต่างกับลูกพี่ลูกน้อง…ที่ทั้งโรงเรียนเพิ่งรู้ รายนั้นหาตัวจับได้ยาก
อย่างกับเงาในโรงเรียน ถ้าพี่เขาไม่แสดงตัว ก็ไม่มีทางหาพบ
แต่ถ้าเป็นยี่หวา…เดินไปที่โรงยิมสิ
เด็กหนุ่มตัวสูงเกินร้อยแปดสิบไปหลายเซ็น
ยืนพิงรั้วเหล็กหน้าโรงเรียนพลางพ้อยท์เท้าอย่างเท่ในสายตาของเด็กผู้ชายด้วยกัน
มีหลายคนที่คิดทำตาม แต่สุดท้ายก็โดนเพื่อนล้อว่าเหมือนขี้เมาหาที่พักพิง
สายตานับสิบที่ส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิงต่างก็ใช้ยี่หวาเป็นจุดพักสายตา
ความงามที่พวกเธอเคยได้เห็นจากพี่เก้านั้น…ถูกทดแทนโดยยี่หวา
ที่ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เหมือนคนพี่ก็เถอะ
ยืนรอได้สักพัก
รถยนต์คันเดิมที่มักจะขับผ่านหน้าบ้านเขาก็หักเลี้ยวเข้ามาจอดในเส้นขาว
และเมื่อประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างเจ้าของรถ สาว ๆ ที่ยืนอยู่รอบ ๆ
ก็พากันร้องวี้ดว้ายในลำคอเสียยกใหญ่
รียูเนี่ยนหรืออย่างไรกันนะวันนี้!!
ผู้ชายในชุดมหาลัยสองคนเดินลงมาจากรถแล้วตรงมายังเขาที่ถือแฟ้มสีดำอยู่ในมือ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ยี่หวาทิ้งสนามเพื่อมายืนรอโง่ ๆ หลายนาทีแทนการคุมคนในทีม
เด็กมัธยมปีสุดท้ายยื่นแฟ้มเอกสารนั่นให้กับลูกพี่ลูกน้องตัวเองที่ด้านข้างมีผู้ชายตัวเล็ก
ๆ เดินเกาะชายเสื้อตามมาเงียบ ๆ
“ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร”
“…”
“…”
ยีนส์เด่นของตระกูล
‘ธาราเดชากุล’ ก็คือไม่มีปาก ใบหน้าได้รูป ส่วนสูงที่เป็นความได้เปรียบ
ไหล่กว้างที่อยากลองซบสักครั้งในชีวิตและอื่น ๆ ที่เรียกว่าข้อดีนั้น
ถือเป็นยีนส์ด้อยของตระกูลนี้ทั้งหมด
เพราะการไม่มีปากถือเป็นยีนส์เด่นเพียงข้อเดียวที่ทุกคนในตระกูลมีเหมือนกันทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ลุง ปู่ พี่เก้า หรือแม้กระทั่ง…เขา
แต่เอาเข้าจริง…เขามักจะเห็นพ่อพูดเยอะในเวลาที่อยู่กับแม่
นั่นคงเป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขารู้ว่าพ่อก็มีปากเหมือนกัน
“เก้า ๆ
นี่ใครหรอ?”
“น้อง”
“เก้ามีน้องด้วยหรอ
เหมือนเรามีน้องเลย!”
“ชื่อยี่หวา”
“หวัดดียี่หวา
เราชื่อเจ้ยนะ”
“มึงเป็นพี่
แทนตัวเองว่าพี่สิ”
“ตอนเราคุยกับน้องพุดซา
เราก็เรียกเราว่าเรา”
ยี่หวาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
แอบส่งสายตาถามพี่ชายตัวเองว่าคนคนนี้ใช่แฟนมั้ย
แต่ฝ่ายนั้นก็เอาแต่ก้มหน้าเช็คเอกสารในแฟ้ม โดยที่มือก็ยีหัวคนข้าง ๆ
เล่นจนมันยุ่งเหยิง…แล้วก็จัดทรงกลับให้ เขาลอบมองมือข้างนั้นที่ลูบเล่นอยู่บนหัวของคนชื่อเจ้ย…และผู้คนรอบข้าง
เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้แปลกใจอยู่คนเดียว
“ครบ”
“อืม”
เขากับพี่เก้าเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
ๆ ด้วยความที่ตอนนั้นเขาเป็นพวกที่ไม่ชอบเข้าสังคม
พี่เก้าเลยเปรียบเสมือนเพื่อนและพี่ชายในเวลาเดียวกัน
แม่ของเรามักเอาเขากับพี่เข้าเรียนที่เดียวกัน ไปเที่ยวที่ไหนก็จะพาไปด้วยกันเสมอ
แต่พอโตขึ้น…เราต่างก็เปลี่ยนไป นิสัยไม่เอาใครของยี่หวาเริ่มหนักขึ้น ตรงข้ามกับพี่เก้าที่เริ่มมีสังคม
จุดเปลี่ยนของเขาคือตอนมอต้น
ยี่หวาเริ่มเปิดใจตามคำแนะนำของพี่เก้าที่ว่า ‘ถ้าเราไม่มีเพื่อน
มันจะลำบากเอาตอนทำงานกลุ่ม’ คำแนะนำของเด็กอายุสิบสามมันก็มีสาระให้ได้เท่านี้
หลังจากนั้นซานกับจอมทัพก็เข้ามา ถึงจะน่ารำคาญหน่อย ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราสามคนกอดคอกันหาสิ่งที่ชอบได้สำเร็จ
ในตอนมอต้นก็มีจุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน
เจ้าของไม่ใช่เขา…แต่เป็นพี่เก้า เรื่องชื่อนั่นแหละ ไม่รู้อีท่าไหน
คนถึงเรียกพี่แกว่า ‘เก้า’ ทั้ง ๆ ที่ชื่อไนน์มาตั้งแต่เด็ก ตอนแรกเขาเองก็งง
ว่าคนที่ชื่อเก้ากับไนน์นั้นชื่อเดียวกันมั้ย กลับบ้านไปถามเอากับเจ้าตัว
ก็ได้คำตอบมาว่าเพื่อนสนิทสองตัวมันเล่นพิสดารเปลี่ยนชื่อให้ แล้วคนก็ดันเชื่อ
ก็เลยกลายเป็นพี่เก้านับแต่นั้นมา
ยี่หวาเองก็เรียกซะติดแล้วด้วย
“แฟน?”
“…”
คนโดนถามเหล่ตามองคนตัวเล็กกว่าที่กำลังมองสายไหมสีหวานอีกที
“ยัง”
“คนนี้ใช่มั้ย?”
“อือ”
เขาขอตัวไปซ้อมต่อ
ทิ้งสนามมานานแล้วมันไม่ชิน
โบกมือลาเพื่อนตัวเล็กที่มาด้วยในตอนที่อีกฝ่ายเลื่อนกระจกรถลงแล้วเริ่มโบกมือจนตัวโยน
แอบสงสัยถึงพลังร่าเริงที่ไม่รู้ว่ามีเยอะขนาดนั้นได้ยังไง การขยับตัวที่ดูกระตือรือร้นกว่าคนทั่ว
ๆ ไปนั่นอีก ดูไม่เหมาะกับพี่ชายของเขาเลยสักนิด
รองเท้าคู่โปรดย่ำลงไปบนพื้นอิฐของฟุตบาท
มีเด็กนักเรียนมากมายที่ยังนั่งเล่นกันอยู่ในบริเวณนี้ สนามฟุตบอลไม่เคยว่าง
สนามบาสเองก็เช่นกัน ยิ่งเข้าใกล้การแข่งสาย ชมรมของโรงเรียนก็ต้องเริ่มซ้อมกันเป็นจริงเป็นจังมากกว่านี้
โค้ชนัดพวกเขามาซ้อมในวันหยุดแล้ว เพราะสายการแข่งในปีนี้โหดกว่าปีก่อนมากโข
อีกทั้งยังมีเรื่องของพิธีเปิดสนามที่ทำให้เราต้องไปเช่ามาสคอตมาสร้างสีสัน
แต่เจ้าปูนั่นก็ยังไปไม่ถึงไหนสักที
วิ่งมายังไม่ทันถึงหน้าประตูโรงยิม
เสียงโวยวายก็ดังลอดออกมาอย่างดังจนต้องขมวดคิ้วสงสัย
น้ำเสียงชัดเจนเลยว่าเป็นผู้หญิงที่กำลังตะคอกกันอยู่ข้างสนาม
คนในชมรมหยุดกิจกรรมของตัวเองแล้วเพ่งความสนใจไปยังจุดเกิดเหตุ รวมไปถึงเขาที่ค่อย
ๆ เดินเข้าไปใกล้
“มึงไม่ใช่เจ้าของสนามปะอีพู่!!
มีสิทธิ์อะไรมาไล่พวกกู!”
“ก็ถ้ามึงมีปัญหากับลูกบอลมากนัก
มึงก็ไปซ้อมที่อื่น!”
“ก็พวกกูจะซ้อมกันตรงนี้!!”
“งั้นก็อย่าบ่นเวลาบอลไปโดนพวกมึง!!!”
“อ้าวอีนี่!
บอลมันก็ต้องตบให้เป็นทิศเป็นทาง ไม่ใช่ปลิวไปโดนชาวบ้านเขามั่วซั่ว
เพราะแบบนี้ไงทีมหญิงของมึงถึงไม่เคยได้รางวัล!”
“อีแคท!!”
ทะเลาะกันเรื่องราวใหญ่โตเพียงเพราะลูกบอลลูกเดียวที่ปลิวไปโดน
ต่างคนต่างพุ่งเข้าหากันจนเกือบจับไว้ไม่ทัน ยี่หวาแหวกวงล้อมเข้าไปใกล้
ดันพู่กันที่เป็นกัปตันทีมหญิงให้ออกห่าง ถ้ายัยนี่หลุดไปตะลุมบอนได้ เผลอ ๆ
เรื่องใหญ่กว่าเดิมอีก
การปรากฏตัวของยี่หวาทำเอาทุกคนอึกอัก
สายตาดุดันของร่างสูงยังใช้ข่มคนอื่นได้ดีเสมอ
พอเห็นว่ายี่หวาอยู่ในโหมดจริงจังที่พวกเธอไม่อาจต่อความยาวสาวความยืดในการปะทะกันได้
ก็เลยสงบสติอารมณ์ลงมาระดับหนึ่ง แคททำตัวไม่ถูกเมื่อเงยหน้าขึ้นมองแล้วเห็นสันกรามของยี่หวาเด่นชัด
เนื่องจากเจ้าตัวพยายามกัดมันเพื่อข่มอารมณ์ตัวเอง
ไม่ว่าเธอจะมีความกล้ากับใครต่อใครมากมาย แต่กลับยี่หวาที่เป็นคนในใจ…เธอก็ได้แต่หวั่นใจที่ยี่หวายื่นมือเข้ามา
เรื่องนั้นก็อีก…
“ทะเลาะอะไรกัน?”
ความเรียบนิ่งของเสียงทำเอาคนโดนถามรู้สึกเย็นยะเยือก
แววตาแข็งกร้าวไล่สบตากับพวกเธอทีละคนเพื่อขอคำตอบที่น่าฟัง
ปกติตาของยี่หวาก็ดุและเหมือนคนขุ่นเคืองอยู่ตลอดเวลา
แต่ในตอนนี้มันกลับน่ากลัวยิ่งกว่าและดูเหมือนจะโกรธได้ทุกเมื่อ
“เราตบบอลพลาดไปโดนแม่สาวสวยที่ซ้อมกันอยู่ข้างสนาม!”
พู่กันแดกดัน
“โดนแคทเต็ม ๆ เลยหวา
ถ้าเราไม่บอกให้คุณกัปตันเขาขอโทษ…ก็คงไม่มีปากเสียงกัน” นางงามดัดจริตตีสองหน้า
ก้มหน้าก้มตาทำคิ้วย่นให้ดูน่าสงสาร
“เหอะ!
เราพูดขอโทษตั้งแต่บอลมันปลิวไปแล้วเหอะ เป็นแกเองไม่ใช่หรอที่โวยวาย!”
“แคทโวยวายพู่…ก็เพราะพู่ทำหน้ารำคาญใส่คนของเราก่อนนี่
แคทได้ยินนะที่นินทากัน ด่าให้พวกเราออกไปจากโรงยิมอ่ะ”
“แคทททท ความคิดปัญญาอ่อนแบบนี้ยังกล้าพูดใส่หวาอีกหรอวะ
ที่พวกแกต้องมาซ้อมก็เพราะต้องคิดงานโชว์ร่วมกัน พวกเราจะไปไล่พวกแกทำไม
อย่ามาตอแหลดิ!”
“ใครตอแหล!!
พูดจาให้มันดี ๆ หน่อยพู่กัน!!”
ยี่หวาดันไหล่พู่กันจนเกือบหงายท้อง
ห้ามศึกที่พวกเธอสองคนจะพุ่งเข้าหากันอีกแล้ว ยี่หวาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
เขาตัดสินใครไม่ได้ว่าคนไหนพูดความจริงกันแน่
“พอได้แล้ว”
“หวาก็เห็นนี่ว่าคนของหวาด่าแคทก่อน”
“ก็แกตอแหลจริง
ๆ นี่ ต่อหน้ายี่หวาก็มาทำเป็นพูดเพราะ ทีตอนด่ากันยังกูมึงใส่อยู่เลย!!”
“อีพู่กัน!!”
นิ้วเรียวยาวจนเห็นข้อกระดูกชี้ใส่หน้าพู่กันทันทีที่เธอทำท่าจะพุ่งใส่
แววตาของยี่หวาวาวโรจน์กว่าเมื่อตอนแรกที่เธอเผลอสบมันเข้า
พู่กันเม้มปากไม่กล้าขัดคำสั่ง เทียบกันแล้วยี่หวาน่ากลัวกว่าโค้ชหลายเท่า
แคทลอบยิ้มแสยะใส่ที่เธอโดนดุ แต่นั่นก็เป็นเพราะยี่หวาสนิท
ถ้าไม่สนิทก็อย่าหวังว่าไอ้ดุนี่จะสนใจ
ก็เหมือนกับเธอที่หวามันไม่มีแม้แต่จะมองหน้า
“วิ่งรอบสนามห้าสิบรอบ”
“…ไอ้บ้า”
ไทยมุงแตกสลายเมื่อพู่กันเดินแหวกออกไป
แคทยิ้มชอบใจลับหลังยี่หวา ก่อนจะเปลี่ยนหน้ากลับมาเศร้าทันทีที่ร่างสูงหันมาสนใจเธอต่อ
ใช้มือจับเข้าที่ตำแหน่งของต้นแขนที่เพิ่งโดนบอลกระทบพื้นมาสะกิดเบา ๆ
“ขอบคุณมากนะยี่หวา”
…ผู้หญิงคนเมื่อวานนี่เอง
“เจ็บมากมั้ยอ่ะแคท”
เด็กสาวที่อยู่ในชมรมเชียร์เดินเข้ามาลูบที่ต้นแขน
“ไม่เท่าไรแล้วล่ะ
ดีที่ได้ยี่หวาช่วยไว้ ไม่งั้น…เราคงโดนพู่…”
“ขอโทษแทนพู่กันด้วย”
เสียงทุ้มพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมา ทิ้งให้พวกเธออ้าปากพะงาบ ๆ
เพราะมีอะไรจะพูดอีกเยอะแยะแต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้ว
กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ทุกคนแยกย้ายกันไปสนใจหน้าที่ตัวเองดังเดิม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลอบมองกันและกันไปมา
เรื่องที่พู่กันกับแคทด่ากันดังออกไปถึงข้างนอก
ไม่ใช่แค่คนในสนามเท่านั้นที่ได้ยิน ดีที่โค้ชอยู่ในห้อง
เห็นว่าเคลียร์งานหลายอย่าง บวกกับยี่หวาออกไปเอาของให้พี่
เพราะแบบนั้นเรื่องถึงได้เกิด
เจ้าของเรือนผมสีอเมทิสต์ตรงดิ่งไปยังเพื่อนสนิทผิวเข้มที่กำลังโยนลูกบอลให้กับมาสคอตที่ทั้งชมรมเรียกว่า
‘ปูส้ม’ แต่พอโยนเสร็จก็หันมองพวกหลีดที่อยู่ไม่ไกลเท่าไร จอมทัพชอบผู้หญิงสวย พวกเชียร์ลีดเดอร์ที่เหมือนคัดหน้าตาเข้า
มันก็มักจะมองอยู่บ่อย ๆ …มองกระโปรงของพวกเธอตอนที่เดินไปมาหรือยกขา มองแขนเสื้อที่เลิกขึ้นตอนที่ถือพู่เชียร์ขึ้นสูง
แล้วก็มีบ้างที่มองค้างไว้อย่างนั้นในเวลาที่พวกเธอมองมา
เป็นคนชอบมองผู้หญิงสวย
ๆ แต่ไม่อยากได้
ยี่หวาเดินผ่านจอมทัพที่นึกว่าตัวเองเป็นเป้าหมายไปยังปูส้มที่พยายามเอากล้ามปูอ้วน
ๆ เหวี่ยงให้โดนบอล ตั้งแต่ซ้อมมา สิบลูกก็เพิ่งจะโดนไปหนึ่ง
ไส้ในน่าจะเป็นคนที่เล่นกีฬานี้ไม่เป็น ยี่หวาหยุดยืนอยู่หน้ามาสคอต
โน้มตัวลงไปใกล้กับช่องสามเหลี่ยมเล็ก ๆ ก่อนจะพูดด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันแค่นี้
“ทำไมเมื่อวานคุณไม่มาซ้อม”
…
“ตอบครับ”
…
ไม่มีข้อยกเว้นกับความลำบากของใคร
เขารั้นขอคำตอบจากไส้ในที่ลุงกุนบอกว่าเป็นมืออาชีพในการใส่ชุด
แต่ไม่น่าจะหายไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
เช้าวันนี้ลุงกุนแกเพิ่งโทรมาขอโทษเรื่องที่ไส้ในติดธุระ ดูจากวันและเวลาที่ใช้โทร
เหมือนลุงแกเองก็เพิ่งรู้เลยรีบโทรมาเหมือนกัน
ยี่หวาเคาะที่ช่องนั้นสองสามที
เร่งให้คนข้างในตอบและยืนยันว่าถ้าตอบ…เขาจะได้ยินแน่ ปูส้มอึกอักเล็กน้อย
ก้าวเท้าเข้ามาสั้น ๆ จนช่องระบายอากาศแผ่นนั้นชิดกับใบหูของเขา ก่อนเสียงอู้อี้จะดังลอดออกมา
"ขอโทษครับ"
เขายืดตัวขึ้น
ลอบถอนหายใจเบา ๆ
“ทีหลังถ้าคุณจะหยุด…ต้องแจ้งผมก่อนเสมอ”
…
“เข้าใจมั้ยครับ?”
(โค้งตัวสองที)
ยี่หวาพยักหน้ารับ
แล้วหันไปตามเสียงเรียกของมุกที่ชวนเขาไปเล่นทีมในสนาม
ปกติแล้วการเล่นทีมจะมีอาทิตย์ละสองสามครั้ง ขึ้นอยู่กับสมาชิกว่าอยากเล่นด้วยมั้ย
การจับทีมจะไม่แน่นอน แล้วแต่ว่าใครอยากจะลงฝั่งไหน แต่สำหรับวันนี้…ซานเลือกแล้วว่าจะลงตรงข้ามกับยี่หวา
จอมทัพไม่ได้ตามเข้ามาเล่นด้วย
เขากำลังสนุกกับการดูแลมาสคอตปูจ๋าตัวนี้ พออยู่กับมันทุกวัน ๆ
ก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา เวลาที่เรียกรวมพลมันจะยืนอยู่คนเดียวนิ่ง ๆ
แล้วมองมาทางพวกเราเสมอ ทำเหมือนเขาเรียกมันรวมพลด้วย พอยี่หวาปล่อยแถวมันถึงจะเริ่มขยับตัว
แต่น่าพิศวงตรงที่ไม่มีใครเห็นว่าปูตัวนี้เดินออกมาที่สนามตอนไหน
หรือใครที่เข้าไปในห้องพักมาสคอตเมื่อไร
บางทีโค้ชอาจจะโดนลุงกุนขู่ให้บอกประตูลับก็เป็นได้
เจ้าปูส้มหมุนตัวมองตามทิศทางการเดินของเขา
ลูกบอลถูกหยิบจากบนพื้น จากนั้นมันก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ เอากล้ามอวบ ๆ ดันไปมา
แล้วจู่ ๆ
บอลลูกนั้นก็ปลิวออกไป
“เฮ้ย!!”
ปูส้มกระโดดดึ๋ง
ๆ
“ไหนลองอีกรอบดิ๊”
จอมทัพหยิบบอลลูกใหม่ขึ้นมาหวังจะทดสอบอีกครั้ง กล้ามของมันเล็งที่บอลอยู่สองสามที
และเมื่อมันเหวี่ยงแขนรอบสุดท้ายมาด้วยความมั่นใจ กลับหวืดหวดลมไปซะเต็มแรง
“อะไรวะ
ฟลุ๊คนี่หว่า”
แวบหนึ่งที่ได้ยินเสียงใครสักคนขำเบา
ๆ ลอยมา
“เมื่อกี้ขำหรอ?”
“เมื่อกี้ขำหรอครับ?”
จอมทัพยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ ๆ
มันโค้งตัวตอบกลับพร้อมกับเสียงนกหวีดดัง
การแข่งกันเล่น
ๆ ของคนในชมรมเริ่มขึ้นแล้ว ฝั่งของซานเป็นฝ่ายรุกก่อน
พวกหลีดกรูเข้ามาที่ข้างสนาม สั่นพู่สีสันสดใสในมือ
เชียร์นักกีฬาในสนามที่ตะโกนเป็นชื่อยี่หวาซะส่วนใหญ่ จอมทัพมองสาว ๆ
พวกนั้นจนลืมมาสคอตปูจ๋าเสียแล้ว ถึงแคทจะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าที่ได้ยินมา แต่หน้าตาสวยขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นกำไรดวงตาได้นิดหนึ่ง
การแข่งของทั้งสองทีมที่มีตัวจริงกับตัวสำรองผสมปนเปกันไป
แต่ทีมยี่หวาดูเสียเปรียบกว่าเพราะไอ้ซานมันเอาเด็กใหม่ ๆ
ใส่ในทีมตรงข้ามเกือบทั้งหมด มีแค่ยี่หวากับมุกเท่านั้นที่เป็นตัวจริง
ที่เหลือไปแน่นฝั่งมัน แต่การงัดยี่หวาก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
ถึงแม้ว่าตัวสำรองหน้าใหม่จะไม่ได้เก่งอะไร แต่แค่เปิดบอลแรกได้ บอลสองเข้ามุก
แล้วมุกส่งบอลสามให้ยี่หวา…เป็นอันจบ
เล่นกันมาได้เกินครึ่งเกม
โดยทีมยี่หวาเป็นฝ่ายขึ้นนำด้วยแต้มที่ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไร ถึงยี่หวาจะเก่ง
แต่การแบกทีมก็สร้างความลากเลือดในการได้แต้มจากฝั่งตรงข้ามที่มีตัวจริงถึงสี่คน ซานคึกคักเมื่อคะแนนเริ่มได้มาง่ายขึ้น
อย่างว่า…ตัวสำรองหน้าใหม่ไม่เก่งพอที่จะช่วยไอ้หวามันได้ ถ้าอยากได้แต้มก็แค่เล็งไปที่จุดอ่อน
สกอร์บนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดเปลี่ยนไปเรื่อย
ๆ จนช่องว่างของคะแนนเหลือเพียงหนึ่งแต้ม ซานเห็นจังหวะในการทำคะแนน
ตะโกนเรียกเนยที่เป็นมือเซ็ตทันทีที่เทคเปิดบอลแรกได้
จังหวะขึ้นเทคตัวตบของซานทำเอาคนในทีมของยี่หวารับมือไม่ถูก
ฝีมือการตบบอลเร็วของซานเป็นที่เลื่องชื่อ
ไม่ว่าคนเซ็ตจะเป็นมุกที่ซ้อมด้วยกันมาหลายปีจนรู้ใจ
แต่กับคนที่ไม่รู้ฝีมือเป็นยังไงเซ็ตให้ มันก็ตบได้ง่าย ๆ สมคำล่ำลือ
บอลเร็วและหนักของซานโดนแขนของยี่หวา แต่ลูกดันเบี่ยงออกนอกสนามสูงโด่งแบบไม่มีทางเล่นต่อได้
และนั่นกลายเป็นคะแนนของ ‘ทีมซานซ่าท้ายี่หวา’
เพื่อนผิวขาวร้องเฮดีใจลั่นสนามแล้ววิ่งไปทั่ว
รู้สึกดีใจปนสะใจที่ตบใส่แล้วมันรับไม่ได้ โอกาสทอง ๆ อย่างนี้มีมาไม่บ่อย
นับได้เลยว่าที่ยี่หวารับบอลเขาไม่ได้ลูกนี้คือครั้งที่ 2
เสียงหลีดแผ่วลงเมื่อยี่หวาทำพลาด
แต่ก็มีบางส่วนที่ส่งเสียงเชียร์ให้
ระหว่างทางที่กำลังวิ่งดีใจออกนอกหน้านอกตาอย่างกับชนะโอลิมปิก ดันเจอปูส้มตัวบาน
ๆ ยืนเหวี่ยงกล้ามเล่นเพราะไอ้จอมเอาแต่มองสาว
พุ่งเข้าไปกอดเจ้าปูส้มตัวนั้นจากทางด้านหลัง
แกล้งยกมันขึ้นจากพื้นจนขาป้อมแกว่งไปมาด้วยความตกใจ ตัวของมันเบากว่าที่คิด
ไม่นึกเลยว่าน้ำหนักชุดกับน้ำหนักคนรวมกันจะเบาได้ขนาดนี้ ซานกระชับกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะหมุนไปมาสองสามที
“ตัวเบาจังอ่ะ”
…
“กินข้าวบ้างนะ”
พูดยังไม่ทันจบ
ลูกบอลก็ปลิวมากระแทกเข้าเต็ม ๆ กลางท้ายทอย ซานลูบหัวปอย ๆ
ก่อนจะขอโทษไส้ในตามคำสั่งของยี่หวา เดินกลับเข้ามายังสนามเพื่อแข่งต่อให้จนจบ ปล่อยน้องมาสคอตยืนมึนงงกับการหมุนเล่นอยู่สักพักหนึ่ง
เป็นจังหวะเดียวกันกับจอมทัพหันมาพอดี
“โทษที
มองเพลินไปหน่อย”
(ส่ายตัว)
“ไม่ต้องขยับมา
ถอยหลังไปอีก”
เขาปัดมือไล่ปูส้มให้ถอยออกไป
แต่มันไม่ทำตาม เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางรีบร้อน เอากล้ามปูสะกิดยิก ๆ ที่ไหล่ ใช้ภาษามือแบบงง
ๆ อยู่ครู่หนึ่งถึงจะรู้ว่ามันอยากให้เขาโน้มตัวลงมา
"ชิ๊งฉ่อง"
“อ๋อ ปวดฉี่หรอ”
(เอากล้ามปูมาไขว้กัน)
“อ่า ๆ ไปเถอะ”
พอได้รับคำอนุญาตก็รีบวิ่งเตาะแตะออกจากสนามไป
แต่ด้วยความทุลักทุเลของชุดเลยเผลอสะดุดล้มหน้าทิ่มตรงเนินเล็ก ๆ บนพื้นเสียได้ เล่นเอาทั้งสนามฮาลั่น
เด็กแถว ๆ นั้นรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้นเดิน จากนั้นมันก็หายเข้าไปในห้อง
จอมทัพเลิกคิ้วแปลกใจนิดหน่อยที่ตัวเองขำไม่ต่างจากคนอื่น
เขารู้สึกว่าแค่มองก็รู้สึกขำแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่ได้เป็นแบบนี้
ยี่หวารับผ้าเช็ดหน้าจากจอมทัพที่เดินเข้ามารวมทีหลัง
หลังจากที่มาสคอตตัวนั้นวิ่งหายเข้าห้องไป
ดวงตาดุเหลือบมองห้องพักมาสคอตที่เป็นมุมอับอยู่พอสมควร
แต่ถ้ารู้มุมก็มองเห็นได้ไม่ยาก เขาเห็นประตูถูกปิดย้ำ ๆ สองสามทีราวกับคนรีบร้อน แต่กลอนดันไม่ลงล็อคให้
ดูท่าทางน่าเป็นห่วงชอบกล
โยนผ้าเปียกเหงื่อให้พาดไว้กับเก้าอี้
ไม่สนใจใยดีว่าหลังจากนี้จะมีคนแอบเอามันไปสูดดมหรือเปล่า
กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ห้องเก็บอุปกรณ์เก่า
ซึ่งในตอนนี้ถูกบูรณาการให้เป็นห้องพักมาสคอตอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว
มือหนาเอื้อมไปจับลูกบิดของประตูเบา ๆ และพบว่ามันไม่ได้ล็อค
แสงจากหลอดไฟเพียงหนึ่งเดียวในนั้น…ฉายลงมายังกลางลำตัวของมนุษย์ปูที่กำลังรีบเร่งถอดซิปด้านหลังที่ร่นลงมาได้ครึ่งตัว
ยี่หวาปิดประตูเข้ากลอนเบา ๆ แต่ดังพอที่อีกฝ่ายจะได้ยิน…
แผ่นหลังบางตรงหน้าสะดุ้งเล็กน้อย
…แต่กลับไม่หันมาดูว่าเป็นใคร
“…”
“…”
ต่างคนต่างเงียบราวกับลองเชิงกันและกัน
เมื่อใดก็ตามที่ยี่หวาก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ไหล่เล็กของไส้ในก็จะสะดุ้งเบา ๆ
เส้นผมสีชาขยับไหวไปมาเล็กน้อยทั้งที่ในนี้ไม่มีพัดลมสักตัว
เขากระแอมใส่แผ่นหลังนั่นที่ทำให้รู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ ไปด้วย
“คุณ…”
“เฮือก!!!”
“ไม่ต้องตกใจ
ผมไม่ได้จะทำอะไร”
“ข…เข้ามาทำไมครับ?!”
น้ำเสียงของผู้ชายตรงหน้าสั่นเครือ
แฝงไปด้วยความหวาดระแวงและความกลัวในระดับเท่า ๆ กัน
ยี่หวามองผู้ชายคนนั้นในระยะห่างที่ไม่มากนักเพราะห้องนี้มันแคบ
ส่วนคนที่อยู่ในชุดปูครึ่งตัวก็กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะพลางก้มหน้าหนี
“เห็นคุณดูท่าทางรีบ
ๆ คิดว่าน่าจะถอดชุดไม่ได้”
“…”
ตัวเล็กอย่างที่ไอ้ซานมันว่าจริง
ๆ นั่นแหละ
“ซิป…อยากให้ช่วยมั้ย?”
“ม…ไม่เป็นไร”
หัวของชายแปลกหน้าส่ายไปมา
พาลให้นึกถึงปูส้มตอนส่ายขาเล็ก ๆ ของมัน แวบหนึ่งที่ยี่หวามองเห็นจุดดำเล็ก ๆ ที่ซอกหูข้างซ้ายยามที่ผู้ชายคนนั้นหันหน้าหนี
แต่เกินกว่าจะใส่ใจ… พลันสัญญาฉบับนั้นก็เด้งขึ้นมาในหัว
ไส้ในที่อยู่ในความดูแลของเขาไม่ควรปฏิเสธเขาสิ
หรือบางทีผู้ชายคนนี้อาจจะไม่รู้ว่าเขามีสิทธิ์เห็น
“คุณอยู่ในการดูแลของผม…”
ร่างสูงก้าวยาว
ๆ เข้าไปไกล
“ผมมีสิท—”
“อย่าเข้ามา!!”
กระเป๋าสะพายถูกคว้ามาบังไว้ที่หน้าทันทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้
จู่ ๆ บริเวณโดยรอบก็นิ่งสนิททั้งที่ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากเราสองคน
ยี่หวาถอยหลังออกมาจนหยุดอยู่ที่หน้าประตู
รู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้ไหล่คู่นั้นก็จะยิ่งสั่นไหวอย่างกับแผ่นดินที่กำลังจะถล่ม พอเห็นว่าเขาถอยออกมาไกลจากจุดเดิม
คนตรงหน้าก็ลดกระเป๋าลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นกอดเอาไว้แน่น
“คุณดูไม่ค่อยโอเค”
“อ…โอเคสิ
ออกไปก่อน…ได้มั้ยครับ…”
“…”
เส้นเสียงเล็กที่เหมือนกลับจะร้องไห้
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือ
เราจะบอก…”
“…”
“…ขอบคุณครับ”
ยี่หวาไม่ได้ตอบอะไร…
เขาจ้องแผ่นหลังขาวนั่นเพียงแค่วินาทีเดียวก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป
เขาไม่เห็นใบหน้าของไส้ในทั้ง ๆ ที่เขาได้สิทธิ์นั้น ยิ่งคิดคิ้วยิ่งขมวดเข้าหากัน
ผู้ชายคนนั้นดูน่าหงุดหงิด…
ผลักไสเขาจนอยากจะกระโชกโฮกฮากทำตามใจดูใบหน้าที่หวงนักหวงหนาซะให้มันจบ ๆ
แต่เขาเห็นแค่แผ่นหลังบาง
ๆ ที่ดูอ่อนแอและมีรอยช้ำเล็ก ๆ ประปราย
มันกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะยามที่เขาก้าวเท้าเดินไปมาในห้องนั้น มันจะเริ่มแรงขึ้นเมื่อเขาเข้าใกล้…และผ่อนลงอย่างสบายใจเมื่อเขาออกห่าง
ถึงแม้ภายในห้องจะไม่มีอะไรนอกจากโต๊ะและล็อกเกอร์
แต่มีสิ่งหนึ่งเป็นเหมือนกับตะขอตักความทรงจำ…ที่บ่อยครั้งมันไม่ได้ถูกเอามาใช้ให้รื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับคนอื่น
แต่เขากลับจำกระเป๋าลูกนั้นได้…เป็นอย่างดี
#พริ้มเพียงหวา
กว่าฟีลจะมา...
เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ไปพร้อม ๆ กันทุกช่วงเวลา เราจะเดินไปโรงยิมด้วยกันแทนการกระโดดนะคะ
ความคิดเห็น