ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #5 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๔

    • อัปเดตล่าสุด 22 ส.ค. 61







    4



     

    อาจารย์รุ่นราวคราวลุงยืนสอนอยู่หน้ากระดานปาว ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มหลังห้องริมหน้าต่างละความสนใจกับแผ่นกระดาษเอสี่ที่ตัวเองก้มหน้าก้มตาเขียนตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ยี่หวา ซาน และจอมทัพอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่มอต้น กอดคอกันเข้าชมรมวอลเล่ย์และเล่นให้ทีมโรงเรียนนับแต่นั้นเป็นต้นมา เทคอยู่ทับหก มุก เนย และผ้าอยู่ทับแปดเป็นแก๊งเขย่งหาอากาศ ซานกับจอมทัพชอบล้อพวกมันบ่อย ๆ

     

    ซานเอี้ยวตัวหาเพื่อนสนิทที่กำลังยุ่งอยู่กับ ตารางซ้อมของมาสคอตเป็นหัวข้อขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องพยายามอ่านก็รู้เรื่อง มองตากันกับจอมทัพที่ก็เอี้ยวตัวหันมามองกัปตันทีมของตัวเองเช่นเดียวกัน มาสคอตเอาฮาแบบนั้น จะให้ซ้อมเป็นจริงเป็นจังทำไมก็ไม่รู้

     

    “ทำไรวะ”

    “เอาแค่พออันเดอร์ได้ก็พอปะ ไม่ต้องถึงขนาดเขียนตารางซ้อมให้หรอก”

     

    ยี่หวาเงยหน้าพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

     

    “เออ ยังไงก็ต้องซ้อมกับชุดมาสคอต คงวิ่งรอบสนามทั้งที่ใส่ชุดอบเนื้อแบบนั้นไม่ได้หรอกปะ”

    “ไอ้ซานพูดถูก” จอมทัพพยักหน้าเห็นด้วย

    “แล้วดูมึงเขียนดิ ม้วนตัวอันเดอร์บอลร้อยครั้ง แล้วนี่อะไรอีก เซ็ต! มึงบ้าปะไอ้หวา”

    “เขียนอะไรไม่ได้ดูสภาพชุดมันเลยนะมึงอ่ะ”

     

    คนจริงจังก้มมองตารางที่ตัวเองตั้งใจเขียนอีกครั้งแล้วพบว่ามันไม่น่าใช่ตารางซ้อมของมาสคอต แต่มันกำลังจะกลายเป็นตารางซ้อมของเด็กใหม่ไปเสียแล้ว ซานกับจอมทัพหัวเราะล้อเลียนกล้ามปูโต ๆ กับชุดบาน ๆ ที่ไม่มีทางม้วนหน้าหรืออันเดอร์บอลให้เกินสองลูกได้อย่างแน่นอน และเหมือนมันจะรู้ตัว ถึงได้ขย้ำกระดาษแผ่นนั้นทิ้ง

     

    “ดีเพื่อน ทิ้งไปซะ”

    “กูเห็นแล้วสงสารไอ้ปูส้มนั่นชิบหาย ถ้าไม่เบรกมัน มีหวังเอาไปใช้จริงแน่นอน”

    “พูดมาก” ยี่หวาดุเสียงเข้ม

    “ว่าแต่ เสื้อแข่งสายเสร็จยังอ่ะ”

     

    ซานถามถึงเสื้อทีมที่จะใช้สำหรับแข่งสายในงานกิจกรรม ‘OBEN-G’ หรือ โอเบงที่จะถึงนี้ เป็นกิจกรรมใหญ่ของทุก ๆ ปี ทั้งทางด้านกีฬา วิชาการ และวัฒนธรรม งานโอเบงเป็นงานเปิดและงานใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าร่วมได้ ครั้งก่อนถูกจัดขึ้นที่โรงเรียน ชน. ลูกพี่ลูกน้องเขาก็ไปแข่งวิชาการมา และในครั้งนี้จะจัดที่โรงเรียน อซ.

     

    ซึ่งโรงเรียนใดที่เป็นเจ้าภาพ สถานที่แข่งขันรอบชิงจะถูกจัดที่นั่นโดยปริยาย แต่การแข่งก่อนหน้านั้นที่เรียกว่า การแข่งสายเพื่อคัดเลือกคู่ชิงจะสุ่มจัดขึ้นที่โรงเรียนอื่นตามรายชื่อเข้าร่วมในงานโอเบง โค้ชยังไม่ได้บอกว่าเราจะต้องไปแข่งที่โรงเรียนไหน แต่แจงเรื่องการเก็บตัวเพื่อซ้อมแข่งไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะหลังจากผ่านอาทิตย์หน้าไปได้ ก็จะเข้าสู่การแข่งสายและยาวไปจนถึงวันงานที่จะมีปลายเดือนหน้า

     

    “เสร็จแล้ว แต่เขายังไม่เอามาส่ง”

    “สีไรวะ”

    “แข่งสายสีเทา แข่งชิงสีม่วงเข้ม”

    “เชี่ย ยังไม่ทันแข่ง แต่มึงวางแพลนไกลไปถึงรอบชิงเลยหรอวะ”

     

    ยี่หวายักคิ้วใส่

     

    ของมันแน่อยู่แล้วว่าต้องไปไกลถึงแท่นรับรางวัล ตั้งแต่ยี่หวาเข้าทีมคาลันโชมา สถิติต่าง ๆ ก็เริ่มดีขึ้น ๆ จนกระทั่งพวกรุ่นพี่ออกไปจนหมดและยี่หวาขึ้นสู่มอปลาย เขาก็ได้เป็นกัปตันทีมของชมรม พาพวกพ้องไปไกลถึงฝั่งฝันการเป็นที่หนึ่งของภาคเรื่อยมาจนถึงตอนนี้

     

    ปีสุดท้ายที่เขาเดิมพันทุกอย่างเพื่อจะได้มา และงานโอเบงคือใบเบิกทาง

     

    “ต้องคิดโชว์ด้วยนี่หว่าปีนี้”

    ใช่ แต่กูไม่ทำ”

    “อ้าว กัปตันทีมโบกมือลาตั้งแต่ตอนนี้แล้วใครจะทำล่ะครับท่าน”

    “มึงไง ถนัดไม่ใช่หรอเรื่องแบบนี้”

    “มึงเชื่อใจกูกูก็ทำให้มึงได้อ่ะหวา”

    “กูเชื่อใจมึง”

     

    ยี่หวาตอบแบบขอไปทีเพราะไม่ได้อยากทำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซานตื่นเต้นยกใหญ่ นานทีสิบปีหนไอ้หวาถึงจะมอบหมายหน้าที่ให้เขาทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ยี่หวาจะเอางานให้คนอื่นทำแม้มันจะไม่อยากทำก็ตาม  ซานทำท่าทางพร้อมร้องเยสแบบไร้เสียงสองสามรอบแล้วหันไปจุ๊บแก้มจอมทัพ แต่ยังไม่ทันจะโดน เพื่อนตัวโตก็ฟาดฝ่ามือลงบนแก้มตอบอย่างแรงจนทั้งห้องหันมามองพวกเขากันเป็นตาเดียว

     

    เวรจริง ๆ

     

    “พวกเธอทำอะไรกันน่ะ”

    “เปล่าครับจารย์”

    “พวกเขาหอมแก้มกันค่ะอาจารย์!!

     

    เสือกมีคนเห็นเหตุการณ์อีก ให้ตายสิ จอมทัพชี้หน้าคาดโทษเพื่อนตัวขาวที่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรสักอย่าง เวลามันดีใจ มันจะชอบเล่นอะไรแพลง ๆ แบบนี้ ไม่ใช่แค่กับเขา ทั้งทีมวอลเล่ย์มันก็ไล่หอมไปทั่ว มันบอกว่า มันจะมันเขี้ยวเวลายี่หวาตามใจ แต่จะให้หอมยี่หวาก็คงจะไม่จบลงที่ชี้หน้าแบบเขาแน่ ๆ

     

    “หหรอ ถ้าจะแสดงความรักก็ให้ครูสอนจบก่อนสิ”

    “ไม่ใช่อย่างนั้นครับจารย์! ไอ้เหี้ยซาน!!

    “พวกเธออย่าไปมอง เพื่อนเขินใหญ่แล้วเห็นมั้ย”

     

    เดี๋ยวอาจารย์จะได้โดนชี้หน้าอีกคนถ้ายังไม่หยุดล้อ

     

    เสียงหัวเราะของคนทั้งห้องดังลั่นแม้กระทั่งห้องข้าง ๆ ก็ยังได้ยินชัดเจน

     

    หญิงสาวหน้าตาโฉบเฉี่ยวที่ใครต่อใครในห้องก็ไม่กล้าหือลุกเดินออกจากห้องพร้อมกับพรรคพวกของเธอ แต่ก็วกกลับมาใหม่ในตอนที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปสักอย่าง

     

    “พริ้ม”

    “ว่าไง”

     

    คนตัวเล็กโดนเรียกจากหลังห้องในตอนที่กำลังลบกระดานอยู่คนเดียว เพื่อน ๆ ต่างก็ทยอยออกจากห้องไปจนหมด เหลือเพียงสามสี่คนที่ยังนั่งคุยเล่นกันอยู่ แคทถุยหมากฝรั่งลงบนพื้นแทนที่จะเป็นถังขยะ แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอาบยาพิษที่มักจะมีให้กับพริ้มอยู่เสมอ

     

    “อย่าลืมทำเวรนะจ๊ะ”

    “เอ่อแคท เรามีธุระ”

    “ไปนะ”

    “คงอยู่ทำให้ไม่ได้”

     

    เหมือนอย่างเคยเธอไม่ได้ฟังเขาพูดจนจบ

     

    แคทเดินออกไปแล้ว พริ้มได้แต่ถอนหายใจ เขามักรู้สึกกังวลจนบางครั้งก็จะพูดติดขัดอยู่เสมอเวลาคุยกับแคท เธอเป็นเหมือนนางพญาของห้อง ขนาดหัวหน้าห้องก็ไม่กล้ามีปากเสียงด้วย แล้วตัวเขาล่ะตัวเขาที่เล็กจนแทบจะมองไม่เห็นจะไปสู้อะไรเธอได้ ขนาดวันนี้เขามีความกล้าที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา แต่สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยความน่าสมเพชอยู่ดี

     

    ไม่มีใครฟังเสียงของเขาไม่มีเลยสักคน

     

    ความหนักใจล้นขึ้นมาถึงลิ้นปรี่ บีบระบายกับแปรงลบกระดานพลางคิดว่าจะเอายังไงกับเวรห้องวันนี้ดี ใจหนึ่งก็ไม่กล้าที่จะหนี แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้ที่บ้านรอ ใช่ วันนี้พ่อเขาจะกลับมาบ้าน พริ้มคิดถึงพ่อมาก แม่เองก็เช่นกัน เป็นความรู้สึกเหงา ๆ ที่รู้ว่าเรามีแต่กลับว่างเปล่า แม่ไปทำงานเช้าตรู่เช้ากว่าเขาไปโรงเรียนและกลับดึกมากมากจนไม่มีโอกาสรอเจอ นาน ๆ ทีเราจะอยู่กันอย่างพร้อมหน้า ถึงไม่มีพี่สาวที่ติดเรียนก็ไม่เป็นไร

     

    เขาจัดการกวาดห้องอย่างรวดเร็วและมันไม่ได้สะอาดมากเท่าไร หอบเอาขยะลงไปทิ้งเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะรีบวิ่งออกจากโรงเรียนไป รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาฝากกระเป๋าของตัวเองไว้ที่ประชาสัมพันธ์ จากนั้นก็ไสรถเข็นเล่นอย่างสบายใจ

     

    หยิบเอาวัตถุดิบทั้งหลายแหล่ใส่ลงในรถเข็น พ่อไม่ได้กลับไทยมานานมาก ๆ แล้ว เขาคิดว่าท่านคงคิดถึงอาหารไทยพอตัว แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนเก่งอะไร แค่ลักจำมาจากแม่บ้านในยูทูปนิดหน่อย เรื่องรสชาติคงรับประกันให้ใครไม่ได้

     

    เป็นวันแรกที่พริ้มกลับบ้านก่อนหกโมงเย็น เขาจัดเตรียมอาหารทันทีที่วางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟา ในบ้านเงียบสนิทเหมือนอย่างทุกวัน ไม่ว่าพริ้มจะรู้สึกอะไรบ้านก็ไม่เคยมีเสียงปลอบโยนใดใดให้กับเขาเลย อาหารหน้าตาหลากหลายวางเป็นจาน ๆ อยู่บนโต๊ะ พริ้มปาดเหงื่อพลางยิ้มพอใจที่รสชาติไม่ได้แย่เท่าที่จินตนาการไว้ เหลือก็แค่รอให้พวกเขากลับมา

     


    .



    .



    .


     

    เสียงเปิดประตูลูกกลอนดังขึ้นในช่วงเวลาห้าทุ่ม ภายในบ้านมืดสนิท ยกเว้นที่ห้องครัว ใครคนหนึ่งเดินย่องเข้ามายังจุดที่มีไฟเปิดอยู่ ปรากฏเป็นภาพที่แสนจะบีบหัวใจคือเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวนอนพับเข้ากับโต๊ะอาหาร

     

    ท่ามกลางกับข้าวหลายจานที่มีแมลงวันตอม

     

    น้ำตาคลอแทบจะทันทีเมื่อเด็กน้อยคนนั้นเงยหน้าขึ้นจากแขนซูบผอมด้วยท่าทางสะลึมสะลือ ดวงตาเล็กกลมสวยกะพริบถี่ ๆ ไล่ความง่วงให้ออกไปหลังจากงีบหลับไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ สักพักถึงได้รู้ตัวว่ามีคนยืนมองเจ้าตัวอยู่เงียบ ๆ

     

    แม่”

     

    และน้ำตาของผู้ถูกเรียกก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป

     

    “พริ้ม รอนานมั้ยลูก”

    “ไม่เท่าไรฮะ” เด็กน้อยของเธอพูดพลางมองนาฬิกาเรือนใหญ่ แล้วก็ต้องตอบเธอใหม่อีกครั้งเพราะเข็มสั้นไม่ได้ชี้ที่เลขเจ็ดอีกต่อไป “อ่าจะเที่ยงคืนแล้วหรอฮะเนี่ย”

    “วันนี้หนูคงเหนื่อยมากเลยใช่มั้ย ขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ดีกว่ามั้ยจ๊ะ?”

    “ปีนี้พ่อก็ไม่กลับมา

     

    เธอดึงลูกชายสุดที่รักเข้ามากอดแน่น กัดปากกลั้นเสียงสะอื้นไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ทำเหมือนเข้มแข็ง ทั้ง ๆ ที่ตาทั้งสองข้างแดงเถือกไปหมด เธอหวังให้ลูกลืมวันนี้ไปบ้างเสียก็ดี พริ้มไม่ควรมีความทรงจำที่โหดร้ายแบบนี้ เธอรู้ว่าลูกชายคนเล็กของเธอนั้นมีภาพวาดของพ่อตัวเองสดใสมากแค่ไหน และเพราะเป็นเด็กมองโลกในแง่ดี ข้อนี้แหละที่ทำให้พริ้มไม่เจ็บปวดกับความจริงที่ว่า พ่อไม่มีวันกลับมา

     

    ผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวใหม่แล้ว เขาหลอกพริ้มว่าไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้วไปที่นั่นเพื่อสร้างครอบครัวแล้วทิ้งพริ้มไว้ที่นี่ต่างหาก คำสัญญาที่ให้ไว้กับพริ้มว่าจะกลับมาทุก ๆ วันเกิดของพ่อตัวเองนั้นไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่พริ้มอายุสิบขวบ แต่เด็กคนนั้นก็ยังหวังหวังว่าวันเกิดปีนี้พ่อจะกลับมา

     

    แล้วก็ต้องผิดหวังอยู่แบบนี้วนลูปมาจนเข้าสู่ปีที่ 8

     

    รุ่งสางที่ผู้เป็นแม่แทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน รอยยิ้มแรกที่เงยหน้ามองเธอนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจเป็นอย่างมากรอยยิ้มดีใจที่คาดหวังว่าเธอจะเป็นพ่อที่เด็กชายตัวน้อยเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน เธอรู้สึกผิดที่ประคองอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง และรู้สึกโกรธผู้ชายคนนั้นที่ไม่ช่วยเธอด้วยเช่นกัน หญิงสาววัยสี่สิบเดินมาที่ห้องเด็กชาย เพียงคุณลูกชายที่แสนอ่อนโยนของเธอ

     

    “พริ้ม

    ฮะ

    “แม่รักหนูนะ”

    พริ้มก็ด้วย”

     

    ร่างเล็กโอบกอดเอวของคุณแม่ที่แอบปาดน้ำตายามที่ได้เห็นคิ้วเล็ก ๆ ของพริ้มขยับด้วยความสบายใจ เธอเป็นห่วงเหลือเกินว่าอาหารหน้าตาสวยงามบนโต๊ะจะสร้างรอยแผลให้กับเจ้าตัวมากน้อยแค่ไหน เพราะนี่ก็เป็นครั้งที่ 8 แล้ว หญิงสาวก้มตัวลงจุ๊บแก้มยุ้ยหลาย ๆ ทีให้หายคิดถึง แม้จะรบกวนเวลานอนของลูกชายแต่เธอก็เลือกที่จะทำเพื่อความสบายใจของตัวเธอเอง

     

    “ปีหน้าไม่ต้องทำแล้วนะ ไม่สิเลิกทำไปเลย”

    “ทำไมล่ะฮะ ถ้าพ่อกลับมาล่ะ?”

    “ไม่หรอก นอนต่อเถอะนะคนเก่ง แม่จะไปทำงานแล้ว”

    “ครับ ผมจะตั้งใจเรียนให้เหมือนกับที่แม่ตั้งใจทำงาน”

    “เก่งมากเลยลูกแม่”

     

    แม่จูบลาพริ้มเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

     

     








     

    ถึงแม้จะมีคนที่เยียวยาเราได้มันก็จะมีคนที่ทำร้ายเราได้เช่นกัน

     

    พริ้มก้าวถอยหลังช้า ๆ เมื่อด้านหน้าถูกต้อนด้วยแคท คนตัวเล็กกอดกระเป๋าใบเดิมของตัวเองแน่น อย่างน้อยก็ช่วยระบายความกลัวกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเจอถัดต่อจากนี้ได้ แคทดูอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

     

    พริ้มก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบราคาแพงของพวกเธอทีละคน และพบว่ามีจำนวนครบเจ็ดคนตามแก๊งของเธอ หนึ่งในนั้นพูดอะไรสักอย่าง ประมาณว่าให้แคทลงมือเสียทีก่อนที่เธอจะเป็นคนทำแทน แต่แคทก็ได้แต่จ้องมองท่าทีของเขาอยู่นานสองนาน

     

    เกร็งไปหมด

     

    “เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นเยอะนะ ได้ใครช่วยไว้ล่ะเท็ดดี้?”

    “อะอะไรหรอ”

    “ไม่มีทาง งั้นใครกัน? หรือว่าจะเป็นยี่หวา?”

     

    พวกเธอหัวเราะ

     

    “คือเราไม่เข้าใจ”

    “เมื่อวานแกลืมอะไรหรือเปล่า?”

    “เรื่องเวรใช่มั้ย?”

    “ใช่! ที่ปรึกษาเรียกพวกฉันไปด่าเพราะห้องเละเทะ!! แล้วแกมัวทำอะไร ห๊ะ? มันหน้าที่แกไม่ใช่หรือไง!!” เล็บยาว ๆ จิ้มแรง ๆ ที่หน้าผาก ดันมันสองสามทีและในครั้งสุดท้ายก็แรงซะจนหน้าแทบหงาย

    “เราบอกแคทแล้ว ว่าเรามีธุระจริง ๆ”

    “ธุระแกไม่สำคัญเท่าคำสั่งของฉัน ใช่มั้ยล่ะพริ้ม?”

    “เราทำไปนิดหน่อย มันก็สะอาดอยู่นะ”

     

    แคทพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด บีบคางเล็กอย่างแรงแล้วตบเข้าที่แก้มซ้าย ย้ำ ๆ หลายทีจนรู้สึกเจ็บ พริ้มอ้อนวอนด้วยสายตา กวาดมองไปทั่วห้องเพื่อขอความช่วยเหลือจากใครสักคนแต่คงไม่มี ห้องที่ออดเลิกเรียนดังแล้วก็ไม่ต่างจากสุสานร้างผู้คน

     

    “เถียงเก่งนะ”

     

    เพี๊ยะ!

    เพี๊ยะ!

    เพี๊ยะ!

     

    “เราเจ็บ

    “แล้วไง?”

    “เราขอโทษ เรามีธุระจริ…!!!

     

    ปัง!

     

    บานหน้าต่างที่กำแพงทางเดินถูกเปิดกระแทกกันจนเกิดเสียงดังลั่น เราทุกคนสะดุ้งกับการมาของใครคนหนึ่งที่พริ้มมองเห็นได้ไม่ชัดเพราะน้ำตาคลออยู่เต็มดวง แคทสะบัดมือออกจากใบหน้าและเมื่อพริ้มปาดน้ำตาก็ได้เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่อย่างชัดเจน

     

    เทคกับยี่หวา?

     

    “เล่นอะไรกันน่ะ ดูท่าทางสนุกเนอะ ว่ามั้ยไอ้หวา?”

     

    แคททำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอคนที่แอบชอบยืนประจันหน้าในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับพริ้มที่ก้มเก็บกระเป๋าสะพายและของนานาชนิดใส่ในกระเป๋าอย่างลวก ๆ เทคพาดขาข้ามขอบหน้าต่าง ก่อนจะนั่งลงแล้วมองมายังกลุ่มคนตรงเขาด้วยรอยยิ้มน่ากลัว

     

    “เอ่อหวัดดีเทค ยะยี่หวา ขึ้นมาทำอะไรกันหรอ?”

    “พอดีไอ้หวามันลืมของอีกแล้ว ก็เลยแวะขึ้นมาเอา”

    “งั้นหรอ ฮ่ะ ๆ แล้วได้ไปเอาหรือยังล่ะ”

    “เรียบร้อย แต่พอดีเห็นพวกเธอเล่นกันน่าสนุกก็เลยแวะมาเล่นด้วยก่อนจะไปซ้อมน่ะ”

    “คือ มันไม่ใช่อย่างนั้น

     

    เขาไม่เคยเห็นแคททำตัวไม่ถูกแบบนั้นเป็นครั้งแรก ใคร ๆ ก็รู้ว่าแคทชอบยี่หวา เพื่อนคนอื่น ๆ ของเธอก็ชอบยี่หวาเหมือนกัน พริ้มลอบมองทุกคนอยู่ด้านหลัง เห็นคนอื่น ๆ เริ่มเลิกลักเพราะสายตาของยี่หวาเยือกเย็นกว่าปกติ ถ้าแค่เทคคนเดียวก็ยังพอรับมือไหว แต่ถ้าเป็นยี่หวาที่ใช้สายตาจัดการกับทุกสิ่งบอกเลยว่าพวกเธอไม่เคยวางแผนที่จะรับมือมันมาก่อน

     

    เทคเดินฝ่าวงล้อมเข้ามาด้านในและหยุดอยู่ตรงหน้าเขา วางมือลงบนท้ายทอยของคนตัวเล็กที่แก้มช้ำเลือด จากนั้นก็ออกแรงลากให้เดินตามไปด้วยกัน ผ่านพวกเธอที่มองเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย และพามาหยุดลงตรงบานประตูหลังห้อง

     

    “หน้าก็น่าแกล้งอยู่หรอก แต่พวกเธอเล่นมากไปหน่อยมั้ง”

     

    เทคทิ้งทวนไว้แค่นั้นก่อนจะเปิดประตูออกไป เผชิญหน้ากับยี่หวาที่ทำให้พริ้มเผลอถอยหลังหนีด้วยความลืมตัว คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรถ้าไม่ได้สังเกต มือของหวายื่นมาข้างหน้า รอคอยอะไรบางอย่างอยู่นานเพราะพริ้มยืนนิ่งงันไม่ไหวติง ร่างสูงตัดบทด้วยการคว้ากระเป๋าที่เป็นจุดประสงค์แรกมาถือไว้และเป็นฝ่ายเดินนำ

     

    ยี่หวาถือกระเป๋าให้เขางั้นหรอ?

     

    ตาเล็กล่อกแล่ก หัวสมองกำลังประมวลสถานการณ์ที่น่าจะเรียกได้ว่าฉุกเฉินมากที่สุดแล้วในชีวิตของเขา พริ้มไม่เข้าใจการกระทำของเทคและยี่หวา การยื่นมือเข้ามาช่วยเขาเป็นเรื่องที่พริ้มถอดใจไปแล้ว เท็ดดี้ถือว่าเป็นคนที่ใครต่อใครก็รู้จัก ถ้าเท็ดดี้ออกปากว่าไม่ ทุกคนก็จะไม่เพราะไม่อยากมีเรื่อง ดังนั้นการที่ไม่มีใครมาช่วยเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการมีเรื่องกับเท็ดดี้ไม่ต่างจากการมีเรื่องกับพี่เพลิง ถึงแม้เท็ดดี้จะน้อยกว่ามาก

     

    แต่สำหรับพริ้มแค่นี้ก็เรียกว่าหนักแล้ว

     

    “อะไรของนายเนี่ย ยอมให้ตัวเองโดนตบอยู่ได้ เป็นซาดิสต์หรือไง?”

    “เอ่อขอบคุณนะเทค”

    “อะไรนะ เมื่อกี้เรียกชื่อปะ”

    “เอ่อ

     

    เทคโน้มตัวลงมาฟังใกล้ ๆ เพราะเบ๊ตัวเล็กนี่พูดเบาเกินไป เหมือนคนไม่มั่นใจ พริ้มอึกอักเข้าไปใหญ่เมื่อเทคยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนยี่หวาต้องรั้งไหล่ให้เทคเอาหน้าออกไป คนตัวเล็กก้มหน้านิ่ง เขาอยากจะพูดขอบคุณยี่หวาด้วยเหมือนกันแต่ความขี้ขลาดมีเยอะเกินไป

     

    กระเป๋าลูกนั้นถูกยื่นมาให้แทนพื้นอิฐที่พริ้มใช้เป็นที่ล็อคสายตา

     

    ร่างเล็กค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ เขาอยากสบตากับยี่หวาแต่ก็ทำได้แค่วินาทีเดียวเท่านั้น รับกระเป๋าของตัวเองกลับมากอดไว้แน่น ตำหนิในหัวเสียงดังว่าในสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรเลยไม่ควรจะดีใจที่ได้สบตาเลย

     

    ดวงตาของยี่หวาสวยจัง

     

    “ขอบคุณมาก ๆ เลยนะที่ช่วยเรา”

    “ไม่จำเป็น”

     

    พริ้มสะดุ้งเมื่อยี่หวาขยับตัว คำพูดเย็นชาจากคนตรงหน้าเป็นระเบิดแห่งความกดดันชั้นดีจนเขากลายเป็นใบ้ พริ้มกระชับกอดที่กระเป๋าแน่น วันนี้ก็เป็นได้แค่ภาพแย่ ๆ ที่ถูกเห็นอีกแล้ว พริ้มจะสร้างความทรงจำที่ดีให้คนที่ตัวเองชอบได้บ้างมั้ย หรือเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนกระทั่งเรียนจบเลยหรือเปล่า

     

    แม้จะรู้ตัวดีว่าไม่มีทางอยู่ในสายตา

     

    “เพราะฉันไม่ได้ทำอะไร”

    “ขอตัว”

     

    แต่ขอแค่ได้เห็นแผ่นหลังกว้างของยี่หวาในทุก ๆ วันก็พอ



    #พริ้มเพียงหวา










    ฝากน้องพริ้มด้วยนะคะ 

    นายเพียงคุณ ชื่อของพริ้มก็คือที่มาของ พริ้มเพียงหวา (หวา = คุณ) โรแมนติกจัง...

    ไม่รู้จะทอร์คอะไรอ่ะ คิดไม่ออก แต่รักคนอ่านมาก ๆ ขอบคุณอยู่เสมอเลยค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×