คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๔
4
อาจารย์รุ่นราวคราวลุงยืนสอนอยู่หน้ากระดานปาว
ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มหลังห้องริมหน้าต่างละความสนใจกับแผ่นกระดาษเอสี่ที่ตัวเองก้มหน้าก้มตาเขียนตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว
ยี่หวา ซาน และจอมทัพอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่มอต้น กอดคอกันเข้าชมรมวอลเล่ย์และเล่นให้ทีมโรงเรียนนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เทคอยู่ทับหก มุก เนย และผ้าอยู่ทับแปดเป็นแก๊งเขย่งหาอากาศ ซานกับจอมทัพชอบล้อพวกมันบ่อย
ๆ
ซานเอี้ยวตัวหาเพื่อนสนิทที่กำลังยุ่งอยู่กับ
‘ตารางซ้อมของมาสคอต’ เป็นหัวข้อขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องพยายามอ่านก็รู้เรื่อง
มองตากันกับจอมทัพที่ก็เอี้ยวตัวหันมามองกัปตันทีมของตัวเองเช่นเดียวกัน
มาสคอตเอาฮาแบบนั้น จะให้ซ้อมเป็นจริงเป็นจังทำไมก็ไม่รู้
“ทำไรวะ”
“…”
“เอาแค่พออันเดอร์ได้ก็พอปะ
ไม่ต้องถึงขนาดเขียนตารางซ้อมให้หรอก”
ยี่หวาเงยหน้าพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เออ ยังไงก็ต้องซ้อมกับชุดมาสคอต
คงวิ่งรอบสนามทั้งที่ใส่ชุดอบเนื้อแบบนั้นไม่ได้หรอกปะ”
“ไอ้ซานพูดถูก”
จอมทัพพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วดูมึงเขียนดิ
ม้วนตัว…อันเดอร์บอลร้อยครั้ง แล้วนี่อะไรอีก เซ็ต! มึงบ้าปะไอ้หวา”
“เขียนอะไรไม่ได้ดูสภาพชุดมันเลยนะมึงอ่ะ”
คนจริงจังก้มมองตารางที่ตัวเองตั้งใจเขียนอีกครั้งแล้วพบว่ามันไม่น่าใช่ตารางซ้อมของมาสคอต
แต่มันกำลังจะกลายเป็นตารางซ้อมของเด็กใหม่ไปเสียแล้ว
ซานกับจอมทัพหัวเราะล้อเลียนกล้ามปูโต ๆ กับชุดบาน ๆ ที่ไม่มีทางม้วนหน้าหรืออันเดอร์บอลให้เกินสองลูกได้อย่างแน่นอน
และเหมือนมันจะรู้ตัว ถึงได้ขย้ำกระดาษแผ่นนั้นทิ้ง
“ดีเพื่อน
ทิ้งไปซะ”
“กูเห็นแล้วสงสารไอ้ปูส้มนั่นชิบหาย
ถ้าไม่เบรกมัน มีหวังเอาไปใช้จริงแน่นอน”
“พูดมาก”
ยี่หวาดุเสียงเข้ม
“ว่าแต่ เสื้อแข่งสายเสร็จยังอ่ะ”
ซานถามถึงเสื้อทีมที่จะใช้สำหรับแข่งสายในงานกิจกรรม
‘OBEN-G’
หรือ ‘โอเบง’ ที่จะถึงนี้
เป็นกิจกรรมใหญ่ของทุก ๆ ปี ทั้งทางด้านกีฬา วิชาการ และวัฒนธรรม
งานโอเบงเป็นงานเปิดและงานใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าร่วมได้
ครั้งก่อนถูกจัดขึ้นที่โรงเรียน ชน. ลูกพี่ลูกน้องเขาก็ไปแข่งวิชาการมา
และในครั้งนี้จะจัดที่โรงเรียน อซ.
ซึ่งโรงเรียนใดที่เป็นเจ้าภาพ
สถานที่แข่งขันรอบชิงจะถูกจัดที่นั่นโดยปริยาย แต่การแข่งก่อนหน้านั้นที่เรียกว่า ‘การแข่งสาย’ เพื่อคัดเลือกคู่ชิงจะสุ่มจัดขึ้นที่โรงเรียนอื่นตามรายชื่อเข้าร่วมในงานโอเบง
โค้ชยังไม่ได้บอกว่าเราจะต้องไปแข่งที่โรงเรียนไหน แต่แจงเรื่องการเก็บตัวเพื่อซ้อมแข่งไว้เรียบร้อยแล้ว
เพราะหลังจากผ่านอาทิตย์หน้าไปได้
ก็จะเข้าสู่การแข่งสายและยาวไปจนถึงวันงานที่จะมีปลายเดือนหน้า
“เสร็จแล้ว
แต่เขายังไม่เอามาส่ง”
“สีไรวะ”
“แข่งสายสีเทา แข่งชิงสีม่วงเข้ม”
“เชี่ย
ยังไม่ทันแข่ง แต่มึงวางแพลนไกลไปถึงรอบชิงเลยหรอวะ”
ยี่หวายักคิ้วใส่
ของมันแน่อยู่แล้วว่าต้องไปไกลถึงแท่นรับรางวัล
ตั้งแต่ยี่หวาเข้าทีมคาลันโชมา สถิติต่าง ๆ ก็เริ่มดีขึ้น ๆ
จนกระทั่งพวกรุ่นพี่ออกไปจนหมดและยี่หวาขึ้นสู่มอปลาย เขาก็ได้เป็นกัปตันทีมของชมรม
พาพวกพ้องไปไกลถึงฝั่งฝันการเป็นที่หนึ่งของภาค…เรื่อยมาจนถึงตอนนี้
…ปีสุดท้ายที่เขาเดิมพันทุกอย่างเพื่อจะได้มา
และงานโอเบงคือใบเบิกทาง
“ต้องคิดโชว์ด้วยนี่หว่าปีนี้”
“…ใช่ แต่กูไม่ทำ”
“อ้าว
กัปตันทีมโบกมือลาตั้งแต่ตอนนี้แล้วใครจะทำล่ะครับท่าน”
“มึงไง
ถนัดไม่ใช่หรอเรื่องแบบนี้”
“มึงเชื่อใจกู…กูก็ทำให้มึงได้อ่ะหวา”
“กูเชื่อใจมึง”
ยี่หวาตอบแบบขอไปทีเพราะไม่ได้อยากทำมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ซานตื่นเต้นยกใหญ่ นานทีสิบปีหนไอ้หวาถึงจะมอบหมายหน้าที่ให้เขาทำ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ยี่หวาจะเอางานให้คนอื่นทำแม้มันจะไม่อยากทำก็ตาม ซานทำท่าทางพร้อมร้องเยสแบบไร้เสียงสองสามรอบแล้วหันไปจุ๊บแก้มจอมทัพ
แต่ยังไม่ทันจะโดน เพื่อนตัวโตก็ฟาดฝ่ามือลงบนแก้มตอบอย่างแรงจนทั้งห้องหันมามองพวกเขากันเป็นตาเดียว
เวรจริง ๆ
“พวกเธอทำอะไรกันน่ะ”
“เปล่าครับจารย์”
“พวกเขาหอมแก้มกันค่ะอาจารย์!!”
เสือกมีคนเห็นเหตุการณ์อีก
ให้ตายสิ… จอมทัพชี้หน้าคาดโทษเพื่อนตัวขาวที่ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรสักอย่าง
เวลามันดีใจ มันจะชอบเล่นอะไรแพลง ๆ แบบนี้ ไม่ใช่แค่กับเขา ทั้งทีมวอลเล่ย์มันก็ไล่หอมไปทั่ว
มันบอกว่า มันจะมันเขี้ยวเวลายี่หวาตามใจ
แต่จะให้หอมยี่หวาก็คงจะไม่จบลงที่ชี้หน้าแบบเขาแน่ ๆ
“ห…หรอ ถ้าจะแสดงความรักก็ให้ครูสอนจบก่อนสิ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับจารย์! ไอ้เหี้ยซาน!!”
“พวกเธออย่าไปมอง
เพื่อนเขินใหญ่แล้วเห็นมั้ย”
เดี๋ยวอาจารย์จะได้โดนชี้หน้าอีกคนถ้ายังไม่หยุดล้อ
เสียงหัวเราะของคนทั้งห้องดังลั่น…แม้กระทั่งห้องข้าง ๆ ก็ยังได้ยินชัดเจน
หญิงสาวหน้าตาโฉบเฉี่ยวที่ใครต่อใครในห้องก็ไม่กล้าหือลุกเดินออกจากห้องพร้อมกับพรรคพวกของเธอ
แต่ก็วกกลับมาใหม่ในตอนที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปสักอย่าง
“พริ้ม”
“ว่าไง”
คนตัวเล็กโดนเรียกจากหลังห้องในตอนที่กำลังลบกระดานอยู่คนเดียว
เพื่อน ๆ ต่างก็ทยอยออกจากห้องไปจนหมด เหลือเพียงสามสี่คนที่ยังนั่งคุยเล่นกันอยู่
แคทถุยหมากฝรั่งลงบนพื้นแทนที่จะเป็นถังขยะ แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอาบยาพิษที่มักจะมีให้กับพริ้มอยู่เสมอ
“อย่าลืมทำเวรนะจ๊ะ”
“เอ่อ…แคท เรามีธุระ”
“ไปนะ”
“คงอยู่ทำ…ให้…ไม่ได้”
เหมือนอย่างเคย…เธอไม่ได้ฟังเขาพูดจนจบ
แคทเดินออกไปแล้ว… พริ้มได้แต่ถอนหายใจ เขามักรู้สึกกังวลจนบางครั้งก็จะพูดติดขัดอยู่เสมอเวลาคุยกับแคท
เธอเป็นเหมือนนางพญาของห้อง ขนาดหัวหน้าห้องก็ไม่กล้ามีปากเสียงด้วย แล้วตัวเขาล่ะ…ตัวเขาที่เล็กจนแทบจะมองไม่เห็นจะไปสู้อะไรเธอได้ ขนาดวันนี้เขามีความกล้าที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
แต่สุดท้ายก็จะลงเอยด้วยความน่าสมเพชอยู่ดี
ไม่มีใครฟังเสียงของเขา…ไม่มีเลยสักคน
ความหนักใจล้นขึ้นมาถึงลิ้นปรี่
บีบระบายกับแปรงลบกระดานพลางคิดว่าจะเอายังไงกับเวรห้องวันนี้ดี
ใจหนึ่งก็ไม่กล้าที่จะหนี แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้ที่บ้านรอ …ใช่ วันนี้พ่อเขาจะกลับมาบ้าน พริ้มคิดถึงพ่อมาก แม่เองก็เช่นกัน
เป็นความรู้สึกเหงา ๆ ที่รู้ว่าเรามีแต่กลับว่างเปล่า แม่ไปทำงานเช้าตรู่…เช้ากว่าเขาไปโรงเรียนและกลับดึกมาก…มากจนไม่มีโอกาสรอเจอ
นาน ๆ ทีเราจะอยู่กันอย่างพร้อมหน้า ถึงไม่มีพี่สาวที่ติดเรียนก็ไม่เป็นไร
เขาจัดการกวาดห้องอย่างรวดเร็วและมันไม่ได้สะอาดมากเท่าไร
หอบเอาขยะลงไปทิ้งเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะรีบวิ่งออกจากโรงเรียนไป รอยยิ้มน้อย ๆ
ผุดขึ้นเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาฝากกระเป๋าของตัวเองไว้ที่ประชาสัมพันธ์
จากนั้นก็ไสรถเข็นเล่นอย่างสบายใจ
หยิบเอาวัตถุดิบทั้งหลายแหล่ใส่ลงในรถเข็น
พ่อไม่ได้กลับไทยมานานมาก ๆ แล้ว เขาคิดว่าท่านคงคิดถึงอาหารไทยพอตัว แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนเก่งอะไร
แค่ลักจำมาจากแม่บ้านในยูทูปนิดหน่อย เรื่องรสชาติคงรับประกันให้ใครไม่ได้
เป็นวันแรกที่พริ้มกลับบ้านก่อนหกโมงเย็น
เขาจัดเตรียมอาหารทันทีที่วางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟา
ในบ้านเงียบสนิทเหมือนอย่างทุกวัน ไม่ว่าพริ้มจะรู้สึกอะไร…บ้านก็ไม่เคยมีเสียงปลอบโยนใดใดให้กับเขาเลย
อาหารหน้าตาหลากหลายวางเป็นจาน ๆ อยู่บนโต๊ะ พริ้มปาดเหงื่อพลางยิ้มพอใจที่รสชาติไม่ได้แย่เท่าที่จินตนาการไว้
เหลือก็แค่รอให้พวกเขากลับมา…
.
.
.
เสียงเปิดประตูลูกกลอนดังขึ้นในช่วงเวลาห้าทุ่ม
ภายในบ้านมืดสนิท ยกเว้นที่ห้องครัว
ใครคนหนึ่งเดินย่องเข้ามายังจุดที่มีไฟเปิดอยู่
ปรากฏเป็นภาพที่แสนจะบีบหัวใจคือเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวนอนพับเข้ากับโต๊ะอาหาร
…ท่ามกลางกับข้าวหลายจานที่มีแมลงวันตอม
น้ำตาคลอแทบจะทันทีเมื่อเด็กน้อยคนนั้นเงยหน้าขึ้นจากแขนซูบผอมด้วยท่าทางสะลึมสะลือ
ดวงตาเล็กกลมสวยกะพริบถี่ ๆ ไล่ความง่วงให้ออกไปหลังจากงีบหลับไปนานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้
สักพักถึงได้รู้ตัวว่ามีคนยืนมองเจ้าตัวอยู่เงียบ ๆ
“…แม่”
และน้ำตาของผู้ถูกเรียกก็ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป…
“พริ้ม… รอนานมั้ยลูก”
“ไม่เท่าไรฮะ…” เด็กน้อยของเธอพูดพลางมองนาฬิกาเรือนใหญ่
แล้วก็ต้องตอบเธอใหม่อีกครั้งเพราะเข็มสั้นไม่ได้ชี้ที่เลขเจ็ดอีกต่อไป “อ่า…จะเที่ยงคืนแล้วหรอฮะเนี่ย”
“วันนี้หนูคงเหนื่อยมากเลยใช่มั้ย
ขึ้นไปนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ดีกว่ามั้ยจ๊ะ?”
“ปีนี้พ่อก็ไม่กลับมา…”
เธอดึงลูกชายสุดที่รักเข้ามากอดแน่น
กัดปากกลั้นเสียงสะอื้นไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ทำเหมือนเข้มแข็ง ทั้ง ๆ
ที่ตาทั้งสองข้างแดงเถือกไปหมด เธอหวังให้ลูกลืมวันนี้ไปบ้างเสียก็ดี
พริ้มไม่ควรมีความทรงจำที่โหดร้ายแบบนี้
เธอรู้ว่าลูกชายคนเล็กของเธอนั้นมีภาพวาดของพ่อตัวเองสดใสมากแค่ไหน และเพราะเป็นเด็กมองโลกในแง่ดี
ข้อนี้แหละที่ทำให้พริ้มไม่เจ็บปวดกับความจริงที่ว่า ‘พ่อไม่มีวันกลับมา’
ผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวใหม่แล้ว
เขาหลอกพริ้มว่าไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้วไปที่นั่นเพื่อสร้างครอบครัวแล้วทิ้งพริ้มไว้ที่นี่ต่างหาก
คำสัญญาที่ให้ไว้กับพริ้มว่าจะกลับมาทุก ๆ วันเกิดของพ่อตัวเองนั้นไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่พริ้มอายุสิบขวบ
แต่เด็กคนนั้นก็ยังหวัง…หวังว่าวันเกิดปีนี้พ่อจะกลับมา
แล้วก็ต้องผิดหวังอยู่แบบนี้…วนลูปมาจนเข้าสู่ปีที่ 8
รุ่งสางที่ผู้เป็นแม่แทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
รอยยิ้มแรกที่เงยหน้ามองเธอนั้น…สร้างความเจ็บปวดให้กับหัวใจเป็นอย่างมาก…รอยยิ้มดีใจที่คาดหวังว่าเธอจะเป็นพ่อที่เด็กชายตัวน้อยเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน
เธอรู้สึกผิดที่ประคองอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
และรู้สึกโกรธผู้ชายคนนั้นที่ไม่ช่วยเธอด้วยเช่นกัน
หญิงสาววัยสี่สิบเดินมาที่ห้องเด็กชาย ‘เพียงคุณ’ ลูกชายที่แสนอ่อนโยนของเธอ…
“พริ้ม…”
“…ฮะ…”
“แม่รักหนูนะ”
“…พริ้มก็ด้วย”
ร่างเล็กโอบกอดเอวของคุณแม่ที่แอบปาดน้ำตายามที่ได้เห็นคิ้วเล็ก
ๆ ของพริ้มขยับด้วยความสบายใจ เธอเป็นห่วงเหลือเกินว่าอาหารหน้าตาสวยงามบนโต๊ะจะสร้างรอยแผลให้กับเจ้าตัวมากน้อยแค่ไหน
เพราะนี่ก็เป็นครั้งที่ 8 แล้ว… หญิงสาวก้มตัวลงจุ๊บแก้มยุ้ยหลาย ๆ ทีให้หายคิดถึง แม้จะรบกวนเวลานอนของลูกชายแต่เธอก็เลือกที่จะทำเพื่อความสบายใจของตัวเธอเอง
“ปีหน้าไม่ต้องทำแล้วนะ
ไม่สิ…เลิกทำไปเลย”
“ทำไมล่ะฮะ
ถ้าพ่อกลับมาล่ะ?”
“ไม่หรอก… นอนต่อเถอะนะคนเก่ง แม่จะไปทำงานแล้ว”
“ครับ
ผมจะตั้งใจเรียนให้เหมือนกับที่แม่ตั้งใจทำงาน”
“เก่งมากเลยลูกแม่”
แม่จูบลาพริ้มเบา
ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป…
ถึงแม้จะมีคนที่เยียวยาเราได้…มันก็จะมีคนที่ทำร้ายเราได้เช่นกัน
พริ้มก้าวถอยหลังช้า
ๆ เมื่อด้านหน้าถูกต้อนด้วยแคท คนตัวเล็กกอดกระเป๋าใบเดิมของตัวเองแน่น
อย่างน้อยก็ช่วยระบายความกลัวกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะเจอถัดต่อจากนี้ได้
แคทดูอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่เช้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน…
พริ้มก้มหน้ามองรองเท้าผ้าใบราคาแพงของพวกเธอทีละคน
และพบว่ามีจำนวนครบเจ็ดคนตามแก๊งของเธอ หนึ่งในนั้นพูดอะไรสักอย่าง
ประมาณว่าให้แคทลงมือเสียทีก่อนที่เธอจะเป็นคนทำแทน
แต่แคทก็ได้แต่จ้องมองท่าทีของเขาอยู่นานสองนาน
เกร็งไปหมด…
“เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นเยอะนะ
ได้ใครช่วยไว้ล่ะ…เท็ดดี้?”
“อะ…อะไรหรอ”
“ไม่มีทาง
งั้นใครกัน? หรือว่าจะเป็น…ยี่หวา?”
พวกเธอหัวเราะ
“คือเรา…ไม่เข้าใจ”
“เมื่อวานแกลืมอะไรหรือเปล่า?”
“เรื่องเวร…ใช่มั้ย?”
“ใช่! ที่ปรึกษาเรียกพวกฉันไปด่าเพราะห้องเละเทะ!!
แล้วแกมัวทำอะไร ห๊ะ? มันหน้าที่แก…ไม่ใช่หรือไง!!” เล็บยาว ๆ จิ้มแรง ๆ ที่หน้าผาก ดันมันสองสามทีและในครั้งสุดท้ายก็แรงซะจนหน้าแทบหงาย
“เราบอกแคทแล้ว
ว่าเรามีธุระจริง ๆ”
“ธุระแกไม่สำคัญเท่าคำสั่งของฉัน
…ใช่มั้ยล่ะพริ้ม?”
“เราทำไปนิดหน่อย
มันก็…สะอาดอยู่นะ”
แคทพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด
บีบคางเล็กอย่างแรงแล้วตบเข้าที่แก้มซ้าย ย้ำ ๆ หลายทีจนรู้สึกเจ็บ
พริ้มอ้อนวอนด้วยสายตา
กวาดมองไปทั่วห้องเพื่อขอความช่วยเหลือจากใครสักคนแต่คงไม่มี… ห้องที่ออดเลิกเรียนดังแล้ว…ก็ไม่ต่างจากสุสานร้างผู้คน
“เถียงเก่งนะ”
เพี๊ยะ!
เพี๊ยะ!
เพี๊ยะ!
“เราเจ็บ…”
“แล้วไง?”
“เราขอโทษ
เรามีธุระจริ…!!!”
ปัง!
บานหน้าต่างที่กำแพงทางเดินถูกเปิดกระแทกกันจนเกิดเสียงดังลั่น
เราทุกคนสะดุ้งกับการมาของใครคนหนึ่งที่พริ้มมองเห็นได้ไม่ชัดเพราะน้ำตาคลออยู่เต็มดวง
แคทสะบัดมือออกจากใบหน้าและเมื่อพริ้มปาดน้ำตา…ก็ได้เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่อย่างชัดเจน
เทคกับ…ยี่หวา?
“เล่นอะไรกันน่ะ
ดูท่าทางสนุกเนอะ ว่ามั้ยไอ้หวา?”
“…”
แคททำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอคนที่แอบชอบยืนประจันหน้าในสถานการณ์แบบนี้
ไม่ต่างอะไรกับพริ้มที่ก้มเก็บกระเป๋าสะพายและของนานาชนิดใส่ในกระเป๋าอย่างลวก ๆ
เทคพาดขาข้ามขอบหน้าต่าง ก่อนจะนั่งลงแล้วมองมายังกลุ่มคนตรงเขาด้วยรอยยิ้ม…น่ากลัว
“เอ่อ…หวัดดีเทค ยะ…ยี่หวา ขึ้นมาทำอะไรกันหรอ?”
“พอดีไอ้หวามันลืมของอีกแล้ว
ก็เลยแวะขึ้นมาเอา”
“งั้นหรอ ฮ่ะ ๆ
แล้ว…ได้ไปเอาหรือยังล่ะ”
“เรียบร้อย
แต่พอดีเห็นพวกเธอเล่นกันน่าสนุกก็เลยแวะมาเล่นด้วยก่อนจะไปซ้อมน่ะ”
“คือ… มันไม่ใช่อย่างนั้น…”
เขาไม่เคยเห็นแคททำตัวไม่ถูกแบบนั้นเป็นครั้งแรก
ใคร ๆ ก็รู้ว่าแคทชอบยี่หวา เพื่อนคนอื่น ๆ ของเธอก็ชอบยี่หวาเหมือนกัน
พริ้มลอบมองทุกคนอยู่ด้านหลัง เห็นคนอื่น ๆ เริ่มเลิกลักเพราะสายตาของยี่หวาเยือกเย็นกว่าปกติ
ถ้าแค่เทคคนเดียวก็ยังพอรับมือไหว แต่ถ้าเป็นยี่หวาที่ใช้สายตาจัดการกับทุกสิ่ง…บอกเลยว่าพวกเธอไม่เคยวางแผนที่จะรับมือมันมาก่อน
เทคเดินฝ่าวงล้อมเข้ามาด้านใน…และหยุดอยู่ตรงหน้าเขา วางมือลงบนท้ายทอยของคนตัวเล็กที่แก้มช้ำเลือด
จากนั้นก็ออกแรงลากให้เดินตามไปด้วยกัน …ผ่านพวกเธอที่มองเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย
และพามาหยุดลงตรงบานประตูหลังห้อง
“หน้าก็น่าแกล้งอยู่หรอก
แต่พวกเธอเล่นมากไปหน่อยมั้ง”
เทคทิ้งทวนไว้แค่นั้นก่อนจะเปิดประตูออกไป
เผชิญหน้ากับยี่หวาที่ทำให้พริ้มเผลอถอยหลังหนีด้วยความลืมตัว
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรถ้าไม่ได้สังเกต
มือของหวายื่นมาข้างหน้า รอคอยอะไรบางอย่างอยู่นานเพราะพริ้มยืนนิ่งงันไม่ไหวติง ร่างสูงตัดบทด้วยการคว้ากระเป๋าที่เป็นจุดประสงค์แรกมาถือไว้และเป็นฝ่ายเดินนำ
ยี่หวา…ถือกระเป๋าให้เขางั้นหรอ?
ตาเล็กล่อกแล่ก
หัวสมองกำลังประมวลสถานการณ์ที่น่าจะเรียกได้ว่าฉุกเฉินมากที่สุดแล้วในชีวิตของเขา
พริ้มไม่เข้าใจการกระทำของเทคและยี่หวา
การยื่นมือเข้ามาช่วยเขาเป็นเรื่องที่พริ้มถอดใจไปแล้ว
เท็ดดี้ถือว่าเป็นคนที่ใครต่อใครก็รู้จัก ถ้าเท็ดดี้ออกปากว่าไม่ ทุกคนก็จะไม่เพราะไม่อยากมีเรื่อง
ดังนั้นการที่ไม่มีใครมาช่วยเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการมีเรื่องกับเท็ดดี้ไม่ต่างจากการมีเรื่องกับพี่เพลิง
ถึงแม้เท็ดดี้จะน้อยกว่ามาก
แต่สำหรับพริ้ม…แค่นี้ก็เรียกว่าหนักแล้ว
“อะไรของนายเนี่ย
ยอมให้ตัวเองโดนตบอยู่ได้ เป็นซาดิสต์หรือไง?”
“เอ่อ…ขอบคุณนะ…เทค”
“อะไรนะ
เมื่อกี้เรียกชื่อปะ”
“เอ่อ…”
เทคโน้มตัวลงมาฟังใกล้
ๆ เพราะเบ๊ตัวเล็กนี่พูดเบาเกินไป เหมือนคนไม่มั่นใจ พริ้มอึกอักเข้าไปใหญ่เมื่อเทคยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนยี่หวาต้องรั้งไหล่ให้เทคเอาหน้าออกไป
คนตัวเล็กก้มหน้านิ่ง เขาอยากจะพูดขอบคุณยี่หวาด้วยเหมือนกันแต่ความขี้ขลาดมีเยอะเกินไป…
กระเป๋าลูกนั้นถูกยื่นมาให้แทนพื้นอิฐที่พริ้มใช้เป็นที่ล็อคสายตา
ร่างเล็กค่อย ๆ
เงยหน้าขึ้นช้า ๆ เขาอยากสบตากับยี่หวาแต่ก็ทำได้แค่วินาทีเดียวเท่านั้น
รับกระเป๋าของตัวเองกลับมากอดไว้แน่น ตำหนิในหัวเสียงดังว่าในสถานการณ์แบบนี้ไม่ควรเลย…ไม่ควรจะดีใจที่ได้สบตาเลย…
ดวงตาของยี่หวา…สวยจัง
“ขอบคุณ…มาก ๆ เลยนะที่…ช่วย…เรา”
“ไม่จำเป็น”
พริ้มสะดุ้งเมื่อยี่หวาขยับตัว
คำพูดเย็นชาจากคนตรงหน้าเป็นระเบิดแห่งความกดดันชั้นดีจนเขากลายเป็นใบ้
พริ้มกระชับกอดที่กระเป๋าแน่น วันนี้ก็เป็นได้แค่ภาพแย่ ๆ ที่ถูกเห็นอีกแล้ว พริ้มจะสร้างความทรงจำที่ดีให้คนที่ตัวเองชอบได้บ้างมั้ย
หรือเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปจนกระทั่งเรียนจบเลยหรือเปล่า
แม้จะรู้ตัวดีว่าไม่มีทางอยู่ในสายตา…
“เพราะฉันไม่ได้ทำอะไร”
“…”
“ขอตัว”
แต่ขอแค่ได้เห็นแผ่นหลังกว้างของยี่หวาในทุก
ๆ วันก็พอ
#พริ้มเพียงหวา
ฝากน้องพริ้มด้วยนะคะ
นายเพียงคุณ ชื่อของพริ้มก็คือที่มาของ พริ้มเพียงหวา (หวา = คุณ) โรแมนติกจัง...
ไม่รู้จะทอร์คอะไรอ่ะ คิดไม่ออก แต่รักคนอ่านมาก ๆ ขอบคุณอยู่เสมอเลยค่ะ
ความคิดเห็น