คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๒
2
นิ้วชี้ขยับจิ้มจึก
ๆ อยู่ที่หน้าขา ชะโงกหน้ามองซ้ายมองขวาเมื่อแผ่นหลังของคนด้านหน้าเปลี่ยนไปมาไม่ซ้ำกันราว
ๆ สามคนได้ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างระงับความรีบ ขยับเท้าชิดติดกับส้นรองเท้าผู้ชายข้างหน้า
กันคนอื่นมาแทรกเป็นรอบที่สี่
เขายืนอยู่ตรงนี้มาประมาณห้านาทีแล้วและยังไม่มีวี่แววว่าจะเข้าใกล้ร้านน้ำได้เสียที
เหมือนการเห็นหน้าเขาก็จะเห็นป้าย
‘แทรกเลยจ้า’ อย่างไงอย่างนั้น
พริ้มสั่งน้ำตามที่โดนสั่งมาอีกทีอย่างคล่องแคล่ว
รอมาเนิ่นนาน…ในที่สุดก็ได้ซื้อสักที
หอบเอาขวดน้ำเจ็ดขวดมาด้วยมือทั้งสองข้าง
เดินทุลักทุเลไปยังโต๊ะสาวสวยที่คุ้นหน้าคุ้นตาเพราะอยู่ห้องเดียวกัน
พริ้มวางขวดน้ำทั้งหมดลงบนโต๊ะ ระวังไม่ให้ขวดที่อยู่ริมสุดล้มไปโดนใคร
พวกเธอเหล่ตามองเบ๊ตัวเล็กนิดหน่อย
แต่ก็ไม่มีใครคิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยพริ้มเลยสักคน
“ทำไมช้า
หิวน้ำจะตายอยู่แล้ว!”
“ขอโทษ…”
“จะไปไหนก็ไป”
แคทโบกมือไล่ เธอเป็นหัวหน้าใหญ่…คิดว่างั้นนะ แคทไม่ชอบเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยคิดจะลองชอบด้วย ถึงแคทจะไม่ได้แกล้งหนักเท่าผู้ชาย
แต่ก็เป็นจอมใช้งานที่ไม่เคยปล่อยให้เขาว่างเลยสักวัน เวลามีงานกลุ่มทีไร
แคทก็จะเอาเขาเข้ากลุ่มด้วยเพื่อให้คนเต็ม อีกอย่างก็จะให้เขาทำงานให้ ส่วนพวกเธอก็รับหน้าที่พรีเซ้นต์แล้วก็ได้คะแนนพิเศษไปคนเดียว
ทั้ง ๆ ที่ทั้งเล่มนั้นเขาเป็นคนทำ…สรุปที่เอาไว้พรีนั่นก็เขาทำเหมือนกัน
พริ้มวางเงินทอนที่เป็นเหรียญบาทลงบนโต๊ะ
พลันสายตาก็หันไปเห็นใบหน้าของใครบางคนอยู่ทางขวามือ …เป็นยี่หวานั่นเอง คนตัวเล็กหันหน้าหลบแทบจะทันที เขาไม่กล้าสบตาแม้ยี่หวาจะไม่ได้มองอยู่ก็ตาม
เขาจำโต๊ะนั้นได้ มันเป็นโต๊ะประจำของพวกยี่หวา ส่วนโต๊ะที่แคทนั่งก็เป็นโต๊ะที่สาว
ๆ มักจะแย่งกันเพื่อให้ตัวเองได้นั่งใกล้กับกลุ่มนักวอลเล่ย์บอลชายของโรงเรียน
ส่วนโต๊ะประจำของเขาคืออีกฟาก…ฟากที่ไม่มีใครอยากนั่ง
ฟักทองผัดไข่ราดข้าวเพียงอย่างเดียวบนจานพลาสติกสีชมพูถูกถือผ่านกลุ่มผู้คน
ก่อนจะหยุดลงเมื่อถึงจุดที่ร้างคน โต๊ะเก่า ๆ ที่โรงเรียนจะโล้ะทิ้งแต่เสียดายเลยเอามาวางไว้ใช้ที่ตรงนี้
เป็นมุมทึบ ๆ สปกรกเล็กน้อย แต่ก็เหมาะกับคนแบบเขาดี พริ้มวางจานข้าวลงบนโต๊ะ
นั่งในฝั่งที่จะมองกลุ่มของแคทเห็น แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้า
พริ้มเป็นคนตัวเล็ก
ไม่ค่อยมีแรงเพราะแคระแกนมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนชอบล้อว่าเขาเป็นคนขี้โรค ทั้ง ๆ
ที่เขาไม่เคยเป็นโรคอะไรนอกจากไข้หวัด…เห็นแบบนี้แต่ก็มีภูมิต้านทานดีไม่แพ้ใคร
แต่เอาเข้าจริง…เขาก็มีอยู่โรคหนึ่งที่รักษาไม่ได้คือ…เขาไม่กล้าขัดใจใคร เพราะแบบนั้นเลยโดนเอาเปรียบอยู่เสมอ
ด้วยความที่พอกลัวแล้วจะชอบหดคอหนี
เลยกลายเป็นภาพลักษณ์ขี้แพ้ให้คนอื่นเขารังแกได้ง่าย
แรก ๆ ก็ลำบากหน่อย
แต่ทำไปทำมาก็ชินไปเอง
เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีจานข้าวของใครบางคนวางกระแทกลงอย่างแรงที่ฝั่งตรงข้าม
เด็กผู้ชายคนนั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างแรงใส่เก้าอี้จนขวดน้ำของเขาสั่นไหว
ใช้สายตามองผู้มาใหม่ด้วยความงุนงง
มีใครสติดีที่ไหนมานั่งกินข้าวกับคนอื่นในมุมนี้กัน…
“หวัดดี”
เด็กคนนั้นเอ่ยทักเขาที่จ้องอยู่
“เอ่อ…อื้อ หวัดดี”
“ขอนั่งด้วยคนนะ
เราชื่อ จิ้มลิ้ม เทออ่ะ?”
ดวงตาของพริ้มเป็นประกายทันทีที่โดนถามชื่อ
เขาน่าจะเผลออ้าปากด้วยความดีใจ…แต่ช่างมันแล้วกัน
พริ้มอึกอัก ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่สิ…ตอนอนุบาลหรือปอสองก็เคยมีเพื่อนถามชื่อเขาเหมือนกัน
แต่จำไม่ได้แล้วเนี่ยสิว่าต้องตอบว่ายังไง
“ฮาโหลลลลล”
“เอ่อ…เราพริ้ม …ชื่อพริ้ม ทับสี่”
“เราทับแปด”
จิ้มลิ้มพูดไว้แค่นั้นแล้วตักข้าวเข้าปาก
เคี้ยวหนุบหนับเต็มแก้มทั้งสองข้าง
ทิ้งปริศนาหลายร้อยข้อให้พริ้มนั่งแก้ว่าทำไมจิ้มลิ้มถึงมานั่งกับเขาได้
คนตัวเล็กค่อย ๆ ลดสายตาลงและหันกลับมาสนใจจานข้าวตัวเองต่อ กินก่อนแท้ ๆ
แต่ของจิ้มลิ้มใกล้จะหมดแล้ว แน่สิ…เจ้าตัวเอาแต่ตักเข้าปากแบบไม่รอให้ตัวเองเคี้ยวเสร็จก่อน
กินคำหนึ่งยังไม่ทันหมด คำที่สองกับสามก็ยัดตามเข้าไปทันที
แล้วจู่ ๆ
ก็โพล่งขึ้นมา
“พวกผู้ชายชอบแกล้ง!”
“หื้อ?”
“เห็นเราตัวเล็กก็ชอบแกล้ง
นิสัยไม่ดี!”
พริ้มมองคนพูดมากตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
พอเห็นว่าพริ้มนั่งฟัง จิ้มลิ้มก็บ่นความในใจยาวเท่าเอสี่แปดหน้ารัว ๆ แบบไม่เว้นช่องไฟ
บี้ไข่พะโล้ในจานระบายความหงุดหงิดที่เมื่อกี้ก็เพิ่งโดนมาหยก ๆ พร่ำตั้งแต่ผู้ชายในห้องที่มักจะชอบแกล้ง
ชอบแหย่ เพื่อนในกลุ่มของตัวเองที่จะแกล้งให้แต่งหญิง ใส่หูแมว ทาปาก เขียนคิ้ว อะไรต่อมิอะไรที่ทำให้จิ้มลิ้มอารมณ์ไม่ดี
แล้วก็จะบอกว่าเขาน่ารักเองทำไม มันใช่เหตุผลที่จะมาแกล้งหรอถามจริง! …บ่นปากบิดปากเบี้ยวใส่จานข้าวอย่างออกรส
โดยที่คนฟังก็ยิ้มไป…น้ำตาคลอไป
“เฮียเพลิงบอกให้จดชื่อคนทำแล้วส่งไป
ไอ้เราก็ดีใจจะได้แก้แค้น พอเฮียอ่านชื่อเท่านั้นแหละ เฮียบอกไม่รู้จัก! โธ้ะ!! จะให้บอกชื่อไปทำไมก็ไม่รู้ เซ็งเลย!”
“ฮ่ะ ๆ จริงหรอ”
“ว่าแต่พริ้มรู้จักเฮียเพลิงมะ
หัวแดง ๆ นิสัยไม่ดี ๆ หน่อยอ่ะ”
“…รู้จัก”
“นั่นล่ะ
ลูกพี่เราเอง ฮี่ฮี่”
เด็กแสบยิ้มปากกว้างเป็นสี่เหลี่ยมโอ้อวดสรรพนามที่จบไปได้ประมาณสองปีที่แล้ว
ตอนเฮียเพลิงอยู่ก็ปลอดภัยไร้แมลงมากวนตีน แต่พอเฮียจบได้แค่ปีแรกเท่านั้นแหละ
จิ้มลิ้มโดนเละ โดนทุกวันจนหัวฟู จะแหย่อะไรนักหนาก็ไม่รู้ พวกผู้ชายน่ะน่ารำคาญ!
“เรากินหมดและ
เราไปก่อนนะ”
“…จะไปแล้วหรอ”
“ห๊ะ?
เมื่อกี้พูดว่าไรนะ?”
“เปล่า… บ๊ายบายนะ”
เขาโบกมือลาจิ้มลิ้มที่ยกยิ้มร่าแล้วหมุนตัวเดินออกไป
แขนข้างนั้นยกค้างเอาไว้เพื่อย้ำว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง …เขานั่งฟังเพื่อนเล่าเรื่องให้ฟัง
เขานั่งฟังจิ้มลิ้มเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง! ใช่…มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ ข้าวที่จิ้มลิ้มกินหกยังอยู่ตรงหน้าเขาอยู่เลย
มันเกิดขึ้นเร็วมาก…มากจนนึกว่าเขาฝันไป
“จิ้มลิ้ม…ทับแปด”
จะได้เจอกันอีกมั้ยนะ…
ซานเดินกลับมาที่โต๊ะหลังจากที่ฝากรุ่นน้องซื้อน้ำโกโก้ให้เพราะไม่อยากต่อแถวเอง
ที่โต๊ะมีแต่พวกเพื่อนในชมรมวอลเล่ย์
พวกมันมักจะมานั่งกินข้าวด้วยกันตามประสาผู้ชายที่นั่งกินที่ไหนก็ได้ขอแค่เป็นคนรู้จักก็พอ
แต่ส่วนมากก็จะมานั่งกินด้วยกันเป็นประจำทุกวัน
หันไปมองกัปตันทีมที่นั่งกินข้าวไม่สนใจใครแล้วก็ไม่คุยกับใครในเวลากิน
ยี่หวาอยู่ตำแหน่งตบหัวเสา ลูกหมุนและแม่นยำที่สุดในทีม
เป็นตัวแข็งแกร่งที่ต้องมีอยู่ในสนามหากจะเอาชนะภายในระยะเวลาอันสั้น
คนที่สูสีกับไอ้หวาก็คือ จอมทัพ อยู่ตำแหน่งเดียวกัน
ถึงแม้ลูกจะไม่มีเทคนิคหมุน แต่ลูกของไอ้จอมหนักและแรงมาก ถ้าใช้แขนรับหลาย ๆ
ลูกติด ๆ กันมีโอกาสที่แขนจะช้ำเลือดได้ ทีมก่อน ๆ เคยโดนมาแล้ว
ซานเป็นตัวตีบอลเร็ว
โค้ชมอบตำแหน่งนี้ให้ทันทีที่เริ่มฝึกท่าตบเพราะพรสวรรค์ของมันเฉิดฉาย เช่นเดียวกับไอ้เทค
ที่เป็นตัวบล็อกมือฉมังและลูกตบสามเมตรของมันมีจุดตายอยู่ที่เส้นขอบสนาม ตัวสำคัญของทีมที่จะขาดไม่ได้เลยคือ
มุก ตัวเซ็ตสุดเทพของทีมคาลันโช เซ็ตหลอกทั้งสนามและทีมตัวเอง
ยังดีที่เราเล่นด้วยกันมานานก็เลยรับมือได้
ยังมี เนย
เป็นตัวตบบอลบี บางทีก็เซ็ตแทนมุก สองคนนี้ฝีมือเซ็ตไม่ต่างกันมาก
แต่เนยไม่เคยเล่นตำแหน่งนี้เป็นจริงเป็นจัง สุดท้ายก็คือ ผ้า ผ้าอะไรมันก็ไม่ต่อท้ายมา
เรียกผ้าฝ้ายมันก็ด่า ผ้าแพรมันก็ไม่เอา สรุปก็คือผ้า ผ้าเฉย ๆ ไม่ระบุประเภท
ไอ้ผ้าเป็นลิบบอโร่ ตัวเตี้ย ๆ หน้าตากวนตีน ปากดี ๆ กัดเจ็บ ๆ แต่พอลงเล่นก็เป็นตัวกวาดบอลทั้งสนาม
ไม่ว่าลูกจะลอยไปหน้าบ้านใครก็ตามไปเก็บได้หมด
แต่กว่าจะมาได้ขนาดนี้…น้ำตาลูกผู้ชายก็หยดไปหลายเม็ดอยู่
“เมื่อเช้ากูแวะไปห้องชมรม
โค้ชให้มาถามว่าใครจะไปทำความสะอาด”
“ไอ้ซาน”
“ไอ้หวา!!
ไม่เอาเว้ย!”
ซานโวยใส่ยี่หวาทันทีที่โดนแกล้งให้ไปทำความสะอาดห้องอุปกรณ์เก่าคนเดียว
เพราะไปแกล้งคุณกัปตันทีมเขาล่ะนะ ก็เลยโดนเล็งอยู่ตลอด ยี่หวาเมินเสียงน่ารำคาญของเพื่อนสนิทตัวเองที่พยายามจะลากคนอื่น
ๆ ให้ไปทำด้วยกัน แต่ทุกคนส่ายหัว
“ไอ้หวามันก็พูดไปงั้นแหละ
ยังไงมันก็ไม่ให้มึงไปทำคนเดียวหรอก”
“ดีมากเลยเพื่อน
ถุย!”
“สกปรกไอ้สัส
มึงจะถุยจริงทำเชี่ยไรเนี่ย”
ความวุ่นวายของโต๊ะนี้เกิดขึ้นทุกวันจนเหนื่อยใจจะเตือน
จู่ ๆ ไอ้ซานก็ทำเสียงชู่ให้เราเบาเสียงลงท่ามกลางโรงอาหารที่มีแต่คนตะโกนแหกปากทั้งที่ข้าวอยู่เต็มวง
มันรั้งคอยี่หวาให้เข้ามาใกล้ ทำเหมือนคนจะซุบซิบกันแต่ยี่หวาสะบัดออก
“มึงดู ๆ
เป็นเบ๊ไอ้เหี้ยเท็ดหรือเบ๊ใครกันแน่วะ”
สายตาทั้งเจ็ดคู่
ค่อย ๆ หันไปตามนิ้วของซานที่ชี้ไปยังเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่เดินมาเก็บจานให้พวกผู้หญิงที่เขารู้จักผ่าน
ๆ จำชื่อเบ๊ไอ้เท็ดไม่ได้
แต่จำได้ว่าวาเลนไทน์ปีที่แล้วมันเอาช็อคโกแลตมาให้ไอ้หวา
“กูเห็นมันทำมานานแล้วนะ
แต่พวกมึงคงไม่ได้สังเกต”
“มีคนเก็บจานข้าวให้ก็ดีเหมือนกันนะเว้ย
ลองมะ?”
ยี่หวาเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว
ลอบมองคนที่เป็นหัวข้อสนทนาของจอมทัพและซานอย่างเงียบ ๆ
เด็กคนนั้นกวาดเศษข้าวออกจากจาน แยกช้อน และซ้อนจานไว้อย่างดี อยู่ ๆ ก็ลืมตัวสังเกตพฤติกรรมของคนตรงหน้าซะอย่างนั้น… ใบหน้าของคนโดนเอาเปรียบไม่ได้แสดงสีหน้าเสียใจที่โดนใช้งาน แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยความตั้งใจกับหน้าที่ที่ตัวเองทำอยู่
ไม่เข้าใจ…
“จ้องขนาดนั้นเดี๋ยวมันก็อ้วกแตกหรอก”
ยี่หวาหันไปทางไอ้เนยที่พูดแทรกขึ้นมา
ขัดเขาให้หลุดออกจากภวังค์
“เออ
เกร็งแล้วนั่น ตลกว่ะ”
“จะว่าไปก็น่าแกล้งดีเหมือนกัน
ไม่แปลกใจทำไมไอ้เหี้ยเท็ดถึงไม่ชอบ”
เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นเมื่อเบ๊คนนั้นเดินจากไป
เขาไม่รู้จัก…แต่จำได้ลาง ๆ ว่าเคยเห็น ไอ้ซานก็ชอบย้ำข้างหูหลายรอบแต่ก็จำไม่ได้เสียทีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
ห้องอะไร แล้วทำไมถึงเป็นเบ๊ของคนอื่นได้ แต่เพราะมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา…ก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจ
“มันชอบมึงด้วยนะไอ้หวา
สตอล์คเกอร์ไง ตามมึงต้อย ๆ ตอนแข่งโอเบงปีก่อน”
“จริงหรอวะ
ไม่ใช่บังเอิญเจอหรือไง แบบเดินมาป๊ะหน้ากันพอดีงี้”
“สองสามรอบเลยเนี่ยนะ
สาบานว่าต้องมีตามกันบ้าง”
“อาจจะใช่ แต่กูว่าไอ้หวาจำไม่ได้”
“เออ
แม่งไม่ฟังกูอีกแล้วเนี่ย”
ซานบ่นยี่หวาที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่สนใจเขาเม้าท์แหลกเหมือนทุกที
เขาทำใจยอมรับความไร้มนุษย์สัมพันธ์ของมันมานานแล้ว หนักกว่าลูกพี่ลูกน้องมันคือแม่งจำใครไม่ค่อยได้
ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริง ๆ ขนาดเพื่อนร่วมห้องยังถูกมันลืมเลย
นิสัยเสียอีกอย่างหนึ่งคือแม่งไม่เอาใคร ไม่เอาในที่นี้คือไม่เอาจริง ๆ แบบไม่สน
ไม่แคร์ ไม่พูดถึง ไม่มองด้วย
ทุกอย่างคือลมฟ้าอากาศที่มีอยู่จริงแต่ไม่มีค่าให้สนใจ อะไรเทือก ๆ นั้น
เมื่อไรที่เขาได้ยินสาว
ๆ คุยกันว่ายี่หวาสบตาอย่างนั้นอย่างนี้ เชื่อเถอะว่ามันมองฝุ่น ไม่ก็หน้าของเธอไปบังแมลงวันที่มันกำลังมองอยู่พอดี
ไม่มีหรอกที่มนุษย์ไม่ใช่เพื่อนจะอยู่ในสายตามันได้
ไม่มีทาง
ลูกกุญแจเก่า ๆ
โทรม ๆ ถูกดึงออกจากรูล็อคที่ไม่ได้แตะมันมานานแรมปี เหล่าคนที่ถูกใช้งานต่างเอามือปัดฝุ่นที่ฟุ้งไปทั่วหลังจากเปิดประตูเข้าไป
เสียงไอดังค่อกแค่กไปทั่วห้อง คิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะเอาผ้าปิดปากใส่กันก่อนจะเข้ามาทำ
ใครจะไปนึกว่ามันจะเลอะเทอะและสกปรกขนาดนี้
“เอาตามทฤษฎีของโลกนะมึง
กูคิดว่าเขาควรให้เด็กใหม่มาทำแทนพวกตัวจริงที่ควรจะซ้อมกันอยู่ที่สนามปะวะ” ซานบ่นกระปอดกระแปด
“หุบปากแล้วไปหยิบอุปกรณ์มา
ไอ้เนย…มึงไปเอาน้ำใส่กะละมัง”
“กูคนเดียวเนี่ยนะ”
“หรือจะให้กูไปด้วย?”
“เอาไอ้ผ้าไปแทนได้มะ”
ยี่หวาพยักหน้าอนุญาต
เนยเดินไปลากแขนผ้าที่กำลังทำหน้าเซ็งโลก
ยืนทบทวนอยู่ตรงนี้หลายนาทีว่าโค้ชใช้เกณฑ์อะไรตัดสินให้พวกเขาทั้งเจ็ดคนต้องมาทำความสะอาดอยู่ตรงนี้
แล้วไอ้ยี่หวามันใช้เหตุผลอะไรของแม่งในการตกปากรับคำของโค้ช แล้วลากพวกเขามาเผชิญกับฝุ่นจำนวนมหาศาลนี้
ไอ้เพื่อนเวร
ไอ้คนไม่รักความสบาย
“กะอีแค่มาสคอต
ทำไมกูต้องต้อนรับแม่งขนาดนี้”
“มองมันให้เป็นสีสันของทีม
อย่างน้อยเรื่องที่ถูกพูดถึงก็ไม่ใช่แค่เบอร์ของพวกมึงที่ติดอยู่บนอก”
“เฉียบ”
“ยังไงก็เลือกที่จะมีมันแล้ว
พวกมึงก็ช่วยดูแลให้เหมือนมันเป็นเพื่อนในทีมด้วยแล้วกัน”
“หวาว่าไงเพื่อนว่างั้น
แต่อยากรู้ว่ะใครเป็นคนใส่…ลึกลับสัส”
สองมือทำ
ส่วนปากก็พร่ำไปเรื่อย ถึงแม้ทุกคนจะไม่ได้มาจากห้องเดียวกัน
แต่ก็สนิทกันเพราะไปแข่งและซ้อมด้วยกันบ่อย ๆ
มีบ้างที่วันหยุดจะชวนกันไปเที่ยวนู้นนี่ แข่งต่างจังหวัดทีก็ตัวติดกันเสมอ …เป็นแบบนี้มาตั้งแต่มอต้นที่เราทั้งเจ็ดคนเข้าร่วมทีมของโรงเรียน
“ไอ้มุก
นิ้วมึงหายดีแล้วยัง?”
“ก็โอเคขึ้นอ่ะ
ถ้าไม่เซ็ตลูกผิดจังหวะก็ไม่เจ็บ”
“สมหน้าไอ้ควาย
เสือกรับลูกตบของไอ้หวาด้วยท่าเซ็ตเฉย”
“ก็กูตกใจปะวะ
กูเห็นไอ้ซานขึ้นนึกว่าจะตบมา เสือกเป็นไอ้หวาขึ้นแทน ไอ้เหี้ย…พูดละเสียวนิ้ว”
หยากไย่กองสุดท้ายหลังล็อกเกอร์เก่าโดนโจมตีด้วยไม้กวาดเป็นอย่างสุดท้าย
พร้อมกับเก้าอี้เก่า ๆ ที่ไสออกไปข้างนอกห้องหลังจากกลายเป็นห้องเก็บของอยู่หลายเทอม
มุกกับเนยรับหน้าที่ถูพื้น ไอ้เทคกับไอ้จอมเช็ดฝุ่นบนหลังตู้
ไอ้ซานเช็ดกระจกระบายอากาศช่องเล็ก ๆ ในขณะที่ปากก็พล่ามไม่ยอมหยุด
“กูลืมของ…” ยี่หวาพูดขึ้นในตอนที่มือกำลังใช้ผ้าเช็ดที่โต๊ะและเก้าอี้
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วตอนจินตนาการว่าตัวเองจะต้องไปเปลี่ยนชุด
แต่ดันลืมหยิบเอากระเป๋าเสื้อผ้าลงมาจากห้องเรียน
“ลืมไรวะ”
“กระเป๋าเสื้อผ้า
เดี๋ยวกูมา ทำกันไปก่อน”
ร่างสูงโยนผ้าขี้ริ้วใส่ถังจนน้ำกระเด็นออกมา
ไม่ได้สนใจเสียงโวยวายที่ด่าปาว ๆ ตามหลังมาว่าพื้นที่เนยเพิ่งเช็ดเลอะเพราะเขา
วิ่งเหยาะ ๆ ไปที่อาคารเรียน ผ่านสนามหญ้าที่มีเหล่าชมรมฟุตบอลเล่นกันอยู่เต็มไปหมด
เวลาที่เพิ่งเลิกเรียนเรียกได้ว่าคึกครื้นที่สุด ดังนั้นเลยมีคนอยู่รอบ ๆ โรงเรียนเต็มไปหมด
ไม่เว้นแม้แต่บนอาคาร
เขาบอกว่าท้องฟ้าหน้าตาเหมือนเดิมเสมอ…กว้างใหญ่และเป็นแผ่นเดียวกัน ยกเว้นก้อนเมฆที่แปรเปลี่ยนไปตามความชื้นและไม่เคยที่จะหยุดเคลื่อนที่
พริ้มคิดว่าตัวเองเหมือนท้องฟ้า…เป็นท้องฟ้าที่มีสถานะเดียวไม่ว่าหน้าจะเปลี่ยนไปตามอารมณ์ไหน
เป็นสถานะที่อยู่คนเดียวเฉกเช่นตอนนี้…
รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นมากะทันหันทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน
เขานึกถึงคนชื่อ จิ้มลิ้ม นักเรียนในโรงเรียนคนแรกของปีนี้ที่เข้ามาคุยกับเขาเหมือนคนปกติ
ในขณะที่เขานั่งพยักหน้าฟังเพื่อนทับแปดบ่น…ความฝันของคืนวันนั้นก็แวบเข้ามา
เหมือนเป็นฝันทำนายอนาคต
…ว่าไปนั่น
ไม้ถูพื้นด้ามเดิมที่น่าจะมีเขาใช้มันอยู่คนเดียวในห้อง
ลากไปตามพื้นตั้งแต่หน้าห้องยันหลังห้อง ก่อนจะพาตัวเองมาที่หน้าต่าง…มุมประจำที่เขามักจะมาเชียร์ชมรมฟุตบอลเล่นอยู่เสมอ เคยโชคดีอยู่ครั้งหนึ่ง
ในวันที่ทีมวอลเล่ย์บอลเลิกเร็ว เขากำลังทำเวรอยู่ในห้อง
และในวันนั้นเป็นวันที่เขาได้มีโอกาสเชียร์ยี่หวาเตะบอลครั้งแรก …เป็นอะไรที่มีความสุขไม่รู้ลืม ยังจำได้เลยว่ายี่หวาใช้เท้าขวาเตะเข้าโกล
เท่กว่าใครในสนามเลยล่ะ
“who
lives in a pineapple under the sea~”
เสียงเล็ก ๆ
ร้องเพลงอะไรสักอย่างออกมาในตอนที่กำลังใช้มือบิดผ้าเช็ดพื้น
“Spongebob!
SquarePants!”
พริ้มหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ ตอนตะโกนเนื้อเพลงน่ารัก ๆ ที่เคยดูตอนเช้าตรู่ในช่วงวันหยุดคนเดียวในบ้าน เนื้อเพลงมีคำว่ากัปตันตอนแรกเริ่มด้วย แล้วเวลาร้องทีไรเสียงก็จะอ้อมแอ้มทุกที
เงยหน้าปาดเหงื่อที่หน้าผากออก ก่อนจะเผลอไปสบสายตาของใครคนหนึ่งเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว…
ยี่หวา!!
ร่างสูงมองมาด้วยสายตาเรียบเฉย
ทำเอาพริ้มถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้ว่ายี่หวาเห็นเขาตั้งแต่ตอนไหน
ถ้าเห็นตั้งแต่ตอนร้องอันเดอร์เดอะซีต้องถูกหาว่าเป็นเด็กปัญญาอ่อนแน่ ๆ
คนตัวเล็กเม้มปาก กัดมันไปมาและก้มหน้างุด ได้ยินเสียงรองเท้าเดินผ่านไปแล้ว…
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าเงยหน้ามองอยู่ดี
สูดลมหายใจเข้าลึก
ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีใครอยู่ที่หน้าห้อง
แต่ถ้าทุกสิ่งเกี่ยวกับยี่หวา…มันก็จะกลายเป็นอะไรที่ยากสำหรับเขาไปเสียหมด
และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกรอบ ใบหน้าเฉยเมยของยี่หวาก็ปรากฏในสายตาเขาอีกรอบ!
นี่เขาเล่นก้มหน้าตั้งแต่ยี่หวาเดินมาจนเดินไปเลยหรอเนี่ย
“เอ่อ…!”
เมื่อหัวใจไม่ฟังสมอง
ปากเล็ก ๆ ก็เผลอเปล่งเสียงเรียกคนหน้าห้องที่ส่งสายตาดุมาให้ทันที
ร่างสูงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามขึ้นเล็กน้อย สีหน้าแบบนั้นทำเอาพริ้มนิ่งงันราวกับปากเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ
ยี่หวาเปลี่ยนท่ายืนมาเป็นกอดอก
มองอีกฝ่ายที่ทำท่าเงอะงะไม่ยอมพูดอะไรสักอย่างออกมาเสียที
เมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของร่างสูง พริ้มก็ค่อย ๆ ก้มหน้าจนคางแตะที่คอเหมือนอย่างเก่า
ตะโกนขอโทษอยู่ในหัวที่ถือวิสาสะเรียกแต่ไม่มีความกล้าที่จะพูด และพอเงยขึ้นมาอีกรอบ
…ก็ไม่เห็นใครยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
#พริ้มเพียงหวา
ขอบคุณทุกฟีดแบคจากทุกช่องทาง จะมาบ่อย ๆ เท่าที่สามารถทำได้เลยค่ะ
ไหนใครจำจิ้มลิ้มได้บ้าง55555555 ก็อยากให้น้องมีเพื่อน แต่ก็ไม่รู้อีกแหละว่าพริ้มจะได้จิ้มลิ้มเป็นเพื่อนมั้ย เพราะน้องแค่มาบ่น ๆ ที่โดนเพื่อนผู้ชายแกล้งเฉย ๆ (โดนคนละแบบกับพริ้มนะ)
ถ้าชอบ อย่าลืมบอกต่อนะ//ธูปมาเขียนบรรยายแทนพี่ที
ความคิดเห็น