ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    #พริ้มเพียงหวา | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #2 : พริ้มเพียงหวา : ตอนที่ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 62







    ตอนที่ ๑

     


     

     


    กระดาษเอสี่พับครึ่งไปสองรอบยื่นมาให้ตรงหน้าร่างสูงที่เพิ่งปาดเหงื่อออก หลังจากที่กระโดดตบลูกวอลเล่ย์ที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ กัปตันทีมทำหน้าฉงนใส่โค้ช กระดาษใบนั้นขยับสองสามทีเร่งเร้าให้เขารับไปแทนที่จะมองหน้าโค้ชตัวเอง

     

    “ไปจัดการมาด้วย ชอบตัวไหนก็จิ้ม ๆ มา” ยี่หวาเงยหน้าขึ้นสบตาเมื่ออ่านเอกสารใบเดียวที่เรียกว่าหนังสือขอใช้งบจบ

     

    เขาค่อนข้างไม่เห็นด้วย ที่จะเอาเงินของทีมไปใช้อะไรที่มันไม่จำเป็น อย่างเช่น การไปเช่า ‘มาสคอต’ เพื่อเอามาเป็นสัญลักษณ์ของทีมคาลันโช…ทีมวอลเล่ย์บอลที่กำลังเป็นที่จับตามอง ถ้าถามว่าอะไรเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของทีม ชื่อก็บอกความหมายอยู่แล้วว่าคือ ‘กุหลาบหิน’ จะให้ไปหามาสคอตมาแทนทำไม

     

    “รู้ว่าไม่ชอบ แต่ต้องใช้ ตั้งแต่ทีมได้แชมป์ปีที่แล้ว โรงเรียนเราก็มีเด็กใหม่เข้ามาเยอะมาก รวมไปถึงทีมวอลเล่ย์บอลด้วย”

     

    โค้ชเบนสายตาไปทางกลุ่มเด็กใหม่ที่กำลังยืดเส้นยืดสาย จำนวนราว ๆ ยี่สิบกว่าคน นับว่าเป็นเรื่องดี แม้บางคนอาจจะหนีไปซะตั้งแต่วันนี้หลังซ้อมเสร็จ ส่วนหนึ่งที่ชมรมป็อปขึ้นก็เพราะมีกัปตันทีมคนเก่ง ดุไปหน่อย แต่ก็เพื่อทีม เจ้าหมอนี่ไม่ค่อยไว้หน้าใคร ไม่ชอบสอนใคร เลยอยู่แต่กับตัวจริงในสนามเสมอ ไม่คลุกคลีกับเด็กใหม่…ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาเพราะอยากเล่นหรืออยากมาดูกัปตันทีมกันแน่

     

    อ๋อใช่ ชมรมวอลเล่ย์บอลไม่แยกชายหญิง ยกเว้นตัวจริงที่ต้องแยกสนามซ้อม

     

    “มีตัวอะไรที่โค้ชอยากได้มั้ย?”

    “ไม่มี”

     “ผมก็ไม่มี”

     

    โค้ชหัวเราะ เมื่อสีหน้าของยี่หวาไม่มีแม้แต่กล้ามเนื้อขยับ

     

    “ฉันฝากนายดูแลมาสคอตด้วยนะ ไม่รู้ว่าคนที่ใส่จะเล่นวอลเล่ย์เป็นหรือเปล่า”

    “ต้องเล่นด้วย?”

    “ต้องสิ เหมือนพวกเปิดงาน…ต้องโชว์”

    “ยุ่งยาก น่ารำคาญชะมัด…”

     

    ชายวัยยี่สิบปลาย ๆ ขยี้หัวสีสวยที่แสนแสบตาเล่นอย่างมันเขี้ยว ยี่หวาสะบัดหัวตัวเองออกอย่างไม่สบอารมณ์ เวลาโค้ชรู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีล่ะชอบแหย่ให้โมโห จัดทรงผมตัวเองลวก ๆ ก่อนจะหันมองรอบ ๆ สนาม พอจะมีใครที่สามารถดูแลและสอนไอ้เจ้ามาสคอตตัวปัญหานี่เล่นแทนเขาได้มั้ย

     

    การสอนคนที่ไม่มีพื้นฐานเป็นอะไรที่น่ารำคาญ…

     

    “ทำหน้าอย่างเข้ม เป็นเหี้ยไรไอ้หวา”

     

    เพื่อนผิวขาวเดินเข้ามาหาด้วยขาที่ยาวเกินครึ่งหนึ่งของความสูงมัน ไอ้ซานตวัดแขนกอดคอเขา มันเป็นตัวตบบอลเร็ว ซ้อมด้วยกันมาตั้งแต่มอต้น ยี่หวาเหล่ตามองใบหน้าเปื้อนยิ้มที่มีอยู่ตลอดของมัน ก่อนจะเบนออกด้วยความหงุดหงิด ปัดแขนที่เปียกเหงื่อออกเบา ๆ แสดงท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจน

     

    “เรื่องมาสคอต”

    “อ๋อ เอาจริงดิ แล้วเอาตัวไรอ่ะ”

    “ไม่รู้ โค้ชให้ไปเลือกที่ร้านเอง”

    “เจ๋งสัส กูขอเลือกนะ”

     

    กัปตันทีมส่งสายตาขู่ มึงมีสิทธิ์อะไรในหน้าที่นี้

     

    “โห่ ไม่อยากทำแต่ก็หวง หวงไปหมด…”

    “หุบปาก”

     

    เสียงปรบมือดังสองที เป็นสัญญาณเรียกรวมเหล่านักกีฬาทั้งตัวจริง ตัวสำรอง และเด็กใหม่ ให้มาเข้าแถว อย่างที่รู้กันดีว่าการเป็นลูกทีมของยี่หวาจะต้องไม่ช้า ไม่อืดอาด ไม่ยืดยาด ต้องเร็วเท่าที่จะทำได้ เร็วให้เหมือนบ้านถูกไฟไหม้แล้วต้องวิ่งไปยกตู้เย็นใหม่ออกมาให้ทัน เพราะแบบนั้นคนที่เรียนรู้ช้าก็เลยมักจะโดนปล่อยทิ้งไว้ บางคนก็หมดกำลังใจจนออกจากชมรมไป บางคนก็แปรเปลี่ยนเป็นพลัง…

     

    “วิ่งรอบสนามคนละ 10 รอบก่อนกลับ เทค…มึงนำ”

     

    เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินออกมาที่หัวแถว

     

    “มึงห้ามพาคนอื่นโกงรอบนะไอ้จอม”

    “เลิกแล้วว่ะ”

    “เลิกโกงรอบ?” ซานแทรกขึ้นมากลางวง

    “เลิกโกงรอบเดียว”

     

    จู่ ๆ ลูกวอลเล่ย์ก็ปลิวไปกลางดง ไอ้ตัวแสบสองตัวหลบได้ทัน บอลลูกนั้นเลยปลิวไปโดนน้องใหม่เข้าเต็ม ๆ แต่มีหรือจะสำนึก พวกมันยังขำอัดรุ่นน้องที่ทำได้แค่ลูบหัวไหล่ตัวเองเบา ๆ แล้วขำแห้ง ๆ ไปพร้อมกับพวกมัน ยี่หวาปรบมืออีกครั้ง เรียกสติไอ้พวกตัวจริงที่ชอบพาคนอื่นเล่นอยู่ตลอด

     

    “ใครโกง…จะให้มารับลูกตบจากกู”

     

    เสียงยี๋เบา ๆ ดังงึมงำจากคนที่เคยลิ้มรส

     

    “ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งก็จงเป็นส่วนหนึ่งที่มีประโยชน์ เข้าใจมั้ย?”

    “เข้าใจครับ!!”

    “ไปได้” หัวแถวที่นำโดยเทค มือบล็อกที่โคตรเหนียวยิ่งกว่าตังเม ถ้ามันขึ้นบล็อกได้ โอกาสที่บอลจะข้ามมันมาแทบไม่มี

     

    สมาชิกใหม่ของทีมในวันนี้มีถึงยี่สิบคน ไม่นับรวมผู้หญิงที่เข้ามาใหม่เกือบ ๆ สามสิบ ใครต่อใครก็บอกว่าส่วนมากเข้ามาส่องผู้ชาย เพราะอย่างที่บอกไปตอนแรกว่าซ้อมด้วยกัน แต่คนละสนาม ซึ่งไม่ได้ห่างกันมากเท่าไร

     

    ยี่หวาวิ่งเหยาะ ๆ รั้งท้ายแถว ตำแหน่งในการวิ่งประจำของเขาจะอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ว่าจะวิ่งวอร์มก่อนเล่นหรือวิ่งคลายเส้นหลังเล่นเสร็จ เขาชอบสังเกตลูกทีมคนใหม่ ยี่สิบคนในนี้อาจจะมีเพชรเม็ดงามซ่อนอยู่ เขาต้องเริ่มปั้นเด็กใหม่ขึ้นมารับช่วงต่อได้แล้ว แต่พวกตัวสำรองก็ยังไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นกัปตันทีมต่อจากเขาได้เลย

     

    “ไอ้หวา”

     

    ซานชะลอฝีเท้าให้ตัวเองไหลลงมาจนมาวิ่งข้าง ๆ กันกับเขา

     

    “?”

    “มึงจะไปร้านมาสคอตเย็นนี้เลยใช่ปะ”

    “อืม”

    “ร้านมันอยู่แถวไหนวะ”

    “มึงแค่เดินตามมาก็พอ”

     

    ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเร่งฝีเท้าหนี ซานรีบวิ่งตามมาให้ทัน พวกเขาสองคนลัดเลาะไปเรื่อย ๆ จนถึงหัวแถวเมื่อรอบนี้เป็นรอบสุดท้าย ก้าวขาข้ามเส้นสีแดงที่เสมือนเส้นชัยเล็ก ๆ ได้ ทุกคนก็พากันแตกแถวไปยังกองสัมภาระโดยมีโค้ชนั่งเล่นโทรศัพท์เฝ้าอยู่ข้าง ๆ

     

    “ยี่หวา”

    “ว่า?” เจ้าของเรือนผมสีม่วงหันไปหาเสียงเรียกของโค้ชที่ดูงัวเงีย น่าจะแอบหลับแน่ ๆ

    “พรุ่งนี้ไปทำความสะอาดห้องอุปกรณ์เก่าด้วยนะ”

    “เพื่อ?”

    “เดี๋ยวไปคุยกับเจ้าของร้านก็รู้เอง จะไปเลยใช่มั้ยเนี่ย?”

    “ครับ”

    “ให้ไปส่งมั้ย?”

    “ไปเองดีกว่า”

     

    โค้ชโบกมือหน่าย ๆ แล้วเดินหายไปในห้องพัก ในมือถือไอแพดที่หน้าจอค้างเกมแนวโมบ้าทิ้งไว้ให้เห็นเต็มตาอีกต่างหาก ร่างสูงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว เขากะจะอาบน้ำก่อนออกไป ได้ยินเสียงสาดน้ำโครม ๆ กับเสียงหัวเราะเล่นกันดังออกมาจากด้านใน เป็นไอ้พวกตัวแสบนั่นแน่ ๆ

     

    “ไอ้มุก! หลังมึง!!”

    “ไอ้ชิบหาย! มึงบอกกูช้าไปปะไอ้ผ้า!!”

     

    ฟักบัวถูกใช้เป็นอาวุธแม้มันจะไม่ได้แรง ระยะห่างร้อยเมตรยังไม่รู้เลยว่าจะโดนหรือเปล่า เป็นไอ้พวกตัวจริงทั้งเจ็ดคนที่วิ่งวุ่นอยู่ในห้องน้ำรวม เล่นสาดน้ำสนุกสนานเหมือนทุก ๆ วันหลังซ้อมเสร็จ กัปตันทีมเหนื่อยที่จะด่าเลยหันมาเปิดน้ำฟักบัวอาบให้ตัวเองไปเงียบ ๆ

     

    แต่ก็ไม่วายโดนลากไปร่วมทีมอยู่ดี

     

    “ไอ้เหี้ยเนย!! สบู่เข้าตากู!!”

    “โทษ ๆ มือกูไว”

     

    กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมง เราแยกกันกลับบ้าน โดยเขามีซานกับจอมทัพห้อยติดตัวอย่างนี้ทุกวัน เพราะเรานั่งรถบัสสายเดียวกัน ขายาว ๆ สามคู่เดินสะเปะสะปะออกจากโรงเรียนเมื่อกัปตันทีมพยายามยื้อคอตัวเองให้หลุดออกจากแขนทั้งสองข้างของพวกมัน

     

    “กวนตีนอยู่ได้”

    “หน้ามึงเครียดดี กูชอบ”

     

    ยี่หวาแสกลงกลางหัวของซานจนผมพัง

     

    “พรุ่งนี้มึงไปทำความสะอาดที่ห้องอุปกรณ์เก่าด้วย”

    “อะไรวะไอ้หวา อย่าทำกับกูแบบนี้ดิวะ”

     

    กว่าจะเดินมาถึงร้านมาสคอตเก่า ๆ โทรม ๆ ที่หน้าร้านไม่ได้บ่งบอกความเป็นมาสคอตเลยสักอย่าง เหมือนพวกร้านปล่อยเงินกู้ กระจกก็เป็นฝ้าซะจนมองไม่เห็นด้านใน หรือเขาติดฟิล์มให้มันฝ้า?

     

    พวกเขาสามคนเลื่อนประตูฝืด ๆ แล้วแทรกตัวเขามาด้านใน ประตูก็เลื่อนได้ครึ่งเดียวอีกต่างหาก ด้านนอกว่าไม่เห็นใครแล้ว ด้านในก็ไม่ต่างกัน ซานเดินสำรวจดูนู่นนี่ตามนิสัยชอบเสือก ไอ้จอมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟารับรองด้านหลัง เขาเองก็ต้องหาที่นั่งให้ตัวเองด้วย…

     

    “มาทำไรไอ้หนู”

    “เอ่อ…สวัสดีครับ”

     

    หนุ่มน้อยสะดุ้งพร้อมกันเมื่อเจ้าของร้านเดินออกมาพร้อมแก้วใหญ่ ๆ ลายคิตตี้ พวกเขารีบยกมือสวัสดีคุณลุงหัวล้านแต่มีหนวดด้วยความรวดเร็ว หน้าตาลุงดูไม่เหมาะกับกิจการชุดมาสคอต เขานึกว่าจะเป็นคุณลุงที่หน้าตาดูใจดีกว่านี้ แต่กลับตรงข้าม…

     

    ยกเว้นแก้วน้ำ

     

    “ผมชื่อยี่หวาครับ เป็นกัปตันทีมวอลเล่ย์จากโรงเรียนอซ.”

    “อ๋อ… อ๋อ… นั่งก่อนสิ” แกอ๋อสองรอบแล้วผายมือลงที่เก้าอี้หนัง

     

    ชายแก่หยิบเอาสมุดจดอะไรสักอย่าง ขนาดใหญ่กว่าเอสี่เห็นจะได้ เปิดมันด้วยน้ำลายที่เอานิ้วชี้แตะ ๆ ปลายลิ้น เปิดได้หน้าหนึ่งก็แตะทีหนึ่ง ทำแบบนั้นอยู่ประมาณสามสี่รอบ ถึงจะหยุดอ่านอะไรอยู่สักพัก

     

    “ตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่ตัว เรื่องมากมั้ย?”

    “ที่สุดในทีมแล้วครับลุง”

     

    ซานตะโกนแทรกมาจากทางด้านหลัง ลุงแกยกยิ้มแล้วมองใบหน้ายี่หวา

     

    “เหลืออยู่สามตัว”

    “ผมขอดูรูปหน่อยครับ”

     

    บนโต๊ะมีอัลบั้มรูปถูกเปิดอยู่สามอัน เป็นตัวประหลาด ๆ ที่น่าจะขายไม่ออกมากที่สุดในร้าน ไม่ก็คงกำลังจะเอาไปทิ้ง เขาเลื่อนอัลบั้มรูปพวกนั้นเข้ามาดูใกล้ ๆ เรียกเพื่อนทั้งสองตัวมาช่วยตัดสินใจ ไอ้สามตัวนี้ไม่มีตัวไหนน่าเอาไปใช้ แต่ยังไงก็ต้องเลือกเพราะสภาสั่งมา

     

    โค้ชบอกเขาไว้แล้วว่าต้องเอาชุดที่มาสคอตจะเล่นวอลเล่ย์บอลเปิดงานได้ แต่สองในสามดันเป็นชุดที่ไม่มีมือยื่นออกมา ยกเว้นตัวสุดท้ายที่มีมือ แต่สภาพก็ยากต่อการเล่นอยู่ดี

     

    สรุปคือ แย่ ทั้งชุด…ทั้งเจ้าของร้าน

     

    “ตัวไรวะ”

    “เห็ด? หรือกระปู๋?”

    “จรวด!!” เสียงแหบ ๆ ขัดขึ้นเสียงดังที่ไปว่าจรวดของร้านแกเป็นกระปู๋ ไอ้ซานยิ้มแห้ง หลบสายตาดุ ๆ ของลุงแกมาพิจารณาหมายเลขสาม

    “ปู?”

    “เอาจริงหรอวะ”

     

    ยี่หวาไม่ตอบ มือหนายื่นอัลบั้มที่เป็นรูปปู หน้าตาปัญญาอ่อน แถมขาเล็ก ๆ ด้านข้างของมันก็ดูอ่อนเปลี้ย เห็นแล้วรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแปลก ๆ ดีที่ตรงกล้ามมันต่อออกมาเป็นช่วงแขนกลางลำตัว ชุดนี้น่าจะอันเดอร์บอลได้ตามที่โค้ชสั่งมา แต่ขาของมันสั้นมาก ตัวก็กว้างมาก ถ้ามันทำให้เขาต้องดูแลอยู่ตลอดล่ะก็…

     

    จะไล่มันออกซะ…

     

    “ตกลงเอาปู?”

    “ครับ”

     

    แกจดยิก ๆ ลงสมุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นกระดาษที่มีแต่ตัวอักษรสีดำ ๆ เลอะ ๆ มาให้

     

    “อ่านกฎซะ หรือจะให้อ่านให้?”

    “เอาที่ลุงสะดวกเลยครับ”

    “งั้นไม่ต้องอ่าน”


    กระดาษแผ่นนั้นถูกริบไปทันที

     

    “กฎคือ… ห้ามให้ใครรู้ว่าคนข้างในเป็นใคร ห้องส่วนตัวจัดไว้หรือยัง?”

    “พรุ่งนี้คงเสร็จครับ”

    “ดี… อนุญาตให้มีคนรู้ได้ไม่เกินสองคน ถ้าผิดกฎ…ทางโรงเรียนต้องเสียค่าปรับ”

     

    เยอะ…

     

    ไอ้การใส่ชุดมาสคอตมันเป็นปัญหาระดับโลกเลยหรือไง จำเป็นต้องปิดเป็นความลับระดับหน่วยซีลเลยดิ คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน ไม่ต่างจากไอ้ซานและจอมทัพที่อ้าปากหวอกับกฎบ้ากฎบอของร้านไปแล้ว

     

    “ถามได้มั้ยว่าทำไม”

    “ฉีกสัญญาเสียค่าปรับสิบเท่า!

    “…ผมก็แค่ถาม”

    “คนของเราจะรักษากฎและเข้มงวดกับมันมาก ดังนั้น… ไอ้หนู พวกนายต้องปกปิดให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ จะได้ไม่ต้องเจียดเงินชมรมมาเสียค่าปรับร้านลุง เข้าใจ๊?”

     

    กัปตันพยักหน้ารับ นั่นหมายความว่าถ้ามีคนรู้มากกว่าสอง แล้วลุงเรียกค่าปรับกับชมรม ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร หยิบเอาปากกามาเซ็นสัญญาดูแลชุดมาสคอตจนกว่าจะจบกิจกรรม ลงชื่อผู้รักษาความลับเป็นเขาเพียงคนเดียวเพราะไอ้สองตัวข้างหลังมันตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะมาร่วมด้วย

     

    ความรู้สึกตอนเซ็นเสร็จเหมือนตัวเองเซ็นสัญญากู้เงินแปลก ๆ

     

    “กะอีแค่มาสคอต มันต้องขนาดนั้นเลยหรอวะ?”

    “ก็ดูเป็นงานเป็นการ… ที่ปัญญาอ่อนดี”

    “โหไอ้หวา ปากมึงนี่แม่ง…”

    “กูเคยร้องไห้เพราะโดนมันด่าด้วย”

     

    ซานขึ้นหัวข้อนี้รอบที่…

     

    “มึงเคยเล่าแล้ว ตั้งแต่มอสามแล้ว พอไอ้สัส”

     

    จอมทัพตีปากเพื่อนผิวขาวของตัวเองเบา ๆ แล้วลากคอยี่หวาที่ชอบเดินรั้งท้ายคนอื่นเสมอให้ขึ้นมาเดินข้างกัน ล้วงเอาช็อคโกแลตห่อสีทอง ราคาแพง ๆ ที่แอบจิ๊กมาจากมันขึ้นมาแกะกิน พอมันเห็นเท่านั้นแหละ…

     

    “มึงขโมยขนมกูอีกแล้วหรอไอ้จอม?”

    “ลูกเดียวเอง…โอ๊ย!”

     

     

     

     

     

    เลยเวลาเลิกเรียนไปประมาณสองชั่วโมง แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยังอยู่ในห้อง เสียงลากโต๊ะและเก้าอี้ดังขึ้นท่ามกลางแสงสีส้มอ่อน ๆ ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างห้องเรียน วิวด้านล่างของห้อง 6/4 เป็นสนามบอล เป็นมุมที่พริ้มจะชอบปรบมือเชียร์คนที่เล่นอยู่ในสนามเงียบ ๆ คนเดียวเสมอ

     

    อาทิตย์หนึ่งมีห้าวัน…พริ้มเป็นคนเดียวที่ต้องทำเวรทุกวัน ไล่ตั้งแต่ลบกระดาน กวาดห้อง ถูพื้น ทิ้งขยะ จัดโต๊ะ เป็นแบบนี้ทุกวันจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว เวลาหนึ่งชั่วโมงไม่เพียงพอสำหรับการทำคนเดียว โต๊ะสามสิบสามตัวขยับได้แค่ทีละตัว…แล้วต้องทำซ้ำแบบนี้สองครั้ง ครั้งแรกคือขยับเพื่อกวาดและถู ครั้งที่สองคือขยับเข้าที่ให้เป็นระเบียบ

     

    และนี่คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้เขากลับบ้านหกโมงเย็นทุกวัน

     

    เด็กน้อยกุมไม้กวาดที่มือแน่น เขาได้ยินเสียงเฮอะไรบางอย่างดังมาจากสนามบอล เดินไปหยุดอยู่ที่หลังบานกระจกหนา จดจ้องไปยังสนามหญ้าสีเขียวและทีมใดทีมหนึ่งกำลังส่งเสียงเฮอย่างสนุกสนาน …คงมีใครทำประตูได้

     

    มือเล็ก ๆ ปรบมือตาม พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสมาชิกทีมวอลเล่ย์บอลคนหนึ่ง วิ่งกอดคอเพื่อนแล้ววิ่งวนอยู่แบบนั้น แล้วก็นึกออกว่าคนนั้นคือ เทค ผู้ชายตัวสูง ๆ ผิวสีเข้มค่อนไปทางโดนแดด เขาเคยเห็นเทคเดินกับยี่หวา เป็นตัวจริงที่ไปคว้ารางวัลมาเมื่อปีก่อน

     

    “ชมรมวอลเล่ย์เลิกเร็วจัง”

     

    เขาหันกลับมาสนใจงานที่ค้างคาของตัวเองต่อ นาฬิกาเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข็มสั้นชี้เลขหก ร่างเล็กรีบหอบเอาถุงดำในถังขยะออกมามัดปาก มันล้นและมีนมสีข้น ๆ ไหลออกมา กลิ่นนมเหม็นจนต้องย่นจมูก แต่ก็ไม่มีเวลามาใส่ใจมากนัก

     

    ถ้าไม่รีบตอนนี้…เขาอาจจะถูกขัง

     

    เสียงฝีเท้าดังลั่นอาคารตั้งแต่ชั้นห้าจนกระทั่งผ่อนลงที่ชั้นล่างสุด พริ้มก้มหลังลอดประตูบานใหญ่ สบตากับป้าภารโรงที่กำลังเลื่อนปิดมันจากทางด้านบน เด็กหนุ่มยิ้มบาง ๆ ผงกหัวขอโทษขอโพยที่พุ่งพรวดมากะทันหัน

     

    “หนัก… ฮึบ!

     

    ถุงดำถูกเหวี่ยงลงถังขยะด้วยแรงทั้งหมดที่มี พริ้มแอบหอบนิดหน่อยเพราะถังขยะมันอยู่สูงกว่าตัวเขาหลายเซ็น มือสองข้างเลอะคราบนม รู้สึกเหนียว ๆ และกลิ่นมันก็แรงมากด้วย สองขาก้าวไปที่ก๊อกน้ำข้างสนามบอล ชำระล้างความสกปรกที่คนในห้องจงใจบีบนมที่กินเหลือเล่นในถังขยะ

     

    “เฮ้อ…”

     

    ถอนหายใจแรง ๆ จนหน้าม้าแยกเป็นสองข้าง

     

    !!!

     

    พริ้มสะดุ้งโหยงเมื่อหางตาขวาเหลือบไปเห็นใครบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเสียเหลือเกิน ก้มหน้าถูมือตัวเองเป็นพัลวันทั้ง ๆ ที่ล้างเสร็จไปตั้งนานแล้ว …ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เหมือนมีคนมารัวกลองใหญ่อยู่ข้างใน ลูกตาดำส่ายไปมาอย่างกับคนมีพิรุธ ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันช้า ๆ จนเริ่มแน่นขึ้น…

     

    “มึงจะเล่นมั้ยไอ้หวา”

    “ถ้ามีว่างก็ลง”

     

    …และเหมือนก๊อกน้ำเล่นตลก จู่ ๆ หัวก๊อกก็หลุดกระเด็นกระดอนพร้อมกับกระแสน้ำที่พุ่งออกมาอย่างแรง สาดใส่คนที่ร่างกายไม่รู้หน้าที่จนเปียกซ่กไปทั้งตัว เขาไม่เห็นว่าใครเป็นคนวิ่งไปปิดวาล์วน้ำ เพราะได้ยินแต่เสียงหัวเราะดังระงมอยู่โดยรอบ

     

    หัวเราะให้กับตุ่นปากเป็ดที่เหมือนโผล่พ้นน้ำขึ้นมา

     

    “ไม่รู้หรือไงว่าก๊อกน้ำอันนั้นมันเสีย”

    “อย่างมันจะไปรู้อะไร โง่ชิบหาย”

    “อ้าว ตรงนั้นฝนตกหรอวะ ฮ่าๆๆ”

    “ขำสัส มึงดูหน้ามันดิ”

     

    เสียงเยาะเย้ยยังคงดังไล่หลังมาไม่ขาดสาย พริ้มใช้แขนเสื้อตัวเองปาดน้ำบนหน้าเบา ๆ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเพราะแขนเสื้อเขาก็เปียกเหมือนกัน กระชับสายกระเป๋าด้วยความเคยชินเวลาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ

     

    …ยี่หวาไม่น่าอยู่ตรงนั้นเลย

     

    ถอนหายใจไล่ความผิดหวังที่วันนี้ก็ให้เห็นด้านแย่ ๆ อีกแล้ว ซานกับจอมทัพก็อยู่ ถึงจะเห็นไม่ชัดแต่เดาก็รู้ได้เลยว่าสองคนนั้นคงกำลังหัวเราะเขาอย่างสนุกสนานมากแน่ ๆ แต่เขาไม่ได้สนใจ ขอแค่ยี่หวาไม่ขำก็พอ… เดิมทียี่หวาก็ไม่ได้อะไรกับเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องนับจำนวนเลยว่ายี่หวาเคยมองเขากี่ครั้ง…เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้น

     

    พริ้มไม่เคยอยู่ในสายตาใคร…

     

    ครั้งหนึ่งเขาเคยฝัน…ว่าตัวเองมีเพื่อน มีคนที่คอยเล่าเรื่องราวตลก ๆ ให้ฟังทุกวัน แม้แต่เรื่องไร้สาระอย่างกระดาษทิชชู่ทำมาทำไมสองชั้นก็ยังน่าฟัง แล้วหลังจากนั้นเขาก็เป็นฝ่ายเล่า เล่าให้ใครบางคนฟังสารพัดเรื่องราว แล้วคนคนนั้นก็ยิ้ม…ยิ้มรับกับเรื่องที่เขาเล่า

     

    เสียดายที่มันเป็นแค่ความฝัน

     

    พริ้มพ่นลมหายใจไล่ความจุกที่แผ่นอกออกสองสามรอบ หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้พลาสติกถลอก ๆ รอรถบัสที่จะผ่านหน้าโรงเรียนเป็นรอบสุดท้ายด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว เขาเถียงกับตัวเองอยู่นานว่าควรจะหันหลังไปมองคนที่สนามบอลดีมั้ย ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะมีใครมองอยู่ แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าถ้ามี…คนคนนั้นจะเป็นใคร

     

    แต่สุดท้ายก็ว่างเปล่า…

     

    ก็พอจะรู้คำตอบอยู่หรอกว่าคงไม่มีใครมองมา แต่ก็หวังในใจลึก ๆ ว่ามันจะมี เด็กหนุ่มจับปลายผมเปียกชื้นของตัวเองแล้วขยี้มันเบา ๆ ด้วยนิ้วทั้งสองข้าง ไล่สายตามองร่างกายตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า…แล้วก็ได้รู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครมองมา

     

    เพราะมันไม่น่ามองเลยน่ะสิ

     

     

    #พริ้มเพียงหวา

    10/8/18








    ถ้าชอบอย่าลืมบอกต่อ//ป้องปากกระซิบ

    ขอบคุณทุกเม้นท์ ทุกแท็ก และทุกคนที่กดกำลังใจนะคะ//ทำมือเป็นรูปมินิฮาร์ททึ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×