คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ยิ้มค่อยๆ
หลังจากนอนโรงพยาบาลเป็นเวลาเกือบ1อาทิตย์ ก็ได้กลับออกมาใช้ชีวิตในโรงเรียนเหมือนเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมหรือมีอะไรเกินๆมาหน่อย(เปลี่ยนใจไม่หน่อยและมากเลยและ
“ย้ากกกก ฉันจะไม่ไหวและนะ นี่มันรถฉันทำไมนายต้องมาขับด้วยเนี่ย” ฉันหันไปมองจอมบงการชีวิตที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งคนขับรถ นายฟิลลิปต์ ที่คอยตามติดฉันทุกฝีก้าวตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับคำสั่งที่เด็ดขาดคือ ห้ามฉันขับรถหรือเดินข้ามถนนเอง โดยที่ไม่มีเขาอยู่ด้วย
“และเธอจะมาบ่นทำไม มีคนนับรถไห้มันก็ดีอยู่แล้วนะ ไม่เมื่อยด้วย”ฟิลลิปต์พูดขึ้นมาพร้อมทำหน้าตาเฉยๆที่ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มหรือความรู้สึกใดๆในทางกลับกันมันเป็นอะไรที่กวนประสาทฉันมากเพราะมันทำให้ฉันรู้สุกเป็นผู้แพ้เนื่องจากฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่หรือรู้สึกอะไรซึ่งฉันไม่รู้เลย
“แต่นี่มันมากไปไหม ฉันต้องการความเป็นอิสระเข้าใจไหมว่าอิสระนะ”
“และตอนนี้มีใครจับเธอใส่กรงผูกแขนขา ปิดตาเธออยู่หรือไงก็ไม่เห็นมีซะหน่อย”
“ใช่ไม่มีแต่ไอ้ที่มีนายตามติดทุกฝีก้ามขนาดนี้ มันยิ่งกว่าถูกมัดมือมัดเท้าซะอีก เข้าใจไหมว่ามันน่ารำคาญ”หลังจากพูดจบฟิลิปต์ก็จอดรถทันทีและเดินลงจากรถไปพร้อมปิดประตูรถราวกับจะไห้กระจกแตก ให้ตายสินายนี่ขี้งอนและโกรธได้รุนแรงสุดๆนี่คือ1นิสัยของเค้าที่ฉันรู้มาตอนที่อยู่โรงพยาบาล นี่ฉันไปทำอะไรให้เค้าโกรธอีกเนี่ย ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ฉันก้าวลงจากรถพร้อมวิ่งตามฟิลลิปต์ที่เดินลิ่วๆอยู่ตรงริมฟุตบาทคนบ้าอะไรเดินเร็วชะมัด
“เฮ้ ฟิลลิปต์ นายจะไปไหนเนี่ย เดี่ยวก็ไปโรงเรียนไม่ทันหรอก”ฉันตะโกนพร้อมวิ่งไห้ทันแต่ก็ไม่ทันอยู่ดีเพราะฟิลลิปต์เดินเร็วมาก
“ฉันจะขึ้นแท็กซี่ไป เธอก็ขับรถไปละกัน”แนะ ไม่หันมามองกันเลย นี่งอนจริงๆใช่ม้ายยยยยยยยยยยยย(ขอวิบัตืถาษานิดนึงนะคะ)
“นี่นาย โตๆกันแล้วอย่ามางอนไร้สาระเลยน่า”
“ฉันไม่ได้งอน ฉันแค่ไม่อยากทำตัวน่ารำคาญให้ใครบางคนแถวนี้ไม่พอใจ”นี่ถ้าไม่ติดว่ารองเท้าที่ใส่มาเป็นของปราด้านะฉันจะถอดและปลาใสหัวนายเลยคอยดู และไม่นานปราด้าก็ทำพิษ ฉันสะดุดรองเท้าตนเองและล้มลง
“โอ้ย”ฉันร้องเพราะเท้าของฉันมันเจ็บเหลือเกิน ไม่นานฟิลลิปต์ก็วิ่งมาดูอาการของฉันไอ้บ้ากว่าจะมานะต้องรอให้ฉันเจ็บตัวก่อนหรือไง
“เจ็บหรือเปล่า บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าใส่ส้นสูงมันอันตราย ดูสิเท้าบวมเลย”
“ก็ใครกันละที่เดินไม่หยุดจนฉันต้องวิ่งตามมาเนี่ย”คำพูพนี้ทำเอาฟิลลิปต์อึ้งไปสักพักนึง
“เฮ้อ โอเคฉันผิดเอง และฌะอพอจะเดินไหวไหมเนี่ย”
“เดินไหวก้บ้าและ”ฉันพูดขึ้น ฟิลลิปต์ถอดรองเท้าออกจากเท้าของฉันพร้อมอุ้มฉันไว้ในอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของเขา
“นายจะทำอะไรนะ”
“ก็อุ้มเธอไง เดินไม่ไหวก็ต้องอุ้ม หรือเธอจะคลานเข่าไปก็ได้นะ ฉันไม่ว่า ว่าไง จะไห้ฉันอุ้มหรือคลานไปเอง”
“ชิ อุ้มไปเลยยะ แล้วอย่ามาบ่นว่าเมื่อยและ”
“รู้แล้ว เธอนี่” ฟิลลิปต์อุ้มฉันวางลงเบาะและตัวเองก็ไปนั่งที่คนขับพร้อมขับรถต่อ จนมาถึงโรงเรียนร่างสูงวิ่งมาเปิดประตูรถ และอุ้มฉันไปที่ห้องกรรมการคุมกฎเพื่อจะไปประคบน้ำแข็ง
“แหมมๆๆๆ ไปทำอีท่าไหนกันวะเนี่ย ดูดิจ้สมันเดินไม่ไหวเลยวะ”เบนซิลพูดขึ้น
“แกนิหัดถนุถนอมบ้างดิ จัสมินยิ่งตัวเล็กๆอยู่ ไอ้นี่นิ”ต่อด้วยบราซิลนี่พวกเขาคิดไปถึงไหนกันแล้วเนี่ย
“หุบปากไปเลย จัสมินแค่หกล้มเดินไม่ไหวฉันก็เลยอุ้มมา หยุดคิดอะไรที่มันอกุศลแบบนั้นนะเฟ้ย”ฟิลลิปต์พูดพร้อมวางฉันลงบนโซฟาสีดำขนาดใหญ่
“คิดอะไร๊ ฉันปล่าวซะหน่อย”เบนซิลพูดดึงบราซิลมานั่งโซฟานี่ด้วย
“นั่งตรงนี้นะจะเอาน้ำแข็งมาประคบเย็นไห้”ฟิลลิปต์เดินไปที่ตู้เย็นพร้อมหยิบน้ำแข็งออกมาใส่ในผ้าแล้วปั้นเป็นก้อนกลมแล้วตรงมาหาฉัน
“จะประคบเย็นให้จะได้หายบวม อาจจะเย็นนิดหน่อยนะ”
“อืม”
“เจ็บก็บอกนะ”
“แหวะกูจะอวกวะ หมั่นไส้เนอะ”เบนซิลพูดพร้อมเบะปาก
“เออดิ กุแม่งอยากกระดดถีบให้หายหมั่นไส้ ทำอะไรไม่ไว้หน้ากุเลย เยส อยากร้องไห้”บราซิลพูด
“มึงก็อีกคน มีเนยทั้งคนและ อย่ามาเยอะ กุนี่กุนี่ต่างหาก ที่ควรเสียใจ แม่งเอ้ย มึงไม่เข้าใจหรอกว่าความเหงามันเป็นยังไง”
“เงียบปากไปเลย ออกไปตรวจที่หน้าประตุเลยว่ามีใครมาสายหรือเปล่า อย่ามาอู้”ฟิลลิปต์พูดพร้อมชี้ไปที่ประตู
“อะโด่เอ้ย และตัวเองละ มานั่งทำแผลไห้สาวแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าอู้หรือไงกัน”เบนซิลพูดพร้อมกอดอก
“ชิๆ หมั่นไส้วะ ไปทำงานดีกว่า”พูดจบร่างทั้ง2ก็เดินออกไปทิ้งฉันไว้ลำพังกับฟิลลิปต์2คน
ฟิลลิปต์ค่อยๆประคบน้ำแข็งลงบนเท้าข้างซ้ายของฉันอย่างเบามือพร้อมกับนวดให้อีกด้วย
“วันหลังถ้าเธอใส่ส้นสูงอยู้ห้ามวิ่งเด็ดขาดรู้ไหม”ฟิลลิปต์พูดพร้อมเงยหน้ามามองฉัน
“อืม”ฉันก้มหน้าต่ำพยยามที่จะไม่มองหน้าเขาตรงๆ
“วันนี้ใส่ผ้าใบไปก่อนนะ ส่วนสามคาบแรกเป็นคาบว่าง จะไปกินข้าวหรือทำอะไรไหม”
“ไม่และไม่อยากเดิน แล้วนายละ”
“ฉันกะจะทำงงานในห้องนี้นะ ต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายของโรงเรียนในปีนี้ บิลเต็มโต๊ะไปหมดเลย”
“ฉันช่วยนะ ฉันจะช่วยคิดเลขให้”
“อืม ตามใจ”หลังจากนั้นฟิลลิปต์ก็ประคบต่อไปเรื่อยจนเริ่มหายบวม
“ไหนขยับเท้าให้ดูหน่อย”ฉันค่อๆขยับเท้าซึ่งมันดีขึ้นกว่าตอนแรกเยอะแต่ก็ยังปวดอยู่นิดหน่อย
“ปวดอยู่แต่ไม่มาก”
“นั่งอยู่นี่นะ จะไปหยิบงานมาทำตรงนี้”ฟิลลิปต์พูดพร้อมวางงานทั้งหมดลงบนโต๊ะกระจกซึ่งมันเยอะมากฟิลลิปต์เปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองขึ้น พร้อมส่งเครื่องคิดเลขมาให้ฉัน
“เธอคิดตามบิลพวกนี้นะว่ามันตรงกันหรือเปล่าส่วนฉันจะต้องแสกนเอกสารและเขียนรายงานส่งไห้ฝ่ายบริหาร”
“นายงานเยอะจัง ทำเองหมดนี่เลยหรอ”
“ไม่หรอกถ้ามันไม่สำคัญก็จะปล่อยให้คนอื่นเค้าทำ แต่อันนี้สำคัญมาก ฉันไม่ไว้ใจใคร”
“อืม แต่มันเยอะเอาเรื่องอยู่นะ ฉันพูดพร้อมหยิบเอกสารแรกขึ้นมาคำณวน ซึ่งรายการใช้จ่ายยาวมาก
“นี่ก้สามแผ่นแล้ว ทำไมยอดรวมเงินมันเกินกว่าที่ใช้ไปตั้งเยอะเนี่ย”ฉันพูดพร้อมคิดไหม่ตั้งหลายรอบผลสรุปก็คือ มีคนเขียนยอมรวมเกินกว่าราคาจริง
“ไม่ได้คิดผิดแน่นะ”ฟิลลิปต์ถามพร้อมเอาไปคิดเอง แต่ผลมันก็ยังเป็นเหมือนเดิม
“จะทำไงต่อ”
“ไม่เป็นไรไม่ต้องคิดแล้ว เดี๋ยวฉันค่อยตรวจดูอีกทีดีกว่า”ฟิลลิปต์พูดพร้อมเก็บเอกสารเข้าที่เดิมก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนที่ตักของฉัน
“ขอนอนหน่อยนะ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน”ฟิลิปต์พูดจบเขาก็หลับลงทันทีทิ้งไว้เพียงการหายใจเข้า-ออกที่สม่ำเสมอ มันอดใจไม่ได้ที่จะยกมือลูบผมเขาเล่น ฟิลลิปต์ครางเพียงเล็กน้อยหลังจากนั้นก็หลับยาว ฉันสังเกตโครงหน้าจองฟิลลิปต์อย่างชัดเจน เขามีโครงหน้าที่โค้งเหลี่ยมได้สวยงาม มีจมูกที่โด่งสวย มีตาคมเหมือนเหยี่ยวประกอบกับคิ้วสีดำเข้ม ริมฝีปากสีแดงมากกว่าจะออกไปในทางชมพูสังเกตดีๆจะมีรอยแผลเป็นตรงหางคิ้วข้างซ้ายถ้าไม่สังเกตดีๆอาจจะมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำที่ยาวประมาณ1เซนต์ให้ตายสิ เธอรู้แล้ว่าเค้าหล่อ แต่ไม่คิดว่าจะหล่อขนาดนี้ แต่เธออยากเห็นเขายิ้ม มันจะให้ใบหน้านี้หล่อกว่าเดิม จะเป็นไปได้ไหม เธอมองเขาจนเผลอหลับไป
.....................................................................................................................................................
เธอตื่นขึ้นมาอีกทีท่ามกลางความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมายังร่างกายของเธอเธอลืมตาขึ้นความอบอุ่นไม่ได้มาจากผ้าห่มแต่มาจากอ้อมแขนที่โอบตัวเธอไว้ มันช่างอุ่นเหลือเกินจะเป็นยังไงถ้าได้หลับท่ามกลางวงแขนนี้ตลอดคืน เธอเอื้อมมือยกนาฬิกา ตายห่านี่มันจะเที่ยงแล้ว เธอกับเขาหลับเพลินเกินไปแล้วจัสมินเอื้อมมือปลุกฟิลลิปต์อย่างระมัดะวัง
“อืม ว่าไง”
“เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”
“อ้อหรอ ไปสิ”ชายหนุ่มลุกขึ้นพร้อมดึงจัสมินตามมาด้วยร่างทั้งสองเดินกีนออกไปจากห้องพร้อมตรงไปยังโรงอาหาร
“จะกินอะไร เดี๋ยวจะไปซื้อไห้”
“ข้าวไข่เจียว”
“อืมรอแปบนะไปนั่งรอที่โต๊ะและ ขายิ่งไม่ดีอยู่”ฟิลลิปต์พูดพร้อมประคองร่างจัสมินไห้นั่งที่โต๊ะก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไปซื้อข้าว ไม่นานเกินรอ ข้าวไข่เจียวสองจานก็ถูกนำมาวางที่โต๊ะพร้อมกับน้ำเปล่าสองแก้ว
“เร็วจังเลย”
“ฉันลัดคิวนะ ไม่งั้นต้องรอเกือบชั่วโมงกว่าจะได้กิน”
“อ้อ” และนั่นทำให้เธอนึกถึง จัสติน พี่ชายฝาแฝดของเธอ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมส่งจข้อความไปว่า “อย่าลืมกินข้าวนะคะ”แนบไปกับรูปไข่เจียววันนี้ ไม่นานก็มีข้อความตอบกลับมา”กินอยู่อร่อยมาก”พร้อมกับรูปข้าวผัดกระเพราะหมู แค่นี้ก็ทำให้เธอยิ้มได้แล้ว
“นี่รีบกินซิ เดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย”
“อืม”
“พรุ้งนี้ตอนเย็นว่างไหมจะพาไปซื้อของ”
“ซื้อของไรอะ”
“ของจะไปเที่ยวทะเลนะ เราจะไปอีกสองวันหน้า ฉันเลยอยากให้เธอไปด้วย เห็นพึ่งออกจากโรงพยาบาลมา”
“จริงหรือเปล่า”
“เรื่องจริงทำตัวให้ว่างละจะได้พาไปซื้อของ”ชายหนุ่มยิ้มกว้างพร้อมกับเอามือมาขยี้หัวเธอเล็กน้อย ในใจของเธอคิดพระเจ้านี่มันเป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดที่มีมาเลย
ความคิดเห็น