คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : พี่น้องที่พลัดพรากกันมานาน (ซะที่ไหนเล่า!! โม้ชะมัด)
15.43
หลังจากที่นานะพาเด็กสาวที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อกลับมาบ้านเธอ ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดตัวและจัดที่จัดทางให้นอนพักในห้องนั่งเล่นเพราะว่าหากเด็กสาวอาการไม่ดีเธอจะได้เห็นทัน อาการไข้ของเด็กสาวดูไม่ดีขึ้นเลยแถมยังละเมอออกมาว่าปวดหัวอีก นานะเองก็ให้ทานยาไปแล้วก็หวังว่าอาการจะดีขึ้น
“ใกล้เวลาที่ซือคุงจะกลับบ้านแล้วสินะ ต้องไปเตรียมอาหารก่อนแล้ว กลับมาคงหิวกันน่าดู” นานะลุกจากห้องนั่งเล่นไปที่ห้องครัวก่อนจะจัดแจงทำอาหารอย่างมีความสุข
“อือ...” มินส่งเสียงครางเบาๆก่อนจะลืมตาขึ้นมา ตอนนี้เธอตื่นแล้ว
‘ปวดหัวชะมัด’ มินบ่นอยู่ในหัวก่อนจะเอามือขึ้นมาขยี้หัวแรงๆเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ ‘แล้วที่นี่ที่ไหนอีกละ’ เด็กสาวกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาที่รื้อขึ้นมาเพราะความง่วงปนกับอาการปวด ก่อนจะปรับโฟกัสเพื่อสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบกายตน
‘นี้บ้านใครอะ’ มินคิดอย่าง งงๆ ‘บ้านคุณป้าขายทาโกะยากิเหรอ’ เธอทบทวนความจำอยู่ในหัวเธอจำได้ว่าคุณป้าบอกให้ไปนั่งทานทาโกยากิใต้ต้นไม้ แล้วเธอก็หลับไป
ในเมื่อนอนคิดไปไม่ได้อะไรขึ้นมา ขอสำรวจหน่อยแล้วกัน เอาหละ ฮืบ ฉันกระเด้งตัวจากที่นอนแล้วก็พับผ้าห่มให้เรียบร้อย เก็บอาการป่วยไว้ก่อน ตอนนี้ต้องออกสำรวจ
“เอาหละ ออกสำรวจได้” ฉันพูดเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะค่อยๆเดินดูของรอบๆห้อง โต๊ะที่ถูกดันไปชิดพนัง ออกเพื่อกันพื้นที่ให้ฉันได้นอนนี่เอง ทีวี!อะ บนทีวีมีรูปอยู่ด้วย น่ารักจังเลย รูปแต่งงงานต้องสองรูป ทำไมอีกอันขาดงั้นอะ แย่จัง เจ้าสาวน่ารักจังเลย เอ~เราเข้ามาอยู่บ้านคู่แต่งงานใหม่หรือเปล่าหว่า มันจะเป็นการรบกวนพวกเขาเกินไปไหมเนี๊ย
“อ้าวตื่นแล้วเหรอจ๊ะ”
“หว๋า” ทันทีที่นานะทักมินก็ตกใจเสียจนสะดุ้งโหย่ง ก่อนจะกระเถิบหนีเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรจ้าไม่เป็นไร ใจเย็นๆแล้วมานั่งคุยกันก่อนไหม ก่อนลูกชายน้าจะกลับมา” นานะปลอบมินอย่างเอ็นดู ก็ดูสิตกใจขนาดนั้น
“ค่ะ...คะ ลูกชายเหรอคะ? คุณน้า ไม่ได้....พึ่งแต่งานเหรอคะ” มินตอบแล้วก็เดินไปช่วยนานะลากโต๊ะมาไว้ที่เดิม แต่ก็ถามคำถามที่ผุดขึ้นมานหัวอย่างฉับพลันกับนานะ
“แต่งงานมานานแล้วจ๊ะ นั่งลงก่อนสิ”นานะยิ้มให้ก่อนจะชวนให้มินนั่งลง ท่าทางของเด็กสาวดูเงอะๆงะๆ บวกกับสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนใจ ทำเอาเธออดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้คงเป็นคนขี้เกรงใจ
ฉันนั่งลงตามคำชวนของคุณน้าที่เป็นคุณแม่ยังสาว คุณน้าน่ารักจริงๆนะ ตากลมโตสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาลสั้นระคอ รอยยิ้มพิมพ์ใจที่ทำให้คนมองรู้สึกดี แต่ฉันเองก็รู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมากเหมือนมาสร้างภาระให้เขา ถึงตอนแรกกะจะมาหาคนเกาะก็เถอะ แต่คุณน้าเองก็มีลูกคงจะไม่กี่ขวบละมั่ง อะเราต้องแนะนำตัวเองก่อนเพื่อไม่เป็นการเสียมรรยาท
มินก้มหัวให้ให้นานะจนชิดโต๊ะ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัว
“ขอบคุณที่ช่วยนะค่ะ หนูชื่อ มินตรา เอ่ออ นามสกุล จำไม่ได้ คะ มาจากที่ไหน...เอ่อ ไม่รู้เหมือนกันคะ อายุ... ไมรู้คะ คือหนูรู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ที่ศาลเจ้าแล้วนะคะ นอกนั้นจำไม่ได้เลย”
“แล้วจำอะไรไม่ได้เลยเหรอจ๊ะ แล้วอย่างนี้หนูจะกลับบ้านยังไงหละ” นานะถามด้วยความเป็นห่วง
มินได้แต่นั่งลูบผมของตัวเองอย่างใช้ความคิด ฉับพลันดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง
“หนูจำได้ว่า หนูเจอผีที่ศาลเจ้าค่ะคุณน้า แล้วผีมันตบหนูเสียติดกำแพงเลย หัวฟาดไปหน่อยด้วยมั่งคะ” อยู่ดีดีฉันก็นึกถึงไอผีญี่ปุ่นตัวนั้นข้นมาเต็มรัก เพราะมันแน่ๆความทรงจำฉันถึงหายไปหมด ตั้งเป้าหมายใหม่ตามล่าหาผีญี่ปุ่น ถึงจะกลัวแค่ไหนก็ตาม อู๊ย ขนลุก
“ผีเหรอจ๊ะ เอ น้าไม่ได้ยินเรื่องผีมานานมากแล้วนะ ไม่น่าจะมีเหรอกนะหนูมิน” นานะพูดขัดความคิดตามล่าผีของเด็กสาวตรงหน้า
“แต่ว่า...”
“เอาเป็นว่าอยู่บ้านน้าก่อนนะ ถ้าเกิดว่าหาไม่เจอจริงๆว่าหนูเป็นใครมาจากไหนมาเป็นลูกสาวน้าไหมจ๊ะ”
“อะไรนะคะ” ฉันนั่งหน้าเหวอ คุณน้าคิดอะไรนะ เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบฉันนี่นะเหมาะจะไปเป็นลูกสาวคุณน้า
นานะหัวเราะเบาๆ ที่เห็นเด็กสาวทำหน้าเหวอ ดูเหมือนวันนี้เธอจะทำให้เด็กคนนี้ตกใจมากพอดู ที่ชวนไปแบบนั้นเพราะว่าเธอเองก็อยู่บ้านคนเดียว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอพักนี้เหมือนจะธุรกิจเยอะ เดี๋ยวก็บินไปนู้นไปนี่ทั้งๆที่ยังไม่จบม.ปลาย ดีที่มีรีบอร์นไปด้วยเธอเลยไว้ใจ ฟูตะกับเบียงกี้เองก็กลับไปอิตาลีอีกซักปีสองปีคงกลับมา แรมโบ้กลับไปอยู่ที่อิตาลีกับพวกฟูตะ อี้ผิงก็ไปฝึกวิขากับอาจารย์ เวลาผ่านไปเด็กๆ ก็โตขึ้นเริ่มมีทางเดินของตัวเอง เธอเองก็ดีใจแต่ในบางทีมันก็เหงาเหมือนกัน เพราะบ้านที่เคยมีคนอยู่เยอะแยะ กลับเงียบลงขนาดนี้ ถ้าได้หนูมินมาอยู่ด้วยคงจะดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ตอนซือคุงไม่อยู่บ้าน
“จะดีเหรอคะ หนูไม่มีอะไรเลยนะคะ ไม่มีอะไรเลยจริงๆนะคะ” ยิ่งพูดน้ำตาก็พาลจะไหล ตัวฉันตอนนี้ไม่มีอะไรติดตัวเลย บ้านก็ไม่มี ครอบครัวเหรอ จำไม่ได้ ความรู้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีแค่ไหน รังแต่จะทำให้คุณน้าลำบากป่าวๆ แต่ฉันก็ไม่อยากตอบปฏิเสธไป มันคงเป็นความโลภละมั่ง ที่ทำให้เธอไม่กล้าหาญพอจะตอบปฏิเสธไปตรงๆ อาจเพราะในใจเของฉันคาดหวังว่าจะมีที่ๆ ให้เธอกลับยามที่เธอหลงหายไปไหนอีกครั้ง ที่ๆเรียกว่าบ้าน
“จ๊ะ”
เสียงตอบรับสั้นๆของผู้หญิงตรงหน้า ทำเอาฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าฉันไม่มีที่ไป ที่นี่ก็ยังต้อนรับฉัน
“ตายจริง อย่าร้องไห้สิจ๊ะ น้ายังไม่บอกชื่อตัวเองเลย ”
“ปัง”
เสียงกระแทกของประตูดังขึ้นอย่างกะทันหันทำเอา มินสะดุ้งโหยงหยุดร้องไห้ทันตา ตามด้วยเสียงวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างรีบร้อน
“แม่ครับ !!!!!!!” เสียงตะโกนดังขึ้น
“หือ ? ซือคุงกลับมาไวจัง” นานะหันไปทักทายผู้เข้ามาใหม่อย่างยิ้มแย้ม ไม่มีอาการตกใจใดใด ส่วนมินซ๊อคตาตั้งไปแล้ว เพราะไม่ยังไม่ได้ทำใจว่าจะเจอลูกชายคุณน้าไวอย่างนี้
สึนะปรากฏตัวที่ประตูห้องนั่งเล่นด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย เพราะวิ่งมาด้วยความไวโดยไม่ใช้ไฟดับเครื่องชน
“นี่สินะ ต้นเหตุของความแปรปรวนของไฟ” รีบอร์นที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ กระโดด มายืนตรงหน้ามินตรา
มิน เบิกตาโตทันทีที่เห็นกระบอกปืนมาจ่อตรงหน้าตน นันย์ตาสีดำสนิท สั่นระริกด้วยความกลัว เธอกัดริมฝีปากแล้วนั่งนิ่งเหมือนถูกสตาฟ ไว้กับที่ สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เด็กผู้ชายตัวน้อยที่ถือปืนจ่อหน้าเธอ
“เอ๋ รีบอร์นจัง เด็กคนนี้ มาม๊าจะพาเข้ามาอยู่ในบ้านนะจ๊ะ พอดีแกเป็นเด็กหลง เอาๆ อย่าไปขู่เขาอย่างนั่นสิรีบอร์น หนูมินไม่ไปแย่งที่นอนของรีบอร์นเหรอกนะ ม่าม๊าไปจัดโต๊ะก่อนนะ คุยกันไปก่อนนะเด็กๆ” หลังจากแนะนำคราวๆเสร็จนานะก็เดินไปที่ห้องครัวอย่างสบายใจ
ฉันได้แต่กรอกลูกตามองตามคุณน้าไป คุณน้าคะ.....คุณน้าไม่รู้สึกถึงแรงกดดันจากสงคนนี้เลยเหรอคะ ฉันนั่งกัดริมผีปากด้วยความกลัว แถมเด็กคนนั้นยังเอาปืนมาจ่อหัวฉันอีก ผู้ชายอีกคน ที่เรียนคุณน้าว่าแม่ คงจะเป็นลูกชายเขาสินะ ฉันยังไม่ได้มีโอกาสมองหน้าเขาเลย ก็มีเจ้ามัจจุราชสีเขียวมาจ่อหัวซะแล้ว ถึงมันจะเหมือนของเด็กเล่นแค่ไหนสมองฉันก็สั่งว่าฉันควรจะกลัว ความเงียบเริ่มปกคลุมห้องจนฉันรู้สึกอึดอัด อยากจะขยับตัวก็ไม่ได้ เกรงจะโดนเป่ากะโหลก จนเวลาผ่านไปกว่าห้านาที ฉันก็ได้ยินเสียงประตูบ้านปิด
“รุ่นที่สิบครับ ผมวิ่งตามไม่ทันเลยครับ” น้ำเสียงห้าวๆปนหอบดังมาจากทางประตู
“ไม่เป็นไรนะโกคุเดระคุง” ชายอีกคนที่คาดว่าจะเป็นลูกชายคุณน้าถามอย่างเป็นห่วง
“โกคุเดระมาแล้วหละรีบอร์น ต้องให้ตามใครอีกไหม”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกนั้นมันก็ตามมาเอง ไฟแปรปรวนขนาดนี้ถ้าไม่รู้ก็เป็นคนธรรมดาไปนั้นแหละ”
“เฮ้ออ” สิ้นเสียงถอนหายใจของชายคนที่คาดว่าเป็นลูกชายของคุณน้า เขาก็เดินมานั่งตรงที่คุณน้าเคยนั่ง คือตรงข้ามฉัน แต่ฉันต้องแอบมองลอดกระบอกปืนของเด็กตรงหน้าที่ชื่อว่า รีบอร์น เพราะเขาไม่ยอมหลบให้ เอาแต่ยืนทำหน้านิ่งเอาปืนจ่อหัวฉันอยู่อย่างนั้น อาทำหน้าตาดุจังเด็กอะไร
“โกคุเดระคุงนั่งก่อนสิ เอาน้ำหน่อยไหม” ชายผมสีน้ำตาลอ่อนหันไปถามชายอีกคนที่ยืนทางประตูด้วยสายตาเป็นห่วงแต่มันอ่อนโยน ฉันรู้โหวงในใจอย่างประหลาดเหมือนมีคนมาเอาส่วนหนึ่งในร่างกายไป ความห่วงหาอาธรณ์แบบนี้ฉันจะมีโอกาศได้รับมันอีกครั้งไหม เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งเป็นเพลงของวงโปรด เสียงในสายที่ถามไถ่อย่างเป็นห่วง แถมด้วยเสียงของเด็กแสบสองสามตัว อ๊ะ
“โอ๊ย..” ฉันเอามือทึงหัวตัวเองอย่างไม่กลัวกระบอกปืน ความเจ็บปวดจากการอาการปวดศีรษะเฉียบพลัน
“เธอเป็นอะไรไป รีบอร์น!!”
“รุ่นที่สิบครับ!!” โกคุเดระอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็น พลังไฟดับเครื่องชนที่แหวนของสึนะทั้งๆที่ไม่ได้เรียกใช้
“โกคุเดระคุงแหวน” สึนะเองก็ตกใจเหมือนกันที่แหวนของโกคุเดระ มีอาการเหมือนกัน
รีบอร์นได้แต่ยืนมองเด็กสาวที่ลงไปคุดคู้ที่พื้นก่อนจะเปลี่ยนเลออนกลับเป็นกิ้งก่า แล้วสำรวจสภาพผิดปรกติรอบตัว ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด(เท่าที่เด็กน้อยจะทำได้)
“สึนะ หยุดเด็กคนนี้ก่อน” รีบอร์นสั่ง
“ทำยังไงดี “สึนะโอดครวญ
“ทำไปเถอะน่า โกคุเดระ ออกไปกับฉันข้างนอก” รีบอร์นกระโดดฉับขึ้นไปยืนบนหัวโกคุเดระก่อนจะเร่งให้โกคุเดระวิ่งออกไป
ระหว่างที่โกคุเดระวิ่งออกไปนั้นรีบอร์นได้สังเกตไฟที่แหวนที่มันติดๆดับๆ
‘การกระจายของพลังงานงั้นเหรอ มีพลังงานกี่ธาตุกัน’ รีบอร์นจ้องมองที่แหวน
“เห้ย !! ฮิบาริแกมาทำอะไรที่หน้าบ้าน ของรุ่นที่สิบ” โกคุเดระตะโกนขู่ฮิบาริ ที่ยืนเทห์ขวางหูขวางตาอยู่หน้าบ้าน
“แหวน” ฮิบาริตอบกลับมาสั้นๆก่อนจะถอดเสื้อนอกออกเหมือนจะเดินเข้าไปในบ้าน
“เข้าไม่ได้” โกคุเดระกระโดดมาห้ามทันที
“หึ อยากจะโดนขย้ำตายอยู่ที่นี่สินะ” ว่าแล้วฮิบาริก็สะบัดท่อนฟาคู่ออกมาเตรียมต่อสู้
“ทำไมเข้าไม่ได้หละ โกคุเดระ” น้ำเสียงขี้เล่นของเสียงของยามาโมโตะดังมาก่อนเจ้าตัวที่เดินมาพร้อมไม้เบสบอลคู่กาย
“ถูกของโกคุเดระ ฉันรู้ว่าพวกนายมาเพราะอะไร แต่รอก่อน รอให้ข้างในสงบก่อน” รีบอร์นชี้แจง
ทุกๆคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านซาวาดะตอนนี้เอาแต่มองแหวน ที่มีไฟลุกขึ้นมาเป็นจังหวะ
“ต้นเหตุอยู่ที่นี้เองเหรอครับ คุฟุฟุ”
ในบ้านซาวาดะ
ผมมองเด็กสาวที่ค่อนข้างจะเจ้าเนื้ออยู่หน่อยๆตรงหน้าด้วยความกังวล อาการทึงหัวของเธอดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นแระเหมือนทุกทีที่เธอกรีดร้องออกมาเบาๆ ไฟของแหวนก็จะลุกขึ้นมามากกว่าปรกติ ผมอยากจะขยี้หัวตัวเองจัง
“อ๊า...ปวดหัว..ช่วยด้วย” เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอทำเอาผมจนปัญญา ผมไม่รู้ว่าเธอปวดหัวเพราะอะไร แต่มือของผมก็ ไปพยุงเธอขึ้นมา ผมสะอึกเมื่อเห็นน้ำตาของเธอ เธอกัดปากเสียจนเลือดออกแถมยังจะพยามจะขยี้หัวตัวเองเหมือนมันจะช่วยบรรเทาได้ เหมือนพลังมันไม่สมดุล การกระจายของพลังเหมือนเวลาหินหล่นลงไปในน้ำอ่าง ต้องใช้เวลาซักพักกว่าคลื่นจะสงบ
“รอเดียวนะ” ผมตัดสิ้นใจใช้ไฟปรับไฟในตัวเธอ ความสามารถของธาตุนภาคือกลมกลืน “จะช่วยเดียวนี้แหละ” ผมเอามือไปจับที่หัวเธอก่อนจะ ทำการปรับไฟ น่าประหลาด ไฟพวกนี้ไม่ใช่ของเธอ มันเพียงแค่ กระจายอยู่ในร่างกายเหมือนละออง และ มีปริมาณที่มาก แต่เท่าเทียมกันทุกธาตุ ซักพักทุกอย่างก็สงบ
“ไฟนั้นของเด็กคนนี้รึเปล่าสึนะ” รีบอร์นถาม
“ไม่ใช่ มันเป็นของคนอื่น มันเหมือนละอองที่ปะปนอยู่ในร่างกาย” สึนะตอบอย่างเคร่งเครียด
“ไงสึนะ ไฟสงบแล้วสินะ” ยามาโมโตะส่งเสียงทักสึนะ เขามองไปที่เด็กผู้หญิงที่นอนกองผมเฝ้ายุ่งเหยิงอยู่ที่พื้น
“หึ ” ฮิบาริสบถเบาๆ ทันทีที่เห็นมิน
“เมื่อกี้มันอะไรสุดขั่ว!!!” คุณพี่ชาย ที่มาที่หลังสุดตะโกนขึ้นมา
“มากันทุกคนเลยเหรอ” สึนะถามอย่างเหล่อหลา เพราะเมื่อกี้มีแค่โกคุเดระที่ตามออกมาจากห้องเรียน แต่ตอนนี้ มากันซะเยอะเลย
“ขอโทษนะครับรุ่นที่สิบ” โกคุเดระเดินคอตกเข้ามา
“ไม่เป็นไรโกคุเดระคุง” สึนะลุกขึ้นมาปลอบใจ สภาพหมาหงอยของโกคุเดระ เนื่องจากโดนฮิบาริซัดไปเบาๆเมื่อกี้หลังจากไฟสงบ
“ว่ายังไง มุคุโร่”
“คุฟุฟุ ท่าทางน่าสนใจนะครับ” มุคุโร่ตอบคำถามของรีบอร์น ก่อนจะเอามือสางผมที่ปรกหน้าเด็กสาวออก
“คุณมุคุโร่ / โรคุโด มุคุโร่ ” แต่ละเสียงบ่งบอกถึงอาการประหลาดใจในการมาของมุคุโร่ ยกเว้น
“ผมอยากเจอคุณอยู่พอดีเลย” ฮิบาริ
“เห็นทีวันนี้จะไม่ได้นะครับโคลมรอผมอยู่ ”สิ้นเสียงร่างของมุคุโร่ก็หายไป
“เหอๆ... เขามาทำไมนั้น” สึนะถามลอยๆ
“คงเพราะไฟเมื่อกี้” รีบอร์นตอบ ก่อนจะเดินไปหาเด็กสาวที่เริ่มสะลืมสะลือฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“เธอเป็นใคร” รีบอร์นถาม
“เธอยังพึ่งตื่นเองนะ แถมเมื่อกี้ก็ปวดหัวมาก” สึนะออกอาการลนลานด้วยความเป็นห่วงเด็กสาว
“ฉัน ก็คือ ฉันสิถามแปลกๆ” ถึงแม้จะตอบกลับมาเสียงแผ่วๆ แต่ก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองแน่นอนเธอตั้งใจจะกวนเด็กน้อยตรงหน้าที่เคยเอาปืนจ่อหัวเธอด้วยเพราะเธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย มินค่อยๆพยุงตัวขึ้นมา ก่อนจะไล่สายตาไปหาคนที่ช่วยเธอเมื่อกี้ ก่อนจะยิ้มให้อย่างจริงๆใจ แล้วบอก “ขอบคุณมากมากค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นรอยยิ้มจากเด็กสาวตรงหน้า พวกเค้าไม่คิดว่าคนที่นอนผมเฝ้ายุ่งหยิงจะหน้าตาน่ารักได้ขนาดนี้ ดวงตากลมโตถึงจะแดงช้ำจากการร้องไห้ แต่ก็ส่องประกายขอบคุณเสียจนสึนะอ่อนใจ รอยยิ้มพิมพ์ใจจากใบหน้ากลมๆ ทำให้ดูน่าเอ็นดู พวกเขารู้สึกเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้าขึ้นมาเสียเฉยๆ
“เจอกันอีกแล้ว” ฮิบาริส่งเสียทัก “เห็นทีจะต้องสะสางเรื่องคราวที่แล้ว” ฮิบาริสะบัดท่อนฟาออกมาอีกครั้งก่อนจะพุ่งไปทางเด็กสาวแต่สึนะกลับมาหยุดไว้
“ฮิบาริ”
“รุ่นที่สิบ!!”
“ไว้ก่อนนะฮิบาริ” รีบอร์นบอก
“ครั้งหน้า ฉันจะขย้ำเธอให้ ตาย!” ฮิบาริทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป
“เดี๋ยว !! ” ฉันร้องเรียกฮิบาริ แต่เขาก็ไม่หันกลับมา เธอจึงลุกขึ้นแต่ก็พลาดท่าลื้น หัวไปโหม่งขอบประตูตอนจะวิ่งตามไป “โอ๊ยยยย...”
“เหะๆๆ โทษที ”ยามาโมโตะหัวเราะแห้งๆ เพราะเมื่อกี้เขาหลบเธอทั้งๆที่เห็นว่าเธอกำลังจะล้ม
“เสียงดังสุดขั่ว” คุณผู้ชายผู้มีผมเกรียนสีขาวพูดย้ำ ขอบคุณค่ะ
“งี่เง่า” โกคุเดระเหล่หางตามองฉัน ทำเอาฉันปรี๊ดแตกกับท่าทางแบบนั้น
“ไอบ้า ”ว่าแล้วฉันก็นั่งลงคว้าหมอนมาปาใส่พวกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นโทษฐานไม่ช่วยกัน แต่เขาจะมาช่วยฉันทำไมกันหละจริงไหม พวกเราไม่ได้รู้จักกันซะหน่อย
“อุ๊ยขอโทษทีลืมตัว” ฉันขอโทษพวกเขาออกไป
“เธอชื่ออะไร” รีบอร์นถามอีกครั้ง เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลกับการที่เด็กคนนี้มีละอองไฟปะปนอยู่ในร่างกาย
ต้องมีใครเล่นพิเรนทร์ทดลองอะไรแปลกๆแน่ๆ
“มินตรา ฉันรู้และจำได้แค่นี้ แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนอื่นไปได้ และแม่ของคุณช่วยฉันมาคะ” ฉันหันไปมองลูกชายของคุณน้าที่เอามือชี้ไปที่ตัวเอง
“ฉันรู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่ๆเหมือนศาลเจ้า แล้วก็ เห็นผู้ชายคนที่เดินออกไปเมื่อกี้ พังประตูเข้ามา”
“ฮิบาริสินะ”
“เอ่อ..มินตรา ” ฉันหันไปมองลูกชายคุณน้าที่กำลังเรียกชื่อฉันอย่างไม่มั่นใจ
“เรียกยากใช้ไหมคะ เรียกว่ามินก็พอคะ” ฉันตอบ แล้วลูกชายคุณน้าก็ยิ้มให้ฉันรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนใจดีจากสายตาที่เขามองฉัน มันทำให้ฉันอดยิ้มออกมากว้างๆไม่ได้ ฉันอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ แต่ผู้ชายคนนี้ ดูยังไงก็เป็นคนอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย
“ไหนๆก็ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ฉันรีบอร์น เป็นครูพิเศษของเจ้าห่วยนี้” รีบอร์นแนะนำตัวเองก่อนจะเดินมานั่งตรงหน้ามิน
“คะ ” เด็กแค่นี้น่ะนะเป็นครู *จ้องมองรีบอร์นอย่างพิจารณา* ถึงจะสงสัยแค่ไหนก็ไม่ถามออกไปเหรอก เมื่อกี้ยังเอาปืนจ่อหัวอยู่เลย
“ฉัน ซาวาดะ สึนะโยชิ” ลูกชายคุณน้าแนะนำตัวเอง
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับรู้
“ฉัน โกคุเดระ ฮายาโตะ มือขวาของรุ่นที่สิบ” อะไรของนายคนนี้ แนะนำตัวเสียงดังเชียว อุ! ผมทรงนี้มันอะไรนะ
“คุคุ ค่ะ” ฉันพยักหน้าไปขำไป ก็ทรงผมของเขามันเหมือนหนวดปลาหมึกอะ
“ขำอะไรยัยอ้วน”
“อุ !!!” ฉันทำตาโตมองนายผมปลาหมึก “แต่ผมของฉันก็ตรงไม่งอปลายเหมือนปลาหมึกนะ”
“แก๊ !!”
“หว๋า!!” ฉันร้องอุทานออกมาเมื่อนายคนนั้นมีระเบิดอยู่ในมือ
“ใจเย็นๆสิ” รีบอร์นว่าเขาให้ก่อนจะเอา ค้อนสีเขียวๆ ฟาดโกคุเดระเข้าไปเต็มรัก เจ็บไหมนะ
"แอ๊ค!!"
ฉันมองซากปลากหมึกที่นอนกระเด่วๆ อยู่ที่พื้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย สมน้ำหน้า ตลก และกลัว รีบอร์นที่ฟาดแบบไม่คิดเลย -_-; เหมือนสึนะโยชิซังก็เป็นเหมือนกันแหะ
“ฮ่ะๆๆๆ งั้นฉันแนะนำตัวนะ ยามาโมโตะ ทาเคชิ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายร่างสูงเจ้าของใบหน้าที่ยิ้มแย้มขี้เล่น เดินเข้ามาทักทายใกล้ๆ ทำเอาฉันพงะเล็กน้อย
“แนะนำตัวแบบ สุดขั่ว ซาซางาวะ เรียวเฮ เป็นกับตันชมรมมวยมหาวิทยาลัย ($&@)# สนใจจะเข้าชมรมมวยกับฉันไหมหละ” ชายผู้ทีมีผมสั้นทรงนักเรียน ท่าทางทะมัดมะแมงอยู่ในเสื้อเชิดสีขาวพับแขน กำลังทำท่าต่อยอากาศอย่างเมามัน
“ไม่เข้าดีกว่าค่ะ” เข้าไปคงแย่แน่ฉันไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย
“เอาหละ ไปกินข้าวกัน” รีบอร์นเอ่ยชวนก่อนจะเดินนำออกไป
“รบกวนด้วยนะคราบ” สามหนุ่ม โกคุเดระ ฮายาโตะ ยามาโมโตะ ทาเคชิ และ ซาซางาวะ เรียวเฮ พูดขึ้นพร้อมกัน
“ไม่เป็นไรๆ ไปทานข้าวกันเถอะ” สึนะตอบ
แล้วทุกคนก็ออกไปจากห้องเหลือแค่ฉันกับสึนะซัง
“มินก็ไปทานข้าวด้วยกันสิ” เขาเอ่ยชวนฉันพร้อมรอยยิ้ม
“ค่ะ ” เหมือนตัวเองจะกลายเป็นเด็กขี้แยไปซะแล้ว ฉันมองสบตาเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาที่ฉันอย่างอ่อนโยนระคนเป็นห่วง ทำเอาฉันรู้สึกตื้นตันขึ้นไปอีก คนๆนี้ใจดีจริงๆ
มินตรา ชื่อเหมือนผีตนนั้นเลย แต่ว่า.... ผีในตอนนั้นสวยกว่านี้เยอะเลยนะ -_- สึนะคิด
วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากวันนั้น ก็ผ่านมาเกือบสามเดือน ฉันคนนี้ มินตรา ยังมีความสุขดี บ้าน ซาวาดะไม่เคยเงียบเหงาอีกเลยถึงแม้พี่สึนะจะไม่ค่อยได้อยู่ สงสัยหละสิทำไมฉันเรียกพี่สึนะได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หุหุ ตลอดเวลาที่ผ่านมามันช่วยทำให้ฉันเข้าใจอะไรๆดีขึ้น แต่บางทีก็มีปัญหา และพี่สึนะเองก็เป็นคนเข้ามาช่วยเคลียปัญหาให้ฉันทุกๆครั้งเลย เขาเป็นพี่ชายที่แสนดี และจะเพอร์แฟคมาก ถ้าจะตัดความ เงอะงะ อืมความซุ่มซ่าม(บางครั้ง) แล้วก็ความขี้กลัวหรือขี้บ่นหว่า? ก็เล่นกรีดร้องก่อนจะมาช่วยทุกที ยิ่งถ้ามี คุณฮิบาริมาเอี่ยวด้วยทีไร อดสงสารพี่สึนะไม่ได้ซักที มีตัวยุ่งอย่างฉันแถมมีคนที่แพ้ทาง? ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ขอบอกเลยนะว่าฉันไม่เคยไปหาเรื่องก่อน อ๋อตอนนี้ฉันเข้าโรงเรียนแล้วแหละ ทุกคนให้การต้อนรับฉันดีเหมือนกันชีวิตการเรียนและเพื่อนที่โรงเรียนก็บ้านๆ อาจเป็นเพราะหน้าตาและรูปร่างเลยทำให้โดนแกล้งในบางที แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามันอยู่ในขอบเขตที่ “ทนได้” น่ะนะ
“ซาวาดะ” น้ำเสียงเย็นเฉียบชวนขนหัวลุก ดังขึ้นด้านหลังเด็กสาวร่างกลมที่กำลังจะกระโดดออกจากห้องชั้นหนึ่งผ่านทางหน้าต่าง
การกระทำทุกอย่างหยุดนิ่ง....
“คะ???” เหมือนเด็กสาวจะคิดทางหนีทีไล่ได้แล้วเลยส่งใสเสียงตอบรับ
เหมือนเจ้าของเสียงเย็นๆจะไม่ค่อยพอใจ เขาแพร่รังสีกดดันใส่เด็กอ้วนกลมที่กำลังหันหลังให้เขาอย่างหนักหน่วง
อุ..บ๊ะ.....ขนลุกไปหมดแล้วยอมแพ้ดีกว่า มินตราคิด “ขนลุกหวะ”
“นินทาอะไรครูหือ ซาวาดะ ประตูดีดีมีทำไมไม่ออก ออกทางหน้าต่างมันมีอะไรดีหรือไง ฉันเห็นเธอทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนะ” อาจารย์สาวผู้ผ่านมาแล้วเกือบครึ่งขีวิต ขยับแว่นตาให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้ามา กดดัน เอ้ยห้ามปราม การกระทำอันไม่เหมาะสมของ ซาวาดะ มินตรา
“เปล่าคะ อาจารย์” มินตราตอบเสียงอ่อยก่อนจะเอาเท้าข้างหนึ่งลงจากขอบหน้าต่างแล้วหันหน้ามาหาครูก่อนจะโค้งขอโทษหนึ่งที โอ้วันนี้ฉันไม่รอดเหรอนี้ “พอดีเมื่อกี้หนูเห็นแมวคะ!! ด้วยความรักแมวหนูเลยพยามจะตามมันแล้วมันก็เป็นอย่างที่อาจารย์เห็นนะคะ” ตอแหลสด !! ตอแหลสดหน้าด้านๆ
“แมวมันวิ่งผ่านทางนี้ทุกวันเลยเหรอไง” น้ำเสียงเริ่มเย็นยะเยือกเหยียบเข้าไปในหัวใจ
ไม่นะ ไม่นะ ไม่เอาโดนทำโทษนะ วันนี้พี่ยามาโมโตะมีแข่งเบสบอล เราต้องไปให้ทันแข่งไปช่วยเชียร์ด้วยหัวใจสาวน้อย ซะที่ไหนเล่าเมื่อวานเล่นเกมแพ้เลยโดนบังคับไปต่างหากล๊า!!! “อ๊ากกก” มินตราหลุดโวยวายออกมา
“อะไรของเธอ ซาวาดะ อาจารย์ยังไม่ทันได้ทำอะไรเธอเลยนะ” อาจารย์สาวระยะสุดท้าย ผงะ ก่อนเด็กสาวจะพุ่งตัวเข้ามากอดที่ขาข้างหนึ่งทั้งน้ำตา!
“อาจารย์คะ TAT หนูกลัวพวกซากกบ เขียด ตะไคร้ ไร แมลงมุม พวกนี้ ฮืก หนูทนไม่ไหวแล้วคะอาจารย์ ไปก่อนนะค้า” ขอโทษนะคะอาจารย์ มินตราอาศัยช่วงอาจารย์กำลังมึน กับ บทสาวน้อยขี้กลัวของเธอชิงวิ่งหนีออกไป
“ดะ..ดะ...เดี๊ยววว...ซาวาดะ นี้ไม่ใช้ห้องวิทย์นะยะ กลับมานี่เดี๊ยวนี้น๊า”
“เรื่องสิค้า :P” เสียงตอบกลับดังมาแว่วๆ ทำเอาอาจารย์สาวเหนื่อยใจ “ทีเรื่องหนีหละไวอย่างกับกระจั๊วเลยนะ ทั้งๆที่อ้วนขนาดนั้นแท้ๆ”
“จะไปทันไหมหงะ อ่า ” ฉันบ่นหงุงหงิงระหว่างวิ่งไปที่สนามเบสบอล ถ้าพี่ซึนะมาด้วยก็ดีสิ แต่คิดไปก็เท่านั้นแหละเขาคงเดทสวีทหวานอยู่กับรุ่นพี่สาวสุดน่ารักอย่าพี่เคียวโกะอีกตามเคย อ่าโลกสีชมพู ว๊ากกก.... เดี๊ยวไม่ทัน
ไม่นานนักฉันก็มาถึงนามเบสบอล และเข้าไปนั่งบนแสตเดียมอย่างดีปั่นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้ทุกคน ประหนึ่งนางาม ที่ต้องปันหน้ายิ้มทำไมนะเหรอ ก็ตรงนี้มันดงเหล่าคนหน้าโหดและครึ่งหนึ่งเป็นเบ๊ของศัตรูตลอดกาลของฉัน “ฮิบาริ” ฉันเค้นชื่อเขาผ่านไรฟัน เจอกันคราวที่แล้วความทรงจำระหว่างกันไม่สวยเลย ล่าสุดเขาตัดผมฉันไปสองนิ้ว เอาหละเลิกสนใจพวกเบ๊ๆทั้งหลายแล้วมาดูการแข่งขันอันสุดแสนจะระทึกใจ ท่ามกลางแดดแผดเผาอันสดใส เล่นเอารู้สึกเหมือนหมูปิ้งเบาๆ อีกอย่างชัดนักเรียนมันก็อึดอัดเพราะความอวบส่วนตัวด้วย...แค่อวบนะยะอวบ
“ยามาโมโตะ ทาเคชิ เป็นผู้ตีลูก ” สายตาของฉันเพ่งไปที่หนุ่มหน้ามนผู้มีรอยยิ้มประดับหน้าอยู่เสมอๆ เอาเลยพี่ยามาโมโตะ ซัดไกลๆ ซัดไกล
“โอ้ววววววว!!! โฮมรัน”
“เย้ !!!!!!!!” หลายคนในสนามใหญ่แห่งนี้พากันกรีดร้องดีใจให้กับทีมทีเชียร์เพราะเขาสามารถทำโฮมรันได้ โอกาสชนะลอยมาใสๆ
“เย้ พี่ยามาโมโตะ เก่งที่สุดเลย อุ๊ย!” ฉันเองก็กระโดดดีใจไปเหมือนกันแต่อิพวกเบ๊ๆข้างหนังนั่งหน้านิ่งปานจะฆ่ากันตายแบบนี้ ทำเอาความดีใจฉันหดหายนะยะ ปานจะฆ่ากันตาย ?
“เอ่อ...” ฉันส่งเสียงออกมาอย่างใช่ความคิด เหงื่อเริ่มแตกอย่าช่วยไม่ได้ ทั้งอากาศร้อนและพวกข้างหลัง มันจะไปฆ่าใครฟระ ..คนของฮิบาริ แท้ๆ คนของฮิบาริ ..ศัตรูตลอดกาลของฉัน เห้ย !
ฉันหันควับไปจ้องที่พวกนั้น สายตาพวกมัน ไม่ได้จ้องมาที่ฉัน โล่งอกไป แต่เมื่อลองมองไล่ตามไปดีดี ก็พบว่ามันจ้องไปทางอีกฝากของสนามเบสบอลแห่งนี้ที่มีกลุ่มผู้ชายนั่งอยู่ ฉันคิดว่างั้นนะ รวมตัวกันอยู่ท่าทางจะไม่ดีแหะ หลังเกมจบ..มีเกมส์ใหม่เปิดแน่เลยแหงๆท่าทางจะใช้มือและเท้าเป็นอาวุธ เหอๆๆๆ ฉันได้แต่นั่งหัวเราะแห้งๆให้กับพระอาทิตย์ดวงโต
“เห็นท่าจะต้องชิ่ง” มินตราโคลงหัวไปมาก่อนจะใช้สายตาสอดส่องหาทางออก
ฉับพลันเด็กสาวก็ลุกขึ้นยืนแล้วก็พรวดพลาดวิ่งลงจากสเตเดียมไป
เมื่อกี้ฉันเห็น อะไรซักอย่างที่ค้างคาอยู่ในความทรงจำ ชายผู้มีผมสีเขียวยุ่งเหยิง รูปร่างสูงโปรงใส่เสื้อกราวเหมือนพวกนักวิทยาศาสตร์ เขาเดินอยู่บนถนนตรงนั้น คนที่เชี่ยวชาญด้านวิทย์เข้าขั้นอัจฉริยะ เวลเด้
“ทำไมฉันถึงรู้จักเขา ทำไม”มินบ่นกับตัวเองทั้งๆที่ยังวิ่งอยู่ พอเธอหันกลับไปมองข้างหลังก็
“จ๊ากก !! พวกแก๊จะตามฉันมาทำไม” พรรคพวกเบ๊ๆของฮิบาริวิ่งตามมาเป็นฝูงเลย
“...” พวกเขาทำหน้าโหดแล้ววิ่งตามมาอย่างพร้อมเพรียง
“อะไรฟร๊า” นี่วันนี้เธอต้องเจออะไรอีกเนี้ย คำสั่งฮิบาริเหรอ แม่จะกลับไปจัดการ งานนี้ยอมไม่ได้
มินออกแรงวิ่งพาร่างตัวเองมาหยุดอยู่แถวๆริมถนนทางออกหลักของสเตเดียม ตรงที่เห็น เวลเด้เมื่อกี้ก่อนเขาจะหายไป เธอหอบเหนื่อย และ หงุดหงิด ตามไม่ทัน ให้ตายเถอะ ฮิบาริ งานนี้ ไม่ฉันก็แก ต้องเละกันไปข้าง ใช้ได้ที่ไหนกันแบบนี้
ฉันจะฟ้องพี่สึนะ !!!!!!!!!!!!!!
ความคิดเห็น