ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจเทพธิดาเครื่องหอม

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ ๓ สวัสดีดงดอกไม้และ?? (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 2 ม.ค. 58


        สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะทุกคน ขอให้มีความสุขสมหวังทุกประการนะคะ           
     

          วันนี้มาแบบสั้นๆ เดี้ยวพรุ่งนี้จะลงให้ครบนะคะ :]





                    ตำนานว่าด้วยการกำเนิดของเทพ เทพแต่ละองค์ต่างมีวิถีในการกำเนิดแตกต่างกันไปตามลักษณะพิเศษ เช่น เทพประจำบ้าน เทพประจำบ้านนี้ถือว่าเป็นเทพสามัญที่บ้านแต่ละหลังควรจะต้องนับถือ การกำเนิดของเทพประจำบ้านนั้นคือการบูชาด้วยการประพฤติตัวดีทำแต่กรรมดีขงอคนในบ้าน หากบ้านไหนทำแต่กรรมชั่วเวลาเกิดเรื่องร้ายเทพประจำบ้านจะไม่ช่วยเหลือ ถ้าว่าตามกันด้วยหลังความเชื่อของคนในอาณาจักรนี้และใกล้เคียงการนับถือเทพนั้นจะใกล้เคียงหรือคล้ายๆกัน แต่การกำเนิดของเทพหลายๆองค์ที่มีความเฉพาะตัวสูงนั้นมีน้อยผู้น้อยคนที่จะรู้หรือมีโอกาศได้รู้

                    เทพบางองค์มีลักษณะเป็นชาย เทพบางองค์มีลักษณะเป็นหญิง เทพบางองค์แยกเพศไม่ได้ และเทพบางองค์ประหลาดเกินกว่าจะอธิบายได้ ลักษณะของเทพนั้นส่วนใหญ่มีรูปลักษณ์งดงามจนสามารถแยกออกจากมนุษย์ได้โดยง่าย หากไม่แยกด้วยรูปลักษณ์ก็แยกด้วยความประหลาดส่วนตัวของพวกเขาไปตามที่ได้แสดงออก

                    “เทพธิดาเครื่องหอมนั้นกำเนิดจากการเผาเปลือกไม้ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมจำนวนมากและที่สำคัญต้องเผาในจุดตายจุดเก่าของนาง เพราะนี้ไม่ใช่การถือกำเนิดครั้งแรก” น้ำเสียงยานคางของชายแก่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการถือกำเนิดของเทพธิดาเครื่องหอม

                    เส้นเงาไหววูบทาบอยู่เหนือดงดอกไม้งามที่เกือบจะเป็นทุ่งท่ามกลางท้องฟ้าสดใสในตอนกลางวัน เจ้าของเงานั้นลอยประจันหน้ากับชายแก่ร่างเล็กเทียบเท่าเด็กวัยเจ็ดแปดขวบที่มีศีรษะล้านแต่กลับไว้หนวดไว้เคราเสียยาว ไม้เท้าในมือข้างซ้ายของชายชรานั้นดูคล้ายซากไม้หักๆที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ถือ

    “เฒ่าจิน ข้าขอถามเจ้าและจงตอบตามความสัตย์จริง” น้ำเสียงเข้มของเงาที่กำลังไหววูบเกริ่นคำถามก่อนจะทิ้งเวลาซักพักแล้วเริ่มถามต่อ “มีใครรู้เรื่องนี้อีกนอกจากข้าและเจ้า”

    “เทพธิดาบุปผาสวรรค์” เฒ่าจินตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง

    “เช่นนั้นเริ่มพิธีกรรมเสียทีหากชักช้าจะไม่ทันการ ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก” เจ้าของเงาไหววูบเหนือดงดอกไม้กล่าวก่อนจะสลายเงาตัวเองทิ้ง

    เฒ่าจินมองเงาดำตรงหน้าอย่างหนักใจ ตอนนี้ค่อนข้างจะไวสำหรับคืนชีพเทพธิดาเครื่องหอม อีกทั้งช่วงนี้เทพธิดาบุปผาสวรรค์เข้าบรรทมไปแล้วการจะเลี้ยงดูเทพองค์หนึ่งให้เติบโตได้นับว่าเป็นเรื่องยาก หากไร้เทพธิดาบุปผาสวรรค์ใครจะเป็นคนเลี้ยงดูเทพธิดาเครื่องหอมกันถึงจะคิดแย่งแต่เขาก็ไม่อาจขัดสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ชอบออกคำสั่งและมากไปด้วยอำนาจอย่างมังกรได้ เฒ่าจินได้แต่มองดูเหล่าดอกไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีและจัดหมวดหมู่ไว้อย่างเห็นได้ชัด ต้นไม้ใหญ่หลายต้นขึ้นกระจายอยู่ไกลๆก็เช่นกัน หลังจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมเริ่มเกร็งกำลังที่ข้อมือเพื่อยึดไม้เท้ากับพื้นดินไม่ให้ตัวเองลอยไปตามแรงลมที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ดอกไม้ทุกดอกต้นไม้ทุกต้นไหวเอนเข้ามาหาจุดศูนย์กลางตรงเบื้องหน้าเฒ่าจินด้วนแรงลมมหาศาล เพียงพริบตาเดียวสายลมก็หายวับไปทิ้งไว้ก็เพียงชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดสีดำสนิทปักเลื่อมสีเงินตามขอบผ้า เส้นผมสีดำทิ้งตัวเหมือนม่านเส้นไหมสีดำมันเงาอย่างดีขับให้ผิวของเจ้าตัวที่ขาวมากให้ดูขาวขึ้นไปอีก ใบหน้างดงามราวกับภาพวาดชั้นดีนั้นนิ่งสนิท ตรงปลายหางตาทั้งสองข้างนั้นปรากฏให้เห็นเกล็ดมังกรอยู่ประปราย นันย์ตาสีแดงที่ยังคงแววตาอย่างมังกรทอประกายร้อนใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

    “มันคงเป็นเรื่องสำคัญมากจนทำให้มังกรดำอย่างท่านออกมาปรากฏกายได้ในรอบสองร้อยปี”

                    “ใช่”

                   เฒ่าจินหลับตาทำสมาธิอยู่พักใหญ่ ทิ้งให้มังกรดำอย่างหงหยูวยืนรอทามกลางสายลมเอื่อยๆที่เจือไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิด ไอแดดมากมายในตอนเที่ยงวันไม่สามารถทำให้ร่างสูงของหงหยูวนั้นแสดงอาการได้เลยแต่ทางเฒ่าจินนั้นกลับมีเม็ดเหงื่อมากมายผุดอยู่เต็มในหน้าแลไหลย้อยหยดลงพื้นดิน จิตของเขากำลังสื่อสารอยู่กับจิตของเทพธิดาบุปผาสวรรค์

                    ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ใบหน้างดงามของหงหยูวเคร่งเครียดมากขึ้น ม่านตาของเขาหดตัวจนแทบจะเป็นขีดเดียว ทันทีที่เฒ่าจินเริ่มขยับตัวม่านตาของหงหยูวก็ขยายกลับเหมือนเดิม

                    “ข้าจะพาท่านไป ณ จุดที่ต้องทำพิธี” เฒ่าจินพูดออกมาก่อนจะหันหลังแล้วออกเดิน คำกล่างของเฒ่าจินถือว่าเทพธิดาบุปผาสวรรค์นั้นอนุญาติแล้ว

                    หงหยูวเองก็ก้าวเดินตามเฒ่าจินไป ทั้งคู่เดินข้ามจากดงดอกไม้ที่ถูกปลูกและจดหมวดหมู่อย่างดีสู่เขตที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ บางต้นถูกเลาะเปลือกบางส่วนออก บางต้นถูกกรีดเพื่อเอายางไม้นัยน์ตาคมของหงหยูวมองทุกอย่างรอบทางที่เดินผ่านเพื่อเก็บบันทึกเอาไว้ ทุกครั้งที่เขามาที่นี่เขาไม่เคยมาไกลจากส่วนดอกไม้ที่เขายืนคุยกับเฒ่าจิน พื้นที่ตรงนั้นเป็นสัญลักษณ์เขตที่เผ่ามังกรดำหรือสิ่งมีชีวิตที่มีอารยะธรรมที่อาศัยอยู่ในหุบเขาอาถรรพ์จะสามารถมาเพื่อพบปะผู้ที่อยู่ในสวนลึกที่สุดของหุบเขาอย่างเฒ่าจินผู้มีหน้าที่ดูแลส่วนในเทพธิดาเครื่องหอมและเทพธิดาบุปผาสวรรค์สองเทพธิดาที่อาศัยอยู่ เรื่องพวกนี้นับเป็นข้อตกลงตั้งแต่สมัยบรรพกาล

                    พ้นจากเขตต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าก็ปรากฏให้เห็นปากถ้ำขนาดใหญ่ที่รอบๆปากถ้ำนั้นถูกสลักเป็นลวดลายของดอกไม้และเถาวัลย์ เฒ่าจินหยุดเดินก่อนจะโบกซากไม้ในมือสองสามทีก็ปรากฏลูกไฟเรืองสีขาวขนาดเท่ากำมือ หงหยูวมองการกระทำของเฒ่าจินอย่างสนใจใครรู้ก่อนจะไพร่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยนามตัวเองเพื่อเป็นการเบิกทางพร้อมเฒ่าจิน

                    “เฒ่าจินแห่งหุบเขาแดนสนธยาขออนุญาตเทพธิดาบุปผาสวรรค์ล่วงล้ำเข้าไปในถ้ำอันเป็นที่พำนักสุดท้ายของเทพธิดาเครื่องหอม” คำกล่าวของเฒ่าจินนั้นเต็มไปด้วยความนอบน้อมผิดกลับคำกล่าวของมังกรดำอย่างหงหยูว

                    “ข้าหงหยูวมังกรดำแห่งหุบแดนสนธยาขออนุญาตเทพธิดาบุปผาสวรรค์ล่วงล้ำเข้าไปในถ้ำอันเป็นที่พำนักสุดท้ายของเทพธิดาเครื่องหอม”น้ำเสียงเข้มของหงหยูวกล่าวคำเบิกทางอย่างมั่นใจและเย้อหยิ่ง เดิมทีเหล่ามังกรและเทพในหุบเขานั้นต่างก็มีการลองเชิงกันเสมอตลอดเวลาที่ผ่านมา

                    ทันทีที่ทั้งคู่พูดจบที่ข้อมือขวาของพวกเขาก็ปรากฏพวงดอกไม้เล็กๆสีขาวชมพูและฟ้าสลับกันไปขึ้นมา หงหยูวคลายแขนที่ไขว้กันไว้ด้านหลังแล้วยกข้อมือขวาขึ้นมาเพื่อสูดดมว่าดอกไม้เสกเหล่านี้มีความหอมอยู่หรือไม่ เมื่อยกเข้ามาใกล้จมูกโด่งของหงหยูวกลิ่นหอมที่ควรจะมีของดอกไม้เหล่านั้นกลับไม่มีเลย

                    “นั่น ไม่ใช่ดอกไม้เสกธรรมดา มันเป็นเหมือนดอกไม้ที่ถูกแปลสภาพทุกอณูให้บรรจุอักขระเพื่อเป็นการเบิกทาง ก่อนเทพธิดาเครื่องหอมจะสิ้นลม นางค่อนข้างจะใช้เวลาที่เหลือไปในทางที่ผิด” เฒ่าจินออกปากหลังจากที่หงหยูวได้ทดลองสูดดมกลิ่นจากดอกไม้แล้ว

                    “ในทางที่ผิด ?” มังกรดำลดข้อมือลงพร้อมกับถามในสิ่งที่คาใจจากสิ่งที่เฒ่าจินเล่า

                    “ระหว่างทางข้าจะเล่าให้ท่านฟัง นั่นเป็นเรื่องที่ท่านควรรู้หากจะเร่งการถือกำเนิดใหม่ของนาง”

                    “ฟางเซียน” หงหยูวพูดขัดด้วยชื่อของเทพธิดาเครื่องหอมที่ตนคุ้นเคย

                    เมื่อมีคนขัดผู้พูดย่อมขัดใจ แต่เฒ่าจินกลับมีใบหน้าหมองเศร้าก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นั้นสินะ นางชื่อฟางเซียน”

                    เฒ่าจินพาไม้เท้าที่ทำจากซากไม้คู่ใจเดินเข้าไปในถ้ำ หงหยูวเองก็ออกเดินตามเฒ่าจินไปเงียบๆ ใบหน้าของหงหยูวดูจะหม่นหมองลงเล็กน้อยเพราะเรื่องการตายของฟางเซียนนั้นใช่ว่าเขาจะไม่มีส่วน

                    แสงจากลูกไฟสีขาวของเฒ่าจินสาดไปทั่วพื้นที่ภายในถ้ำ แต่พอทั้งสองออกเดินมาได้ไม่ถึงสิบก้าวดีผนังถ้ำก็เรื่องแสงสีเงินปรากฏให้เห็นอักขระสีแดงสดมากมายที่เขียนอยู่ อักขระเหล่านั้นเริ่มทำงานและแสดงพลัง ไอสีแดงมากมายล่องลอยออกมาจากอักขระหมายเข้าจู่โจมผู้บุกรุกอย่าง หงหยูวและเฒ่าจิน

                    “อักขระปีศาจ!!” หงหยูวพูดเสียงเรียบก่อนจะกางม่านพลังของตัวเองเพื่อต้านพลังของอักขระ

                    ทันใดนั้นพลังจากอักขระปีศาจก็สูญหายไป

                    “มิน่าเล่าเทพธิดาบุปผาสวรรค์ถึงเสกดอกไม้ลงอักขระมาร้อยข้อมือไว้” หงหยูวพูด เพราะเขารู้ว่าการที่พลังจากอักขระสูญหายไปนั้นมาจากพวงดอกไม้บนข้อมือที่เปลี่ยนเป็นสีดำและดูเหมือนจะแห้งเหี่ยว นิ้วมือเรียวของหงหยูวแตะลงบนกลีบดอกไม้ ทันใดนั้นดอกไม้ทั้งพวงก็สลายกลายเป็นผง

                    “ฟางเซียน นางได้แลกเปลี่ยนผงหอมเจ้าแสงจันทร์กับการเรียนรู้อักขระมนต์พวกนี้ ที่ท่านพึ่งเจอก็นับเป็นการทดลองของนาง”

                    หงหยูวรับรู้แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ทั้งสองออกเดินอีกครั้ง

                    “หลังจากถูกพลังปีศาจกัดกินจากภายในนางก็เอาแต่เก็บตัวปรุงเครื่องหอม จากนั้นสองสามปีก็มีปีศาจแมวมาเสนอแลกเปลี่ยนการสอนอักขระปีศาจกับผงหอมเจ้าแสงจันทร์ หลังจากนั้นนางก็ทดลองอักขระปีศาจไปทั่วทั้งในที่พัก โรงเก็บสมุนไพรเครื่องหอม ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ กระทั่งที่พักข้า ดีที่เทพธิดาบุปผาสวรรค์มาคอยตามแก้ทุกครั้ง ไม่งั้นเดินไปไหนมาไหนในส่วนนี้คงจะต้องเจอดีบ้างเป็นแน่”

                    หลังจากเดินมาได้ซักพักเล็กๆทางเบื้องหน้าก็ปรากฏให้เห็นม่านระย้าที่ทำจากเถาวัลย์ที่ยังมีชีวิตเถาวัลย์พวกนี้มีใบไม้เล็กอยู่ตลอดเถาบางจุดก็มีดอกไม้เล็กที่ยังตูมอยู่ สายลมพัดให้เถาวัลย์ที่ทิ้งตัวเป็นม่านระย้าเพื่อบดบังทัศนีย์ภาพด้านหลังเอาไว้ปลิวล้อไปตามสายลม

                    แสงที่เล็ดลอดออกมาจากม่านเถาวัลย์ทำให้เฒ่าจินสลายลูกไฟทิ้งแล้วก้าวเดินออกไป เฒ่าจินใช้ไม้เท้าเขี่ยแหวกม่านเถาวัลย์แล้วเดินเข้าไปด้านใน หงหยูวเห็นดังนั้นเลยทำตามเขาใช้มือแหวกม่านเถาวัลย์อย่างนิ่มนวลก่อนจะมองเข้าไป สิ่งแรกที่เขารับรู้คือเสียงไหลของน้ำและกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคย

                    หงหยูวก้าวเข้ามาด้านในแสงอาทิตย์ที่สาดสองจากด้านบนของผนังถ้ำที่เป็นรูขนาดใหญ่ เขามองความสูงและความใหญ่ของผนังถ้ำด้วยความประทับใจ ต่อให้ข้าคืนร่างเป็นมังกรเต็มที่แล้วนอนในถ้ำนี้ หัวและตัวข้ายังไม่ชนผนังแต่ละด้านเลยแม้แต่น้อย ให้บินออกจากถ้ำจากช่องด้านบนก็ยังได้ เขาคิดก่อนจะสูดลมหายใจเพื่อรับรู้กลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี กลิ่นของฟางเซียน

                    ที่มุมถ้ำจุดหนึ่งมีสระน้ำที่ใหญ่พอจะให้คนๆหนึ่งว่ายเล่นได้อย่างสบายใจพร้อมน้ำตกเล็กๆที่น้ำจากสระนั้นล้นแล้วไหลออกไปจากถ้ำผ่านรูขนาดเด็กลอดตรงผนังถ้ำด้านล่าง รอบๆสระน้ำประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพรรณที่ชอบอยู่ริมน้ำ พื้นถ้ำตรงจุดนี้เองก็ยังเป็นหญ้านิ่มๆปนกับพวกมอสบ้างปะปรายต่างจากส่วนทางเดินที่เป็นหินล้วน

                    “จุดไหนที่เราต้องเริ่มพิธี” หงหยูวพูดเสียงเรียบเพื่อเร่งเฒ่าจิน

                    ชายชราคนเดียวในถ้ำนี้เริ่มโบกไม้เท้าเพื่อวาดอะไรบางอย่างบนอากาศก่อนหลับตาลงอีกครั้งแต่ไม่นานนัก

                    “ข้าจะเริ่มพิธีให้ในตอนนี้ แต่ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องถามให้แน่ใจ ใครจะเป็นผู้ดูแลเทพธิดาเครื่องหอม”

                    “มนุษย์”

                    “มนุษย์?”

                    “ใช่ มนุษย์ เพราะข้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถสอนให้นางรับรู้ความรู้สึกได้มากขึ้น”

                    “ทำไมกัน”

                    “เรื่องทุกอย่างจะไม่ร้ายแรงต่อชีวิตของนางหากนางไม่ได้รู้จักแค่การมีเมตตาแบบเมื่อก่อน นางจำเป็นต้องทันเลห์พวกปีศาจและเทพหรือมังกรบางตน”

                    “จริงของท่าน หากไม่ใช่เพราะปีศาจแมวคะยั้นคะยอให้ฟางเซียนเรียนอักขระปีศาจมันก็คงจะกลายเป็นการให้ผงหอมเจ้าแสงจันทร์ที่ใช้เวลาทำตั้งหลายปีไปอย่างเปล่าประโยชน์” เฒ่าจินเห็นด้วยกับเหตุผลของหงหยูวก่อนจะพึมพำเสียงเบา “ถึงมันจะทำให้ที่นี่ปันป่วนไปบ้างก็เถอะ”

                    เฒ่าจินจัดการเริ่มพิธีด้วยการเสกกองไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาตรงจุดหนึ่งใกล้ๆสระน้ำ ก่อนจะเคาะไม้เท้ากับพื้นหญ้าเพื่อเรียกสิ่งที่จะต้องเผาเพื่อทำการให้กำเนิด แต่ละครั้งที่เคาะไม้เท้าก็จะมีดอกไม้งอกออกมาจากส่วนปลายไม้เท้าที่แห้งกรังคล้ายจะตาย บางทีก็มีเปลือกไม้กระเด็นออกมา และบางทีเฒ่าจินก็สะบัดไม้เท้าใส่กองไฟเพื่อสะบัดยางไม้ให้ถูกไฟ

                    ยิ่งพิธีกรรมผ่านไปนานเท่าไหร่ปริมาณดอกไม้ใบไม้เปลือกไม้ยางไม้และส่วนประกอบที่ต้องใช้ทำพิธีก็ยิ่งถูกเผาไหม้มากขึ้น กองไฟนั้นก็เปลี่ยนสีไปมาหลายสีคล้ายการเล่นมนต์ตามสีของวัตถุดิบที่ใส่ลงไป กลิ่นหอมของสิ่งที่ถูกเผากระจายไปทั่วถ้ำและเล็ดลอดออกไปด้านนอกแต่ในกลิ่นหอมนั้นก็มีกลิ่นไหม้เจือจางอยู่

                    มังกรนั้นมีจมูกดี มังกรดำอย่างหงหยูวก็เช่นกัน เขารับรู้ได้ว่ากลิ่นพวกนี้คงจะกระจายไปไกลเป็นร้อยลี้พันลี้นั้นมันมากพอที่จะทำให้สายข่าวของผู้ที่เฝ้ารอการกำเนินของเทพธิดาเครื่องหอมรับรู้ได้ พวกที่ต้องการหัวใจของเทพธิดาเพื่อปรุงยาอายุวัฒนะ หงหยูวสะบัดแขนทั้งสองข้างออกจากตัวก่อนจะกางแขนแล้ววาดแขนขึ้นไปเหนือศีรษะ มือทั้งสองข้างใกล้จะบรรจบกันอยู่เหนือศีรษะแต่เว้นระยะห่างไว้อยู่หนึ่งฝ่ามือก่อนหงหยูวจะหลับตาลงแล้วดึงมือทั้งสองลงมาไว้ระดับอก ฉับพลันม่านพลังสีดำใสก็กระจายตัวไปตามของเขตที่กลิ่นจากการทำพิธีกระจายไปถึง แล้วจัดการกักกลิ่นหอมพวกนั้นไว้พร้อมค่อยๆบีบระยะการกระจายให้ลดลง

                    เปลวไฟยิ่งลุกโชนสีสันของมันก็เริ่มหายไปกลายเป็นกองไฟสีขาวสะอาดที่ไม่ส่งความร้อนออกมา ก่อนจะมอดดับไปทิ้งไว้เพียงร่างของเด็กทารกแรกเกิด

                    เฒ่าจินรีบเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาก่อนจะพิจารณาด้วยความเคร่งเครียด หงหยูวก็คลายม่านพลังทิ้ง

                    ใบหน้าและร่างกายเหี่ยวย่นที่มีสีแดงก่ำของของเด็กทารกที่กำเนิดจากกองไฟนั้นเหมือนกับลูกมนุษย์ทุกประการ ดวงตาของเด็กทารกนั้นไม่ยอมเปิด ไม่มีแม้แต่เสียงร้องไห้ใดใดทั้งสิ้น เฒ่าจินเริ่มร้อนใจ หงหยูวเองก็เช่นกัน ร่างสูงรีบเดินเข้ามาประชิดก่อนจะย่อตัวลงไปอุ้มเด็กน้อยจากเฒ่าจินเข้าสู่อ้อมอกของตัวเอง

                    “ทำไมนางไม่ร้องไห้ เงียบแบบนี้ ไม่ดีเลย” ร่างของหงหยูวเกร็งขึ้นด้วยความกังวล

                    เฒ่าจินได้ตอบอะไรแต่เลือกที่จะหลับตาลงเพื่อสื่อสารกับเทพธิดาบุปผาสวรรค์

                    ~ ได้โปรดรอ ดวงวิญญาณของนาง    กำลังจะมา ~

                    น้ำเสียงหวานใสของเทพธิดาบุปผาสวรรค์ดังขึ้นในหัวของทั้งสอง เฒ่าจินลืมตาขึ้นมาแล้วเงิยหน้ามองร่างสูงใหญ่ของมังกรดำ

                    “เราจะเอานางไปฝากพวกมนุษย์เลี้ยงแบบนี้เลยหรือเหล่าเทพนั้นตอนเล็กๆสุดแสนจะเลี้ยงดูยากเพราะจำเป็นต้องได้รับไอบริสุทธิ์ที่มากพออีกทั้งพลังชีวิตจากธรรมชาติเพื่อการเติบโต”

                    “ข้าคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว”หงหยูวพูดทั้งๆที่ยังมองทารกในอ้อมอก “ไปด้านนอกกันเถอะ จนกว่าวิญญาณจะมาข้าจะอุ้มนางไว้แบบนี้” หลังจากพูดเสร็จเขาก็ละสายตาจากทารกมามองเฒ่าจินก่อนจะพูดเสริมว่า “หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”

                    เฒ่าจินส่ายหน้าเบาๆก่อนจะก้าวเดินนำมังกรดำที่ยังอุ้มทารกอยู่ออกไปจากถ้ำแห่งนี้

     

                    เมื่อได้กลับมายังจุดเดิมที่เป็นดงดอกไม้นานาพรรณทารกในอ้อมแขนหงหยูวก็ยังไม่เคลื่อนไหว หงหยูวสละเสื้อนอกของตัวเองมาห่อทารกให้พ้นจากแสงแดดพร้อมซ่อนไว้ใต้เงาตัวเอง เฒ่าจินมองทุกการกระทำของมังกรดำอย่างเข้าใจ ฟางเซียนกับหงหยูวนั้นรู้จักกันมานานเล่นด้วยกันมาเหมือนพี่สาวกับน้องชาย ด้วยเทพธิดาเครื่องหอมนั้นถือกำเนิดมาก่อนมังกรดำอย่างหงหยูวอยู่หลายร้อยปี เมื่อหงหยูวเกิดมาเทพธิดาเครื่องหอมก็ไปเยี่ยมเยียนไม่ก็อยู่เล่นด้วยจนกระทั่งหงหยูวเติบใหญ่

                    สังคมของมังกรดำนั้นแปลก พวกเขารักสันโดษมากพอกับรักครอบครัวดังนั้นมังกรดำแต่ละตัวจึงกระจายกันอยู่ทั่วหุบเขาแดนสนธยา วันไหนรู้สึกเหงาก็มักจะไปเยี่ยมเยียนพวกพ้องครอบครัวไม่ก็ขึ้นมาพบปะเพื่อวัดพลังกับเทพที่อยู่ส่วนในเล่นๆ

                    ทุกการกระทำตลอดมาของมังกรดำที่เฒ่าจินได้รับรู้จากปากคำของเทพธิดาบุปผาสวรรค์หรือเทพธิดาเครื่องหอมเองแม้กระทั่งที่ได้ประสบมาเองตั้งแต่ถูกเทพสายลมพัดพาเข้ามาให้ทำงานในหุบเขาแห่งนี้ทำให้เขาเข้าใจได้ว่า มังกรดำอย่างหงหยูวนั้นรักฟางเซียนแต่จะในฐานะไหนนั้นเขาไม่อาจรู้ได้ ส่วนฟางเซียนนั้นเขาเดาไม่ออกเลย

                    “นางลืมตาแล้ว”

                    “แงงงง” เสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังไปทั่วดงดอกไม้แห่งนี้ เฒ่าจินระบายยิ้มออกมาอย่างเบาใจ

                    หงหยูวส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักให้กับเด็กทารกในอ้อมกอดของตัวเอง ก่อนจะเริ่มในสิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้

                    ร่างของหงหยูวทอประกายแสงสีดำสนิทออกมาแสงพวกนั้นรวมตัวกันเป็นก้อนพลังงานสีดำสนิทขนาดใหญ่อยู่เหนือร่างทารกน้อย ร่างกายของหงหยูวเองก็แก่ตัวลงอย่างรวดเร็วผมที่เคยดำสนิทกลับขาวโพลนใบหน้าที่เคยงดงามกลับมีรอยเหี่ยวย่นมากมายเกล็ดมังกรที่เคยมีบนใบหน้าก็หายไป ร่างสูงที่เคยยืนอย่างสง่าก็โค้งลงเล็กน้อย หงหยูวมังกรดำผู้งดงามกลายเป็นชายชราในชั่วนาที

                    หงหยูวยื่นร่างทารกเข้าไปในก้อนพลังก่อนจะปล่อยมือให้ทารกลอยอยู่ในก้อนพลังเพื่อให้ได้รับอย่างเต็มที่ ก้อนพลังที่บรรจุอายุขัยที่เหลือของหงหยูวเอาไว้ก็ค่อยๆลดขนาดลงเรื่อยๆ

                    เฒ่าจินเองก็รับรู้ได้ถึงที่หงหยูวตั้งใจจะให้กับเทพธิดาเครื่องหอม “แบบนี้นางจะโตได้เท่าไหร่กันเชียวหงหยูว พลังเทพกับพลังของมังกรพื้นเพมันต่างกัน”

                    “สิ่งที่ข้าตั้งใจจริงๆคือเปลี่ยนนางให้เป็นมนุษย์”

                    “มันจะทำให้เรื่องดีขึ้นหรืออย่างไรกัน” เฒ่าจินสงสัยในคำตอบของมังกรดำที่ยืนมองขนาดของก้อนพลังสีดำที่เล็กลง

                    “อย่างน้อย พวกมันจะไม่เอะใจว่า สิ่งที่มันต้องการนั้นเป็นมนุษย์ เพราะข้าจะใช้ให้หงเต๋อ ออกไปปล่อยข่าวลวงเมื่อเขาพร้อม”

                    “หงเต๋อ น้องชายท่าน แล้วที่ว่าพร้อมนั้นเมื่อไหร่”

                    “เมื่อเก่งพอจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ยิ่งตอนนี้พวกมนุษย์ยังไม่รู้จักเทพเท่าไหร่เรายังพอว่างใจได้”

                    “แถมพวกเขายังไม่รวมตัวกันมากนัก”เฒ่าจินเสริมขึ้นมาเรียกสายตาของหงหยูวให้มามองอย่างแปลกใจ

                    “ข้าไม่คิดว่าคนแก่อย่างท่านจะออกไปนอกหุบเขาแดนสนทยาที่มีอาณาเขตกว้างขวางขนาดนี้ได้”

                    “อย่าได้ประเมินข้าต่ำไป ถึงข้าจะเคยเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้ข้าก็เป็นถึงกึ่งเทพนะท่านมังกรดำ” เฒ่าจินอธิบายลบคำสบประมาท

                    “อา  พลังของเทพสายลมนี่มากมายจริงๆ ให้กำเนิดเทพสององค์ ยังมีกึ่งเทพอีกหนึ่ง หากวาสนายังมีข้าอยากจะได้พบเจอ ในตอนที่ข้าเป็นมังกรดำนะ”

                    “...”เฒ่าจินไม่รู้จะบอกแบบไหนว่า ท่านมีโอกาสมังกรดำ หรือ อย่าหวังเสียให้ยาก เพราะเขาเองก็เคยพบเทพสายลมแค่ครั้งเดียว

                    “เรียบร้อย” หงหยูวพูดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปรับร่างเล็กของเด็กหญิงที่ซึมซับพลังของเขาจนเติบโตขึ้นมา

                    ห่อผ้าที่ทำจากเสื้อนอกของหงหยูวคลายออกหงหยูวรีบใช้มันห่อร่างเล็กที่ตนไปรับมาไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว เฒ่าจินเคาะไม้เท้าห้าครั้งทำให้เสื้อนอกของหงหยูวแปรสภาพเป็นเสื้อผ้าสวมอยู่บนร่างของเด็กน้อย

                    ความรู้สึกแรกในหัวของเด็กน้อยคือแสบตาปริมาณแสงที่มากมายจากพื้นที่โล่งแจ้งในตอนนี้ทำให้ใบหน้ากลมเล็กเริ่มขมวดคิ้วก่อนจะพลิกใบหน้าเข้าหาร่มเงา

                    หงหยูวมองร่างเล็กในอ้อมแขนอย่างนึกเอ็นดูที่นางซุกหน้าเข้าหาอกของเขา หงหยูวละลายตาจากร่างเล็กของเทพธิดาเครื่องหอมที่กลายเป็นลูกมนุษย์เต็มตัวด้วยพลังของเขา มามองเฒ่าจินที่ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆไม่ไปไหน “ข้าขอเวลาไม่มา เฒ่าจินขอให้ข้าได้คุยกับนาง”

                    “ท่านมั่นใจว่านางจะสามารถสื่อสารได้...   อ่า พลังของท่านบวกกับความทรงจำเก่าของนาง ข้าเข้าใจแล้ว” เฒ่าจินสรุปก่อนจะเดินออกไปเพื่อกลับไปยังที่พักของตน ทิ้งให้หงหยูวในร่างชราค่อยๆนั่งลงกับพื้นแล้ววางร่างเล็กไว้บนตัก

                    “ฟางเซียน”

                    “ฟางเซียน ตื่นได้แล้ว ผงหอมที่เจ้าสัญญาว่าจะเอามาทำชุดเครื่องหอมให้ข้าเจ้ายังไม่ได้เริ่มทำเลยนะ”

                    “อื้ออ” เด็กน้อยในอ้อมกอดส่งเสียงประท้วงออกมา

                    “ฟางเซียน”

                    ยังไม่ทันที่หงหยูวจะเรียกชื่อของเด็กน้อยเป็นครั้งที่สี่เด็กน้อยก็พรวดพลาดลุกขึ้นมา หากหงหยูวไม่ไวพอคงจะได้โขกกันเป็นแน่

                    “กง !!!

                    “กงอะไรของเจ้ากันฟางเซียน” น้ำเสียงของชายชราดังเข้ามาในสมองของเธอ เกศรากระพริบตาถี่เพื่อปรับภาพให้ชัดก่อนจะมองไปยังคนที่กำลังกอดเธออยู่

                    ใบหน้าของคนที่กำลังกอดเธออยู่นั้นเป็นของชายแก่คนหนึ่งแต่ยังดูดีในแบบคนแก่และดวงตาสีแดงนั้นก็ดูทรงอำนาจ “คุณเรียกใคร แล้วกงฉันไปไหน” เสียงเล็กๆที่เป็นของเด็กน้อยนั้นดังขึ้นมาเป็นภาษาประหลาดตามจังหวะที่เกศรารู้สึกว่าเธอพูดและเธอก็เข้าใจความหมายของมัน

                    “เจ้า...จำข้าไม่ได้งั้นเหรอ”

                    “ไม่เคยรู้จักมาก่อน”

                    คำตอบของเกศราในร่างของเทพธิดาเครื่องหอมทำให้หัวใจของหงหยูวหยุดนิ่ง เขาหลับตาลงเพื่อทำใจ ตอนนี้เขารู้แล้วนางมีปัญหากับความทรงจำของนาง ต้องเป็นเจ้าเยี่ยนเหล่ยแน่ๆ ปีศาจชั่ว

                    “นี่ ปล่อยกันก่อนปู่ ให้ฉันลงไปนั่งคุยดีดี” เกศราดิ้นจะลงจากตักหงหยูวเองก็ปล่อยให้ลงไป เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วเกศราก็สอดสายสายตาไปรอบตัว เธอมองไปรอบๆดงดอกไม้แห่งนี้อย่างหวาดระแวงชายแก่ตรงหน้าก็เช่นกัน

                    “เจ้าคือเทพธิดาเครื่องหอมแห่งหุบเขาแดนสนธยา”

                    “ไม่ใช่ซะหน่อย” เกศราขัดเบาๆ หงหยูวเองก็หยุดพูดและจ้องเขม็งมายังเกศราที่อยู่ในร่างเล็กของเด็กที่อยู่ในช่วงแปดขวบ “คือฉันประสบอุบัติเหตุแล้วเหมือนจะมาเกิดใหม่เพราะมี..ใครซักคนผลักลงมา ไม่สิ ฉันชื่อเกศรา นามสกุล นามสกุล...” เกศราพยามนึกในสิ่งที่ค้างอยู่ในหัวจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ความอึดอัดคับข้องใจที่เกิดขึ้นจาการลืมอะไรบางอย่างไปทำให้น้ำใสใสมาคลอหน่วยอยู่ที่ดวงตาคู่สวย

                    “อย่าร้องไห้ ข้าไม่เคยเห็นเจ้าร้องไห้” หงหยูวปลอบในทันทีเขาทนไม่ได้ที่จะเห็นเด็กน้อยตรงหน้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้ ยิ่งใบหน้าและดวงตาที่มีเค้าของฟางเซียนที่เขารู้จักแล้วเขายิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่ มือเหี่ยวย่นของหงหยูวลูบที่แก้มใสของเกศราอย่างปลอบใจ

                    “ก็มันนึกไม่ออก ทั้งๆที่มั่นใจรู้แน่ๆ” เกศราอธิบายความอัดอั้นตันใจมือก็คว้าเด็ดดอกไม้ใกล้ๆตัวเพื่อระบาย

                    มังกรดำมองอย่างหนักใจ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิด เวลาของเขาก็มีไม่มากพอที่จะอยู่อธิบายได้จนจบ “เอาเป็นว่าเจ้าคือเทพธิดาเครื่องหอม และเจ้าชื่อฟางเซียน”

                    “ฉันไม่ใช่”

                    “อย่าเถียงข้า”

                    “เอ๊ะ! ปู่ท่านนี้จำคนผิดรึเปล่า”

                    “เจ้าคือเทพธิดาเครื่องหอม และเจ้าชื่อฟางเซียน” หงหยูวพยามย้ำให้นางรับรู้ ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้เขาไม่อธิบายอะไรออกไป

                    “ฉันไม่ได้ชื่อฟางเซียน” เกศราผุดลุกขึ้นยืนเพื่อทำตัวเองให้สูงกว่าด้วยรู้สึกกว่าจะทำให้การเถียงครั้งนี้ชนะ

                    “ฟางเซียน เจ้าเป็นเทพธิดาเครื่องหอม ข้ารู้ และรู้ว่าหัวใจของเจ้าสามารถนำเอาไปทำเป็นยาอายุวัฒนะได้เพราะความใจดีของเจ้าที่ยอมที่จะทำตามคำขอของหมอเทวดาเหนียงเกิงหยา” ชายชราพูดจบก็ลุกขึ้นยืนบ่างถึงจะยากลำบากกว่าแต่ก่อนนิดหน่อย “และเพราะข้านำพาเจ้ามา และมังกรดำอย่างหงหยูวรู้เสมอว่าใครคือเทพธิดาเครื่องหอมฟางเซียน”

                    หงหยูวตัดสินใจบอกอะไรบางอย่างที่สำคัญแก่ฟางเซียนน้อยตรงหน้าเขาอย่างชื่อของเหนียงเกิงหยา

    “อะไรนะพามา ท่านทำแบบนี้ได้ไง แล้วก็ ปู่ท่านรู้ได้ไงว่าหนูเป็นเทพธิดาอะไรนั้น ถ้าคิดตามที่ปู่บอก นี่ถามจริงจังนะ" เด็กหญิงเงยท้าวสะเอวถามอย่างกวนฝ่าเท้าเป็นที่สุดเพราะเธอชักยั้วแล้วเหมือนกันเขามีสิทธิอะไรพาตัวเธอมาถึงเธอจะจำอะไรไม่ได้มากก็ตามที

    "ก็...ถ้าเจ้าคิดตามจริงๆ" ตาแก่ผมยาวสีขาวพูดอย่างยียวนด้วยน้ำเสียงของผู้ทรงภูมิ ก่อนจะเล่นมนต์อะไรซักอย่างจนตากลมโตของเด็กสาวเบิกกว้างอีกเท่าตัว 

    จุ๊บ!!

    สัมผัสบางเบาราวกับผีเสื้อเตะที่ริมฝีปากทำให้สติสัมปชัญญะของเด็กสาวแทบจะขาดห้วง 

    "ปู่... นี่.... ทำไมถึ..ง เด็กลง หล่อ! เอ้ย ขโมยจูบแรกหนูแบบนี้ได้ไง" ใบหน้ากลมของเด็กหญิงขึ้นสีแดงอย่างน่าขันมือไม้ทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมากุมริมฝีปากอย่างขัดเขินระคนตะลึง

    "ฮ่าๆๆๆๆๆ    เพราะข้าคือมังกรดำหงหยูวนะสิ ยังไงเสียหัวใจเจ้าก็ต้องเป็นของข้า เด็กน้อย"ร่างสูงโค้งตัวลงมาประจันหน้ากับเด็กหญิงที่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก "เพราะมันคือสิ่งที่ข้าควรได้" ใช่เขาจะเป็นต้องได้มันและเขาจะไม่ยองให้ใครได้ไป เพื่อตัวนางเอง

    "ตลก  ไม่ยอมเหรอก"

    "ต่อไปไม่แน่ เอาไว้เจอกันครั้งหน้าอาจจะดีกว่านี้ก็ได้" 

    "นี่ท่าน พามาแล้วจะทิ้งกันเหรอไง!!!  ส่งฉันกลับไปเดี๋ยวนี้นะ"

    "ฮ่ะๆๆๆ  มรณะอีกคราเจ้าจึงจะได้กลับเด็กน้อย แต่สำหรับเจ้าคงยาก"

    "ห๊ะ!!!"

    "ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องทำ ดันไปรับปากตาแก่คนหนึ่งไว้ เอาเถอะข้าไปก่อนละ" ว่าอดีตปู่แก่ที่กลายเป็นผู้ชายที่หล่อเหล่าที่สุดที่เคยเจอมาก็หายไปอย่างรวดเร็ว

    "ไอ... คนใจร้าย.. ใจดำ ไม้รับผิดชอบ... ไอคนเลววววววววว มาทิ้งฉันไว้กลางดงดอกไม้แบบนี้ได้ไง โฮฮฮ  แล้วชีวิตฉันล้าาาาา~~"

     

     

    เสียงด่าทอเบาเบาของเกศรายังคงตามหงหยูวมา เขาเบิกบานใจยิ่งนักที่ได้แกล้งนางได้เห็นนางโวยวายถึงจะเศร้าใจที่ทำให้นางเสียน้ำตาก็ตามที เวลาไม่คอยท่าอายุขัยของเขากำลังจะหมดลง และเขาต้องมาเจอมังกรตนหนึ่งก่อนไป หงหยูวที่ใช้พลังครั้งสุดท้ายของตัวเองมาโผล่ในถ้ำมืดทึบแห่งหนึ่ง

    “ท่านแม่”

    “หงหยูว”น้ำเสียงงัวเงียของมังกรตัวเมียเจ้าของถ้ำตอบกลับทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา

    “ข้าต้องลาจากท่านแล้ว ท่านแม่”

    “ไม่นานหงหยูว เจ้ากลับมา ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ให้นาง”

    “ครับ”

    “เมื่อถึงเวลา หุบเขาสนธยาและพวกเราจะได้เจ้ากลับคืน”

    หงหยูวไม่เจ้าใจทั้งหมดที่มารดาของตนบอกมากนัก เขาไม่เห็นทางที่ตนจะได้กลับมาเป็นมังกรดำอีกครั้งเลยแม้แต่น้อย

    “มังกรฟ้า เพื่อนเจ้า คงลงไปด้วยกันสินะ”

    “ใช่ครับ”

    “ดีดีดี แม่จะรอเจ้า....กลับมา”

    สิ้นเสียงของมารดาหงหยูวร่างของหงหยูวที่ทนใช้พลังเพื่อให้กลับสู่สภาพเดิมก็สลายหายไป

    “หวังว่าตาแก่ สติไม่ดี อย่างอี้เฟิง จะทำได้ตามคำพูด” มารดาของหงหยูวนึกย้อนถึงตอนที่เจ้าอี้เฟิงตาแก่ที่เคยอาจหาญขนาดลุกล้ำเข้ามาในเขตอาถรรพ์อย่างหุบเขาแดนสนธยาเพื่อมาเจรจาอะไรบางอย่างในสภาพวิญญาณตอนที่หงหยูวมาเยี่ยมนางเมื่อรู้ข่าวการตายของเทพธิดาเครื่องหอม

    ท่านรู้ไหมท่านมังกรผู้ยิ่งใหญ่ ดวงวิญญาณของเทพธิดาที่ท่านกำลังรอนั้นหลุดหายไปจากวิถีของโลกนี้ ข้าสามารถไปเร่งทวงวิญญาณนางกลับมาได้ แต่ต้องแลกเปลี่ยนด้วยการให้เขาไปเกิดในสกุลข้านะ ข้าจะให้ลูกหลานเลี้ยงดูอย่างดีเลย ไหนๆเวทีต่อไปที่ชะตากรรมที่พวกท่านต้องเจอก็เป็นโลกมนุษย์แล้วนิ เรื่องนี่เล็กน้อยน่า ข้าขอเพิ่มข้อเสนอด้วยการนำลูกชายท่านกลับคืนมาเหมือนเดิมด้วยนะ แต่ขออุบไว้ก่อนเอาเป็นว่าข้ามีวิธีแล้วกัน

    ประโยคสุดท้ายเกี่ยวการนำหงหยูวกลับมาเจ้าอี้เฟิงนั้นย้อนกลับมาบอกหลังจากหงหยูวตอบตกลงแล้วกลับถ้ำของตัวเองไปแล้ว นั้นทำให้นางตัดสินใจเฝ้ารอลูกชายคนโตกลับมาอย่างใจเย็น

    ถ้าเจ้าพูดปด ข้าจะลงไปล้างผลาญสกุลเจ้าและมนุษย์ทุกคน

                    



    ชื่อตอนเหมือนจะเปิดตัวหนูเกด แต่ไหงเต็มไปด้วยเฒ่าจินและหงหยูวกันละ !! щ(゜ロ゜щ)
    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    มุมตอบคอมเม้น ( ̄m ̄〃)



    คุณ เมมฟิส >> สวัสดีปีใหม่ค่ะ >_<

    คุณ คิมดงจุน >> ขอบคุณค่าที่มาช่วยตามลุ้นนน
    คุณ Atk. S. >>  ค่าาาาาา :]  จะรีบอัพนะคะ

    คุณ สู้ๆไรท์เตอร์  >>  ขอให้มีความสุขมากๆเหมือนกันค่ะ 

    คุณ เมมฟิส  >> จะพยามลงให้ต่อเนื่องและจบนะคะ :]

    คุณ 
    1964 >> อากงกับยายแก่เขาไม่ได้ปรึกษากันในกรณียัยเกดคะ เพราะงานนี้อากงเค้ารีบแต่ว่ารีบเพราะอะไรนั้น ไม่บอกค่ะ >.<

    คุณ แบมน้อยเมียพี่มาร์คคึ >> น้องแตงขวัญใจไรท์มาน้อยๆพอค่ะ ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นฟิคคคค 555
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×