ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    System Off

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 วันหนึ่งที่เปลี่่ยนไป Scene I

    • อัปเดตล่าสุด 16 เม.ย. 57


    บทที่ 1 วันหนึ่งที่เปลี่ยนไป

     

     

    *กริ๊ง*

    เสียงกระดิ่งภายในโรงเรียนดังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียน

    สำหรับการเรียนในตอนนี้เป็นเพียงการเรียนเสริมพิเศษของโรงเรียนธรรมดาในช่วงหน้าร้อน ซึ่งระดับชั้นม.ปลายทุกคน ต่างก็ถูกทางโรงเรียนบังคับให้เรียนโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

    ถึงปากจะบอกว่าปูพื้นฐานเอาไว้ก่อน แต่ประเด็นก็คงจะหาเงินเข้าโรงเรียนเสียมากกว่า เพราะไม่มีเด็กคนไหนอยากมาเรียนหรอก เชื่อเลยว่าหากไม่บังคับนักเรียนมาเรียนพิเศษละก็ ระดับชั้นม.ปลายคงไม่มีใครมาเรียนสักคนแน่นอน

    ข้อดีมันก็ดีตรงได้เจอเพื่อนๆ แล้วก็แค่ 11 โมงกว่าๆก็เลิกเรียนแล้วนี่แหละ การเรียนก็มีแค่สองวิชา ถือซะว่าเป็นการวอร์มก่อนเปิดเทอมจริงล่ะมั้ง

    เสียงโหวกเหวกพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ

    บ้างก็นัดไปหาอะไรทานนอกโรงเรียน บ้างก็นัดไปเที่ยวห้างฯกัน

    ส่วนผมคิดเอาไว้ว่าคงไปอากิฮาบาระลูกเดียว เพราะวันนี้มันมีงานขายของที่แถวๆนั้น เลยว่าจะแวะไปซื้อของก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน

    ใช่ว่าผมไม่มีเพื่อนไปด้วยหรอกนะ แต่ไปคนเดียวมันสุขกว่ากันเยอะ

    พอเพื่อนมาถามว่ามีไปไหนป่าว ?

    ผมก็ตอบกลับไปว่า ไปอากิบะอะ ซื้อของนิดหน่อย

    แล้วเพื่อนก็ตอบกลับว่าโอเคไม่เป็นไร แล้วค่อยเดินจากผมไป

    ช่างเถอะ จะมีคนไปไม่มีคนไปมันก็คือกันน่ะแหละ เดินดูของคนเดียวมันออกจะสุขสบายจะตายไป ไม่ต้องมากังวลเรื่องเลือกของ หรือเดินหานู่นหานี่ เหนื่อยก็พัก ไหวก็เดินต่อ ชิลออก

    สำหรับการเดินทาง ผมเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้ว

    คิดถูกที่มาขึ้นรถไฟเวลานี้ เพราะเป็นวันธรรมดา แถมยังเป็นช่วงเที่ยงอีก คนก็เลยน้อยมากๆ แม้ว่าคนส่วนมากจะไปลงที่อากิบะก็เถอะ

     

    ถึงซะที

    ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบๆ 20 นาที ถึงแม้ว่ารถไฟขบวนที่ผมมาถึงอากิบะคนจะไม่เยอะเท่าไร แต่เมื่อเทียบกับอีกขบวนแล้วคนเยอะกว่าเกือบๆสามเท่าได้

    แถมเมื่อพอเข้าไปในตัวที่จัดงานแล้ว คนที่มาอยู่ที่นี่อยู่แล้วมีเยอะมากๆ

    ไม่ว่าจะเป็นบูทขายของหรือบูทบริษัทอะไรก็ตาม คนก็จะมุงกันอยู่เยอะจนผมแทบไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ วันนี้ก็เลยซื้อของแค่นิดหน่อยก็พอ เพราะหลังจากนั้นหากช้าแค่นิดเดียวละก็ การจะออกจากที่นี่คงลำบากพอดู

    แถมคนที่คิดจะกลับด้วยรถไฟคงไม่ใช่แค่ผมด้วย เพราะงั้นเลยต้องรีบหน่อย

    หืม ? ‘

    ระหว่างที่ผมกำลังเดินออกมาแล้วผ่านตัวตึก กำลังตรงไปที่สถานีรถไฟ

    ข้างๆตึกๆหนึ่งของอีกด้าน มีคนจำนวนมากกำลังยืนมุงดูอะไรสักอย่างอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงเดินเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนนั้นด้วย

    เฮ้ย ก็บอกอย่าเข้ามากันไงวะ !? “

    ผะ..ผู้ก่อการร้ายเหรอ

    ไม่สิ

    เรียกว่าโจรน่าจะดีกว่า

    ผู้ชายใส่เสื้อกล้ามสีดำ ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ 40 กว่าๆ ตัวสูงผิวคล้ำหน่อยๆ กำลังถือมีดจ่อเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับผมอยู่

    จะมองในแง่ดีว่าเป็นการถ่ายทำละครก็คงไม่ได้

    เพราะผู้คนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ต่างก็พูดออกมาว่า ดูท่าจะเสพยามานะเนี่ย ‘ ‘ อันตรายจริงๆ เมื่อไรตำรวจจะมากันนะ

    ด้วยคำพูดเหล่านั้นทำให้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆไม่ได้

    ผ่านไปประมาณ 2 นาที

    ผมที่คิดว่ายังไงตัวเราก็ไม่เกี่ยวอะไรอยู่แล้ว แถมจะให้เข้าไปช่วยเรามันก็ไม่ได้มีพละกำลังหรือมีพลังวิเศษอะไรเทือกนั้นด้วย

    จึงก้าวเท้าออกมาจากกลุ่มคน แล้วมุ่งตรงกลับบ้านลูกเดียว

    พอเดินออกมาจากกลุ่มคนได้สักพัก รถตำรวจก็มา

    สัก  3-4 คันได้มั้ง

    รถตำรวจค่อยๆทยอยมาจอดที่ลานเรื่อยๆ จะจัดการโจรแบบนี้เนี่ย ต้องใช้ตำรวจมากขนาดนี้เลยเหรอ ?

    ยืนดูอีกสักพักดีกว่า เหตุการณ์อย่างนี้ไม่ได้หาดูง่ายๆซะด้วยสิ

    พอคิดได้แบบนั้น ผมจึงเดินย้อนไปดูอีกรอบหนึ่ง

    ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยๆ

    ตำรวจท่านหนึ่งเดินออกมาจากรถ แล้วผู้คนก็แหวกทางให้ตำรวจสามคนเดินเข้าไปข้างใน ส่วนผมพอได้โอกาสที่ผู้คนเขากระจายตัวออก จึงรีบเดินเข้าไปดูเหตุการณ์แบบใกล้ๆทันที

    แต่ก็เข้าใกล้ไม่ได้มาก เพราะมีนายตำรวจที่ตามหลังมา คอยกั้นเอาไว้ไม่ได้คนเข้าใกล้

    เอ่อ..คุณครับ ปล่อยตัวประกันไปซะเถอะนะครับ ก่อนที่ทางเราจะใช้ความรุนแรง ? “

    ความรุนแรงเลยงั้นเหรอ ตำรวจสมัยนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรมาก มาถึงก็กะจะยิงเลยสินะ

    เฮ้ย จะยิงก็เอาสิวะ แต่ไม่รับประกันหรอกนะ ว่ายัยนี่จะเป็นไง ? “

    ผู้ร้ายคนนั้นเอามีดเข้ามาจ่อใกล้คอของเด็กสาวคนนั้นมากขึ้น

    “ …. “

    นายตำรวจเองก็ไม่มีท่าทีลนลาน ท่าทางจะเป็นตำรวจมานานก็เลยใจเย็นได้สินะ

    เฮ้ย ไม่สิ ไม่เย็นแล้ว

    ที่มือขวาของตำรวจคนนั้น กำลังควงปืนพกกระบอกหนึ่งหลบไว้ที่ด้านหลัง

    กะยิงจริงๆสินะเนี่ย

    ถ้าอยากจะให้ฉันปล่อยนังหนูนี่ละก็ เอามา10 ล้านเยน!! “

    10 ล้าน !?

    เงินขนาดนี้ใครจะไปให้ง่ายๆล่ะเนี่ย

    ช่วยไม่ได้… “

    นายตำรวจคนนั้นถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

    แต่เสียงนั้นพูดเบาๆ ราวกับกระซิบ แต่ผมนั้นได้ยิน

    เขาค่อยๆเอาปืนที่หลบไว้อยู่ด้านหลังออกมา

    แต่แล้วก็หยุดชะงักเพราะเหมือนเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่ด้านหลังของผู้ร้าย

    นั่นมัน…! ‘

    สิ่งที่ทำให้นายตำรวจคนนั้นหยุดชะงักไปก็เพราะ มีคนๆหนึ่งกำลังจะเดินผ่านที่ด้านหลังของผู้ร้าย ในระยะใกล้เคียงกัน

    คนๆนั้นสวมเสื้อฮู้ดสีเทาปกปิดใบหน้าทำให้มองไม่เห็นอะไร

    แต่ผมนึกออกอย่างหนึ่งก็คือ

    รูปร่างและฮู้ดสีนั้น คล้ายคลึงกับเจ้าคนที่โผล่มาในความฝันของผมมาก แบบนี้เขาน่าจะเรียกว่าบังเอิญมากกว่าล่ะมั้ง

    หรือจริงๆแล้ว หมอนี่เป็นพรรคพวกกับผู้ร้ายงั้นเหรอ

    ลำบากแล้วสิ… “

    นายตำรวจพูดเบาๆ สีหน้าของเขาเริ่มแสดงให้เห็นถึงความเครียด

    เพราะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างหลังนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเป็นผู้ร้ายกันแน่ จึงไม่สามารถทำอะไรผลีผลามได้

    นายสวมฮู้ดคนนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    และในพริบตาที่นายสวมฮู้ดกำลังจะผ่านด้านหลังของผู้ร้ายนั่นเอง

    ก็รู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดเดิน

    สักประมาณ 2 วินาที

    อะ… “

    อยู่ๆผู้ร้ายก็ปล่อยตัวเด็กสาวออกไปอย่างง่ายดาย แล้วตัวเองก็อยู่ในสภาพคุกเข่า ส่วนมีดก็หล่นลงพื้นเรียบร้อย

    มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?

    นะนี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ? “

    ผู้รายก้มหน้า แล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆพลางมองพื้นที่มีมีดตกอยู่

    ได้โอกาสล่ะ!! “

    แล้วนายตำรวจก็รีบวิ่งเอากุญแจมือเข้าไปล๊อคกับผู้ร้ายทันที

    ส่วนผู้ร้ายก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนใดๆ ได้แต่ทำหน้าแปลกใจ ราวกับว่าตนกำลังทำอะไรอยู่

    แล้วไอ้เจ้าสวมฮู้ดนั่นล่ะ… ‘

    พอนึกขึ้นได้ ผมกวาดสายตามองรอบๆ

    แต่ว่าไอ้เจ้าสวมฮู้ดนั่นมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×