คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 วันหนึ่งที่เปลี่่ยนไป Scene I
บทที่ 1 วันหนึ่งที่เปลี่ยนไป
*กริ๊ง*
เสียงกระดิ่งภายในโรงเรียนดังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียน
สำหรับการเรียนในตอนนี้เป็นเพียงการเรียนเสริมพิเศษของโรงเรียนธรรมดาในช่วงหน้าร้อน ซึ่งระดับชั้นม.ปลายทุกคน ต่างก็ถูกทางโรงเรียนบังคับให้เรียนโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ถึงปากจะบอกว่าปูพื้นฐานเอาไว้ก่อน แต่ประเด็นก็คงจะหาเงินเข้าโรงเรียนเสียมากกว่า เพราะไม่มีเด็กคนไหนอยากมาเรียนหรอก เชื่อเลยว่าหากไม่บังคับนักเรียนมาเรียนพิเศษละก็ ระดับชั้นม.ปลายคงไม่มีใครมาเรียนสักคนแน่นอน
ข้อดีมันก็ดีตรงได้เจอเพื่อนๆ แล้วก็แค่ 11 โมงกว่าๆก็เลิกเรียนแล้วนี่แหละ การเรียนก็มีแค่สองวิชา ถือซะว่าเป็นการวอร์มก่อนเปิดเทอมจริงล่ะมั้ง
เสียงโหวกเหวกพูดคุยดังขึ้นเรื่อยๆ
บ้างก็นัดไปหาอะไรทานนอกโรงเรียน บ้างก็นัดไปเที่ยวห้างฯกัน
ส่วนผมคิดเอาไว้ว่าคงไปอากิฮาบาระลูกเดียว เพราะวันนี้มันมีงานขายของที่แถวๆนั้น เลยว่าจะแวะไปซื้อของก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน
ใช่ว่าผมไม่มีเพื่อนไปด้วยหรอกนะ แต่ไปคนเดียวมันสุขกว่ากันเยอะ
พอเพื่อนมาถามว่ามีไปไหนป่าว ?
ผมก็ตอบกลับไปว่า ไปอากิบะอะ ซื้อของนิดหน่อย
แล้วเพื่อนก็ตอบกลับว่าโอเคไม่เป็นไร แล้วค่อยเดินจากผมไป
ช่างเถอะ จะมีคนไปไม่มีคนไปมันก็คือกันน่ะแหละ เดินดูของคนเดียวมันออกจะสุขสบายจะตายไป ไม่ต้องมากังวลเรื่องเลือกของ หรือเดินหานู่นหานี่ เหนื่อยก็พัก ไหวก็เดินต่อ ชิลออก
สำหรับการเดินทาง ผมเดินทางด้วยรถไฟเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้ว
คิดถูกที่มาขึ้นรถไฟเวลานี้ เพราะเป็นวันธรรมดา แถมยังเป็นช่วงเที่ยงอีก คนก็เลยน้อยมากๆ แม้ว่าคนส่วนมากจะไปลงที่อากิบะก็เถอะ
‘ ถึงซะที ‘
ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบๆ 20 นาที ถึงแม้ว่ารถไฟขบวนที่ผมมาถึงอากิบะคนจะไม่เยอะเท่าไร แต่เมื่อเทียบกับอีกขบวนแล้วคนเยอะกว่าเกือบๆสามเท่าได้
แถมเมื่อพอเข้าไปในตัวที่จัดงานแล้ว คนที่มาอยู่ที่นี่อยู่แล้วมีเยอะมากๆ
ไม่ว่าจะเป็นบูทขายของหรือบูทบริษัทอะไรก็ตาม คนก็จะมุงกันอยู่เยอะจนผมแทบไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ วันนี้ก็เลยซื้อของแค่นิดหน่อยก็พอ เพราะหลังจากนั้นหากช้าแค่นิดเดียวละก็ การจะออกจากที่นี่คงลำบากพอดู
แถมคนที่คิดจะกลับด้วยรถไฟคงไม่ใช่แค่ผมด้วย เพราะงั้นเลยต้องรีบหน่อย
‘ หืม ? ‘
ระหว่างที่ผมกำลังเดินออกมาแล้วผ่านตัวตึก กำลังตรงไปที่สถานีรถไฟ
ข้างๆตึกๆหนึ่งของอีกด้าน มีคนจำนวนมากกำลังยืนมุงดูอะไรสักอย่างอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมจึงเดินเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนนั้นด้วย
“ เฮ้ย ก็บอกอย่าเข้ามากันไงวะ !? “
‘ ผะ..ผู้ก่อการร้ายเหรอ ‘
ไม่สิ
เรียกว่าโจรน่าจะดีกว่า
ผู้ชายใส่เสื้อกล้ามสีดำ ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ 40 กว่าๆ ตัวสูงผิวคล้ำหน่อยๆ กำลังถือมีดจ่อเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับผมอยู่
จะมองในแง่ดีว่าเป็นการถ่ายทำละครก็คงไม่ได้
เพราะผู้คนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ต่างก็พูดออกมาว่า ‘ ดูท่าจะเสพยามานะเนี่ย ‘ ‘ อันตรายจริงๆ เมื่อไรตำรวจจะมากันนะ ‘
ด้วยคำพูดเหล่านั้นทำให้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเล่นๆไม่ได้
ผ่านไปประมาณ 2 นาที
ผมที่คิดว่ายังไงตัวเราก็ไม่เกี่ยวอะไรอยู่แล้ว แถมจะให้เข้าไปช่วยเรามันก็ไม่ได้มีพละกำลังหรือมีพลังวิเศษอะไรเทือกนั้นด้วย
จึงก้าวเท้าออกมาจากกลุ่มคน แล้วมุ่งตรงกลับบ้านลูกเดียว
พอเดินออกมาจากกลุ่มคนได้สักพัก รถตำรวจก็มา
‘ สัก 3-4 คันได้มั้ง ‘
รถตำรวจค่อยๆทยอยมาจอดที่ลานเรื่อยๆ จะจัดการโจรแบบนี้เนี่ย ต้องใช้ตำรวจมากขนาดนี้เลยเหรอ ?
ยืนดูอีกสักพักดีกว่า เหตุการณ์อย่างนี้ไม่ได้หาดูง่ายๆซะด้วยสิ
พอคิดได้แบบนั้น ผมจึงเดินย้อนไปดูอีกรอบหนึ่ง
“ ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยๆ “
ตำรวจท่านหนึ่งเดินออกมาจากรถ แล้วผู้คนก็แหวกทางให้ตำรวจสามคนเดินเข้าไปข้างใน ส่วนผมพอได้โอกาสที่ผู้คนเขากระจายตัวออก จึงรีบเดินเข้าไปดูเหตุการณ์แบบใกล้ๆทันที
แต่ก็เข้าใกล้ไม่ได้มาก เพราะมีนายตำรวจที่ตามหลังมา คอยกั้นเอาไว้ไม่ได้คนเข้าใกล้
“ เอ่อ..คุณครับ ปล่อยตัวประกันไปซะเถอะนะครับ ก่อนที่ทางเราจะใช้ความรุนแรง ? “
ความรุนแรงเลยงั้นเหรอ ตำรวจสมัยนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรมาก มาถึงก็กะจะยิงเลยสินะ
“ เฮ้ย จะยิงก็เอาสิวะ แต่ไม่รับประกันหรอกนะ ว่ายัยนี่จะเป็นไง ? “
ผู้ร้ายคนนั้นเอามีดเข้ามาจ่อใกล้คอของเด็กสาวคนนั้นมากขึ้น
“ …. “
นายตำรวจเองก็ไม่มีท่าทีลนลาน ท่าทางจะเป็นตำรวจมานานก็เลยใจเย็นได้สินะ
เฮ้ย ไม่สิ ไม่เย็นแล้ว
ที่มือขวาของตำรวจคนนั้น กำลังควงปืนพกกระบอกหนึ่งหลบไว้ที่ด้านหลัง
กะยิงจริงๆสินะเนี่ย
“ ถ้าอยากจะให้ฉันปล่อยนังหนูนี่ละก็ เอามา10 ล้านเยน!! “
10 ล้าน !?
เงินขนาดนี้ใครจะไปให้ง่ายๆล่ะเนี่ย
“ ช่วยไม่ได้… “
นายตำรวจคนนั้นถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
แต่เสียงนั้นพูดเบาๆ ราวกับกระซิบ แต่ผมนั้นได้ยิน
เขาค่อยๆเอาปืนที่หลบไว้อยู่ด้านหลังออกมา
แต่แล้วก็หยุดชะงักเพราะเหมือนเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่ด้านหลังของผู้ร้าย
‘ นั่นมัน…! ‘
สิ่งที่ทำให้นายตำรวจคนนั้นหยุดชะงักไปก็เพราะ มีคนๆหนึ่งกำลังจะเดินผ่านที่ด้านหลังของผู้ร้าย ในระยะใกล้เคียงกัน
คนๆนั้นสวมเสื้อฮู้ดสีเทาปกปิดใบหน้าทำให้มองไม่เห็นอะไร
แต่ผมนึกออกอย่างหนึ่งก็คือ…
รูปร่างและฮู้ดสีนั้น คล้ายคลึงกับเจ้าคนที่โผล่มาในความฝันของผมมาก แบบนี้เขาน่าจะเรียกว่าบังเอิญมากกว่าล่ะมั้ง
หรือจริงๆแล้ว หมอนี่เป็นพรรคพวกกับผู้ร้ายงั้นเหรอ
“ ลำบากแล้วสิ… “
นายตำรวจพูดเบาๆ สีหน้าของเขาเริ่มแสดงให้เห็นถึงความเครียด
เพราะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างหลังนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์หรือเป็นผู้ร้ายกันแน่ จึงไม่สามารถทำอะไรผลีผลามได้
นายสวมฮู้ดคนนั้นก็เดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และในพริบตาที่นายสวมฮู้ดกำลังจะผ่านด้านหลังของผู้ร้ายนั่นเอง…
ก็รู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดเดิน
สักประมาณ 2 วินาที…
“ อะ… “
อยู่ๆผู้ร้ายก็ปล่อยตัวเด็กสาวออกไปอย่างง่ายดาย แล้วตัวเองก็อยู่ในสภาพคุกเข่า ส่วนมีดก็หล่นลงพื้นเรียบร้อย
มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?
“ นะ…นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ? “
ผู้รายก้มหน้า แล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆพลางมองพื้นที่มีมีดตกอยู่
“ ได้โอกาสล่ะ!! “
แล้วนายตำรวจก็รีบวิ่งเอากุญแจมือเข้าไปล๊อคกับผู้ร้ายทันที
ส่วนผู้ร้ายก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนใดๆ ได้แต่ทำหน้าแปลกใจ ราวกับว่าตนกำลังทำอะไรอยู่
‘ แล้วไอ้เจ้าสวมฮู้ดนั่นล่ะ… ‘
พอนึกขึ้นได้ ผมกวาดสายตามองรอบๆ
แต่ว่าไอ้เจ้าสวมฮู้ดนั่น…มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ความคิดเห็น