คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : [SF] รุ่นพี่ชมรมบาสปีสาม `+ ¦ _ LEETEUK x HEECHUL [1]
[SF] รุ่นพี่ชมรมบาสปีสาม
LEETEUK x HEECHUL
“เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน รีบๆ หาชมรมสิงสถิตกันได้แล้วนะพวกนายน่ะ ลีลาอืดอาดกันอยู่นั่น” เสียงของอาจารย์ที่ปรึกษาวัยห้าสิบพูดด้วยน้ำเสียงระอาเหล่านักเรียนชายพร้อมกับรวบหนังสือและแฟ้มเอกสารขึ้นมาถือไว้
“ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองวันน่ะอาจารย์ รีบเหรอ”
“เงียบปากไปซะคิมยองอุน”
“เอ๊า! คนนะครับไม่ใช่รูปปั้นคุณยายแองเจล่าในสวนบ้านของไอ้ซีวอน”
คนปากดีพูดต่อก่อนที่เสียงหัวเราะในห้องเรียนจะดังก้องไปทั่วโดยที่ไม่แคร์เลยว่าจะมีผู้ใหญ่เดินผ่านมาได้ยินเข้า มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กพวกนี้จะเห็นอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ดิ้นได้และใช้ช็อคกับแปรงลบกระดานเป็น
“ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบๆ จัดการให้มันเรียบร้อยล่ะ อย่าให้ฉันต้องปากเปียกปากแฉะนักเลย” ขยับแว่นอยู่ในทีก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ไม่ได้สนใจใยดีเลยว่าเขาจะอยู่หรือไป
“เฮ้...สนใจกันหน่อย” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นและมันได้ผล ทุกคนต่างหันมาสนใจคนที่ยืนอยู่หน้าชั้นพร้อมกับรอยยิ้มสดใสในแบบของเขา
“พอดีว่าตอนนี้ชมรมบาสเก็ตบอลยังไม่เต็ม มีใครสนใจเข้าร่วมกับพวกเราไหม?”
“โห่ ใครจะไปอยากเข้ากันวะ ขืนเข้าไปก็โดนพวกแกแย่งซีนหมดพอดี”
“เออจริง งานกีฬาสีปีที่แล้วเขาให้คนนอกเข้ามาดูได้ แทนที่สาวๆ จะกรี๊ดที่ฉันฟลุ๊คได้ลงสนามทั้งที่เป็นตัวสำรอง แต่เปล่าเลย...จองซูกับซีวอนมันแย่งซีนจนฉันกลายเป็นแค่แมลงสาปที่วิ่งไปวิ่งมาในสนาม” เสียงของเยซองพูดขึ้นก่อนจะปรายตามองชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งกอดอกหลับอยู่ถัดไป
“ไม่เอาน่า บาสเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีมนะ ใครจะฮ๊อตน้อยฮ๊อตมากมันไม่สำคัญหรอก”
“ช่าย ที่สำคัญมันอยู่ที่ทีมเวิร์ค ฉันได้ยินประโยคนี้มาล้านรอบแล้วว่ะจองซู” ยองอุนพูดพร้อมกับยกขาขึ้นมาพาดบนโต๊ะแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ลักยิ้มบนใบหน้าอีกฝ่ายหายไปได้
พรึ่บ!
ความเงียบเข้าครอบคลุมเมื่อเด็กหนุ่มร่างผอมบางลุกขึ้นยืน เขาล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกไปข้างนอกท่ามกลางสายตาทุกคนที่อยู่ในห้องเรียน
คนๆ นั้น...คิมฮีชอล
“อะไรของมันวะ”
“ไอ้นักเรียนแลกเปลี่ยนนั่นคงหาเรื่องโดดเรียนอีกแล้วมั้ง”
“ฉันสงสัยจริงๆ ว่ามันสอบแลกเปลี่ยนมาได้ยังไง ตอนเรียนฉันมันเห็นนั่งหลับได้ตลอด”
“อะไรกัน นี่แกกำลังสนใจหมอนั่นอยู่สินะ ถึงได้รู้ว่าหลับตลอด”
“หุบปากไปเลยน่า!”
“ฮ่าๆ”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมห้อง ‘ปาร์คจองซู’ ยังคงยืนมองไปที่ประตูถึงแม้ว่าใครอีกคนจะลับสายตาไปแล้ว ‘คิมฮีชอล’ นักเรียนแลกเปลี่ยนที่ได้มาเรียนที่นี่เพราะโครงการแลกเปลี่ยนของโรงเรียนฮันซองกับโรงเรียนเซจง ทั้งที่โรงเรียนก็ไม่ได้อยู่ไกลกันนักแต่กลับมีการแลกเปลี่ยนนักเรียนแบบนี้ มันเลยทำให้เขาเข้าใจว่าโรงเรียนคนรวยนั่นอาจจะต้องการนักกีฬาหุ่นบึ๊กๆ ของโรงเรียนเขาไปวิ่งอวดหนุ่มสาวในโรงเรียนเซจงเล่นๆ
แต่ยังไงก็ช่างเถอะ...เวลาผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วแต่คิมฮีชอลแทบจะไม่ปริปากพูดกับใครเลยสักคนเดียว เท่าที่เคยได้ยินก็มีอยู่แค่ประสองประโยค
1.มาครับ = อันนี้ได้ยินตอนเช็คชื่อ
2.ไม่ = ได้ยินตอนที่เพื่อนๆ ชวนไปกินข้าวแล้วถูกตอกกลับมาด้วยสีหน้าดุๆ นั่น
จองซูยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินตามออกไป จากเดินก็เปลี่ยนเป็นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนกระทั่งมาถึงสุดทางเดิน เขาหันซ้ายขวาแต่ก็ไม่พบใครอีกคนจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูที่ดังมาจากชั้นบนซึ่งนั่นคือชั้นดาดฟ้า
“...................”
ขายาวก้าวเข้าไปพร้อมกับปิดประตูให้เบาที่สุดเมื่อเห็นอีกคนกำลังนอนอยู่บนพื้นโดยที่มีหนังสือเรียนโปะหน้าเอาไว้ เขารวบรวมความกล้าแล้วหายใจเข้าลึกๆ ขอพรกับพระเจ้าแล้วก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างๆ ร่างบางที่ยังไม่รับรู้ถึงการมาของเขา
“....................”
“โอ๊ะ!” จองซูสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อฮีชอลดึงหนังสือออกแล้วมองหน้าคาดโทษเขาด้วยความไม่พอใจ
“ฉันทำให้นายตื่นเหรอ ขอโทษนะ” ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้แต่ดูเหมือนร่างบางจะไม่ซาบซึ้งถึงมันเลยแม้แต่นิดเดียว ฮีชอลปั้นหน้านิ่งแล้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“มีอะไร”
“เห็นนายเดินออกมาก่อนก็เลยคิดว่านายคงไม่ทันฟังเรื่องชมรมที่ฉันพูดไปน่ะ” พอได้ยินอย่างนั้นร่างบางก็หยัดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วปัดฝุ่นออกจากเสื้อเบาๆ เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วหันมามองหน้าอีกฝ่าย
“นี่ก็เป็นหน้าที่ของหัวหน้าห้องหรือไง?”
“นายรู้ด้วยเหรอว่าฉันเป็นหัวหน้าห้อง!!” ลักยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าพร้อมกับสีหน้าดีใจจนเวอร์เกินจริงนั่นทำให้ฮีชอลรู้สึกแปลกๆ เขามองอีกฝ่ายที่เอาแต่ยิ้ม...ยิ้ม...ยิ้มและยิ้มอยู่ได้ทั้งที่เขาก็แสดงพฤติกรรมไม่น่าคบให้เห็นแล้วแท้ๆ
บ้าไปแล้วหรือไง?
“คนที่เสนอตัวตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องกิจกรรมก็เห็นมีแต่นายนั่นแหละ”
“แล้วนายรู้ไหมว่าฉันชื่ออะไร” จองซูก้มลงเพื่อมองหน้าคนที่กำลังเบือนหลบไปทางอื่น ฮีชอลรู้สึกรำคาญไอ้หมอนี่อย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็น่ารำคาญกันทุกคน
“ไม่รู้เหรอ? ฉันชื่อปาร์คจองซูนะ”
“อืม”
“ไหนลองเรียกชื่อฉันหน่อยสิ”
“เป็นบ้าอะไรเซ้าซี้อยู่ได้ จะไปไหนก็ไปเลยนะ” ฮีชอลหันมาเหวี่ยงจนจองซูผงะเล็กน้อย สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่ยิ้มเก้อจนแปรเปลี่ยนเป็นจ๋อยเล็กน้อยเมื่อถูกตวาด ฮีชอลนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ริมระเบียงพลางทอดสายตามองไปตามวิวทิวทัศน์ของกรุงโซลยามเช้า
“มีหลายคนบอกว่าฉันน่ารำคาญแต่คนพวกนั้นก็ทนรำคาญฉันได้ไม่นานหรอก นายเองก็จะเป็นแบบนั้นเหมือนกันนะ” จองซูเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ร่างบางพร้อมกับชะเง้อหน้ามอง ฮีชอลหันมาสบตากับคนข้างๆ พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“หุบ - ปาก - ซะ”
ทันทีที่พูดจบจองซูก็ยื่นหน้าเข้าไปขโมยจูบริมฝีปากอิ่มโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว นัยน์ตาเรียวเบิกโพลงก่อนที่อีกฝ่ายจะผละริมฝีปากออกแล้วยิ้มตาหยีใส่เขา ราวกับมีคนมาหยุดเวลาเอาไว้ ตอนนี้คิมฮีชอลขยับตัวไปไหนไม่ได้เพียงเพราะถูกไอ้บ้าที่เรียนห้องเดียวกันจูบเข้าให้
“นิ่มจัง”
“....................”
“ฉันชื่อปาร์ค – จอง – ซู คนที่จูบนายบนดาดฟ้าวันพุธในเวลา...” ก้มลงมองนาฬิกาจีช็อคแล้วก็เคาะหน้าปัดเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่าย “แปดโมงครึ่ง!”
“อยากตายใช่ไหม?” พอตั้งสติได้ก็ตะคอกใส่หน้าร่างโปร่ง เขาพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อห้ามตัวเองไม่ให้มีเรื่องกับไอ้บ้านี่ แต่พอเห็นรอยยิ้มที่ไม่รู้จักสะทกสะท้านนั่นแล้วก็ยิ่งเดือดเข้าไปใหญ่ - -
ทั้งที่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลย...ว่ารอยยิ้มของผู้ชายคนนี้มันสดใสมากแค่ไหน
“ชมรมบาสยังว่างอยู่ ถ้านายสนใจล่ะก็ฉันจะล็อคตำแหน่งตัวจริงไว้ให้นะ” พูดเองเออเองแล้วก็วิ่งกลับไปหยุดที่ประตู ฮีชอลมองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก็ได้แค่อ้าปากค้าง มนุษย์ลักยิ้มหันมาโบกมือจนสุดแขนอีกทั้งยังส่งจูบสั่วๆ นั่นมาอีก
มือเรียวแตะที่ริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนที่ฉากจูบเมื่อครู่จะฉายขึ้นมาในความคิด คนที่ไม่เคยคิดว่าจะเข้าไปทำความรู้จัก คนที่ไม่คิดจะคุยด้วย ก็แค่มองผ่านเหมือนกับทุกวันแต่จู่ๆ กลับมาจูบเขาแบบนี้
ให้ตายเถอะ...ต้องบอกตัวเองว่าอย่าไปใส่ใจกับเรื่องเมื่อกี้แล้วลืมๆ มันไปสินะ
.
.
เวลาผ่านไปจนถึงตอนเลิกเรียน ร่างบางเดินผ่านสนามฟุตบอลแล้วมองไปยังนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกมาเพราะไม่ได้เปลี่ยนชุดเหมือนกับพวกนักฟุตบอลประจำโรงเรียน ถึงเขาจะไม่ชอบเข้าชมรม ไม่ชอบเข้าร่วมกลุ่มกับใคร แต่ถ้าเขาไม่มีชมรมอยู่มันก็เป็นปัญหาระดับต้นได้เหมือนกัน
มองกระดาษรายชื่อชมรมแต่ละชมรมแล้วก็ยักไหล่เล็กน้อย เอาปากกาแดงขีดฆ่าทิ้งไปแล้วเป็นสิบ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกชมรมที่มีคนเข้าเยอะอย่างเช่นชมรมขาแดนซ์ ชมรมการแสดงและพวกกีฬาที่ต้องเล่นกันเป็นทีม
แต่เขา...ไม่ได้ขีดฆ่าชมรมบาสออกไป
“ส่งมาๆ”
“เฮ!!!”
“ฮ่าๆ สามแต้มโว้ย”
เสียงเฮฮาจากสนามบาสที่อยู่ทางด้านขวาทำให้คนที่กำลังสนใจอยู่กับกระดาษสีขาวในมือต้องละสายตาหันไปมอง ทั้งที่มีคนอยู่ในสนามบาสเป็นสิบ...แต่ทำไมเขาถึงได้เห็นปาร์คจองซูเป็นคนแรกกันนะ
ร่างโปร่งแท๊กมือกับเพื่อนๆ ก่อนจะรับขวดน้ำที่สตาฟทีมโยนมาให้ในขณะที่บางคนก็ทิ้งตัวลงนอนราบไปกับพื้นสนามพร้อมกับโกยอากาศเข้าปอด ดูจากเหงื่อของหมอนั่นแล้วคาดว่าคงเล่นกันมานานร่วมชั่วโมง พอรู้ตัวว่ากำลังยืนมองปาร์คจองซูอยู่ร่างบางก็รีบหันหน้ากลับแล้วก้าวเท้าเดินอีกครั้ง
เอาล่ะฮีชอล หมดเวลาสนใจไอ้คนสติไม่เต็มอย่างหมอนั่นแล้ว
“ฮีชอล!”
ร่างบางสะดุ้งสุดตัวเมื่อใครคนหนึ่งโผล่เข้ามาเกาะรั้วข้างๆ แถมยังยิ้มเหมือนคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอีก ฮีชอลทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินต่อไปข้างหน้าเมื่อคนในสนามกำลังหันมาสนใจเขากับไอ้มนุษย์ลักยิ้มนั่นเป็นตาเดียวพร้อมกับส่งเสียงโห่แซวกันไม่หยุด แต่ถึงอย่างนั้นปาร์คจองซูก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินตามเขาถึงแม้ว่าจะมีรั้วกั้นอยู่ก็ตาม
“เมื่อกี้นายยืนดูพวกเราเล่นกันเหรอ?”
“เปล่า”
“อย่าปากแข็งเลยน่า~ ฉันเห็นนายแว๊บๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วแต่ไม่คิดว่าจะใช่นายจริงๆ”
“.................”
“ในมือนั่นน่ะ รายชื่อชมรมใช่ไหม?” ขาเรียวหยุดเดินแล้วขยำกระดาษในมือจนยับยู่ยี่นั่นทำให้จองซูเลิกคิ้วมอง ฮีชอลหันไปสบตากับคนขี้เล่นที่กำลังยิ้มให้เขาก่อนจะเสตามองคนในสนามกลุ่มนั้น
“ยังไงฉันก็ไม่เข้าชมรมของนาย เลิกยุ่งกับฉันสักที”
“โอ้โห! จองซูมันโดนหักอกว่ะ! 55555” <- ยองอุน
“ผ่างไหมล่ะครับผ่างใช่ไหม” <- ทงเฮ
“นี่เล่นของสูงเลยเหรอครับ ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย” <- คยูฮยอน
“หุบปากไปเลยนะ ฉันกำลังหาการ์ดมือฉมังเข้าทีมอยู่ ฝีมือกระจอกอย่างพวกแกน่ะหันหน้ากลับไปกอดจูบลูกบาสเหมือนเดิมเถอะ” จองซูตะโกนกลับไปแต่ก็ได้เพียงแค่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยกลับมา
น่าแปลก...เจ้าบ้านี่ถูกหัวเราะเยาะจนกลายเป็นตัวตลกแบบนี้แล้วยังยิ้มได้อีก ไม่รู้ว่าตายด้านหรือว่าสติไม่ดีกันแน่
ฮีชอลอาศัยจังหวะที่คนพวกนั้นกำลังโต้เถียงกันแล้วเดินหนีออกมา เขาถอนหายใจเล็กน้อยพลางมองนาฬิกาข้อมือ ทำไมวันนี้เวลามันเดินช้าจังเลยนะ...
ไม่หรอก...
เวลามันก็เดินตามปกตินั่นแหละ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใช้เวลาแบบนี้ตามลำพังก็เท่านั้นเอง
.
.
ลงจากรถเมล์แล้วเดินขึ้นบนทางลาดชัน ริมฝีปากอิ่มขยับตามเนื้อเพลงที่กำลังฟังอยู่โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งเดินตามมาติดๆ
“โฮ่ง!!” แต่เพราะเสียงหมานั่นทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว ร้อยวันพันปีมันไม่เคยคิดที่จะเห่าเขาเลยสักครั้งแล้วไหงวันนี้มัน...
“โอ้~”
เจ้าของลักยิ้มที่มาพร้อมกับเสื้อยืดสีขาวและกางเกงสแล็ค มือข้างหนึ่งถือเป้เอาไว้ส่วนมืออีกข้างก็โบกมือทักทาย ฮีชอลมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้านั่นทำให้เจ้าตัวมองตามไปด้วย จองซูดึงคอเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของเขาลวกๆ ก่อนจะยิ้มตาหยีให้กับร่างบาง
“...................”
“บังเอิญจัง บ้านนายไปทางนั้นเหรอ?” ชี้ไปข้างหน้าหากแต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งไม่ตอบคำถาม จองซูกระพริบตาปริบๆ แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคน
“ตามฉันมาทำไม”
“ถ้าตอบว่าไม่รู้...นายจะต่อยฉันไหม?”
“อยากลองไหมล่ะ?” พอได้ยินคำตอบกวนประสาทแบบนั้นแล้วเขาก็คว้าคอเสื้อร่างโปร่งเข้ามาในทันที จองซูยิ้มกว้างเมื่อใบหน้าของเขาทั้งคู่ตอนนี้ห่างกันไม่เท่าไหร่และนั่นทำให้ฮีชอลต้องปล่อยคอเสื้อคนตรงหน้าออกอย่างปฏิเสธไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้
“อย่าพยายามตีสนิทฉันเลยจะดีกว่า ฉันอยู่ที่นั่นอีกไม่นานนักหรอก”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ จะอยู่วันเดียวหรือหนึ่งปีก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
“นายต้องการอะไร อยากเอาชนะหรือไง?”
“ฉันก็แค่อยากเป็นเพื่อนกับนายก็เท่านั้นเอง มีเพื่อนอย่างฉันน่ะเจ๋งจะตายไปนะ”
“โทษที แต่บังเอิญว่าฉันชอบอยู่คนเดียว” พูดจบก็หันหลังให้อีกฝ่ายแล้วทำท่าจะเดินต่อแต่ก็ถูกมือแกร่งคว้าข้อมือเอาไว้
“ไม่มีใครอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ได้หรอกนะฮีชอล” ใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มทะเล้นนั่นในตอนนี้กำลังฉายแววจริงจังจนเขารู้สึกประหลาดใจ
“โลกของนายอาจจะเป็นสีดำแต่ถ้านายเปิดประตูสักหน่อย แสงสว่างมันก็จะเข้าไปอยู่ในโลกของนายได้นะ”
“...................”
“ให้ฉันเข้าไปในโลกของนายนะฮีชอล” จองซูยิ้มพร้อมกับเลื่อนมือลงมากุมมือเขาเอาไว้ ฮีชอลก้มลงมองมือตัวเองที่กำลังถูกพันธนาการอยู่แล้วก็แกะออก
“ไม่จำเป็น”
เขามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะเดินจากไปโดยที่ไม่สนใจเลยว่าผู้ชายยิ้มเก่งคนนั้นจะรู้สึกยังไง แน่นอน...ว่าปาร์คจองซูก็จะเป็นอีกคนที่ได้รับความเจ็บปวดจากเขา แต่ที่เป็นแบบนี้มันไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจใคร
แต่คิมฮีชอลก็แค่ไม่อยากให้ใครเข้ามาในโลกของเขาอีกแล้วก็เท่านั้น
“แต่นายเข้ามาในโลกของฉันแล้วนะ!”
เรียวขาหยุดชะงักอยู่กับที่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตะโกนไล่หลังมาแบบนั้น ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้ม เสาไฟระแวกนี้ก็เริ่มเปิดไปตามลำดับ ไม่มีเสียงพูดดึงความสนใจอะไรใดๆ อีก...เดินต่อไปสิฮีชอล อย่าไปสนใจ
“โลกของฉันเป็นสีขาว...และนายก็เดินเข้ามาในโลกของฉันตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน”
“....................”
“ฉันจะไม่เข้าไปอยู่ในโลกของนายก็ได้...แต่นายน่ะ อย่าเดินออกไปจากโลกของฉันเลยนะฮีชอล”
.
.
“กลับมาแล้วเหรอ วันนี้แม่ทำข้าวผัดกิมจิของโปรดของลูกด้วยนะ”
“ผมไม่หิวครับ” พูดพร้อมกับเดินขึ้นบันไดไปโดยที่ไม่สนใจเลยว่าคนเป็นแม่จะรู้สึกยังไงกับน้ำเสียงเย็นชาตัดพ้อแบบนั้น
“ฮีชอล วันนี้เพื่อนที่เซจงโทรมาหาลูกตั้งหลายสาย เขาฝากบอกให้ลูกโทรกลับหาเขาด้วยนะ” ประโยคนี้ทำให้ร่างบางหยุดยืนอยู่ที่ขั้นบันได ฮีชอลยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองคนเป็นแม่ที่ยืนอยู่ชั้นล่าง
“บอกเขาว่าไม่ต้องโทรมาอีก ผมจะไม่โทรหาใครทั้งนั้น”
“.................”
ปัง...
ทันทีที่ประตูปิดลงร่างบางก็โยนกระเป๋าทิ้งอย่างไม่ใยดีก่อนจะถอดสูทยูนิฟอร์มออกแล้วมองตัวเองในกระจก...เขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดนักเรียนเก่ามาทาบกับตัวพลางมองผ่านกระจกก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้น
ก็แค่ลืมๆ มันไปซะ...
“ฮีชอล! เพื่อนที่โรงเรียนโทรมาน่ะลูก!”
“ผมบอกแม่แล้วนี่ครับว่าผมจะไม่รับสายใครทั้งนั้น”
“แต่เขาบอกว่าเป็นเพื่อนที่ฮันซอง...ชื่อจองซูนะ”
“.................”
“โอเคจ้ะ...งั้นแม่จะบอกเขาว่าไม่ต้องโทรมาอีก” พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ลังเล ไอ้บ้านั่นโทรมาหาเขางั้นเหรอ? ยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วตะโกนลงไปข้างล่าง
“เดี๋ยวผมลงไป!”
.
.
( ปีที่แล้วฉันขาเจ็บ ได้แต่นั่งมองคนอื่นซ้อมทั้งที่ใกล้ถึงวันแข่งแล้ว กว่าขาจะหายก็ปาไปนู่นเลยสามวันสุดท้ายก่อนแข่ง เลยต้องโหมซ้อมหนักกันชนิดที่แบบแทบจะคลานกลับบ้าน ฮ่าๆ )
( ทีมของเรามีเซ็นเตอร์มือดีคือซีวอน ไอ้หมอนี่บล็อกเก่งมาก ฝั่งตรงข้ามเห็นมันแล้วทำหน้าขยาดไปตามๆ กัน แล้วก็ได้ทงเฮมาเป็นการ์ด เรื่องชู๊ตสามแต้มนี่พลิ้วมากใครๆ ก็กลัวแต่เรื่องชู๊ตใต้แป้นนี่ห่วยแตกอย่าบอกใครเลย )
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา?
ทำไมถึงได้มานั่งฟังชีวประวัติของมนุษย์ลักยิ้มนั่นแทนที่จะวางสายแล้วเข้านอนซะ ที่น่ารำคาญที่สุดคือเขากลับสนุกไปกับการฟังเรื่องบ้าๆ นั่นจนบางครั้งก็หลุดขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แต่นับว่าโชคดีที่หมอนั่นไม่ได้ยิน...ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกแซวแน่
“ว่างมากเหรอถึงได้เที่ยวโทรหาคนอื่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้”
( ฉันไม่ได้โทรหาทุกคนหรอก นี่ก็โทรหานายแค่คนเดียว )
“ไปเอาเบอร์บ้านฉันมาจากไหน”
( ลงทุนกดกริ่งบ้านข้างๆ นายแล้วถามดูน่ะสิ...เกือบโดนหมากัดด้วยล่ะ )
“บ้านหลังไหน?”
( เรื่องอะไรจะบอกล่ะ...แต่นายอย่าไปหาเรื่องเขานะบ้านเขามีหมาด้วย -.- )
“บ้านของอีตาลุงโฮดงใช่ไหม?”
( ฮีชอลอ่า พรุ่งนี้รีบมากรอกใบสมัครเข้าชมรมนะ ฉันไปถึงที่นั่นประมาณหกโมงเช้า เราจะได้วอร์มร่างกายไปพร้อมๆ กันไง )
“เป็นบ้าเหรอพูดเองเออเองอยู่ได้ ฉันพูดสักคำหรือยังว่าจะเข้าชมรมงี่เง่านั่น”
( ไม่เข้าชมรมฉันแล้วนายจะไปเข้าชมรมไหนเล่า...ฉันขอเดาเลยนะว่าอย่างนายคงกำลังเล็งชมรมที่คนน้อยที่สุดและเงียบที่สุดอยู่ล่ะสิ )
“ถ้ารู้แล้วก็เลิกชวนฉันเข้าชมรมเส็งเคร็งนั่นสักที”
( ชมรมดนตรีก็นะ...ที่นั่นน่ารำคาญจะตายชักไหนจะเสียงกลองชุด เสียงกีต้าร์ไฟฟ้าปะปนกันไปหมด ขอบอกนะครับว่าชมรมนั่นอยู่ห้องรวม อ้อ..แถมยังอยู่ใกล้อาคารก่อสร้างอีกด้วย )
“หมายความว่าไงที่บอกว่าห้องรวม?”
( ก็หมายความว่าไม่มีห้องแยกน่ะสิ ทุกโน้ต ทุกคีย์ ทุกประเภทเครื่องดนตรีจะถูกขับกล่อมออกมาในห้องเดียวกันหมด ต่างคนต่างซ้อมจนแยกแยะไม่ออกเลยล่ะว่ากำลังเล่นเพลงอะไรอยู่ ก่อนที่ฉันจะค้นพบชมรมบาสนะก็เคยเลือกชมรมดนตรีอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าแหละ...โรงเรียนฉันไม่รวยเหมือนโรงเรียนของนาย )
“ก็ยังมีอีกตั้งหลายชมรม”
( อะไรดีเอ่ย~ ฉันเป็นไกด์ให้นายได้เลยนะ )
“......................”
( ชมรมว่ายน้ำก็ดีนะ แต่พวกนั้นมีแต่เกย์รุกทั้งนั้น แถมชอบต้อนรับเด็กใหม่โดยการขึ้นครูซะด้วย )
“- -...................”
( อะไรอีกนะ...อ้อ! ชมรมศิลปะ ถ้านายเข้าไปคงได้ยืนถือกระดานทั้งวัน ถึงคนจะเรียนน้อยแต่ห้องมันก็แคบตามจำนวนคนน่ะนะ... )
“โรงเรียนนายมีข้อดีอะไรบ้าง? เส็งเคร็งจริงๆ”
( ชมรมบาสเก็ตบอลไง มีแต่คำว่าเพอร์เฟ็ค )
“เหอะ...สุดท้ายก็วกเข้าตัว นายเป็นพวกนาซิสติกหรือไง?”
( มันคืออะไรเหรอ? )
“พวกหลงตัวเองไง ถ้าเป็นแบบนี้สักวันนายคงได้ตกหลุมรักตัวเองในกระจก”
( ไม่หรอก )
“....................”
( เพราะถ้าฉันยังรู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้แอบมองคนๆ หนึ่งอยู่...แบบนั้นฉันก็คงไม่มีวันตกหลุมรักตัวเองได้แน่ๆ )
ไม่มีน้ำเสียงทะเล้นเหมือนกับประโยคก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เงียบไป ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ตอนนี้คิมฮีชอลกำลังรู้สึกเขวหลังจากโดนปาร์คจองซูตื้อให้เข้าชมรมบาสแต่ก็ยังชั่งใจอยู่ว่าจะเข้าไปดีไหม เพราะดูทีมของหมอนั่นแล้วท่าทางจะกวนประสาทไม่ต่างกันเลย
( ฉันรู้ว่าพรุ่งนี้นายต้องมา )
TALK
เอิ่บ ปล่อยมาตอนแรกแบบเมาๆ
ความคิดเห็น